มหาสมุทรแปซิฟิก ภูมิศาสตร์ของมหาสมุทรแปซิฟิก
พิกัด 0°N 160°W / 0°N 160°W / 0; -160 พื้นที่พื้นน้ำ 165,000,000 ตารางกิโลเมตร (64,000,000 ตารางไมล์) ความลึกโดยเฉลี่ย 4,280 เมตร (14,040 ฟุต) ความลึกสูงสุด 10,911 เมตร (35,797 ฟุต) ปริมาณน้ำ 710,000,000 km³ (170,000,000 cu mi)
มหาสมุทรแปซิฟิก (อังกฤษ : Pacific Ocean ) เป็นมหาสมุทรที่ใหญ่และลึกที่สุดในโลก มีอาณาเขตติดกับมหาสมุทรอาร์กติก ทางตอนเหนือและจรดทวีปแอนตาร์กติกา ทางตอนใต้ ติดกับทวีปเอเชีย และทวีปออสเตรเลีย ทางทิศตะวันตก ติดทวีปอเมริกา ทางทิศตะวันออก
มหาสมุทรนี้มีพื้นที่กว่า 165,250,000 ตารางกิโลเมตรจึงกลายเป็นมหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครบคลุมพื้นที่ผิวโลกทั้งหมด 32% และคิดเป็น 46% ของพื้นผิวน้ำบนโลก นอกจากนี้มหาสมุทรแปซิฟิกยังมีขนาดมากกว่าพื้นดินทั้งหมดบนโลก (148,000,000 ตารางกิโลเมตร) รวมกันอีกด้วย[ 1] จุดศูนย์กลางของซีกโลกแห่งน้ำ และซีกโลกตะวันตก ล้วนอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก กระแสน้ำในมหาสมุทร (ที่เป็นผลจากแรงคอริออลิส ) ถูกแบ่งออกเป็นส่วนส่วนซึ่งจะมาพบกันใกล้บริเวณเส้นศูนย์สูตร ทั้งนี้หมู่เกาะกาลาปาโกส หมู่เกาะกิลเบิร์ต และหมู่เกาะอื่น ๆ ที่คร่อมเส้นศูนย์สูตรทั้งหมดถือว่าอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้[ 2]
มหาสมุทรแปซิฟิกมีความลึกเฉลี่ยที่ 4,000 เมตร[ 3] มีจุดที่ลึกที่สุดคือแชลเลนเจอร์ดีป ในร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา โดยมีสถิติอยู่ที่ 10,928 เมตร[ 4] นอกจากนี้ยังมีจุดที่ลึกที่สุดในแปซิฟิกใต้อย่างฮอไรซันดีป ในร่องลึกตองงา ที่มีสถิติความลึกอยู่ที่ 10,882 เมตร[ 5] ส่วนจุดที่ลึกที่สุดในโลกเป็นอันดับสามก็ยังคงอยู่ในร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา
เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน เป็นแรกที่ตั้งชื่อให้ว่า Mare Pacificum เป็นภาษาละติน แปลว่า peaceful sea ภาษาฝรั่งเศส pacifique (ปาซีฟีก) หมายถึง "สงบสุข" มหาสมุทรแปซิฟิกมีความเค็มประมาณ 33-37 ส่วนต่อพันส่วน กระแสน้ำที่สำคัญของมหาสมุทรแปซิฟิก คือ กระแสน้ำเย็นฮัมโบลต์ (เปรู) กระแสน้ำอุ่นศูนย์สูตร กระแสน้ำเย็นแคลิฟอร์เนีย กระแสน้ำอุ่นอะแลสกา และกระแสน้ำอุ่นคูโรชิโอะ (กุโรชิโว)
มหาสมุทรแปซิฟิกมีเกาะอยู่ประมาณ 25,000 เกาะ (มากกว่าเกาะในมหาสมุทรอื่น ๆ ที่เหลือรวมกัน) ส่วนใหญ่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร (แปซิฟิกใต้)
ริมมหาสมุทรประกอบด้วยทะเลจำนวนมาก ที่สำคัญ คือ ทะเลเซเลบีส ทะเลคอรัล ทะเลจีนตะวันออก ทะเลญี่ปุ่น ทะเลจีนใต้ ทะเลซูลู ทะเลแทสมัน และทะเลเหลือง ทางด้านตะวันตก ช่องแคบมะละกา เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย ส่วนทางด้านตะวันออก ช่องแคบมาเจลลัน เชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับ มหาสมุทรแอตแลนติก
นิรุกติศาสตร์
ถึงแม้ว่าชาวเอเชียและชาวโอเชียเนียจะมีการเดินทางโยกย้ายผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แต่ว่าครั้งแรกที่ชาวยุโรปค้นพบคือช่วงต้นศตวรรษที่ 16 เมื่อนักสำรวจชาวสเปนบัสโก นูเญซ เด บัลโบอา ข้ามคอคอดปานามาในปี 1513 และค้นพบ "ทะเลใต้" ที่กว้างใหญ่ซึ่งเขาตั้งชื่อว่า Mar del Sur (ในภาษาสเปน) แต่ว่าชื่อแปซิฟิก นั้นมาจากเฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน ที่ตั้งชื่อให้ว่า Mare Pacificum เมื่อเดินทางมาเจอกับทะเลที่สงบระหว่างเดินทางรอบโลกในปี ค.ศ. 1521[ 6]
ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิก
ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิก:[ 7] [ 8]
Australasian Mediterranean Sea – 9.080 ล้าน กม.2
ทะเลฟิลิปปิน - 5.695 ล้าน กม.2
ทะเลคอรัล – 4.791 ล้าน กม.2
ทะเลจีนใต้ – 3.5 ล้าน กม.2
ทะเลแทสมัน – 2.3 ล้าน กม.2
ทะเลเบริง – 2 ล้าน กม.2
ทะเลโอค็อตสค์ – 1.583 ล้าน กม.2
อ่าวอะแลสกา – 1.533 ล้าน กม.2
ทะเลจีนตะวันออก – 1.249 ล้าน กม.2
ทะเลมาเดกราว – 1.14 ล้าน กม.2
ทะเลญี่ปุ่น – 978,000 กม.2
ทะเลโซโลมอน – 720,000 กม.2
ทะเลบันดา – 695,000 กม.2
ทะเลอาราฟูรา – 650,000 กม.2
ทะเลติมอร์ – 610,000 กม.2
ทะเลเหลือง – 380,000 กม.2
ทะเลชวา – 320,000 กม.2
อ่าวไทย – 320,000 กม.2
อ่าวคาร์เพนแทเรีย – 300,000 กม.2
ทะเลเซเลบีส – 280,000 กม.2
ทะเลซูลู – 260,000 กม.2
อ่าวอะนาดีร์ – 200,000 กม.2
ทะเลโมลุกกะ – 200,000 กม.2
อ่าวแคลิฟอร์เนีย – 160,000 กม.2
อ่าวตังเกี๋ย – 126,250 กม.2
ทะเลฮัลมาเฮรา – 95,000 กม.2
ทะเลปั๋วไห่ – 78,000 กม.2
ทะเลบาหลี – 45,000 กม.2
ทะเลบิสมาร์ก – 40,000 กม.2
ทะเลซาวู - 35,000 กม.2
ทะเลในเซโตะ – 23,203 กม.2
ทะเลเซรัม – 12,000 กม.2
ประวัติศาสตร์
การอพยพยุคก่อนประวัติศาสตร์
แผนที่ของดิโอโก้ ริเบย์โร ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1529 เป้นแผนที่แรกที่มีมหาสมุทรแปซิฟิกมีขนาดเหมาะสม
การอพยพที่สำคัญในมหาสมุทรแปซิฟิกยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวออสโตรนีเซียน บนเกาะไตหวัน ที่เชี่ยวชาญการเดินทางไกลด้วยเรือแคนู ได้เดินทางพร้อมเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมไปยังฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเกาะแก่งต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการแยกกันไปทางตะวันตกสู่มาดากัสการ์ ไปทางตะวันออกเฉียงใต้สู่เกาะนิวกินี และเมลานีเซีย (ผสมกับชาวปาปัวพื้นเมือง) และทางตะวันออกไปยังหมู่เกาะ ไมโครนีเซีย โอเชียเนีย และโพลินีเซีย [ 9]
การค้าขายทางไกลได้พัฒนาตลอดแนวชายฝั่งตั้งแต่โมซัมบิกไปจนถึงญี่ปุ่น การค้าและความรู้จึงขยายไปยังหมู่เกาะอินโดนีเซีย แต่ดูเหมือนไม่ใช่ในออสเตรเลีย ในปี 219 ก่อนคริสตกาล ชู ฟู ล่องเรือไปในมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อค้นหายาอายุวัฒนะแห่งความเป็นอมตะ อย่างน้อยที่สุดใน ค.ศ. 878 เมื่อชาวมุสลิมตั้งถิ่นฐานในแคนตัน การค้าส่วนใหญ่จึงถูกควบคุมโดยชาวอาหรับและชาวมุสลิม ตั้งแต่ ค.ศ. 1404 ถึง ค.ศ. 1433 เจิ้งเหอ ได้นำการเดินทางสู่มหาสมุทรอินเดีย
การสำรวจโดยชาวยุโรป
ลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่
ภูมิศาสตร์
มหาสมุทรแปซิฟิกแยกทวีปเอเชีย ทวีปออสเตรเลีย และทวีปอเมริกา ออกจากกัน เส้นศูนย์สูตร เป็นเส้นที่แบ่งมหาสมุทรแปซิฟิกออกเป็นแปซิฟิกเหนือและแปซิฟิกใต้ ทางเหนือติดภูมิภาคอาร์กติกส่วนทางใต้ติดแอนตาร์กติกา[ 1] มหาสมุทรแปซิฟิกครอบคลุมพื้นที่ถึง 1 ใน 3 ของพื้นผิวโลกและมีพื้นที่ 165,200,000 ตารางกิโลเมตรซึ่งใหญ่กว่าแผ่นดินทั้งหมดของโลก[ 10]
มหาสมุทรแปซิฟิกทอดตัวยาวลงมาตั้งแต่ทะเลแบริ่ง ในแถบอาร์กติกไปจนถึงเส้นขนานที่ 60 องศาใต้ ซึ่งเป็นตอนเหนือของมหาสมุทรใต้ (ในอดีตมีพื้นที่ถึงทะเลรอสส์ ในแอนตาร์กติกา ) จุดที่มหาสมุทรแปซิฟิกมีขนาดแผ่นดินใหญ่ห่างกันที่สุดอยู่ที่เส้นขนานที่ 5 องศาเหนือ โดยทอดยาวเป็นระยะทางครึ่งโลกหรือประมาณ 19,800 กิโลเมตรจากอินโดนีเซีย ไปยังชายฝั่งของโคลอมเบีย ซึ่งความยาวนี้ยาวกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ ถึง 5 เท่า[ 11] จุดที่ลึกที่สุดคือร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา วัดได้ 10,911 เมตรใต้ระดับน้ำ ความลึกเฉลี่ยของแปซิฟิกคือ 4,280 เมตร มีปริมาณน้ำทั้งหมด 710,000,000 ลูกบาศก์กิโลเมตร[ 1]
จากผลกระทบของการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค ทำให้แปซิฟิกหดตัวลงประมาณ 2.5 เซนติเมตรต่อปี วัดจากทั้งสามด้านโดยเฉลี่ยประมาณ 0.52 กิโลเมตรต่อปีซึ่งตรงกันข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ที่ขยายใหญ่ขึ้น[ 12] [ 13]
ทางตะวันตกติดกับทะเลใหญ่ ๆ มากมายเช่นทะเลเซเลบีส ทะเลคอรัล ทะเลจีนตะวันออก ทะเลฟิลิปปิน ทะเลญี่ปุ่น ทะเลจีนใต้ ทะเลซูลู ทะเลแทสมัน และทะเลเหลือง แปซิฟิกติดกับมหาสมุทรอินเดียบริเวณช่องแคบมะละกา และแหลมทอเรส ติดแอตแลนติกบริเวณช่องแคบมาเจลลัน และติดกับทะเลอาร์กติกบริเวณช่องแคบแบริ่ง [ 14]
เส้นเมริเดียนที่ 180 องศา แบ่งแปซิฟิกเป็นสองฝั่งแปซิฟิกตะวันตก (หรือแปซิฟิกใกล้เอเชีย) อยู่ในซีกโลกตะวันออก ในขณะที่แปซิฟิกตะวันออก (หรือแปซิฟิกใกล้อเมริกา) อยู่ในซีกโลกตะวันตก [ 15]
ระหว่างการเดินทางของเฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน จากช่องแคบมาเจลลัน มาฟิลิปปินส์ เขาพบว่ามหาสมุทรนี้ค่อนข้างสงบ แต่ก็ไม่ได้สงบทุกที่เพราะมีพายุโซนร้อนจำนวนมากพัดปะทะหมู่เกาะและชายฝั่งของแปซิฟิก[ 16] บริเวณรอบชายฝั่งแปซิฟิกเต็มไปด้วยภูเขาไฟ และมักได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว [ 17] สึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลได้พัดทำลายหมู่เกาะและเมืองเป็นจำนวนมาก[ 18]
พ.ศ. 2050 แผนที่ของมาติน วอดซีมึลเลอร์เป็นแผนที่แรกที่มีทวีปอเมริกา คั่นกลางระหว่างแปซิฟิกและแอตแลนติก[ 19] ต่อมาแผนที่ของดิโก ริเบย์โร พ.ศ. 2072 เป็นแผนที่แรกที่แสดงขนาดมหาสมุทรที่สมจริงขึ้น[ 20]
ประเทศและดินแดนที่ติด
ภูมิศาสตร์ของเกาะในแอ่งสมุทรแปซิฟิก
ภูมิภาค ประเทศที่เป็นเกาะและดินแดนของโอเชียเนีย
ประเทศอธิปไตย
1 สถานะของไต้หวันและจีนยังมีความขัดแย้งกันอยู่
ดินแดน
แผ่นดินและเกาะ
แปซิฟิกเป็นมหาสมุทรที่มีเกาะมากที่สุดในโลก มีการประมาณว่ามีเกาะทั้งหมด 25,000 เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก[ 21] [ 22] [ 23] เกาะในแปซิฟิกจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ คือไมโครนีเซีย เมลานีเซีย และโปลินีเซีย
ไมโครนีเซียเป็นกลุ่มเกาะที่อยู่ทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร และทางตะวันตกของเส้นแบ่งเขตวันสากล กลุ่มเกาะประกอบด้วยเกาะมาเรียนา ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เกาะคาโรไลน์ ตรงกลาง หมู่เกาะมาร์แชลล์ ทางทิศตะวันตกและหมู่เกาะ ของคิริบาส ในตะวันออกเฉียงใต้[ 24] [ 25]
เมลานีเซียอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประกอบด้วยเกาะนิวกินี ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากกรีนแลนด์ และเป็นเกาะใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะแปซิฟิก และยังมีกลุ่มเกาะบิสมาร์ก หมู่เกาะโซโลมอน หมู่เกาะซานตาครูซ วานูอาตู ฟีจี และนิวแคลิโดเนีย [ 26]
โปลินีเซียเป็นพื้นที่ ๆ ใหญ่ที่สุดซึ่งนับตั้งแต่หมู่เกาะฮาวาย ทางเหนือไปจนถึงนิวซีแลนด์ ทางใต้และยังรวมตูวาลู โตเกเลา ซามัว ตองงา และหมู่เกาะเคอร์ดเด็ค ทางตะวันตก ตรงกลางมีหมู่เกาะคุก หมู่เกาะโซไซเอตี และหมู่เกาะออสแตส ทางตะวันออกมีหมู่เกาะมาร์เคซัส ตูอาโมตัส หมู่เกาะแกมบีเออรื และเกาะอีสเตอร์ [ 27]
หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกมีสี่ประเภทคือเกาะริมทวีป เกาะสูง พืดหินปะการัง และเกาะต่ำ เกาะริมทวีปเช่นกาะนิวกินี เกาะของนิวซีแลนด์และฟิลิปปินส์เกาะเหล่านี้จะมีพื้นที่ใต้น้ำบางส่วนเชือมต่อกับทวีปใกล้เคียง เกาะสูง จะเป็นเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟเช่นหมู่เกาะฮาวายและหมู่เกาะโซโลมอน[ 28]
พืดหินปะการังของแปซิฟิกมีโครงสร้างที่ต่ำซึ่งสร้างบนบะซอลต์ไหลใต้ทะเล หนึ่งในพืดหินปะการังที่น่าสนใจคือเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย เกาะต่ำ เกิดมาจากปะการัง โดยอาจจะเกิดขึ้นเกิดจากการตกตะกอนหรือการยกตัวและทับทมของพืดหินปะการังเช่น เกาะบานาบา และเกาะมากาเต ในตูอาโมตัส ของเฟรนช์พอลินีเชีย [ 29] [ 30]
น้ำทะเล
แปซิฟิกมีน้ำทะเลประมาณ 714 ล้านลูกบาศก์กิโลเมตรคิดเป็น 50.1% ของน้ำทะเลทั่วโลก[ 31] อุณหภูมิผิวน้ำมีอุณหภูมิที่แตกต่างกันตามพื้นที่เช่นบริเวณขั้วโลกอาจเย็นถึง -1.4 องศาเซลเซียส ในขณะที่บริเวณเส้นศูนย์สูตรอาจสูงถึง 30 องศา[ 32] ความเค็มของแปซิฟิกเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละเส้นขนานโดยความเค็มสูงคือ 37 ส่วนต่อพันในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณเส้นศูนย์สูตรซึ่งความเค็มต่ำกว่า 34 ส่วนต่อพัน ส่วนเค็มสุดจะอยู่ทางเหนือเพราะมีอากาศหนาวเย็นทำให้มีการระเหยของน้ำน้อย[ 33] น้ำในแปซิฟิกเหนือ จะไหลตามเข็มนาฬิกา ส่วนแปซิฟิกใต้ จะไหลทวนเข็มนาฬิกา กระแสน้ำศูนย์สูตรเหนือ จะไหลไปทางตะวันตกตามเส้นขนานที่ 15 องศาเหนือ ด้วยลมค้า และไหลขึ้นทิศเหนือบริเวณฟิลิปปินส์และกลางเป็นกระแสน้ำญี่ปุ่น [ 34] จากนั้นกระแสน้ำญี่ปุ่นจะไหลไปทางตะวันออกตามเส้นขนานที่ 45 องศาเหนือ และกลายเป็นกระแสน้ำอะลูเชียน จากนั้นก็ไหลลงทิศใต้กลับกลายเป็นกระแสน้ำศูนย์สูตรเหนือตามเดิม[ 35]
สาขาเหนือของกระแสน้ำอะลูเชียนเมือเข้าใกล้ทวีปอเมริกาเหนือจะไหลหมุนทวนเข็มนาฬิกาในทะเลแบริ่ง ส่วนสาขาใต้จะกลายเป็นกระแสน้ำแคลิฟอร์เนีย ที่ไหลช้าและค่อนข้างเย็น[ 36] กระแสน้ำศูนย์สูตรใต้ ไหลไปทางตะวันตกตามแนวศูนย์สูตร และเริ่มหันไปทางตะวันออกเฉียงใต้บริเวณเกาะนิวกินี และหันไปทางตะวันออกตามเส้นขนานที่ 50 องศาใต้ และไหลกลับเป็นกระแสน้ำศูนย์สูตรใต้ตามเดิม กระแสน้ำเย็นขั้วโลกแอนตาร์กติกา เมื่อถึงชายฝั่งชิลีมีสาขาหนึ่งไหลไปรอบแหลมฮอร์น ส่วนอีกสาขาไหลไปเป็นกระแสน้ำฮุมโบลดท์ [ 37]
อ้างอิง
↑ 1.0 1.1 1.2 "Pacific Ocean ". Britannica Concise . 2008: Encyclopædia Britannica, Inc.
↑ International Hydrographic Organization (1953). "Limits of Oceans and Seas" (PDF) . Nature (3rd ed.). 172 (4376): 484. Bibcode :1953Natur.172R.484. . doi :10.1038/172484b0 . S2CID 36029611 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 8 October 2011. สืบค้นเมื่อ 28 December 2020 .
↑ Administration, US Department of Commerce, National Oceanic and Atmospheric. "How big is the Pacific Ocean?" . oceanexplorer.noaa.gov (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 18 October 2018 .
↑ "Deepest Submarine Dive in History, Five Deeps Expedition Conquers Challenger Deep" (PDF) .
↑ "CONFIRMED: Horizon Deep Second Deepest Point on the Planet" (PDF) .
↑ "Catholic Encyclopedia : Ferdinand Magellan" . Newadvent.org. 2006 [1910]. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 13 มกราคม 2007. สืบค้นเมื่อ 31 ตุลาคม 2010 .
↑ Remy Melina (5 มิถุนายน 2010). "The World's Biggest Oceans and Seas" . Live Science .
↑ "List of all Seas" . List of seas in the world . 2010.
↑ Stanley, David (2004). South Pacific . David Stanley. p. 19 . ISBN 978-1-56691-411-6 .
↑ "Area of Earth's Land Surface" , The Physics Factbook . Retrieved 9 June 2013.
↑ Nuttall, Mark (2005). Encyclopedia of the Arctic: A-F . Routledge. p. 1461. ISBN 978-1-57958-436-8 . สืบค้นเมื่อ 10 June 2013 .
↑ "Plate Tectonics" . Bucknell University . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2014. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2013 .
↑ Young, Greg (2009). Plate Tectonics . Capstone. pp. 9–. ISBN 978-0-7565-4232-0 . สืบค้นเมื่อ 9 June 2013 .
↑ International Hydrographic Organization (1953). Limits of Oceans and Seas . International Hydrographic Organization. สืบค้นเมื่อ 9 June 2013 .
↑ Agno, Lydia (1998). Basic Geography . Goodwill Trading Co., Inc. pp. 25–. ISBN 978-971-11-0165-7 . สืบค้นเมื่อ 9 June 2013 .
↑ "Pacific Ocean: The trade winds" , Encyclopædia Britannica . Retrieved 9 June 2013.
↑ Shirley Rousseau Murphy (1979). The Ring of Fire . Avon . ISBN 978-0-380-47191-1 .
↑ Bryant, Edward (2008). Tsunami: The Underrated Hazard . Springer. pp. 26–. ISBN 978-3-540-74274-6 . สืบค้นเมื่อ 9 June 2013 .
↑ "The Map That Named America" . www.loc.gov . สืบค้นเมื่อ 3 December 2014 .
↑ Ribero, Diego (c. 1887). "Carta universal en que se contiene todo lo que del mundo se ha descubierto fasta agora / hizola Diego Ribero cosmographo de su magestad, ano de 1529, e[n] Sevilla" . London: W. Griggs. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2017 .
↑ K, Harsh (19 มีนาคม 2017). "This ocean has most of the islands in the world" . Mysticalroads . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2 สิงหาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 6 เมษายน 2017 .
↑ Ishihara, Masahide; Hoshino, Eiichi; Fujita, Yoko (2016). Self-determinable Development of Small Islands (ภาษาอังกฤษ). Springer. p. 180. ISBN 9789811001321 .
↑ United States. National Oceanic and Atmospheric Administration ; Western Pacific Regional Fishery Management Council (2009). Toward an Ecosystem Approach for the Western Pacific Region: from Species-based Fishery Management Plans to Place-based Fishery Ecosystem Plans: Environmental Impact Statement (ภาษาอังกฤษ). Evanston, IL: Northwestern University. p. 60.
↑ Academic American encyclopedia . Grolier Incorporated. 1997. p. 8. ISBN 978-0-7172-2068-7 . สืบค้นเมื่อ 12 June 2013 .
↑ Lal, Brij Vilash; Fortune, Kate (2000). The Pacific Islands: An Encyclopedia . University of Hawaii Press. pp. 63–. ISBN 978-0-8248-2265-1 . สืบค้นเมื่อ 14 June 2013 .
↑ West, Barbara A. (2009). Encyclopedia of the Peoples of Asia and Oceania . Infobase Publishing. pp. 521–. ISBN 978-1-4381-1913-7 . สืบค้นเมื่อ 14 June 2013 .
↑ Dunford, Betty; Ridgell, Reilly (1996). Pacific Neighbors: The Islands of Micronesia, Melanesia, and Polynesia . Bess Press. pp. 125–. ISBN 978-1-57306-022-6 . สืบค้นเมื่อ 14 June 2013 .
↑ Gillespie, Rosemary G.; Clague, David A. (2009). Encyclopedia of Islands . University of California Press. p. 706. ISBN 978-0-520-25649-1 . สืบค้นเมื่อ 12 June 2013 .
↑ "Coral island" , Encyclopædia Britannica . Retrieved 22 June 2013.
↑ "Nauru" , Charting the Pacific. Retrieved 22 June 2013.
↑ "PWLF.org – The Pacific WildLife Foundation – The Pacific Ocean" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 21 เมษายน 2012. สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2013 .
↑ Mongillo, John F. (2000). Encyclopedia of Environmental Science . University Rochester Press. pp. 255–. ISBN 978-1-57356-147-1 . สืบค้นเมื่อ 9 June 2013 .
↑ "Pacific Ocean: Salinity" , Encyclopædia Britannica . Retrieved 9 June 2013.
↑ "Wind Driven Surface Currents: Equatorial Currents Background" , Ocean Motion. Retrieved 9 June 2013.
↑ "Kuroshio" , Encyclopædia Britannica . Retrieved 9 June 2013.
↑ "Aleutian Current" , Encyclopædia Britannica . Retrieved 9 June 2013.
↑ "South Equatorial Current" , Encyclopædia Britannica . Retrieved 9 June 2013.
ดูเพิ่ม
Barkley, Richard A. (1968). Oceanographic Atlas of the Pacific Ocean . Honolulu: University of Hawaii Press .
prepared by the Special Publications Division, National Geographic Society. (1985). Blue Horizons: Paradise Isles of the Pacific . Washington, D.C.: National Geographic Society . ISBN 0-87044-544-8 .
Cameron, Ian (1987). Lost Paradise: The Exploration of the Pacific . Topsfield, Mass.: Salem House. ISBN 0-88162-275-3 .
Couper, A. D., บ.ก. (1989). Development and Social Change in the Pacific Islands . London: Routledge. ISBN 0-415-00917-0 .
Gilbert, John (1971). Charting the Vast Pacific . London: Aldus. ISBN 0-490-00226-9 .
Lower, J. Arthur (1978). Ocean of Destiny: A Concise History of the North Pacific, 1500–1978 . Vancouver: University of British Columbia Press . ISBN 0-7748-0101-8 .
Napier, W.; Gilbert, J.; Holland, J. (1973). Pacific Voyages . Garden City, N.Y.: Doubleday. ISBN 0-385-04335-X .
Nunn, Patrick D. (1998). Pacific Island Landscapes: Landscape and Geological Development of Southwest Pacific Islands, Especially Fiji, Samoa and Tonga . ISBN 978-982-02-0129-3 .
Oliver, Douglas L. (1989). The Pacific Islands (3rd ed.). Honolulu: University of Hawaii Press. ISBN 0-8248-1233-6 .
Paine, Lincoln. The Sea and Civilization: A Maritime History of the World (2015).
Ridgell, Reilly (1988). Pacific Nations and Territories: The Islands of Micronesia, Melanesia, and Polynesia (2nd ed.). Honolulu: Bess Press. ISBN 0-935848-50-9 .
Samson, Jane. British imperial strategies in the Pacific, 1750–1900 (Ashgate Publishing, 2003).
Soule, Gardner (1970). The Greatest Depths: Probing the Seas to 20,000 Feet and Below (2nd ed.). Philadelphia: Macrae Smith. ISBN 0-8255-8350-0 .
Spate, O. H. K. (1988). Paradise Found and Lost . Minneapolis: University of Minnesota Press . ISBN 0-8166-1715-5 .
Terrell, John (1986). Prehistory in the Pacific Islands: A Study of Variation in Language, Customs, and Human Biology . Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 0-521-30604-3 .
ประวัติศาสตร์นิพนธ์
แหล่งข้อมูลอื่น