ประเทศบนเกาะในเอเชียตะวันออก
ญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น : 日本 ; โรมาจิ : Nihon/Nippon ; ทับศัพท์ : นิฮง/นิปปง) ชื่ออย่างเป็นทางการ ประเทศญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น : 日本国 ; โรมาจิ : Nihon-koku/Nippon-koku ; ทับศัพท์ : นิฮงโกกุ/นิปปงโกกุ) เป็นรัฐเอกราช หมู่เกาะในเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก นอกฝั่งตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เอเชีย ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลี และประเทศจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่น กั้น ส่วนทางทิศเหนือติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอค็อตสค์ เป็นเส้นแบ่งแดน และทางทิศใต้ติดกับทะเลจีนตะวันออก , ทะเลฟิลิปปิน และประเทศไต้หวัน อาณาเขตของญี่ปุ่นตั้งอยู่ในบริเวณวงแหวนไฟ ครอบคลุมหมู่เกาะประมาณ 14,125 เกาะ ด้วยพื้นที่ 377,975 ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วยเกาะหลักจำนวน 5 เกาะได้แก่ ฮนชู , ฮกไกโด, ชิโกกุ , คีวชู และโอกินาวะ ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ประมาณร้อยละ 97 ของประเทศ มีกรุงโตเกียว เป็นเมืองหลวง และเมืองที่มีประชากรมากที่สุด เมืองที่มีจำนวนประชากรรองลงมาได้แก่ โยโกฮามะ , โอซากะ , นาโงยะ , ซัปโปโระ , ฟูกูโอกะ , โคเบะ และเกียวโต
ตัวอักษรคันจิ ของชื่อประเทศญี่ปุ่นแปลว่า "ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ " จึงมีชื่อเรียกว่า "ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย" ประเทศญี่ปุ่นประกอบด้วย 47 จังหวัด ใน 8 ภูมิภาค โดยมีฮกไกโดเป็นจังหวัดเหนือสุด และโอกินาวะเป็นจังหวัดใต้สุด ภูมิประเทศกว่าสามในสี่มีลักษณะเป็นภูเขา ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีลักษณะเป็นสังคมเมืองมากที่สุด[ 8] [ 9] ด้วยประชากร 125 ล้านคน จึงถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 11 ของโลก และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหนาแน่นประชากร สูงที่สุดในโลก กว่า 14 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงโตเกียว[ 10] และหากนับรวมเขตอภิมหานครโตเกียว ทั้งหมดจะมีประชากรกว่า 40 ล้านคน[ 11] และด้วยมูลค่าจีดีพีที่สูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้กรุงโตเกียวเป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้งแง่ของจำนวนประชากรและขนาดเศรษฐกิจ[ 12]
การวิจัยทางโบราณคดี ระบุว่ามีมนุษย์อาศัยในดินแดนปัจจุบันของญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคหินเก่า หรือประมาณ 30,000 ปีก่อนคริสตกาล การกล่าวถึงญี่ปุ่นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกปรากฏในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 (บันทึกทางประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น ) ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่น ภาษา การปกครอง และ วัฒนธรรม แต่ขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดชาติหนึ่งในโลก
ในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 4 ถึงศตวรรษที่ 9 อาณาจักรทั้งหมดรวมกันเป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ และราชวงศ์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เฮอังเกียว ต่อมา ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึง พ.ศ. 2411 ญี่ปุ่นถูกปกครองด้วยระบบทหารเจ้าขุนมูลนาย โชกุน ซึ่งปกครองในพระปรมาภิไธยจักรพรรดิ และการครอบงำของนักรบซามูไร ประเทศเข้าสู่ระยะแยกอยู่โดดเดี่ยว อันยาวนานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซึ่งยุติใน พ.ศ. 2396 เมื่อกองเรือสหรัฐบังคับให้ประเทศญี่ปุ่นเปิดต่อโลกตะวันตก หลังความขัดแย้งและการก่อการกำเริบภายในเกือบสองทศวรรษ จักรพรรดิได้อำนาจทางการเมืองคืนใน พ.ศ. 2411 ผ่านการช่วยเหลือของหลายตระกูลจากโชชู และซัตสึมะ และมีการสถาปนาจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเมจิ และรัฐธรรมนูญเมจิ และเริ่มมีการพัฒนาอุตสาหกรรมในช่วงเวลานี้ ชัยชนะในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง , สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น และสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้ญี่ปุ่นขยายจักรวรรดิระหว่างสมัยแสนยานิยมเพิ่มขึ้น สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง พ.ศ. 2480 ขยายเป็นบางส่วนของสงครามโลกครั้งที่สอง ใน พ.ศ. 2484 ซึ่งญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในฝ่ายอักษะ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเป็นชาติมหาอำนาจหนึ่งเดียวในเอเชียก่อนจะยุติลงใน พ.ศ. 2488 ด้วยความพ่ายแพ้ในสงครามแปซิฟิก และการทิ้งระเบิดปรมาณู ของฝ่ายสัมพันธมิตร นำไปสู่การยอมจำนนของญี่ปุ่น และตกอยู่ภายใต้การยึดครองของสัมพันธมิตร เป็นเวลา 7 ปี และมีการตรารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 ซึ่งนำไปสู่เงื่อนไขการธำรงระบอบประชาธิปไตย แบบรัฐสภา และราชาธิปไตย ภายใต้รัฐรรมนูญ โดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นประมุขแห่งรัฐ และสภานิติบัญญัติจากการเลือกตั้ง เรียกว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ นับแต่นั้นเป็นต้นมา[ 13] [ 14] [ 15]
ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิกสหประชาชาติ , องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ , กลุ่ม 7 , กลุ่ม 8, กลุ่ม 20 , ควอด , พันธมิตรหลักนอกเนโท และถือเป็นชาติมหาอำนาจ ของโลก[ 16] [ 17] [ 18] เป็นหนึ่งในชาติที่ประชากรมีการศึกษา สูงที่สุดของโลก แม้ญี่ปุ่นสละสิทธิประกาศสงคราม แต่ยังมีกองทหารสมัยใหม่ ซึ่งใช้สำหรับป้องกันตนเองและรักษาสันติภาพ และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก[ 19] ญี่ปุ่นเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ที่มีมาตรฐานการครองชีพและดัชนีการพัฒนามนุษย์ สูง และเป็นประเทศที่ประชากรมีการคาดหมายคงชีพ สูงที่สุดในโลก ทว่ากำลังประสบปัญหาอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำและวิกฤติประชากรสูงวัยในปัจจุบัน[ 20] ญี่ปุ่นยังเป็นผู้นำระดับโลกในด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ มีส่วนสำคัญในด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี วัฒนธรรมญี่ปุ่น ยังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เช่น อาหาร , ศิลปะ, ดนตรี, วัฒนธรรมประชานิยม รวมถึงอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ภาพยนตร์ , มังงะ , อนิเมะ , เพลง และวิดีโอเกม [ 21] [ 22] [ 23]
ชื่อประเทศ
ชื่อประเทศญี่ปุ่นในอักษรคันจิ
ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า นิปปง (にっぽん) หรือ นิฮง (にほん) ซึ่งใช้คันจิ ตัวเดียวกันคือ 日本 คำว่านิปปง มักใช้ในกรณีที่เป็นทางการ ส่วนคำว่า นิฮง จะเป็นศัพท์ที่ใช้โดยทั่วไป
สันนิษฐานว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นใช้ชื่อประเทศว่า "นิฮง/นิปปง (日本) " ตั้งแต่ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 13 [ 24] [ 25] ตัวอักษรคันจิ ของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ และทำให้ญี่ปุ่นมักถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ชื่อนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีการติดต่อกับราชวงศ์สุย ของจีนและหมายถึงการที่ญี่ปุ่นอยู่ในทิศตะวันออกของจีน[ 26] ก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในชื่อยามาโตะ[ 27]
ชื่อเรียกประเทศญี่ปุ่นในภาษาอื่น ๆ เช่น เจแปน (อังกฤษ : Japan ), ยาพัน (เยอรมัน : Japan ), ฌาปง (ฝรั่งเศส : Japon ), ฆาปอน (สเปน : Japón ) รวมถึงคำว่า "ญี่ปุ่น" ในภาษาไทย น่าจะมาจากภาษาจีนฮกเกี้ยนหรือแต้จิ๋วที่ออกเสียงว่า "ยิดปุ่น" (ฮกเกี้ยน ) หรือ "หยิกปึ้ง" (แต้จิ๋ว ) ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำที่ถอดเสียงมาจากคำอ่านตัวอักษรจีน 日本国 ซึ่งอ่านว่า "จีปังกู" แต่ในสำเนียงแมนดาริน อ่านว่า รื่อเปิ่นกั๋ว (จีน : 日本国 ; พินอิน : Rìběn'guó ) หรือย่อ ๆ ว่า รื่อเปิ่น (จีน : 日本 ; พินอิน : Rìběn )[ 28] ส่วนในภาษาที่ใช้ตัวอักษรจีนอื่น ๆ เช่นภาษาเกาหลี ออกเสียงว่า "อิลบน" (เกาหลี : 일본 ; 日本 Ilbon )[ 29] และภาษาเวียดนาม ที่ออกเสียงว่า "เหญิ่ตบ๋าน" (เวียดนาม : Nhật Bản , 日本)[ 30] จะเรียกประเทศญี่ปุ่นโดยออกเสียงคำว่า 日本 ด้วยภาษาของตนเอง
ภูมิศาสตร์
แผนที่ภูมิประเทศกลุ่มเกาะญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นมีเกาะรวม 14,125 เกาะ ทอดตามชายฝั่งแปซิฟิกของเอเชียตะวันออก ประเทศญี่ปุ่นรวมทุกเกาะตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 24 องศา และ 46 องศาเหนือ และลองจิจูด 122 องศา และ 146 องศาตะวันออก หมู่เกาะหลักไล่จากเหนือลงใต้ ได้แก่ ฮกไกโด , ฮนชู , ชิโกกุ , คีวชู และหมู่เกาะรีวกีว รวมทั้งเกาะโอกินาวะ เรียงกันอยู่ทางใต้ของคีวชู รวมกันมักเรียกว่า กลุ่มเกาะญี่ปุ่น [ 31]
พื้นที่ประมาณร้อยละ 73 ของประเทศญี่ปุ่นเป็นป่าไม้ ภูเขาและไม่เหมาะกับการใช้ทางการเกษตร อุตสาหกรรม หรือการอยู่อาศัย[ 32] ด้วยเหตุนี้ เขตอยู่อาศัยได้ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายฝั่งเป็นหลัก จึงมีความหนาแน่นของประชากรสูงมาก ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงสุดของโลกประเทศหนึ่ง [ 33]
เกาะต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟบนวงแหวนไฟแปซิฟิก รอยต่อสามโบะโซะ (Boso Triple Junction) นอกชายฝั่งญี่ปุ่นเป็นรอยต่อสามที่แผ่นอเมริกาเหนือ แผ่นแปซิฟิก และแผ่นทะเลฟิลิปปิน บรรจบกัน ประเทศญี่ปุ่นเดิมติดกับชายฝั่งตะวันออกของทวีปยูเรเชีย แต่แผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงดึงประเทศญี่ปุ่นไปทางตะวันออก เปิดทะเลญี่ปุ่น เมื่อประมาณ 15 ล้านปีก่อน[ 34]
ประเทศญี่ปุ่นมีภูเขาไฟที่ยังมีพลังอยู่ 108 ลูก ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีภูเขาไฟใหม่เกิดขึ้นหลายลูก รวมทั้งโชวะ-ชินซันบนฮกไกโดและเมียวจิน-โชนอกหินบายองเนสในมหาสมุทรแปซิฟิก เกิดแผ่นดินไหวทำลายล้างซึ่งมักทำให้เกิดคลื่นสึนามิ ตามมาหลายครั้งทุกศตวรรษ[ 35] แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต พ.ศ. 2466 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน[ 36] แผ่นดินไหวใหญ่ล่าสุด ได้แก่ แผ่นดินไหวใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538 และแผ่นดินไหวในโทโฮกุ พ.ศ. 2554 ซึ่งมีขนาด 9.1 และทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ ดัชนีความเสี่ยงโลก พ.ศ. 2556 จัดให้ประเทศญี่ปุ่นมีความเสี่ยงภัยธรรมชาติสูงสุดอันดับที่ 15[ 37]
ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของประเทศญี่ปุ่นเป็นแบบอบอุ่นเป็นหลัก แต่มีความแตกต่างกันมากตั้งแต่เหนือจดใต้ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นแบ่งออกเป็นหกเขตภูมิอากาศหลัก ได้แก่ ฮกไกโด ทะเลญี่ปุ่น ที่สูงภาคกลาง ทะเลในเซโตะ มหาสมุทรแปซิฟิกและหมู่เกาะรีวกีว
เขตเหนือสุด ฮกไกโด มีภูมิอากาศแบบทวีปชื้นที่มีฤดูหนาวเย็นและยาวนาน และมีฤดูร้อนอุ่นมากถึงเย็น หยาดน้ำฟ้า ไม่หนัก แต่หมู่เกาะมักมีกองหิมะลึกในฤดูหนาว ในเขตทะเลญี่ปุ่นตรงชายฝั่งตะวันตกของฮนชู ลมฤดูหนาวจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือนำให้หิมะตกหนัก ในฤดูร้อน ภูมิภาคนี้เย็นกว่าเขตแปซิฟิก แม้บางครั้งมีอุณหภูมิร้อนจัดเนื่องจากลมเฟิน (foehn) เขตที่สูงภาคกลางเป็นภูมิอากาศแบบทวีปชื้นในแผ่นดินตรงแบบ มีความแตกต่างของอุณหภูมิมากระหว่างฤดูร้อนและฤดูหนาว ตลอดจนมีความแตกต่างระหว่างกลางวันกลางคืนมาก หยาดน้ำฟ้าเบาบาง แม้ฤดูหนาวปกติมีหิมะตก เขตภูเขาชูโงกุ และเกาะชิโกกุ กั้นทะเลในแผ่นดินเซโตะจากลมตามฤดูกาล ทำให้มีลมฟ้าอากาศไม่รุนแรงตลอดปี ชายฝั่งแปซิฟิกมีลักษณะภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อนชื้นซึ่งมีฤดูหนาว ไม่รุนแรง มีหิมะ ตกบางครั้ง และฤดูร้อน ที่ร้อนชื้นเนื่องจากลมฤดูกาลจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะรีวกีวมีภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน โดยมีฤดูหนาวอบอุ่นและฤดูร้อน หยาดน้ำฟ้าหนักมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างฤดูฝน [ 38]
อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาวในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 5.1 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนอยู่ที่ 25.2 องศาเซลเซียส[ 39] อุณหภูมิสูงสุดที่เคยวัดได้ในประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 41.0 องศาเซลเซียส ซึ่งมีบันทึกเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556[ 40] ฤดูฝนหลักเริ่มในต้นเดือนพฤษภาคมในโอกินาวะ และแนวฝนจะค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นเหนือจนถึงฮกไกโดในปลายเดือนกรกฎาคม ในฮนชูส่วนใหญ่ ฤดูฝนเริ่มก่อนกลางเดือนมิถุนายน และกินเวลาประมาณหกสัปดาห์ ในปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง พายุไต้ฝุ่นมักนำพาฝนตกหนักมา[ 41]
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ลิงกังญี่ปุ่น ที่บ่อน้ำพุร้อนจิโงกูดานิ มีชื่อเสียงว่าเข้าสปาในฤดูหนาว
ประเทศญี่ปุ่นมีเขตชีวภาพป่าเก้าเขตซึ่งสะท้อนภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ของหมู่เกาะญี่ปุ่น มีตั้งแต่ป่าใบกว้างชื้นกึ่งเขตร้อนในหมู่เกาะรีวกีวและหมู่เกาะโองาซาวาระ จนถึงป่าผสมและใบกว้างเขตอุบอุ่นในเขตภูมิอากาศไม่รุนแรงในหมู่เกาะหลัก จนถึงป่าสนเขาเขตอบอุ่นในส่วนฤดูหนาวหนาวเย็นในเกาะทางเหนือ ประเทศญี่ปุ่นมีสัตว์ป่ากว่า 90,000 ชนิด รวมทั้งหมีสีน้ำตาล ลิงกังญี่ปุ่น ทะนุกิ หนูนาญี่ปุ่นใหญ่ และซาลาแมนเดอร์ยักษ์ญี่ปุ่น มีการตั้งเครือข่ายอุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่เพื่อคุ้มครองพื้นที่สำคัญของพืชและสัตว์ตลอดจนเขตพื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาแรมซาร์ สามสิบเจ็ดแห่ง มีสี่แห่งลงทะเบียนในรายการมรดกโลกของยูเนสโก
สิ่งแวดล้อม
ในช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นโยบายสิ่งแวดล้อมถูกรัฐบาลและบริษัทอุตสาหกรรมลดความสำคัญ ผลทำให้มีมลภาวะสิ่งแวดล้อม แพร่หลายในคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 เพื่อสนองต่อความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงริเริ่มกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมหลายฉบับใน พ.ศ. 2513[ 42] วิกฤตการณ์น้ำมันใน พ.ศ. 2516 ยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากประเทศญี่ปุ่นขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ[ 43] ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ได้แก่ มลภาวะทางอากาศในเมือง การจัดการขยะ ยูโทรฟิเคชันน้ำ การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การจัดการเคมีและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์[ 44]
ประเทศญี่ปุ่นจัดอยู่ในอันดับที่ 20 ในดัชนีสมรรถนะสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2561 ซึ่งวัดความผูกมัดของประเทศต่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม[ 45] ในฐานะเจ้าภาพและผู้ลงนามพิธีสารเกียวโต พ.ศ. 2540 ประเทศญี่ปุ่นอยู่ภายใต้ข้อผูกพันตามสนธิสัญญาในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และใช้วิธีการเพิ่มเติมในการรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ[ 46] ใน พ.ศ. 2563 รัฐบาลมีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 22 แห่ง ภายหลังการปิดกองเรือนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นหลังจากภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ใน พ.ศ. 2554 ญี่ปุ่นเป็นประเทศปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก[ 47] รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนภายใน พ.ศ. 2593[ 48] ปัญหาสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน ได้แก่ มลพิษทางอากาศ ในเมือง (NOx , อนุภาคแขวนลอย และสารพิษ) การจัดการของเสีย การทำให้น้ำขาดออกซิเจน การอนุรักษ์ธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการจัดการสารเคมี
ประวัติศาสตร์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์โบราณ
เครื่องปั้นดินเผายุคโจมง
จักรพรรดิจิมมุ (神武天皇, Jinmu-tennō) จักรพรรดิในตำนานของญี่ปุ่น ต้นราชวงศ์ยามาโตะ
วัฒนธรรมยุคหินเก่า ประมาณ 30,000 ปีก่อน ค.ศ. เป็นหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์บนกลุ่มเกาะญี่ปุ่นครั้งแรกเท่าที่ทราบ หลังจากนั้นเป็นยุคโจมง เมื่อประมาณ 14,000 ปีก่อน ค.ศ. ที่มีวัฒนธรรมนักล่าสัตว์หาของป่ากึ่งอยู่กับที่ยุคหินกลาง ถึงยุคหินใหม่ ซึ่งมีลักษณะโดยการอาศัยอยู่ในหลุมและเกษตรกรรมเรียบง่าย[ 49] รวมทั้งบรรพบุรุษของชาวไอนุ และชาวยามาโตะ ร่วมสมัยด้วย[ 50] [ 51] เครื่องดินเผาตกแต่งจากยุคนี้ยังเป็นตัวอย่างเครื่องดินเผาเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังเหลือรอดในโลกด้วย ประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ. ชาวยาโยอิเริ่มเข้าสู่หมู่เกาะญี่ปุ่น ผสมผสานกับโจมง[ 52] ยุคยาโยอิ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. มีการริเริ่มการปฏิวัติอย่างการทำนาข้าวเปียก[ 53] เครื่องดินเผาแบบใหม่[ 54] และโลหะวิทยาที่รับมาจากจีนและเกาหลี[ 55]
ญี่ปุ่นปรากฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลายลักษณ์อักษรในฮั่นชู (บันทึกประวัติศาสตร์ฮั่น) ของจีน[ 56] ตามบันทึกสามก๊ก ราชอาณาจักรทรงอำนาจที่สุดในกลุ่มเกาะญี่ปุ่นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 เรียก ยามาไตโกกุ มีการเผยแผ่ศาสนาพุทธ เข้าประเทศญี่ปุ่นจากอาณาจักรแพ็กเจ (เกาหลีปัจจุบัน) และได้รับอุปถัมภ์โดยเจ้าชายโชโตกุ และการพัฒนาศาสนาพุทธญี่ปุ่น ในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลจากจีนเป็นหลัก[ 57] แม้มีการต่อต้านในช่วงแรก แต่ศาสนาพุทธได้รับการส่งเสริมจากชนชั้นปกครองและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในช่วงต้นยุคอาซูกะ (ค.ศ. 592–710)[ 58]
ยุคนาระ (พ.ศ. 1253–1337) มีการกำเนิดรัฐญี่ปุ่นแบบรวมอำนาจปกครองโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ราชสำนักจักรพรรดิในเฮโจเกียว (จังหวัดนาระ ปัจจุบัน) ยุคนาระเริ่มมีวรรณคดีตลอดจนการพัฒนาศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ[ 59] การระบาดของโรคฝีดาษ ในปี พ.ศ. 1278–1280 เชื่อว่าฆ่าประชากรญี่ปุ่นไปมากถึงหนึ่งในสาม[ 60] ใน พ.ศ. 1327 จักรพรรดิคัมมุ ย้ายเมืองหลวงจากนาระไปนางาโอกะเกียว และเฮอังเกียว (นครเกียวโต ปัจจุบัน) ใน พ.ศ. 1337
นับเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเฮอัง (พ.ศ. 1337–1728) ซึ่งวัฒนธรรมญี่ปุ่นเฉพาะถิ่นชัดเจนกำเนิด โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ศิลปะ กวีและร้อยแก้ว ตำนานเก็นจิ ของมูราซากิ ชิกิบุ และ "คิมิงาโยะ " เนื้อร้องเพลงชาติประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน ก็มีการเขียนขึ้นในช่วงนี้[ 61]
ศาสนาพุทธเริ่มแพร่ขยายระหว่างยุคเฮอัง ผ่านสองนิกายหลัก ได้แก่ เท็งไดและชินงง สุขาวดี (โจโดชู โจโดชินชู) ได้รับความนิยมมากกว่าในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 11
ยุคเจ้าขุนมูลนาย
นักรบซามูไรสู้รบกับมองโกลระหว่างการบุกครองญี่ปุ่นของมองโกล (ซูเอนางะ , 1836)
วัดคิงกากูจิ ในเมืองเกียวโต
สามผู้มีอิทธิพลต่อญี่ปุ่นในยุคศักดินา. จากซ้ายไปขวา: โอดะ โนบูนางะ , โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ , โทกูงาวะ อิเอยาซุ
ยุคเจ้าขุนมูลนาย หรือ ยุคศักดินาของญี่ปุ่นมีลักษณะจากการถือกำเนิดและการครอบงำของชนชั้นนักรบซามูไร ใน พ.ศ. 1728 จักรพรรดิโกะ-โทบะ ทรงแต่งตั้งซามูไร มินาโมโตะ โนะ โยริโตโมะ เป็นโชกุน หลังพิชิตตระกูลไทระ ในสงครามเก็มเป โยริโตโมะตั้งฐานอำนาจในคามากูระ หลังเขาเสียชีวิต ตระกูลโฮโจ เถลิงอำนาจเป็นผู้สำเร็จราชการให้โชกุน มีการเผยแผ่ศาสนาพุทธสำนักเซนจากจีนในยุคคามากูระ (พ.ศ. 1728–1876) และได้รับความนิยมในชนชั้นซามูไร รัฐบาลโชกุนคามากูระ ขับไล่การบุกครองของมองโกลสองครั้งใน พ.ศ. 1817 และ 1824 แต่สุดท้ายถูกจักรพรรดิโกะ-ไดโงะ โค่นล้ม ส่วนจักรพรรดิโกะ-ไดโงะก็ถูกอาชิกางะ ทากาอูจิ พิชิตอีกทอดหนึ่งใน พ.ศ. 1879
อาชิกางะ ทากาอูจิตั้งรัฐบาลโชกุนในมูโรมาจิ จังหวัดเกียวโต เป็นจุดเริ่มต้นของยุคมูโรมาจิ (พ.ศ. 1879–2116) รัฐบาลโชกุนอาชิกางะ รุ่งเรืองในสมัยของอาชิกางะ โยชิมิตสึ และวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่บนศาสนาพุทธแบบเซ็น (ศิลปะมิยาบิ ) แพร่กระจาย ต่อมาศิลปะมิยาบิวิวัฒน์เป็นวัฒนธรรมฮิงาชิยามะ และเจริญจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 21–22) อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลโชกุนอาชิกางะสมัยต่อมาไม่สามารถควบคุมขุนศึกเจ้าขุนมูลนาย (ไดเมียว ) ได้ และเกิดสงครามกลางเมือง (สงครามโอนิง ) ใน พ.ศ. 2010 เปิดฉากยุคเซ็งโงกุ ("รณรัฐ") ยาวนานนับศตวรรษ
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 มีพ่อค้าและมิชชันนารี คณะเยสุอิต จากประเทศโปรตุเกสเดินทางถึงญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเริ่มการค้าขายและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับโลกตะวันตก (การค้านัมบัน ) โดยตรง ทำให้โอดะ โนบูนางะ ได้เทคโนโลยีและอาวุธปืนยุโรปซึ่งเขาใช้พิชิตไดเมียวคนอื่นหลายคน การรวบอำนาจของเขาเริ่มยุคอาซูจิ–โมโมยามะ (พ.ศ. 2116–2146) หลังโนบูนางะถูกอาเกจิ มิตสึฮิเดะ ลอบฆ่าใน พ.ศ. 2125 โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ผู้สืบทอดของโนบูนางะ รวมประเทศใน พ.ศ. 2133 และเปิดฉากบุกครองเกาหลี 2 ครั้งใน พ.ศ. 2135 และ 2140 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
หลังฮิเดโยชิถึงแก่อสัญกรรม โทกูงาวะ อิเอยาซุ ตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนบุตรของฮิเดะโยะชิและใช้ตำแหน่งให้ได้มาซึ่งการสนับสนุนทางการเมืองและการทหาร อิเอยาซุเอาชนะไดเมียวต่าง ๆ ได้ในยุทธการที่เซกิงาฮาระ ใน พ.ศ. 2143 ต่อมาใน พ.ศ. 2146 จักรพรรดิโกะ-โยเซ จึงทรงแต่งตั้งเขาเป็นโชกุน เขาตั้งรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ ในเอโดะ (กรุงโตเกียว ปัจจุบัน) รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะออกมาตรการซึ่งรวมบุเกะโชะฮัตโตะเป็นจรรยาบรรณสำหรับควบคุมไดเมียวอัตตาณัติ และนโยบายซาโกกุ ("ประเทศปิด") ใน พ.ศ. 2182 ซึ่งกินเวลานานสองศตวรรษครึ่งและเป็นยุคเอกภาพทางการเมืองที่เรียก ยุคเอโดะ (พ.ศ. 2146–2411) การศึกษาศาสตร์ตะวันตก ที่เรียก รังงากุ ยังคงมีต่อผ่านการติดต่อกับดินแดนแทรกของเนเธอร์แลนด์ที่เดจิมะ ในนางาซากิ ยุคเอโดะยังทำให้โคกูงากุ ("การศึกษาชาติ") หรือการศึกษาประเทศญี่ปุ่นโดยคนญี่ปุ่น เจริญด้วย
ยุคใหม่
จักรวรรดิญี่ปุ่นในยุครุ่งเรืองที่สุด ปี ค.ศ. 1942 ประกอบด้วย เขียวเข้ม ; ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ เขียวกลาง ; รัฐอาณานิคม ประกอบด้วย เกาหลี ไต้หวัน และคาราฟุโตะ เขียวอ่อน ; รัฐในอารักขา ประกอบด้วย อินโดจีน ฟิลิปปินส์ พม่า มะละกา สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน บางส่วนของปาปัวนิวกินี และจีนชายฝั่งทะเล
วันที่ 31 มีนาคม 2397 พลเรือจัตวา แมทธิว ซี. เพอร์รี และ "เรือดำ " แห่งกองทัพเรือสหรัฐบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศต่อโลกภายนอกด้วยสนธิสัญญาคานางาวะ สนธิสัญญาคล้ายกันกับประเทศตะวันตกในยุคบากูมัตสึ นำมาซึ่งวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเมือง การลาออกของโชกุนนำสู่สงครามโบชิน และการสถาปนารัฐรวมอำนาจปกครองที่เป็นเอกภาพในนามภายใต้จักรพรรดิ (การฟื้นฟูเมจิ )[ 62]
ประเทศญี่ปุ่นรับสถาบันการเมือง ตุลาการและทหารแบบตะวันตกและอิทธิพลทางวัฒนธรรมตะวันตกรวมเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมประเทศสำหรับการกลายเป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยผ่านกระบวนการกลายเป็นตะวันตกระหว่างการฟื้นฟูเมจิใน พ.ศ. 2411 คณะรัฐมนตรีจัดตั้งคณะองคมนตรี ริเริ่มรัฐธรรมนูญเมจิ และเรียกประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การฟื้นฟูเมจิเปลี่ยนจักรวรรดิญี่ปุ่นให้เป็นมหาอำนาจอุตสาหกรรมซึ่งมุ่งใช้ความขัดแย้งทางทหารเพื่อขยายเขตอิทธิพลของตน หลังคว้าชัยในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2437–2438) และสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (พ.ศ. 2447–2448) ประเทศญี่ปุ่นเข้าควบคุมไต้หวัน เกาหลีและครึ่งใต้ของเกาะซาฮาลิน ประชากรญี่ปุ่นเพิ่มจาก 35 ล้านคนใน พ.ศ. 2416 เป็น 70 ล้านคนใน พ.ศ. 2478
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร ผู้ชนะ สามารถขยายอำนาจและอาณาเขตในทวีปเอเชียต่อไปอีก ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีช่วง "ประชาธิปไตยไทโช" (พ.ศ. 2455–2469) แต่คริสต์ทศวรรษ 1920 (ประมาณพุทธทศวรรษ 2460) ประชาธิปไตยที่เปราะบางตกอยู่ภายใต้การเลื่อนทางการเมืองสู่ฟาสซิสต์ มีการผ่านกฎหมายปราบปรามการเห็นต่างทางการเมืองและมีความพยายามรัฐประหารหลายครั้ง "ยุคโชวะ " ต่อมาอำนาจของกองทัพเริ่มเพิ่มขึ้นและนำญี่ปุ่นสู่การขยายอาณาเขตและการเสริมสร้างแสนยานุภาพ ตลอดจนเผด็จการเบ็ดเสร็จและลัทธิคลั่งชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ฟาสซิสต์ ในปี 2474 ประเทศญี่ปุ่นบุกครองและยึดครองแมนจูเรีย เมื่อนานาชาติประณามการครอบครองนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็ลาออกจากสันนิบาตชาติ ใน พ.ศ. 2476[ 63] ใน พ.ศ. 2479 ญี่ปุ่นลงนามกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น กับนาซีเยอรมนี และกติกาสัญญาไตรภาคี ใน พ.ศ. 2483 เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ [ 64] หลังพ่ายในสงครามชายแดนโซเวียต–ญี่ปุ่น ที่กินเวลาสั้น ๆ ประเทศญี่ปุ่นเจรจากติกาสัญญาความเป็นกลางโซเวียต–ญี่ปุ่น ซึ่งกินเวลาถึง พ.ศ. 2488 เมื่อสหภาพโซเวียตบุกครองแมนจูเรีย
ระเบิดนิวเคลียร์แฟทแมนที่ถูกทิ้งลงนางาซากิ ในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488
ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เสริมสร้างอำนาจทางการทหารให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังจากญี่ปุ่นถูกกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงได้เปิดฉากสงครามในแถบเอเชียแปซิฟิก (ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ สงครามมหาเอเชียบูรพา ) ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 โดยการโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล และการยาตราทัพเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดินแดนอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์ ตลอดสงครามครั้งนั้น ญี่ปุ่นสามารถยึดครองประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ให้แก่สหรัฐอเมริกาในการรบทางน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกหลังจากยุทธนาวีแห่งมิดเวย์ (พ.ศ. 2485) ญี่ปุ่นก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร โดยง่าย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระเบิดปรมาณู ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกทิ้งที่เมืองฮิโรชิมะ และนางาซากิ (ในวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ตามลำดับ) และการรุกรานของสหภาพโซเวียต (วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2488) ญี่ปุ่นจึงประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน[ 65] สงครามทำให้ญี่ปุ่นต้องสูญเสียพลเมืองนับล้านคนและทำให้อุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเสียหายอย่างหนัก ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งพลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์ เข้ามาควบคุมญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามจบ
พ.ศ. 2490 ประเทศญี่ปุ่นเริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเน้นวัตรประชาธิปไตยเสรีนิยม การยึดครองญี่ปุ่น ของฝ่ายสัมพันธมิตรสิ้นสุดเมื่อมีการลงนามสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก ใน พ.ศ. 2499[ 66] และญี่ปุ่นได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติ ใน พ.ศ. 2499[ 67] หลังสงคราม ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากจนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก จนถูกประเทศจีนแซงใน พ.ศ. 2553 แต่การเติบโตดังกล่าวหยุดในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อญี่ปุ่นประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย[ 68] ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 การเติบโตทางบวกส่งสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป[ 69] วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 ประเทศญี่ปุ่นประสบแผ่นดินไหวครั้งใหญ่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ ซึ่งยังส่งผลให้เกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะไดอิจิ [ 70]
ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอีกครั้ง เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงสละราชสมบัติ ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคเฮเซ สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ พระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อ และเป็นการเริ่มต้นยุคเรวะ อย่างเป็นทางการ[ 71]
การเมือง
ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยที่จักรพรรดิมีพระราชอำนาจจำกัด ทรงเป็นประมุขในทางพิธีการ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ทรงเป็น "สัญลักษณ์แห่งรัฐและความสามัคคีของประชาชน"[ 72] นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร ส่วนอำนาจอธิปไตยเป็นของชาวญี่ปุ่น จักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ ฟูมิโอะ คิชิดะ
อาคารสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สภาไดเอต
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ตั้งอยู่ในชิโยดะ กรุงโตเกียว สภาฯ ใช้ระบบระบบสองสภา ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร (ญี่ปุ่น : 衆議院 ; โรมาจิ : ชูงิ-อิง ) เป็นสภาล่าง มีสมาชิกสี่ร้อยแปดสิบคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งสี่ปี และราชมนตรีสภา (ญี่ปุ่น : 参議院 ; โรมาจิ : ซังงีง ) เป็นสภาสูง มีสมาชิกสองร้อยสี่สิบสองคนซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งหกปี โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกราชมนตรีสภาจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุกสามปี สมาชิกของสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ ส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นมีอายุสิบแปดปีบริบูรณ์เป็นต้นไป[ 73] พรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น (CDP) ที่เป็นเสรีนิยมสังคม และพรรคประชาธิปไตยเสรีนิยม (LDP) ที่เป็นอนุรักษนิยมครองสภาฯ LDP ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเกือบตลอดมาตั้งแต่ปี 2498 ยกเว้นช่วงสั้น ๆ ระหว่าง พ.ศ. 2536 ถึง 37 และระหว่าง พ.ศ. 2552 ถึง 2555
ระบบกฎหมายของญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากกฎหมายจีน มาแต่อดีต และมีพัฒนาการเป็นเอกเทศในยุคเอโดะ ผ่านทางเอกสารต่าง ๆ เช่น ประชุมราชนีติ (ญี่ปุ่น : 公事方御定書 ; โรมาจิ : Kujikata Osadamegaki ) ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษ 2400 เป็นต้นมา ได้มีการวางรากฐานระบบตุลาการในญี่ปุ่นขนานใหญ่โดยใช้ระบบซีวิลลอว์ ของยุโรป โดยเฉพาะของฝรั่งเศส และเยอรมนี เป็นต้นแบบ เช่น ในปี 2439 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่ง (ญี่ปุ่น : 民法 ; โรมาจิ : Minpō ) โดยมีประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน เป็นต้นแบบ และคงมีผลใช้บังคับอยู่นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนปัจจุบัน[ 74] ระบบศาลของญี่ปุ่นแบ่งเป็นสี่ขั้นหลัก คือ ศาลสูงสุดและศาลชั้นล่างสามระดับ ประชุมกฎหมายหลักของญี่ปุ่นเรียก หกประมวล (ญี่ปุ่น : 六法 ; โรมาจิ : Roppō )
จากข้อมูลของสหภาพระหว่างรัฐสภา สมาชิกรัฐสภาญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นเพศชายและอยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 50 ถึง 70 ปี ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2566 สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ของญี่ปุ่นรายงานว่า เรียวซูเกะ ทากาชิมะ วัย 26 ปี เป็นนายกเทศมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในญี่ปุ่น[ 75]
การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศญี่ปุ่นแบ่งการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด [ 76] และแบ่งภาคออกเป็น 8 ภูมิภาค ซึ่งมักจะถูกจับเข้ากลุ่มตามเขตแดนที่ติดกันที่มีวัฒนธรรมและสำเนียงการพูดใกล้เคียงกัน ทุกจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้บริหาร
ในแต่ละจังหวัดมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเทศบาลย่อย ๆ[ 77] แต่ในปัจจุบันกำลังมีการปรับโครงสร้างการแบ่งเขตการปกครองโดยการรวมเทศบาลที่อยู่ใกล้เคียงกันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเขตการปกครองย่อยและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเทศบาลลงได้[ 78] การรวมเขตเทศบาลนี้เป็นนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมีการคาดการณ์ที่จะลดจาก 3,232 เทศบาลในปี 2542 ให้เหลือ 1,773 เทศบาลในปี 2553[ 79]
ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละเมืองต่างมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงมีสำเนียงภาษาที่แตกต่างกันออกไป
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อะเบะ กับประธานาธิบดีสหรัฐ ดอนัลด์ ทรัมป์
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทูตกับเกือบทุกประเทศเอกราชในโลก เป็นสมาชิกปัจจุบันของสหประชาชาติ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2499 ประเทศญี่ปุ่นเป็นสมาชิกกลุ่ม 7 , เอเปก และ อาเซียน+3[ 80] และเข้าร่วมประชุมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ประเทศญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงความมั่นคงกับประเทศออสเตรเลียในเดือนมีนาคม 2550[ 81] และกับประเทศอินเดียในเดือนตุลาคม 2551[ 82] เป็นผู้บริจาคความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการรายใหญ่สุดอันดับห้าของโลก โดยบริจาคเงิน 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2557[ 83]
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐ นับแต่สหรัฐและพันธมิตรพิชิตญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศธำรงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการกลาโหมอย่างใกล้ชิด สหรัฐเป็นตลาดสำคัญของสินค้าส่งออกของญี่ปุ่นและเป็นแหล่งนำเข้าหลักของญี่ปุ่น และผูกมัดป้องกันประเทศญี่ปุ่น โดยมีฐานทัพในประเทศญี่ปุ่นบางส่วนด้วยเหตุนั้น[ 84]
ประเทศญี่ปุ่นต่อสู้การควบคุมหมู่เกาะคูริลใต้ (ได้แก่ กลุ่มอิโตโรฟุ คูราชิริ ชิโตกัง และฮฮาโบมาอิ) ของประเทศรัสเซีย ซึ่งสหภาพโซเวียต ยึดครองใน พ.ศ. 2488 ประเทศญี่ปุ่นรับรู้การยืนยันของประเทศเกาหลีใต้เกี่ยวกับหินลีอังคอร์ท (หรือ "ทาเกะชิมะ" ในภาษาญี่ปุ่น) แต่ไม่ยอมรับ ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ตึงเครียดกับประเทศจีน และประเทศไต้หวัน เหนือหมู่เกาะเซ็งกากุ และกับประเทศจีนเหนือสถานภาพของโอกิโนะโทริชิมะ
ความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ในอดีตมีความตึงเครียดเนื่องจากการปฏิบัติต่อชาวเกาหลีของญี่ปุ่นในช่วงการปกครองอาณานิคมของญี่ปุ่น โดยเฉพาะการใช้ผู้หญิงเป็นที่ระบายทางเพศ[ 85] ใน พ.ศ. 2558 ญี่ปุ่นออกคำขอโทษอย่างเป็นทางการ และมอบเงินให้กับผู้หญิงทุกคนที่ตกเป็นเหยือความรุนแรงในเหตุการณ์ดังกล่าวที่ยังมีชีวิตอยู่[ 86] ณ พ.ศ. 2562 ญี่ปุ่นเป็นผู้นำเข้าเพลงเกาหลี (K-pop) ละครโทรทัศน์ และกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่สำคัญของเกาหลีใต้[ 87] [ 88]
การบังคับใช้กฎหมาย
การรักษาความปลอดภัยภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นดูแลโดยกรมตำรวจประจำจังหวัดเป็นหลัก ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ [ 89] ในฐานะที่เป็นหน่วยงานประสานงานกลางของกรมตำรวจประจำจังหวัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติบริหารงานโดยคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะแห่งชาติ[ 90] หน่วยจู่โจมพิเศษประกอบด้วยหน่วยยุทธวิธีต่อต้านการก่อการร้ายระดับชาติที่ร่วมมือกับหน่วยต่อต้านอาวุธปืนระดับอาณาเขตและหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของเอ็นบีซี หน่วยยามฝั่งของญี่ปุ่นปกป้องน่านน้ำอาณาเขตรอบ ๆ ญี่ปุ่น และใช้มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมการลักลอบนำเข้า อาชญากรรมสิ่งแวดล้อมทางทะเล การรุกล้ำ การละเมิดลิขสิทธิ์ เรือสอดแนม เรือประมงต่างประเทศที่ไม่ได้รับอนุญาต[ 91]
กฎหมายควบคุมอาวุธปืนและดาบควบคุมความเป็นเจ้าของปืน ดาบ และอาวุธอื่น ๆ ของพลเรือนอย่างเคร่งครัด[ 92] ตามรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ในบรรดาประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ที่รายงานสถิติใน พ.ศ. 2561 อัตราอุบัติการณ์ของอาชญากรรมรุนแรง เช่น การฆาตกรรม การลักพาตัว ความรุนแรงทางเพศ และการโจรกรรมนั้นต่ำมากในญี่ปุ่น[ 93]
กองทัพ
เรือพิฆาตชั้นคงโง ของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น
กองทัพญี่ปุ่นถูกจำกัดสิทธิตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น ซึ่งสละสิทธิของประเทศญี่ปุ่นในการประกาศสงครามและการใช้กำลังทหารในข้อพิพาทระหว่างประเทศ ฉะนั้น กองทัพญี่ปุ่นที่เรียก "กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น " นั้นจึงเป็นกองทัพที่ไม่เคยสู้รบนอกประเทศญี่ปุ่น[ 94] ประเทศญี่ปุ่นมีงบประมาณทางทหารสูงสุดประเทศหนึ่งในโลก[ 95] จัดเป็นประเทศเอเชียอันดับสูงสุดในดัชนีสันติภาพโลก [ 96] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมปกครองกองทัพ และส่วนใหญ่ประกอบด้วยกองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศญี่ปุ่น ซึ่งกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นเป็นผู้เข้าร่วมการฝึกซ้อมทางทะเลริมแพ็ก (RIMPAC) เป็นประจำ[ 97] ล่าสุดมีการใช้กองทัพเพื่อปฏิบัติการรักษาสันติภาพ โดยการวางกำลังในประเทศอิรักเป็นการใช้กองทัพญี่ปุ่นนอกประเทศครั้งแรกนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง[ 98] สหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการห้ามส่งอาวุธออก เพื่อให้ประเทศญี่ปุ่นสามารถเข้าร่วมโครงการนานาชาติอย่างเครื่องบินขับไล่จู่โจมร่วม (Joint Strike Fighter) ได้[ 99]
ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจโลกอย่างรวดเร็วร่วมกับโลกาภิวัตน์ สิ่งแวดล้อมความมั่นคงรอบประเทศญี่ปุ่นทวีความรุนแรงมากขึ้น อันสังเกตได้จากการพัฒนานิวเคลียร์และขีปนาวุธของประเทศเกาหลีเหนือ ภัยคุกคามข้ามชาติซึ่งมีเหตุจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี รวมทั้งการก่อการร้ายระหว่างประเทศและการโจมตีไซเบอร์ก็เพิ่มความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ[ 100] ประเทศญี่ปุ่นรวมทั้งกองกำลังป้องกันตนเองได้เข้ามีส่วนร่วมอย่างถึงที่สุด ในความพยายามธำรงและฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางทหารใกล้ชิดกับสหรัฐ พันธมิตรความมั่นคงสหรัฐ–ญี่ปุ่นเป็นหลักหมุดของนโยบายการต่างประเทศของชาติ[ 101] นับแต่เป็นสมาชิกสหประชาชาติใน พ.ศ. 2499 ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง เป็นเวลารวม 20 ปี วาระล่าสุดใน พ.ศ. 2552 และ พ.ศ. 2553
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ กล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการสลัดการวางเฉย ที่ธำรงมาตลอดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยุติและรับผิดชอบความมั่นคงในภูมิภาคมากขึ้น เขากล่าวว่าประเทศญี่ปุ่นต้องการมีบทบาทสำคัญและเสนอความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านของญี่ปุ่น[ 102] ความตึงเครียดล่าสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเกาหลีเหนือได้จุดชนวนการถกเถียงรอบใหม่ เรื่องสถานภาพของกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นและความสัมพันธ์กับสังคมญี่ปุ่น[ 103] แนวทางกองทัพญี่ปุ่นฉบับใหม่ที่มีประกาศในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 จะชี้นำกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นจากความสนใจสมัยสงครามเย็นต่ออดีตสหภาพโซเวียตสู่ประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทดินแดนเหนือหมู่เกาะเซ็งกากุ [ 104]
เศรษฐกิจ
ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว เป็นตลาดหลักทรัพย์ ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
โครงสร้าง
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้รับความบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเพราะปัจจัยหลายอย่างเช่นการทำงานที่ดีของรัฐบาล แรงงานที่ถูกและมีคุณภาพ อัตราการออมและการลงทุนที่สูง[ 105] ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2500-2520 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500, 2510 และ 2520 เฉลี่ยร้อยละ 10, 5 และ 4 ตามลำดับ[ 106] โดยได้รับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ช่วงต้นพุทธทศวรรษที่ 2510 ญี่ปุ่นประสบปัญหาค่าเงินเยนแข็งตัว จนทำให้บริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศ หลังจากเกิดฟองสบู่แตก ต้นพุทธทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัว และส่งผลต่อเนื่องตลอดพุทธทศวรรษที่ 2530 รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของเศรษฐกิจชะลอตัวใน พ.ศ. 2543 [ 107] สภาพเศรษฐกิจหลังจาก พ.ศ. 2548 ดูเหมือนจะฟื้นตัวขึ้นจากตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีที่สูงขึ้น แต่ญี่ปุ่นก็กลับประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อเกิดวิกฤติทางการเงิน ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก[ 108] [ 109] แม้ว่าธุรกิจภาคการเงินของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เพราะทศวรรษแห่งภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ทำให้ญี่ปุ่นระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น[ 110] แต่การที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากเกินไปก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และทำให้เกิดปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว[ 111]
ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก[ 112] รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อวัดด้วยจีดีพีก่อนปรับอัตราเงินเฟ้อ (ประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) [ 112] และอันดับที่ 4 รองจากจีน สหรัฐ และอินเดีย เมื่อวัดด้วยอำนาจการซื้อ [ 113] ญี่ปุ่นมีกำลังการผลิตที่สูง และเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ผลิตชั้นนำที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เหล็กกล้า โลหะนอกกลุ่มเหล็ก เรือ สารเคมี[ 114]
จากข้อมูลใน พ.ศ. 2548 แรงงานของประเทศญี่ปุ่นมีจำนวน 66.7 ล้านคน[ 115] ญี่ปุ่นมีอัตราว่างงาน ที่ต่ำคือประมาณร้อยละ 4[ 115] ค่าจีดีพีต่อชั่วโมงการทำงานอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกใน พ.ศ. 2548 และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย[ 116] บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นหลายแห่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เช่นโตโยต้า โซนี่ เอ็นทีที โดโคโม แคนนอน ฮอนด้า ทาเกดะ นินเท็นโด นิปปง สตีล และเซเว่น อีเลฟเว่น ญี่ปุ่นเป็นต้นกำเนิดของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดหลายแห่ง[ 117] ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ซึ่งมักจะเป็นที่รู้จักเพราะดัชนีนิเกอิ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อวัดด้วยมูลค่าตลาด [ 118]
ญี่ปุ่นมีลักษณะเฉพาะในการทำธุรกิจหลายอย่าง เช่นเคเร็ตสึ หรือระบบเครือข่ายบริษัทจะมีอิทธิพลในเชิงธุรกิจ การจ้างงานตลอดชีวิต และการเลื่อนขั้นตามความอาวุโสจะพบเห็นได้ทั่วไป บริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจจะถือหุ้นของกันและกัน[ 119] ผู้ถือหุ้นมักจะไม่มีบทบาทกับการบริหารของบริษัท[ 120] แต่ในปัจจุบันญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงออกจากระบบเก่า ๆ เหล่านี้[ 121] [ 120]
ใน พ.ศ. 2548 พื้นที่ที่ใช้ในการเกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 12.6[ 122] และมีประชากรที่ประกอบการเกษตรเพียงร้อยละ 6.6 เท่านั้น[ 123] ผลผลิตทางการเกษตรที่ผลิตได้มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ไหม กะหล่ำปลี ข้าว มัน และชา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารถึงร้อยละ 60 จึงเป็นประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงตนเองค่อนข้างต่ำ[ 124] [ 125] ในระยะหลังกระแสความกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศเป็นที่ต้องการมากขึ้น
ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 29 จาก 190 ประเทศในดัชนีความง่ายในการทำธุรกิจ พ.ศ. 2562[ 126] ญี่ปุ่นมีภาคส่วนสหกรณ์ขนาดใหญ่ รวมถึงสหกรณ์ผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดและสหกรณ์การเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ พ.ศ. 2561 ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่สูงในด้านความสามารถในการแข่งขันและเสรีภาพทางเศรษฐกิจ อยู่ในอันดับ 6 ในรายงานการแข่งขันระดับโลกสำหรับ พ.ศ. 2558-2559
ตารางต่อไปนี้แสดงตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหลักใน 1980–2021 (โดยเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศประมาณการใน 2022–2027) อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่า 5% เป็นสีเขียว[ 127]
ปี
GDP
(ล้าน US$PPP)
GDP ต่อหัว
(US$ PPP)
GDP
(ล้าน US$nominal)
GDP ต่อหัว
(US$ nominal)
อัตราเติบโต GDP
(จริง)
อัตราเงินเฟ้อ
(เปอร์เซ็นต์)
การว่างงาน
(เปอร์เซ็นต์)
หนี้สาธารณะ
(เปอร์เซนต์ของ GDP)
1980
1,068.1
9,147.0
1,127.9
9,659.0
3.2%
7.8%
2.0%
47.8%
1981
1,218.4
10,358.1
1,243.8
10,574.4
4.2%
4.9%
2.2%
52.9%
1982
1,336.5
11,283.0
1,157.6
9,772.8
3.3%
2.8%
2.4%
57.8%
1983
1,437.8
12,054.5
1,268.6
10,636.5
3.5%
1.9%
2.7%
63.6%
1984
1,556.7
12,967.1
1,345.2
11,205.4
4.5%
2.3%
2.7%
65.6%
1985
1,690.0
13,989.8
1,427.4
11,815.8
5.2%
2.0%
2.6%
68.3%
1986
1,781.4
14,667.9
2,121.3
17,466.7
3.3%
0.6%
2.8%
74.0%
1987
1,911.8
15,666.3
2,584.3
21,177.8
4.7%
0.1%
2.9%
75.7%
1988
2,113.5
17,246.0
3,134.2
25,575.1
6.8%
0.7%
2.5%
71.8%
1989
2,303.0
18,719.6
3,117.1
25,336.2
4.9%
2.3%
2.3%
65.5%
1990
2,506.1
20,302.7
3,196.6
25,896.0
4.9%
3.1%
2.1%
63.0%
1991
2,679.4
21,620.8
3,657.3
29,511.8
3.4%
3.3%
2.1%
62.2%
1992
2,763.7
22,222.4
3,988.3
32,069.1
0.8%
1.7%
2.2%
66.6%
1993
2,814.6
22,558.2
4,544.8
36,425.2
-0.5%
1.3%
2.5%
72.7%
1994
2,899.9
23,177.4
4,998.8
39,953.2
0.9%
0.7%
2.9%
84.4%
1995
3,038.6
24,224.0
5,545.6
44,210.2
2.6%
-0.1%
3.2%
92.5%
1996
3,191.2
25,385.0
4,923.4
39,164.3
3.1%
0.1%
3.4%
98.1%
1997
3,278.1
26,014.1
4,492.4
35,651.3
1.0%
1.7%
3.4%
105.0%
1998
3,272.8
25,903.3
4,098.4
32,436.9
-1.3%
0.7%
4.1%
116.0%
1999
3,307.9
26,131.3
4,636.0
36,622.9
-0.3%
-0.3%
4.7%
129.5%
2000
3,476.3
27,409.2
4,968.4
39,173.0
2.8%
-0.7%
4.7%
135.6%
2001
3,568.4
28,068.3
4,374.7
34,410.7
0.4%
-0.7%
5.0%
145.1%
2002
3,625.5
28,457.7
4,182.8
32,832.3
0.0%
-0.9%
5.4%
154.1%
2003
3,753.8
29,410.9
4,519.6
35,410.2
1.5%
-0.3%
5.2%
160.0%
2004
3,938.9
30,836.4
4,893.1
38,307.1
2.2%
0.0%
4.7%
169.5%
2005
4,135.7
32,372.7
4,831.5
37,819.1
1.8%
-0.3%
4.4%
174.3%
2006
4,321.8
33,831.1
4,601.7
36,021.9
1.4%
0.3%
4.1%
174.0%
2007
4,504.5
35,257.9
4,579.7
35,847.2
1.5%
0.0%
3.8%
172.8%
2008
4,534.6
35,512.2
5,106.7
39,992.1
-1.2%
1.4%
4.0%
180.7%
2009
4,303.9
33,742.5
5,289.5
41,469.8
-5.7%
-1.3%
5.1%
198.7%
2010
4,534.1
35,535.2
5,759.1
45,135.8
4.1%
-0.7%
5.1%
205.7%
2011
4,629.4
36,215.1
6,233.1
48,760.9
0.0%
-0.3%
4.6%
219.1%
2012
4,799.6
37,628.8
6,272.4
49,175.1
1.4%
0.0%
4.3%
226.1%
2013
5,021.6
39,436.8
5,212.3
40,934.8
2.0%
0.3%
4.0%
229.6%
2014
5,034.5
39,604.1
4,897.0
38,522.8
0.3%
2.8%
3.6%
233.5%
2015
5,200.9
40,959.3
4,444.9
35,005.7
1.6%
0.8%
3.4%
228.4%
2016
5,159.7
40,640.5
5,003.7
39,411.4
0.8%
-0.1%
3.1%
232.5%
2017
5,248.4
41,409.0
4,930.8
38,903.3
1.7%
0.5%
2.8%
231.4%
2018
5,408.4
42,755.4
5,040.9
39,850.4
0.6%
1.0%
2.4%
232.3%
2019
5,485.4
43,459.1
5,120.3
40,566.3
-0.4%
0.5%
2.4%
236.3%
2020
5,295.1
42,075.4
5,031.6
39,981.5
-4.6%
0.0%
2.8%
259.4%
2021
5,606.6
44,671.3
4,932.6
39,301.1
1.7%
-0.2%
2.8%
262.5%
2022
6,110.0
48,812.8
4,300.6
34,357.9
1.7%
2.0%
2.6%
263.9%
2023
6,456.7
51,809.1
4,410.0
35,385.9
1.6%
1.4%
2.4%
261.1%
2024
6,652.7
53,633.3
4,568.7
36,832.8
1.3%
1.0%
2.4%
260.3%
2025
6,839.5
55,411.7
4,811.6
38,982.7
0.9%
1.0%
2.4%
260.7%
2026
7,002.5
57,025.8
5,010.0
40,799.8
0.5%
1.0%
2.4%
262.0%
2027
7,167.5
58,684.7
5,172.1
42,347.0
0.4%
1.0%
2.4%
263.4%
เกษตรกรรม และประมง
นาข้าวในจังหวัดฟูกูชิมะ
ภาคการเกษตรของญี่ปุ่นมีสัดส่วนประมาณ 1.2% ของจีดีพีทั้งหมด ณ พ.ศ. 2561 จากการสำรวจพบว่าที่ดินของญี่ปุ่นเพียง 11.5% เท่านั้นที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกเนื่องจากขาดที่ดินทำกิน จึงมีการใช้ระบบระเบียงเพื่อทำการเกษตรในพื้นที่ขนาดเล็ก[ 128] ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตพืชผลต่อหน่วยพื้นที่สูงที่สุดในโลกโดยมีอัตราการพึ่งตนเองทางการเกษตรประมาณ 50% ณ พ.ศ. 2561 ภาคเกษตรกรรมขนาดเล็กของญี่ปุ่นได้รับเงินอุดหนุนและได้รับการคุ้มครองอย่างสูง[ 129] มีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการทำฟาร์มเนื่องจากเกษตรกรมักเป็นผู้สูงวัยและมีความยากลำบากในการหาผู้สืบทอด
ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับ 7 ของโลกในด้านปริมาณปลาที่จับได้คิดเป็น 3,167,610 ตันใน พ.ศ. 2559 ลดลงจากค่าเฉลี่ย 4,000,000 ตันต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเป็นแหล่งประมงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและคิดเป็นเกือบ 15% ของจำนวนสัตว์น้ำที่จับได้ทั่วโลก[ 130] ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าการทำประมงของญี่ปุ่นทำให้ปริมาณปลาของโลกลดลง เช่น ปลาทูน่า ญี่ปุ่นยังจุดชนวนความขัดแย้งดังกล่าวด้วยการสนับสนุนการล่าวาฬ อย่างถูกกฎหมาย[ 131]
การท่องเที่ยว
รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคการท่องเที่ยว โดยทางการญี่ปุ่นได้ดำเนินมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้กับประเทศเป้าหมาย รวมถึงประเทศไทย กระแสไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะยังได้รับความนิยมในหมู่คนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนสำคัญ ๆ ทั้งจากมาตรการยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวที่ยังคงมีผลบังคับใช้ บวกกับกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและโปรโมชั่นอัดแน่นจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงอานิสงส์ส่วนหนึ่งก็มาจากเงินเยนที่อ่อนค่า รวมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางทัวร์ญี่ปุ่นมากขึ้นทุกปี
ญี่ปุ่นดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 31.9 ล้านคนใน พ.ศ. 2562[ 132] อยู่ในอันดับที่ 11 ของโลกใน พ.ศ. 2562 ในแง่จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า[ 133] และตามรายงานความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยว พ.ศ. 2560 จัดอันดับญี่ปุ่นเป็นอันดับ 4 จาก 141 ประเทศซึ่งสูงที่สุดในเอเชีย
อุตสาหกรรมการผลิต
รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ผลิตโดยโตโยต้า ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสามของโลก
ญี่ปุ่นมีศักยภาพทางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และเป็นที่ตั้งของ "ผู้ผลิตยานยนต์ เครื่องมือกล เหล็กกล้าและโลหะรายใหญ่ที่สุดและก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุด"[ 134] ภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นคิดเป็นประมาณ 27.5% ของจีดีพี[ 135] การส่งออกของประเทศสูงเป็นอันดับสามของโลก ณ พ.ศ. 2562 ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับสามของโลก ณ พ.ศ. 2562 และเป็นที่ตั้งของโตโยต้า บริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก[ 136] [ 137] อีกทั้งยังเป็นประเทศต้นกำเนิดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ 6 บริษัทจากผู้ผลิต 15 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของโลก อุตสาหกรรมต่อเรือของญี่ปุ่นเผชิญกับการแข่งขันจากเกาหลีใต้และจีน รัฐบาลออกนโยบายใน พ.ศ. 2563 ตั้งเป้าหมายให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางการส่งออกที่เพิ่มกำไร
วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
หุ่นยนต์อาซิโม ของฮอนด้า
โมดูลคิโบ ขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแนวหน้าในการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์โดยมีภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก[ 138] ญี่ปุ่นมีจำนวนการขอสิทธิบัตร เป็นอันดับ 3 ของโลก[ 139] ตัวอย่างของผลงานทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่สำคัญ ได้แก่อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เครื่องจักร วิศวกรรมด้านแผ่นดินไหวที่สร้างขึ้นมาเพื่ออยู่รอด สารเคมี สารกึ่งตัวนำ และเหล็ก เป็นต้น และเป็นผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ 7 บริษัทจาก 20 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด
ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้เทคโนโลยีมาจากเยอรมนี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา[ 140] ของฮอนด้าและโตโยต้าเป็นที่ยอมรับว่าประหยัดพลังงานมากที่สุดและปล่อยควันเสียได้น้อย[ 141] [ 142] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเทคโนโลยีระบบไฮบริด เชื้อเพลิง ญี่ปุ่นมีจำนวนสิทธิบัตรในด้านเซลล์เชื้อเพลิง เป็นอันดับหนึ่งของโลก[ 143]
องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น เป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนางานด้านอวกาศ สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ และจักรวาลวิทยา ของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในสมาชิกของโครงการความร่วมมือการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติ และโมดูลคิโบ มีกำหนดที่จะส่งขึ้นไปเพื่อต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในการขนด้วยกระสวยอวกาศ ใน พ.ศ. 2552[ 144] นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมีโครงการสำคัญมากมายรวมถึงการสำรวจอวกาศ และการสร้างฐานบนดวงจันทร์ เพื่อส่งมนุษย์ไปสำรวจและทำภารกิจในปี 2573[ 145] ยานอวกาซเซลีนี เปิดตัวใน พ.ศ. 2550 ถือเป็นยานอวกาศลำที่สองของญี่ปุ่นที่ส่งขึ้นสู่ดวงจันทร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการกำเนิดและวิวัฒนาการของดวงจันทร์[ 146]
ญี่ปุ่นยังเป็นหนึ่งในชาติผู้นำของโลกในด้านการผลิตหุ่นยนต์ โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 55% ของจำนวนการผลิตทั่วโลก[ 147] ญี่ปุ่นมีจำนวนนักวิจัย ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก คิดเป็นสัดส่วน 14 คนต่อพนักงาน 1,000 คน[ 148] ญี่ปุ่นยังมีตลาดวิดีโอเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลัก สร้างรายได้ให้แก่ประเทศสูงถึง 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในจำนวนนี้เป็นรายได้จากเกมมือถือสูงถึง 5.8 พันล้านดอลลาร์[ 149]
โครงสร้างพื้นฐาน
รถไฟชิงกันเซ็ง หรือรถไฟหัวกระสุนซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีเดินทางที่แพร่หลายในญี่ปุ่น
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ การคมนาคมในประเทศญี่ปุ่น
การคมนาคม
ญี่ปุ่นมีบริษัทรถไฟหลายแห่ง เช่นกลุ่มบริษัทรถไฟญี่ปุ่น รถไฟฮังคิว รถไฟเซบุ และบริษัทเคโอ ซึ่งแข่งขันกันด้านบริการในพื้นที่ต่าง ๆ ปัจจุบันที่รถไฟชิงกันเซ็ง ซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 มีเครือข่ายเชื่อมโยงเมืองหลักเกือบทั่วประเทศ รถไฟของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในเรื่องตรงต่อเวลา[ 150] ทางรถไฟญี่ปุ่น ระยะทางรวมทั้งสิ้น 23,474 กิโลเมตรแบ่งเป็น ราง 1.435 เมตร สำหรับวิ่งรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟใต้ดินหลายเมือง ระยะทาง 2,664 กม รางรถไฟ 1.067 เมตร สำหรับรถไฟฟ้าชานเมืองรถไฟทางใกล ระยะทาง 22,445 กม.
ทางด่วนแห่งชาติ ของประเทศญี่ปุ่นมีระยะทางทั้งสิ้น 11,520 กิโลเมตร
การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นที่นิยม และมีสนามบิน 173 แห่งทั่วประเทศ สนามบินฮาเนดะ ที่ส่วนใหญ่ให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศเป็นสนามบินที่หนาแน่นที่สุดในเอเชีย [ 151] สนามบินนานาชาติที่สำคัญได้แก่สนามบินนาริตะ สนามบินคันไซ และสนามบินนานาชาตินาโงยา แต่การก่อสร้างสนามบินบางแห่ง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าเพื่อประโยชน์ใช้สอยจริง[ 152] สนามบินบางแห่งขาดทุนมาตลอดตั้งแต่เปิดทำการ[ 153] มีสายการบินที่สำคัญได้แก่ เจแปนแอร์ไลน์ ในฐานะสายการบินแห่งชาติ และ ออล นิปปอน แอร์เวย์
พลังงาน
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์คาชิวาซากิ-คาริวะ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปิดตัวลง 21 เดือนหลังจากเกิดแผ่นดินไหวในปี 2550[ 154]
ณ พ.ศ. 2560 พลังงาน 39% ในญี่ปุ่นผลิตจากปิโตรเลียม 25% จากถ่านหิน 23% จากก๊าซธรรมชาติ 3.5% จากพลังงานน้ำ และ 1.5% จากพลังงานนิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ลดลงจากร้อยละ 11.2 ใน พ.ศ. 2553 รัฐบาลเคยมีแผนว่าภายในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทั้งหมดของประเทศต้องปิดตัว[ 155] เนื่องจากการคัดค้านของสาธารณชนอย่างต่อเนื่องหลังจากภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 แม้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐยังคงพยายามโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชนให้กลับมาให้บริการ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เซนไดเริ่มเปิดใหม่ใน พ.ศ. 2558 และตั้งแต่นั้นมาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกหลายแห่งก็ได้เริ่มดำเนินการใหม่[ 156] ญี่ปุ่นขาดเงินสำรองภายในประเทศจำนวนมากและต้องพึ่งพาพลังงานนำเข้าอย่างหนัก ประเทศจึงมุ่งหวังที่จะกระจายแหล่งที่มาและรักษาระดับพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ[ 157] และรัฐบาลยังคงยึดมั่นเจตนารมณ์ที่จะยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายใน พ.ศ. 2570
ความรับผิดชอบต่อพลังงานน้ำ และสุขาภิบาล เป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ที่รับผิดชอบด้านการจัดหาน้ำสำหรับใช้ในบ้านเรือน, กระทรวงสิ่งแวดล้อมรับผิดชอบคุณภาพน้ำโดยรอบและรักษาสิ่งแวดล้อม และกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารที่รับผิดชอบการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบบสาธารณูปโภค การเข้าถึงแหล่งน้ำที่ได้รับการปรับปรุงนั้นเป็นสากลในญี่ปุ่น ประมาณ 98% ของประชากรได้รับน้ำประปา จากสาธารณูปโภค และน้ำประปาหลายแห่งในที่สาธารณะสามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย[ 158]
ประชากร
แยกชิบูยะ ถนนที่มีผู้สัญจรมากที่สุดในโตเกียว
จากข้อมูลใน พ.ศ. 2563 ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 125.7 ล้านคน คนที่ถือสัญชาติญี่ปุ่นมีประมาณ 123 ล้านคน[ 159] ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษาและมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน โดยมีชาวต่างชาติ เช่นชาวเกาหลี จีน บราซิล ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และชาติอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.2 ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่[ 160] เชื้อชาติส่วนใหญ่คือเชื้อสายชาวยามาโตะ และมีชนกลุ่มน้อยเช่นชาวไอนุ และชาวรีวกีว รวมทั้งชนกลุ่มน้อยทางสังคมที่เรียกว่าบูรากุ [ 161] กรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศมีประชากรกว่า 14 ล้านคน (ปี 2564) เป็นส่วนหนึ่งของเขตอภิมหานครโตเกียว ซึ่งเป็นเขตมหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากร 38,140,000 คน (ปี 2559)[ 162]
ณ พ.ศ. 2562 ประชากรญี่ปุ่นมีอายุคาดหมายเฉลี่ยประมาณ 84 ปี[ 163] จึงนับเป็นประเทศที่มีประชากรอายุยืนยาวที่สุดประเทศหนึ่งในโลก[ 164] โครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเด็กที่เกิดมาในยุคเบบีบูมหลังสงครามโลกเริ่มเข้าสู่วัยชรา ในขณะที่อัตราการเกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2532 มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ[ 165] ประชากรวัยทำงานส่วนมากในปัจจุบันไม่นิยมแต่งงาน และไม่มีบุตร[ 166] [ 167] จึงทำให้จำนวนประชากรค่อย ๆ ลดลง (มีการประมาณว่าจะลดลงต่ำกว่า 100 ล้านคนในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25)[ 165] ในขณะที่สัดส่วนของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (ใน พ.ศ. 2550) ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปมีมากถึง 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด)[ 168] การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปทำให้เกิดปัญหาสังคมหลายอย่าง เช่นปัญหาแรงงานที่ลดลง และภาระเงินบำนาญ ของคนหนุ่มสาวเพิ่มมากขึ้น[ 169] เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับปรับปรุงของญี่ปุ่น เพื่อปกป้องสิทธิของแรงงานต่างชาติเพื่อช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางภาคส่วน[ 170]
จำนวนประชากร
เมืองที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร พฤษภาคม พ.ศ. 2561
อันดับ
ชื่อ
จังหวัด
ประชากร
อันดับ
ชื่อ
จังหวัด
ประชากร
โตเกียว โยโกฮามะ
1
โตเกียว
โตเกียว
13,843,403
11
ฮิโรชิมะ
ฮิโรชิมะ
1,186,655
โอซากะ นาโงยะ
2
โยโกฮามะ
คานางาวะ
3,740,172
12
เซ็นได
มิยางิ
1,074,495
3
โอซากะ
โอซากะ
2,725,006
13
ชิบะ
ชิบะ
967,679
4
นาโงยะ
ไอจิ
2,320,361
14
คิตะกีวชู
ฟูกูโอกะ
959,325
5
ซัปโปโระ
ฮกไกโด
1,934,675
15
ซาไก
โอซากะ
838,541
6
โคเบะ
เฮียวโงะ
1,536,499
16
นีงาตะ
นีงาตะ
806,621
7
ฟูกูโอกะ
ฟูกูโอกะ
1,527,612
17
ฮามามัตสึ
ชิซูโอกะ
789,373
8
คาวาซากิ
คานางาวะ
1,470,367
18
คูมาโมโตะ
คูมาโมโตะ
739,638
9
เกียวโต
เกียวโต
1,469,107
19
ซางามิฮาระ
คานางาวะ
723,573
10
ไซตามะ
ไซตามะ
1,257,262
20
ชิซูโอกะ
ชิซูโอกะ
703,727
ย่านโดตมโบริ นครโอซากะ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่รายชื่อเมืองในญี่ปุ่นเรียงตามจำนวนประชากร และ จำนวนประชากรญี่ปุ่นแยกตามจังหวัด
ศาสนา
โทริอิ ของศาลเจ้าอิสึกูชิมะ ซึ่งเป็นศาลเจ้าลัทธิชินโต
รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นกำหนดให้ประชาชนมีอิสระในการนับถือศาสนา[ 171] จากการสำรวจพบว่าคนญี่ปุ่นนับถือพุทธชินโตเยอะที่สุดเท่ากับผู้ที่ไม่มีศาสนาในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นร้อยละ 51.8 ระบุว่าตนไม่มีศาสนา [ 172] ในอดีตศาสนาในญี่ปุ่นถูกผสมผสานจนทำให้พิธีกรรมทางศาสนานั้นมีความหลากหลาย เช่นพ่อแม่พาลูกไปศาลเจ้าชินโต เพื่อทำพิธีชิจิโกะซัน แต่งงานในโบสถ์คริสต์ และฉลองในวันคริสต์มาส จัดงานศพแบบพุทธ และบูชาบรรพบุรุษแบบขงจื๊อ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นพุทธศตววรษที่ 25 มีลัทธิต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น ศาสนาเทนริเกียว ลัทธิเทนริเกียว และลัทธิโอมชินริเกียว
ศาสนาคริสต์ เผยแพร่สู่ญี่ปุ่นครั้งแรกโดยสมาชิกนิกายเยซุอิต เริ่มต้นใน พ.ศ. 2092 ในปัจจุบันประชากร 1% ถึง 1.5% เป็นคริสเตียน [ 173] ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ธรรมเนียมตะวันตกแต่เดิมเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ (รวมถึงงานแต่งงานแบบตะวันตก วันวาเลนไทน์ และคริสต์มาส ) ได้กลายเป็นที่นิยมในฐานะธรรมเนียมปฏิบัติทางโลกในหมู่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก[ 174] [ 175]
กว่า 90% ของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ในญี่ปุ่นเป็นผู้อพยพที่เกิดในต่างประเทศในปี 2559 และใน พ.ศ. 2561 มีมัสยิด ประมาณ 105 แห่ง และมุสลิม 200,000 คนในญี่ปุ่น โดย 43,000 คนเป็นชาวญี่ปุ่นโดยสัญชาติ[ 176] ศาสนาของชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ได้แก่ ฮินดู ยิว และบาไฮ เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องผีของไอนุ
ภาษา
ประชากรมากกว่าร้อยละ 95 ใช้ภาษาญี่ปุ่น เป็นภาษาทางการ [ 177] ภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการผันคำกริยาและคำศัพท์ที่แสดงถึงสถานะระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งแสดงถึงลักษณะสังคมที่มีระดับขั้นของญี่ปุ่น ภาษาพูดนั้นมีทั้งภาษากลางและสำเนียงของแต่ละท้องถิ่น เช่นสำเนียงคันไซ โรงเรียนทั้งของรัฐและเอกชนมักมีวิชาภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ[ 178]
ภาษาเขียนของญี่ปุ่นจะใช้ตัวอักษรคันจิ (อักษรจีน ) และคานะ รวมทั้งอักษรโรมัน และตัวเลขอารบิก [ 179] การสอนภาษาอังกฤษมีผลบังคับใช้ในทุกโรงเรียนประถมศึกษาของญี่ปุ่นใน พ.ศ. 2563[ 180] นอกจากภาษาญี่ปุ่น ภาษารีวกีว (อามามิ คูนิงามิ โอกินาวะ มิยาโกะ ยาเอยามะ โยนากูนิ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลภาษาญี่ปุ่นยังถูกพูดในกลุ่มหมู่เกาะรีวกีวอีกด้วย แม้มีเด็กไม่กี่คนที่ได้เรียนรู้ภาษาเหล่านี้ แต่รัฐบาลท้องถิ่นพยายามเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาษาดั้งเดิม[ 181] ปัญหาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคือ การตายของภาษาไอนุ ซึ่งเป็นภาษาที่แยกออกมาต่างหากโดยเหลือเจ้าของภาษาเพียงไม่กี่คนใน พ.ศ. 2557[ 182]
การศึกษา
มหาวิทยาลัยโตเกียว ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
ระบบการศึกษาในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษาถูกนำมาใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2451 ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปเมจิ [ 183] ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 การศึกษาภาคบังคับของญี่ปุ่นมีระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่ประถมศึกษาจนจบมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายต่อ จากข้อมูลของกระทรวงการศึกษาของญี่ปุ่น (MEXT) ใน พ.ศ. 2547 พบว่าร้อยละ 75.9 ของผู้จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย วิทยาลัย หรือสถาบันอุดมศึกษาอื่น ๆ [ 184] การศึกษาในญี่ปุ่นเต็มไปด้วยการแข่งขัน[ 185] โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย[ 186] โครงการประเมินผลการศึกษานานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ซึ่งจัดขึ้นโดยโออีซีดี จัดอันดับให้เด็กญี่ปุ่นมีความรู้และทักษะเป็นอันดับ 6 ของโลก[ 187]
มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น เช่น มหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยเคโอ และ มหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นต้น
การรักษาพยาบาล
คุณภาพของระบบรักษาพยาบาลในญี่ปุ่นมีระดับที่สูงมาก เห็นได้จากอายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรที่สูง[ 188] และอัตราการตายของทารกที่ต่ำ รัฐบาลกำหนดให้ประชาชนทุกคนทำประกันสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือประกันสำหรับพนักงานบริษัท และประกันที่ทำกับรัฐบาลท้องถิ่น[ 189] ผู้ป่วยสามารถเลือกแพทย์หรือสถานที่รักษาได้โดยอิสระ[ 190] ผู้สูงอายุของญี่ปุ่นทั้งหมดได้รับการคุ้มครองด้วยประกันของรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2516[ 191] แต่ปัจจุบันรัฐบาลต้องปรับระบบประกันเปล่านี้เพื่อรองรับโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป[ 192]
ญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก[ 193] และปัญหาสำคัญอีกประการคือการสูบบุหรี่ ในเพศชาย[ 194] ประชากรญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำที่สุดในกลุ่ม OECD และมีภาวะสมองเสื่อมต่ำที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว [ 195]
วัฒนธรรม
วัฒนธรรม ญี่ปุ่นมีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่วัฒนธรรมยุคโจมง ซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศ จนถึงวัฒนธรรมผสมผสานร่วมสมัยซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นมีทั้งงานฝีมือ เช่น อิเกบานะ (การจัดดอกไม้) โอริงามิ อูกิโยะ-เอะ [ 196] ตุ๊กตา เครื่องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา การแสดง เช่น คาบูกิ ละครโน บุนรากุ[ 196] รากูโงะ และประเพณีต่าง ๆ เช่น การละเล่น พิธีชงชา ศิลปการต่อสู้ สถาปัตยกรรม การจัดสวน ดาบ และอาหาร การผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์กับศิลปะตะวันตก นำไปสู่การสร้างสรรค์มังงะ หรือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในและนอกญี่ปุ่น[ 197] แอนิเมชัน ที่ได้รับอิทธิพลมาจากมังงะเรียกว่า อนิเมะ วงการเกมคอนโซลของญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างมากตั้งแต่ พ.ศ. 2523[ 198] ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ญี่ปุ่นมีแหล่งมรดกโลก ที่รับรองโดยยูเนสโก 22 แห่ง กว่า 18 แห่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม [ 199]
ดนตรี
การเล่นโคโตะ
ดนตรีญี่ปุ่น ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมข้างเคียงเช่นจีนและคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งจากโอกินาวะและฮกไกโด ตั้งแต่โบราณ เครื่องดนตรีหลายชิ้น เช่น บิวะ , โคโตะ ถูกนำเข้ามาจากจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7[ 200] และชามิเซ็ง เป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงจากเครื่องดนตรีโอกินาวะซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่กลางพุทธศตวรรษที่ 21[ 200] ญี่ปุ่นมีเพลงพื้นบ้านมากมาย เช่นเพลงที่ร้องระหว่างการเต้นบงโอโดริ เพลงกล่อมเด็ก ดนตรีตะวันตก เริ่มเข้ามาในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 และถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หลังสงคราม ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางด้านดนตรีสมัยใหม่จากอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวดนตรีที่เรียกว่า เจ-ป็อป [ 201] ญี่ปุ่นมีนักดนตรีคลาสสิก ที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น วาทยากร เซจิ โอซาวะ [ 202] นักไวโอลิน มิโดริ โกโต [ 203] นักเปียโน อาเอมิ โคบายาชิ มือกลองวงเอ็กซ์เจแปน และนักเปียโน โยชิกิ ฮายาชิ เมื่อถึงช่วงสิ้นปี จะมีการเล่นคอนเสิร์ตซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟน ทั่วไปในญี่ปุ่น[ 204]
วรรณกรรม
ภาพจากเรื่องตำนานเก็นจิ
วรรณกรรมญี่ปุ่น ชิ้นแรกได้แก่หนังสือประวัติศาสตร์ที่ชื่อ โคจิกิ และ นิฮงโชกิ [ 205] และหนังสือบทกวีสมัยศตวรรษที่ 8 ที่ชื่อ มังโยชู ซึ่งเขียนด้วยภาษาจีนทั้งหมด[ 206] ในช่วงต้นของยุคเฮอัง มีการสร้างระบบการเขียนแทนเสียงที่เรียกว่า คานะ (ฮิฮิรางานะ และ [[คาตากานะ]) นิทานคนตัดไม้ไผ่ ถูกพิจารณาว่าเป็นงานที่เก่าแก่ที่สุดที่เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น[ 205] ตำนานเก็นจิ ที่เขียนโดยมูราซากิ ชิกิบุ มักถูกเรียกว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของโลก[ 207] ระหว่างยุคเอโดะ วรรณกรรมไม่อยู่ในความสนใจของซามูไรเท่ากับโชนิน ชนชั้นประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น โยมิฮง กลายเป็นที่นิยมและเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งระหว่างนักอ่านกับนักเขียน ในสมัยเมจิ วรรณกรรมดั้งเดิมได้เสื่อมสลายลง ขณะที่วรรณกรรมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น[ 208] โซเซกิ นัตสึเมะ และโองาอิ โมริ เป็นนักแต่งนิยายสมัยใหม่รุ่นแรกของญี่ปุ่น[ 208] ตามมาด้วย รีวโนซูเกะ อากูตางาวะ , ทานิซากิ จุนอิจิโร , ยาซูนาริ คาวาบาตะ , มิชิมะ ยูกิโอะ และล่าสุด ฮารูกะ มูรากามิ [ 209] ญี่ปุ่นมีนักเขียนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 2 คน ได้แก่ ยาซูนาริ คาวาบาตะ (พ.ศ. 2511) [ 210] และ เค็นซาบูโร โอเอะ (พ.ศ. 2537) [ 211]
ปรัชญา
ปรัชญาญี่ปุ่นในอดีตเป็นการหลอมรวมจากวัฒนธรรมต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและตะวันตก และองค์ประกอบญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในรูปแบบวรรณกรรม ปรัชญาญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 1,400 ปีมาแล้ว อุดมคติของขงจื๊อ ยังคงปรากฏชัดในแนวความคิดของญี่ปุ่นสะท้อนผ่านการใช้ชีวิตในสังคม และในการจัดระบบของรัฐบาลและโครงสร้างของสังคม พุทธศาสนา ส่งผลกระทบอย่างมากต่อจิตวิทยา อภิปรัชญา และสุนทรียศาสตร์ของญี่ปุ่น[ 212]
ศิลปะ และสถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยหลังคาอันเป็นเอกลักษณ์
ศิลปะญี่ปุ่น ได้แก่ ภาพวาดการประดิษฐ์ตัวอักษรสถาปัตยกรรมเครื่องปั้นดินเผาประติมากรรมและทัศนศิลป์อื่น ๆ ที่ผลิตในญี่ปุ่นตั้งแต่ประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล ญี่ปุ่นมีประเพณีศิลปะที่ยาวนานและแตกต่างกันไป แต่มีจุดเด่นในด้านเครื่องเคลือบซึ่งมีการทำเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกและภาพวาดที่ปรากฏตามสิ่งของเครื่องใช้หรือที่เรียกว่า ฟูซูมะ (ประตูบานเลื่อน หรือผนัง) นอกจากนี้ การประดิษฐ์ตัวอักษร และภาพพิมพ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพอูกิโยะ (“ภาพของโลกลอย”) สถาปัตยกรรมโครงไม้, หยกแกะสลัก, สิ่งทอ และงานโลหะ ก็เป็นเอกลักษณ์และสะท้อนวัฒนธรรมของประเทศ[ 213]
สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นเป็นการผสมผสานระหว่างอิทธิพลในท้องถิ่นและอิทธิพลอื่น ๆ ตามประเพณีนิยม โดยใช้โครงสร้างไม้หรือปูนฉาบยกสูงจากพื้นเล็กน้อย มีหลังคามุงกระเบื้องหรือมุงจาก ศาลเจ้าแห่งอิเสะได้รับการยอมรับในฐานะต้นแบบของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ที่อยู่อาศัยแบบดั้งเดิมและอาคารวัดหลายแห่งมีการใช้เสื่อทาทามิและประตูบานเลื่อนเป็นเอกลักษณ์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้รวมเอาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แบบตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันในการก่อสร้างและการออกแบบ จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สถาปนิกชาวญี่ปุ่นได้สร้างความประทับใจให้กับนานาชาติ ด้วยผลงานของเค็นโซะ ทังเงะ [ 214]
กีฬา
การแข่งขันซูโม่ ในสนามกีฬาแห่งชาติเรียวโงกุ ในโตเกียว
ฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่น ในเอเชียนคัพ 2019
หลังจากการปฏิรูปเมจิ กีฬาตะวันตกก็เริ่มเข้ามาในญี่ปุ่นและแพร่หลายไปทั่วประเทศด้วยระบบการศึกษา[ 215] ในญี่ปุ่น กีฬานับเป็นกิจกรรมยามว่างที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยพัฒนาวินัย การเคารพกฎกติกา และช่วยสั่งสมน้ำใจนักกีฬา ชาวญี่ปุ่นทุกวัยให้ความสนใจกับกีฬาทั้งในฐานะผู้ชมและผู้เล่น[ 215]
ซูโม่ เป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่นที่มีประวัติอันยาวนาน[ 216] และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่น ศิลปะป้องกันตัวของญี่ปุ่น เช่น ยูโด คาราเต้ และเคนโด้ ก็เป็นกีฬาที่มีผู้เล่นและผู้ชมมากเช่นเดียวกัน
การแข่งขันเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่น เริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2479[ 217] มี 2 ลีก คือเซ็นทรัลลีกและแปซิฟิกลีก ในปัจจุบันเบสบอล เป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในประเทศ ในระหว่างฤดูกาลการแข่งขัน จะมีการถ่ายทอดการแข่งขันเกือบทุกคืนและมีอัตราผู้ชมรายการที่สูง[ 215] นอกจากนี้ การแข่งขันเบสบอลมัธยมปลายแห่งชาติญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันในชื่อ "โคชิเอ็ง" (甲子園) ถือเป็นการแข่งขันเบสบอลที่ได้รับความนิยมมาก การแข่งขันขึ้นตรงต่อสมาพันธ์เบสบอลมัธยมปลายญี่ปุ่น ซึ่งแยกตัวเป็นเอกเทศจากสมาพันธ์กีฬามัธยมปลายญี่ปุ่น จึงทำให้โคชิเอ็งฤดูร้อน ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกีฬามัธยมปลายแห่งชาติญี่ปุ่น นักเบสบอลญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดคือ อิจิโร ซูซูกิ , ฮิเดกิ มัตสึอิ [ 209] และโชเฮ โอทานิ
ตั้งแต่มีการก่อตั้งลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น ใน พ.ศ. 2535 ฟุตบอล ในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นที่นิยมมากขึ้น[ 218] ญี่ปุ่นเป็นสถานที่จัดฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2524–2547 และเป็นเจ้าภาพร่วมกับเกาหลีใต้ ในการแข่งฟุตบอลโลก 2002 ทีมฟุตบอลญี่ปุ่นเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในเอเชีย ชนะเลิศเอเชียนคัพ 4 ครั้งซึ่งเป็นสถิติสูงสุด และเข้าร่วมฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย 7 ครั้ง โดยเข้าร่วมทุกครั้งตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1998 ถึงฟุตบอลโลก 2022 [ 219] และทีมฟุตบอลหญิงของญี่ปุ่นยังชนะเลิศฟุตบอลโลกหญิง 2011 [ 220] ลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่นยังได้รับการยกย่องว่าเป็นลีกที่มาตรฐานสูงที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก
ในวงการมอเตอร์สปอร์ต ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จสูง โดยเป็นตัวแทนรถในการชนะการแข่งขันระดับโลก เช่น ฟอร์มูลาวัน , กรังด์ปรีซ์มอเตอร์ไซค์เคิลเรซซิง , เวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ และอีกมากมาย[ 221] [ 222] [ 223] นักแข่งรถชาวญี่ปุ่นยังประสบความสำเร็จในรายการนานาชาติ เช่น ฟอร์มูลาวัน และ 24 ชั่วโมง เลอม็อง โดยมีซูเปอร์จีที เป็นการแข่งชันระดับชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน ที่โตเกียว ใน พ.ศ. 2507 และโอลิมปิกฤดูหนาว ที่ซัปโปโระ ใน พ.ศ. 2515 และนางาโนะ ใน พ.ศ. 2541[ 224] รวมทั้งเป็นเจ้าภาพการแข่งขันบาสเกตบอลชิงแชมป์โลกปี 2549[ 225] และจะเป็นเจ้าภาพร่วมอีกครั้งในปี 2565[ 226] โตเกียวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 ทำให้เป็นเมืองแรกในเอเชียที่เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกถึงสองครั้ง ประเทศญี่ปุ่นยังได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก ถึงห้าครั้ง มากกว่าประเทศอื่น ๆ[ 227] ญี่ปุ่นยังถือเป็นประเทศสมาคมรักบี้แห่งเอเชียที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลก ประจำ พ.ศ. 2563[ 228] นอกจากนี้ กอล์ฟ และเทนนิส ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นในหลายทศวรรษที่ผ่านมา[ 229] [ 230] [ 231]
อาหาร
อาหารญี่ปุ่น ตามเข็มนาฬิกาจากซ้ายบน ลงล่าง: อาหารเช้าญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม,
ซูชิ ,
ซาชิมิ แบบไคเซกิ, ซาชิมิแบบรวม,
เท็มปุระ และ
ราเม็ง
ชาวญี่ปุ่นกินข้าว เป็นอาหารหลัก อาหารญี่ปุ่น ที่มีชื่อเสียงได้แก่ซูชิ , เท็มปูระ , สุกียากี้ , ยากิโตริ และ โซบะ เป็นต้น[ 232] อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่น ทงกัตสึ , ราเม็ง , ปลาดิบ และ แกงกะหรี่ญี่ปุ่น [ 233] อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าใน พ.ศ. 2549 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก[ 233]
ชาวญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบจึงทำให้มีอาหารประจำท้องถิ่น[ 234] และอาหารประจำฤดู[ 235] วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ในอาหารญี่ปุ่นคือถั่วเหลือง ซึ่งนำมาทำโชยุ , มิโซะ , เต้าหู้ [ 236] ถั่วแดง ซึ่งมักนำมาทำขนม และสาหร่าย ชนิดต่าง ๆ เช่นคมบุ นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมกินซะชิมิ หรืออาหารทะเลดิบอีกด้วย[ 237]
ชา ในญี่ปุ่นมีหลายชนิดซึ่งแตกต่างไปตามกรรมวิธีการผลิตและส่วนผสม[ 238] เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นคือเหล้าสาเก (หรือนิฮงชุ ) ซึ่งผลิตโดยใช้วิธีหมักข้าว[ 239] และโชชู ซึ่งเป็นเหล้าที่เกิดจากการกลั่น[ 240]
สื่อ
ย่านอากิฮาบาระ ของโตเกียว เป็นที่นิยมในหมู่แฟนอนิเมะและมังงะ รวมถึงวัฒนธรรมโอตากุ ในญี่ปุ่น[ 241]
จากการสำรวจของเอ็นเอชเค ใน พ.ศ. 2558 เกี่ยวกับการดูโทรทัศน์ในญี่ปุ่น พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ของคนญี่ปุ่นดูโทรทัศน์ทุกวัน[ 242] ละครโทรทัศน์ของญี่ปุ่น ได้รับความนิยมทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ รายการยอดนิยมอื่น ๆ อยู่ในประเภทของรายการวาไรตี้ ตลก และรายการข่าว[ 243] [ 244] หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่มียอดขายมากที่สุดในโลก ณ พ.ศ. 2559 ญี่ปุ่นยังมีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก็อตซิลลา ของอิชิโร ฮนดะ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ระดับนานาชาติของญี่ปุ่นและมีการสร้างภาคต่อและภาคแยกมากมาย[ 245] และเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์[ 246] ภาพยนตร์แอนิเมชั่นและซีรีส์ทางโทรทัศน์ของญี่ปุ่นที่รู้จักกันในชื่ออนิเมะ ได้รับอิทธิพลจากมังงะ ญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในฝั่งตะวันตก ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจด้านแอนิเมชั่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก
วันหยุด
วัยรุ่นญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว ฉลองวันบรรลุนิติภาวะ ในโอกาสที่มีอายุครบ 20 ปี (成人の日, Seijin no Hi )[ 247]
ประเทศญี่ปุ่นมีวันหยุดประจำชาติอย่างเป็นทางการ 16 วัน วันหยุดราชการในญี่ปุ่นถูกควบคุมโดยกฎหมายวันหยุดนักขัตฤกษ์ (国民の祝日に関する法律, Kokumin no Shukujtsu ni Kansuru Hōritsu) พ.ศ. 2491 ญี่ปุ่นใช้ระบบ Happy Monday ซึ่งย้ายวันหยุดประจำชาติจำนวนหนึ่งไปเป็นวันจันทร์เพื่อให้ได้วันหยุดยาว วันหยุดประจำชาติในญี่ปุ่นคือวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม, วันบรรลุนิติภาวะ คือวันจันทร์ที่สองของเดือนมกราคม, วันสถาปนาชาติ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์, วันพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิ คือ 23 กุมภาพันธ์, วันวสันตวิษุวัต คือ วันที่ 20 หรือ 21 มีนาคม, วันโชวะ คือวันที่ 29 เมษายน, วันรัฐธรรมนูญ 3 พฤษภาคม, วันสีเขียว 4 พฤษภาคม, วันเด็ก 5 พฤษภาคม, วันทะเล ตรงกับวันจันทร์ที่สามของเดือนกรกฎาคม, วันภูเขา ตรงกับ 11 สิงหาคมม วันผู้สูงอายุ ตรงกับวันจันทร์ที่สามของเดือนกันยายน, วันศารทวิษุวัต คือวันที่ 23 หรือ 24 กันยายน, วันกีฬา คือวันจันทร์ที่สองของเดือนตุลาคม, วันวัฒนธรรม 3 พฤศจิกายน และวันขอบคุณแรงงาน ในวันที่ 23 พฤศจิกายน[ 248]
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
↑ 令和元年全国都道府県市区町村別面積調(10月1日時点) (ภาษาญี่ปุ่น). Geospatial Information Authority of Japan . December 26, 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ April 15, 2020.
↑ "Surface water and surface water change" . OECD. สืบค้นเมื่อ October 11, 2020 .
↑ "Population Estimates Monthly Report July 2021)" . Statistics Bureau of Japan . July 20, 2021.
↑ "2020 Population Census Preliminary Tabulation" . Statistics Bureau of Japan . สืบค้นเมื่อ June 26, 2021 .
↑ 5.0 5.1 "World Economic Outlook database: April 2021" . International Monetary Fund . April 2021.
↑ Inequality - Income inequality - OECD Data . OECD . สืบค้นเมื่อ 25 July 2021 .
↑ "Human Development Report 2020" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). United Nations Development Programme . December 15, 2020. สืบค้นเมื่อ December 15, 2020 .
↑ "Japan - Urbanization rate" . Statista (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Urban population (% of total population) - Japan | Data" . data.worldbank.org .
↑ "東京都の人口(推計)トップページ" . www.toukei.metro.tokyo.lg.jp .
↑ "Tokyo Population 2021 (Demographics, Maps, Graphs)" . worldpopulationreview.com .
↑ "The Most Populated Cities of the World. World Megacities - Nations Online Project" . www.nationsonline.org .
↑ "THE CONSTITUTION OF JAPAN" . japan.kantei.go.jp .
↑ https://www.cfr.org/japan-constitution/japans-postwar-constitution
↑ Quigley, Harold S. (1947). "Japan's Constitutions: 1890 and 1947" . The American Political Science Review . 41 (5): 865–874. doi :10.2307/1950193 . ISSN 0003-0554 .
↑ "The Seven Great Powers" . American-Interest. สืบค้นเมื่อ July 1, 2015 .
↑ T. V. Paul; James J. Wirtz; Michel Fortmann (2005). "Great+power" Balance of Power . United States of America: State University of New York Press, 2005. pp. 59, 282. ISBN 0-7914-6401-6 . Accordingly, the great powers after the Cold War are Britain, China, France, Germany, Japan, Russia, and the United States p.59
↑ Baron, Joshua (January 22, 2014). Great Power Peace and American Primacy: The Origins and Future of a New International Order . United States: Palgrave Macmillan. ISBN 1-137-29948-7 .
↑ "2022 Japan Military Strength" . www.globalfirepower.com .
↑ "Japan Birth Rate 1950-2023" . www.macrotrends.net .
↑ "Japanese Culture | Japan Tradition | Japan Travel | JNTO" . Japan National Tourism Organization (JNTO) (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย).
↑ https://theculturetrip.com/asia/japan/articles/13-reasons-why-japan-is-the-worlds-most-unique-country/
↑ https://www.jef.or.jp/journal/pdf/cover%20story%201_0403.pdf
↑ เช่น 熊谷公男 『大王から天皇へ 日本の歴史03』(講談社、2001) และ 吉田孝 『日本誕生』(岩波新書、1997)
↑ เช่น 神野志隆光『「日本」とは何か』(講談社現代新書、2005)
↑ เช่น 網野善彦『「日本」とは何か』(講談社、2000)、神野志前掲書
↑ 前野みち子. "国号に見る「日本」の自己意識" (PDF) .
↑ "English translation of '日本' " . collinsdictionary.com .
↑ "일본 日本" . Naver Korean-English Dictionary .
↑ "日本" . chunom.org . (ก่อนตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เวียดนามใช้ตัวอักษรจีน)
↑ McCargo, Duncan (2000). Contemporary Japan . Macmillan. pp. 8–11. ISBN 0-333-71000-2 .
↑ "Japan" . US Department of State. สืบค้นเมื่อ January 16, 2011 .
↑ "World Population Prospects" . UN Department of Economic and Social Affairs . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ March 21, 2007. สืบค้นเมื่อ March 27, 2007 .
↑ Barnes, Gina L. (2003). "Origins of the Japanese Islands" (PDF) . University of Durham . สืบค้นเมื่อ August 11, 2009 .
↑ "Tectonics and Volcanoes of Japan" . Oregon State University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ February 4, 2007. สืบค้นเมื่อ March 27, 2007 .
↑ James, C.D. (2002). "The 1923 Tokyo Earthquake and Fire" (PDF) . University of California Berkeley. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ March 16, 2007. สืบค้นเมื่อ January 16, 2011 .
↑ 2013 World Risk Report เก็บถาวร สิงหาคม 16, 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
↑ Karan, Pradyumna Prasad; Gilbreath, Dick (2005). Japan in the 21st century . University Press of Kentucky. pp. 18 –21, 41. ISBN 0-8131-2342-9 .
↑ "Climate" . JNTO . สืบค้นเมื่อ March 2, 2011 .
↑ "Extremely hot conditions in Japan in midsummer 2013" (PDF) . Tokyo Climate Center, Japan Meteorological Agency. August 13, 2013. สืบค้นเมื่อ August 3, 2017 .
↑ "Essential Info: Climate" . JNTO . สืบค้นเมื่อ April 1, 2007 .
↑ 日本の大気汚染の歴史 (ภาษาญี่ปุ่น). Environmental Restoration and Conservation Agency. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ May 1, 2011. สืบค้นเมื่อ March 2, 2014 .
↑ Sekiyama, Takeshi. "Japan's international cooperation for energy efficiency and conservation in Asian region" (PDF) . Energy Conservation Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ February 16, 2008. สืบค้นเมื่อ January 16, 2011 .
↑ "Environmental Performance Review of Japan" (PDF) . OECD . สืบค้นเมื่อ January 16, 2011 .
↑ "Environmental Performance Index" . epi.yale.edu . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2021-11-15. สืบค้นเมื่อ 2021-11-15 .
↑ "Japan sees extra emission cuts to 2020 goal – minister" . Reuters. June 24, 2009.
↑ "Japan 2030: Tackling climate issues is key to the next decade" . Deep reads from The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ "Japan Targets Carbon Neutrality by 2050" . EcoWatch (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2020-10-26.
↑ Travis, John. "Jomon Genes" . University of Pittsburgh. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011 .
↑ Matsumara, Hirofumi; Dodo, Yukio; Dodo, Yukio (2009). "Dental characteristics of Tohoku residents in Japan: implications for biological affinity with ancient Emishi" . Anthropological Science . 117 (2): 95–105. doi :10.1537/ase.080325 . ISSN 0918-7960 .
↑ Hammer, Michael F.; Karafet, TM; Park, H; Omoto, K; Harihara, S; Stoneking, M; Horai, S; และคณะ (2006). "Dual origins of the Japanese: common ground for hunter-gatherer and farmer Y chromosomes" . Journal of Human Genetics . 51 (1): 47–58. doi :10.1007/s10038-005-0322-0 . PMID 16328082 .
↑ Denoon, Donald; Hudson, Mark (2001). Multicultural Japan: palaeolithic to postmodern . Cambridge University Press. pp. 22–23. ISBN 0-521-00362-8 .
↑ "Road of rice plant" . National Science Museum of Japan . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ April 30, 2011. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011 .
↑ "Kofun Period" . Metropolitan Museum of Art. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011 .
↑ "Yayoi Culture" . Metropolitan Museum of Art. สืบค้นเมื่อ January 15, 2011 .
↑ Takashi, Okazaki; Goodwin, Janet (1993). "Japan and the continent". The Cambridge history of Japan, Volume 1: Ancient Japan . Cambridge: Cambridge University Press. p. 275. ISBN 0-521-22352-0 .
↑ Brown, Delmer M., บ.ก. (1993). The Cambridge History of Japan . Cambridge University Press. pp. 140–149.
↑ Beasley, William Gerald (1999). The Japanese Experience: A Short History of Japan . University of California Press. p. 42. ISBN 0-520-22560-0 .
↑ Totman, Conrad (2002). A History of Japan . Blackwell. pp. 64–79. ISBN 978-1-4051-2359-4 .
↑ Hays, J.N. (2005). Epidemics and pandemics: their impacts on human history . ABC-CLIO . p. 31 . ISBN 1-85109-658-2 .
↑ Totman, Conrad (2002). A History of Japan . Blackwell. pp. 79–87, 122–123. ISBN 978-1-4051-2359-4 .
↑ John Whitney Hall (1971). JAPAN From Prehistory to Modern Times . Charles E. Tuttle Company. p. 262-264.
↑ Katsumi Sugiyama. "Fundamental Issues underlying US-Japan Alliance: 2. Lytton Report and Anglo-Russo-Americana (ARA) Secret Treaty" . Defense Research Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-24.
↑ Kelley L. Ross. "The Pearl Harbor Strike Force" . friesian.com. สืบค้นเมื่อ 2007-03-27 .
↑ "Japanese Instrument of Surrender" . educationworld.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2006-12-31. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22 .
↑ "San Francisco Peace Treaty" . Taiwan Document Project. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22 .
↑ "United Nations Member States" . สหประชาชาติ . สืบค้นเมื่อ 2008-11-22 .
↑ "Japan Fact Sheet: Economy" (PDF) . Web Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2008-12-03. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22 .
↑ "Japan scraps zero interest rates" . BBC News. July 14, 2006. สืบค้นเมื่อ December 28, 2006 .
↑ Fackler, Martin; Drew, Kevin (March 11, 2011). "Devastation as Tsunami Crashes Into Japan". The New York Times .
↑ "Japan's emperor thanks country, prays for peace before abdication" . Nikkei Asia (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
↑ "The Constitution of Japan Promulgated November 3, 1946" . House of Councillors, The National Diet of Japan . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-10-24. [รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น, ราชมนตรีแห่งรัฐสภาญี่ปุ่น (1946-11-03)].
↑ "Japan lowers voting age from 20 to 18 to better reflect young people's opinions in policies" . The Straits Times . June 20, 2015. สืบค้นเมื่อ August 28, 2017 .
↑ " "Japanese Civil Code" " . Encyclopædia Britannica. 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-12-17. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28 .
↑ "Gen Z takes office: Japan's newest politicians are young, diverse and online" . CNN. 25 April 2023.
↑ คำว่าจังหวัดในภาษาญี่ปุ่นมี 4 แบบ คือ โทะ (都) ใช้เฉพาะโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวง, โด (道) เฉพาะฮกไกโด, ฟุ (府) ใช้กับเกียวโตและโอซากะ ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงในอดีต และเค็ง (県) ใช้กับจังหวัดอื่น ๆ เมื่อพูดถึงจังหวัดรวม ๆ จะใช้ว่า โทโดฟูเก็ง (都道府県)
↑ ซึ่งเทศบาลมีหลายระดับ ตั้งแต่ คุ (区), ชิ (市), โช (町) และมูระหรือซง (村) ซึ่งเรียกรวมกันว่า ชิโจซง
↑ "City-merger talks on increase" . The Japan Times. 2002-01-26. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-12-24. สืบค้นเมื่อ 2008-11-15 .
↑ "合併相談コーナー" . Ministry of Internal Affairs and Communications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-10-25. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16 .
↑ "อาเซียน + 3" . ศูนย์การเรียนรู้อาเซียน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น. สืบค้นเมื่อ March 20, 2024 .
↑ "Japan-Australia Joint Declaration on Security Cooperation" . Ministry of Foreign Affairs. สืบค้นเมื่อ August 25, 2010 .
↑ "Joint Declaration on Security Cooperation between Japan and India" . Ministry of Foreign Affairs. October 22, 2008. สืบค้นเมื่อ August 25, 2010 .
↑ "Statistics from the Development Co-operation Report 2015" . OECD . สืบค้นเมื่อ November 15, 2015 .
↑ "Japan's Foreign Relations and Role in the World Today" . Asia for Educators . สืบค้นเมื่อ November 13, 2016 .
↑ Wei, Yi (2019-10-15). "Japanese Colonial Ideology in Korea (1905-1945)" . The Yale Review of International Studies (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ "Japan and South Korea agree WW2 'comfort women' deal" . BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2015-12-28. สืบค้นเมื่อ 2022-01-05 .
↑ Ju, Hyejung (2018-07-30). "The Korean Wave and Korean Dramas" . Oxford Research Encyclopedia of Communication (ภาษาอังกฤษ). doi :10.1093/acrefore/9780190228613.001.0001/acrefore-9780190228613-e-715 .
↑ Min-sik, Yoon (2019-08-14). "[Anniversary Special] 21 years after 'Japanese invasion,' Korean pop culture stronger than ever" . The Korea Herald (ภาษาอังกฤษ).
↑ "裁判手続 刑事事件Q&A | 裁判所" . www.courts.go.jp .
↑ "The Japanese Police State" , The Japanese Police State : The Tokkô in interwar Japan , Bloomsbury Academic, สืบค้นเมื่อ 2022-01-05
↑ https://www.kaiho.mlit.go.jp/e/image/15_b%20of%20jcg.pdf
↑ "Diet tightens laws on knives, guns" . The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2008-11-29. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2023-04-13. สืบค้นเมื่อ 2021-11-14 .
↑ "Homicide rate | dataUNODC" . dataunodc.un.org .
↑ 正論, May 2014 (171).
↑ "The 15 countries with the highest military expenditure in 2009" . Stockholm International Peace Research Institute. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ กุมภาพันธ์ 17, 2011. สืบค้นเมื่อ มกราคม 16, 2011 .
↑ Institute for Economics and Peace (2015). Global Peace Index 2015. เก็บถาวร ตุลาคม 6, 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Retrieved October 5, 2015
↑ "About RIMPAC" . Government of Singapore. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ August 6, 2013. สืบค้นเมื่อ March 2, 2014 .
↑ "Tokyo says it will bring troops home from Iraq" . International Herald Tribune . June 20, 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ April 16, 2007. สืบค้นเมื่อ March 28, 2007 .
↑ "Japan business lobby wants weapon export ban eased" . Reuters. July 13, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2014-10-29. สืบค้นเมื่อ April 12, 2011 .
↑ "Japan's Security Policy" . Ministry of Foreign Affairs of Japan.
↑ Michael Green. "Japan Is Back: Why Tokyo's New Assertiveness Is Good for Washington" . Real Clear Politics. สืบค้นเมื่อ March 28, 2007 .
↑ "Abe offers Japan's help in maintaining regional security" . Japan Herald. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2014-05-31. สืบค้นเมื่อ May 31, 2014 .
↑ Herman, Steve (February 15, 2006). "Japan Mulls Constitutional Reform" . Tokyo: Voice of America . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ February 16, 2006.
↑ Fackler, Martin (December 16, 2010). "Japan Announces Defense Policy to Counter China" . The New York Times. สืบค้นเมื่อ December 17, 2010 .
↑ M1 The Japanese Economy Takahashi Ito, pp 3-4.
↑ "Japan: Patterns of Development" . country-data.com. January 1994. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28 .
↑ "World Factbook; Japan—Economy" . CIA. 2006-12-19. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-12-26. สืบค้นเมื่อ 2006-12-28 .
↑ "Japan heads towards recession as GDP shrinks" . The Times. 2008-08-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-09-23. สืบค้นเมื่อ 2008-08-17 .
↑ "That sinking feeling" . The Economist. 2008-10-30. สืบค้นเมื่อ 2008-11-01 .
↑ "In Japan, Financial Crisis Is Just a Ripple" . The New York Times. 2008-09-19. สืบค้นเมื่อ 2008-11-22 .
↑ "Japan's economy 'worst since end of WWII' " . CNN. 2009-02-16. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-19. สืบค้นเมื่อ 2009-02-16 .
↑ 112.0 112.1 "World Economic Outlook Database; country comparisons" . ไอเอ็มเอฟ . 2006-09-01. สืบค้นเมื่อ 2007-03-14 .
↑ "NationMaster; Economy Statistics" . NationMaster. สืบค้นเมื่อ 2007-03-26 .
↑ "Chapter 6 Manufacturing and Construction" . Statistical Handbook of Japan, Ministry of Internal Affairs and Communications . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-08-13.
↑ 115.0 115.1 "労働力調査(速報)平成19年平均結果の概要" (PDF) . Statistic Bureau. สืบค้นเมื่อ 2008-11-01 .
↑ Summary Statistics Groningen Growth and Development Centre, Sep 2008
↑ "Forbes Global 2000" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-11-03. สืบค้นเมื่อ 2008-11-02 .
↑ Market data. เก็บถาวร 2007-10-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน New York Stock Exchange (2006-01-31). Retrieved on 2007-08-11.
↑ "Criss-crossed capitalism" . The Economist. 2008-11-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17 .
↑ 120.0 120.1 "In the locust position" . The Economist. 2007-06-28. สืบค้นเมื่อ 2008-11-02 .
↑ "Going hybrid" . The Economist. 2007-11-29. สืบค้นเมื่อ 2008-11-02 .
↑ "Total area and cultivated land area" . Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07 .
↑ "Total population and agricultural population" . Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07 .
↑ 農林水産省国際部国際政策課 (2006-05-23). "農林水産物輸出入概況(2005)" (PDF) . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2007-09-29. สืบค้นเมื่อ 2007-09-13 .
↑ "Self-sufficiency ratio of food by commodities (Preliminary)" . Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07 .
↑ "Rankings" . World Bank (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Report for Selected Countries and Subjects" .
↑ "Urbanites Help Sustain Japan's Historic Rice Paddy Terraces - Our World" . ourworld.unu.edu .
↑ Chen, Hungyen (2018-07-03). "The spatial patterns in long-term temporal trends of three major crops' yields in Japan" . Plant Production Science . 21 (3): 177–185. doi :10.1080/1343943X.2018.1459752 . ISSN 1343-943X .
↑ https://www.fao.org/3/i9540en/i9540en.pdf
↑ "Japan resumes commercial whaling after 30 years" . BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-07-01. สืบค้นเมื่อ 2022-01-05 .
↑ "Data list | Japan Tourism Statistics" . Japan Tourism Statistics | 日本の観光統計データ (ภาษาอังกฤษ).
↑ "UNWTO World Tourism Barometer and Statistical Annex, August/September 2020" . www.e-unwto.org (ภาษาอังกฤษ). doi :10.18111/wtobarometereng.2020.18.1.5 .
↑ https://www.cia.gov/the-world-factbook/countries/japan/
↑ "Japan" , The World Factbook (ภาษาอังกฤษ), Central Intelligence Agency, 2021-12-14, สืบค้นเมื่อ 2022-01-05
↑ "Is time running out for Japan's car industry?" . Autocar (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Production Statistics | www.oica.net" . www.oica.net .
↑ Science and Innovation: Country Notes, Japan OECD Science, Technology and Industry Outlook 2008, OECD
↑ "Japanese led world in filing of patent applications in 2005" . The Japan Times. 2007-08-11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-24. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07 .
↑ "History of Hybrid Vehicles" . HybridCars.com . 2011-06-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-10-30.
↑ Automaker Rankings 2007: The Environmental Performance of Car Companies เก็บถาวร 2008-11-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Union of Concerned Scientists
↑ [www.greenercars.org/highlights_greenest.htm Greenest Vehicles of 2008] American Council for an Energy Efficient Economy
↑ Akira Maeda (November 28, 2003). Innovation in Fuel Cell Technologies in Japan: Development and Commercialization of Polymer Electrolyte Fuel Cells (PDF) (Report). OECD/CSTP/TIP Energy Focus Group.
↑ "Press Release" . JAXA. 2008-07-08. สืบค้นเมื่อ 2008-11-16 .
↑ published, Elizabeth Howell (2019-04-07). "Can Robots Build a Moon Base for Astronauts? Japan Hopes to Find Out" . Space.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Japanese probe crashes into Moon" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2009-06-11. สืบค้นเมื่อ 2022-01-05 .
↑ IFR. "Why Japan leads industrial robot production" . IFR International Federation of Robotics (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Science,technology and innovation : Researchers by sex, per million inhabitants, per thousand labour force, per thousand total employment (FTE and HC)" . data.uis.unesco.org .
↑ NuttBloggerJune 19, Christian; 2015 (2015-06-19). "Japan's game market hits record high as consoles decline and mobile gr" . Game Developer (ภาษาอังกฤษ). {{cite web }}
: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์ )
↑ จนเป็นต้นเหตุสำคัญของอุบัติเหตุรถไฟตกรางที่จังหวัดเฮียวโงะใน พ.ศ. 2548 Japan's train crash: Your reaction BBC News 2005-05-02
↑ "Year to date Passenger Traffic" . Airports Council International. August 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2011-01-11. สืบค้นเมื่อ 2008-12-07 .
↑ "Japan's Road to Deep Deficit Is Paved With Public Works" . The New York Times. 1997-03-01. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23 .
↑ "Outlook Bleak for Saga Airport Profitability" . Fukuoka Now. 2008-07-31. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-01-13. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23 .
↑ The European Parliament's Greens-EFA Group – The World Nuclear Industry Status Report 2007 เก็บถาวร 2008-06-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน p. 23.
↑ "Japan nuclear power-free as last reactor shuts" . Reuters (ภาษาอังกฤษ). 2012-05-05. สืบค้นเมื่อ 2022-01-05 .
↑ "Nuclear power restarted in Japan" . BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2022-01-05 .
↑ Kucharski, Jeffrey B.; Unesaki, Hironobu (2017-06-12). "Japan's 2014 Strategic Energy Plan: A Planned Energy System Transition" . Journal of Energy (ภาษาอังกฤษ). 2017 : e4107614. doi :10.1155/2017/4107614 . ISSN 2356-735X .
↑ http://www.jwwa.or.jp/jigyou/kaigai_file/2017WaterSupplyInJapan.pdf
↑ https://www.stat.go.jp/english/data/jinsui/tsuki/index.html
↑ "Population Census: Foreigners" . Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
↑ "Sue Sumii" . The Economist. 1997-07-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-02. สืบค้นเมื่อ 2008-11-06 .
↑ https://www.un.org/en/development/desa/population/publications/pdf/urbanization/the_worlds_cities_in_2016_data_booklet.pdf
↑ "Life expectancy at birth, total (years) - Japan | Data" . data.worldbank.org .
↑ "The World Factbook: Rank order—Life expectancy at birth" . CIA . 2008-10-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-12-26. สืบค้นเมื่อ 2008-11-05 .
↑ 165.0 165.1 "Statistical Handbook of Japan: Chapter 2 Population" . Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-06-30.
↑ Semuels, Alana (2017-07-20). "The Mystery of Why Japanese People Are Having So Few Babies" . The Atlantic (ภาษาอังกฤษ).
↑ Walia, Simran (2019-11-19). "The economic challenge of Japan's aging crisis" . The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ "Population Census: Population by Age" . Statistics Bureau, Ministry of Internal Affairs and Communications.
↑ Tetsushi Kajimoto, บ.ก. (2002-09-24). "Cloud of population decline may have silver lining" . The Japan Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-12-24. สืบค้นเมื่อ 2008-11-05 .
↑ "New immigration rules to stir up Japan's regional rentals scene — if they work | REthink Tokyo" . web.archive.org . 2019-07-02. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-07-02. สืบค้นเมื่อ 2021-11-16 .{{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ Inoue, Kyoko; Inoue, oko (Feb 1991). MacArthur's Japanese Constitution (ภาษาอังกฤษ). University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-38391-0 .
↑ 世界各国の宗教 (2000年) อ้างอิงจาก電通総研日本リサーチセンター、世界主要国価値観データブック
↑ https://www.christianitytoday.com/news/2018/may/japan-unesco-hidden-christian-persecution-world-heritage.html
↑ https://www.bunka.go.jp/tokei_hakusho_shuppan/hakusho_nenjihokokusho/shukyo_nenkan/pdf/r01nenkan.pdf#page=49
↑ Kato, Mariko (February 24, 2009). "Christianity's long history in the margins". The Japan Times .
↑ https://www.japantimes.co.jp/community/2016/07/13/issues/shadow-surveillance-looms-japans-muslims/
↑ The World Factbook; Japan-People เก็บถาวร 2018-12-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน CIA (2008)
↑ Lucien Ellington (2005-09-01). "Japan Digest: Japanese Education" . Indiana University. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-04-27. สืบค้นเมื่อ 2006-04-27 .
↑ "The Japanese Language" . web.mit.edu .
↑ Sawa, Takamitsu (2020-01-21). "Japan going the wrong way in English-education reform" . The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ Self-determinable Development of Small Islands . Masahide Ishihara, Eiichi Hoshino, Yōko Fujita. Singapore. 2016. ISBN 978-981-10-0132-1 . OCLC 952246912 .{{cite book }}
: CS1 maint: others (ลิงก์ )
↑ The Oxford handbook of the archaeology and anthropology of hunter-gatherers . Vicki Cummings, Peter Jordan, Marek Zvelebil (1st ed.). Oxford. 2014. ISBN 978-0-19-955122-4 . OCLC 871305374 .{{cite book }}
: CS1 maint: others (ลิงก์ )
↑ Lucien Ellington (2003-12-01). "Beyond the Rhetoric: Essential Questions About Japanese Education" . Foreign Policy Research Institute. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2014-01-29. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01 .
↑ "School Education" (PDF) . MEXT . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF ) เมื่อ 2010-12-06. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10 .
↑ Kate Rossmanith (2007-02-05). "Rethinking Japanese education" . The University of Sydney. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-12-28. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01 .
↑ "Gakureki Shakai" . Encyclopedia of Modern Asia . Macmillan Reference. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-24 – โดยทาง bookrags.com.
↑ "OECD's PISA survey shows some countries making significant gains in learning outcomes" . OECD . 2007-12-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-06-19. "Range of rank on the PISA 2006 science scale" (PDF) . OECD. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2012-05-23.
↑ Britnell, Mark (2015). In Search of the Perfect Health System . London: Palgrave. p. 5 . ISBN 978-1-137-49661-4 .
↑ "Overview of the Social Insurance Systems" . Social Insurance Agency. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-12-24. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23 .
↑ "Health Insurance: General Characteristics" . National Institute of Population and Social Security Research. สืบค้นเมื่อ 2007-03-28 .
↑ Victor Rodwin. "Health Care in Japan" . New York University. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10 .
↑ Mark E. Caprio; Yoneyuki Sugita, บ.ก. (2009-10-13). Democracy in Occupied Japan: The U.S. Occupation and Japanese Politics and Society . Routledge. p. 172. ISBN 978-0415415897 .
↑ Russell, Roxanne; Metraux, Daniel; Tohen, Mauricio (2017). "Cultural influences on suicide in Japan" . Psychiatry and Clinical Neurosciences (ภาษาอังกฤษ). 71 (1): 2–5. doi :10.1111/pcn.12428 . ISSN 1440-1819 .
↑ Akter, Shamima; Goto, Atsushi; Mizoue, Tetsuya (2017-07-14). "Smoking and the risk of type 2 diabetes in Japan: A systematic review and meta-analysis" . Journal of Epidemiology . 27 (12): 553–561. doi :10.1016/j.je.2016.12.017 . ISSN 0917-5040 . PMC 5623034 . PMID 28716381 .
↑ Britnell, Mark (2015). In search of the perfect health system . London. ISBN 978-1-137-49661-4 . OCLC 913844346 .
↑ 196.0 196.1 "Japanese Culture" . Windows on Asia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-02. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17 .
↑ "A History of Manga" . NMP International. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-09-05. สืบค้นเมื่อ 2007-03-27 .
↑ Leonard Herman, Jer Horwitz, Steve Kent, and Skyler Miller. "The History of Video Games" . Gamespot . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-09-29. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01 . {{cite web }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ Centre, UNESCO World Heritage. "Japan" . UNESCO World Heritage Centre (ภาษาอังกฤษ).
↑ 200.0 200.1 "Japan Fact Sheet: Music" (PDF) . Web Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2008-11-19. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23 .
↑ "J-Pop's dream factory" . The Observer . 2005-08-21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-01-12. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01 .
↑ "Seiji Ozawa (Conductor)" . 2007-06-22. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23 .
↑ "Midori Goto: From prodigy to peace ambassador" . 2008-11-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-04. สืบค้นเมื่อ 2008-11-23 .
↑ "なぜか「第9」といったらベートーヴェン、そして年末。" . Fuji-tv ART NET . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-02-24.
↑ 205.0 205.1 "Japanese Culture: Literature" . Windows on Asia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-07. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17 .
↑ "万葉集-奈良時代" . Kyoto University Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-09-16. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17 .
↑ The Tale of Genji
↑ 208.0 208.1 "Japanese Culture: Literature (Recent Past)" . Windows on Asia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-02-02. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17 .
↑ 209.0 209.1 "สำรวจญี่ปุ่น: ปฏิทินประจำปี ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม กีฬา" (PDF) . สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 2008-11-17 .
↑ "The Nobel Prize in Literature 1968" . Nobel Foundation. สืบค้นเมื่อ 2008-11-18 .
↑ "Kenzaburo Oe The Nobel Prize in Literature 1994" . Nobel Foundation. สืบค้นเมื่อ 2008-11-18 .
↑ Parkes, Graham (January 1, 2011). "Japanese aesthetics". In Zalta, Edward N. (ed.). Stanford Encyclopedia of Philosophy .
↑ Arrowsmith, Rupert Richard (2010-11-25). Modernism and the Museum: Asian, African, and Pacific Art and the London Avant-Garde (ภาษาอังกฤษ). OUP Oxford. ISBN 978-0-19-959369-9 .
↑ Inagaki, Aizo (2003). "Japan". Oxford Art Online . Modern: Meiji and after. doi:10.1093/gao/9781884446054.article.T043440. ISBN 978-1-884446-05-4 .
↑ 215.0 215.1 215.2 "Japan Fact Sheet: SPORTS" (PDF) . Web Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2009-03-04. สืบค้นเมื่อ 2008-11-19 .
↑ "Sumo: East and West" . PBS. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-09-30. สืบค้นเมื่อ 2007-03-10 .
↑ Nagata, Yoichi; Holway, John B. (1995). "Japanese Baseball". ใน Pete Palmer (บ.ก.). Total Baseball (4th ed.). New York: Viking Press. p. 547.
↑ "Soccer as a Popular Sport: Putting Down Roots in Japan" (PDF ) . The Japan Forum. สืบค้นเมื่อ 2007-04-01 .
↑ Press, Associated. "Japan, Saudi Arabia Claim Asia's Last Automatic World Cup Berths" . Sports Illustrated (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ "FIFA.com - FIFA Women's World Cup: Japan - USA" . web.archive.org . 2011-07-18. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2011-07-18. สืบค้นเมื่อ 2021-11-14 .
↑ Sports, Dorna. "Japanese industry in MotoGP™" . www.motogp.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "WRC - World Rally Championship" . WRC - World Rally Championship (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Engine Honda • STATS F1" . www.statsf1.com .
↑ "History of Japan's Bids for the Olympic | JOC - Japanese Olympic Committee" . Japanese Olympic Committee(JOC) (ภาษาญี่ปุ่น).
↑ http://www.fiba.basketball/pages/eng/fe/06_wcm/
↑ "FIBA Basketball World Cup 2023" . FIBA.basketball (ภาษาอังกฤษ).
↑ http://www.fivb.org/TheGame/TheGame_WorldChampionships.htm
↑ "Rugby in Asia | History of the Game in Asia" . Asia Rugby (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ Andrew Clarke (2021-07-30). "10 Most Popular Sports in Japan" . Unique Japan Tours (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ "What Are The Most Popular Sports In Japan | Top 10" . Link Japan Careers (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2021-06-10.
↑ "In Japan, golf booms as go-to leisure activity during pandemic" . The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2021-03-02.[ลิงก์เสีย ]
↑ "Traditional Dishes of Japan" . Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27 .
↑ 233.0 233.1 "Japanese Food Culture" (PDF) . Web Japan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2009-02-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27 .
↑ "Japanese Delicacies" . Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27 .
↑ "Seasonal Foods" (PDF) . The Japan Forum. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27 .
↑ Japanese Food Japan Reference
↑ "Local cuisine of Hokkaido" . Japan National Tourist Organization. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27 .
↑ "茶ができるまで" . 全国茶生産団体連合会・全国茶主産府県農協連連絡協議会. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27 .
↑ "The Sake Brewing Process" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2015-03-17. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27 .
↑ "Shochu" . The Japan Times. 2004-05-30. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-09-06. สืบค้นเมื่อ 2008-11-27 .
↑ https://www.japan-guide.com/e/e3003.html
↑ https://www.nhk.or.jp/bunken/english/reports/pdf/report_16042101.pdf
↑ Iwabuchi, Koichi, ed. (2004). Feeling Asian Modernities: Transnational Consumption of Japanese TV Dramas . Hong Kong University Press. ISBN 9789622096318 . JSTOR j.ctt2jc5b9.
↑ "What are the most popular Japanese TV shows?" . Japan Today (ภาษาอังกฤษ).
↑ Kalat, David (2017). "Introduction". A Critical History and Filmography of Toho's Godzilla Series (2nd ed.). McFarland.
↑ "Godzilla: Monster, Metaphor, Pop Icon" . The New York Public Library .
↑ Araiso, Yoshiyuki (1988). Currents: 100 essential expressions for understanding changing Japan . Japan Echo Inc. in cooperation with the Foreign Press Center. p. 150. ISBN 978-4-915226-03-8 .
↑ "Japan's National Holidays in 2021" . nippon.com (ภาษาอังกฤษ). 2020-06-10.
แหล่งข้อมูลอื่น
รัฐบาล
ข้อมูลทั่วไป
สถานที่ใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยภูมิศาสตร์
ประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยสมาชิกภาพระหว่างประเทศ
สมาชิกเริ่มต้น ผู้แทนเพิ่มเติม อดีตสมาชิก
ประเทศสมาชิก การประชุม อื่น ๆ
นานาชาติ ประจำชาติ ภูมิศาสตร์ วิชาการ ศิลปิน ประชาชน อื่น ๆ
36°N 138°E / 36°N 138°E / 36; 138