หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล (เกิด 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2490) ชื่อเล่น คุณชายอุ๋ย เป็นนักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย รองประธานกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนที่ 17 รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล เกิดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 เป็นโอรสของพลตรี หม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และหม่อมแตงไทย เทวกุล ณ อยุธยา เคยสมรสกับปอลิน อินทสุกิจ มีบุตรชาย 2 คน คือ หม่อมหลวงปรมาภรณ์ เทวกุล (เปรม) และหม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล (ปลื้ม) ต่อมาสมรสใหม่กับประภาพรรณ เทวกุล ณ อยุธยา มีบุตรสาว คือ หม่อมหลวงพุดจีบ เทวกุล
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร จบการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล จบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ จาก Wharton School มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เมื่อปี 2513 และอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน รุ่นที่ 1 จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. 2532[1][2]
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เริ่มทำงานที่ธนาคารกสิกรไทย ตั้งแต่ปี 2514 จนได้รับตำแหน่งกรรมการรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส จากนั้นดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อปี 2533 และยน พ.ศ. ช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน[3] และพลเอก สุจินดา คราประยูร และดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก ช่วงปี 2535–2536 [4]
จากนั้นรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2544[5] ต่อจากหม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ในรัฐบาลดร.ทักษิณ ชินวัตร
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ได้รับรางวัลผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งเอเชีย ประจำปี 2549 (Central Bank Governor of the Year -Asia 2006) จากการคัดเลือกของนิตยสาร The Banker ในเครือ Financial Times ประเทศอังกฤษ [6][7]
ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการและเลขานุการ มูลนิธิอาจารย์ป๋วย ประธานกรรมการสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรรมการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ได้รับแต่งตั้งเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2533 ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลของอานันท์ ปันยารชุน เมื่อปี พ.ศ. 2534[8] และได้รับแต่งตั้งอีกครั้ง ใน ครม. 48
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลของพลเอก สุจินดา คราประยูร[9] ต่อจากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกุวฒิสภา ในปี พ.ศ. 2535-2536
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธรรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ [10] ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้ง ภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ต่อมาได้ยื่นใบลาออกเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550 โดยการลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2550 โดยเหตุผลหลักตามที่ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธรได้แถลงในการลาออกนั้นคือ ความไม่พอใจในการนำคนจากรัฐบาลที่แล้ว (สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) มาทำงาน และการดำเนินงานของรัฐมนตรีบางคนที่เอื้อประโยชน์ให้สื่อบางรายเป็นการเฉพาะ[11]
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ในสมัยที่ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท ด้วยการสำรองเงินลงทุนจากต่างประเทศ 30 เปอร์เซ็นต์เป็นเวลาหนึ่งปีโดยไม่ให้ดอกเบี้ย ผลของมาตรการนั้นทำให้ ตลาดหลักทรัพย์ตกไปมากกว่า 100 จุดในหนึ่งวันและทำให้ต้องมีการพักการซื้อขายชั่วคราว ภายหลังจากการออกมาตรการไม่ถึงหนึ่งวัน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวโดยยกเว้น เงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และเงินลงทุนในอีกหลายประเภท
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร ได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ในรัฐบาลของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา[12] และทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม 2557[13] ถึง 30 กันยายน 2558[14]
วันที่ 2 ตุลาคม 2557 เขากล่าวว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสามเดือนแรก ระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2557 ใช้เงินทั้งสิ้น 364,465.4 ล้านบาท โดยมีการใช้งบคงค้างและงบประมาณประจำปี 2558 เพื่อสร้างงาน เร่งลงทุนขนาดเล็กทั่วประเทศโดยเน้นซ่อม สร้าง มากกว่าสนองตอบความต้องการของประชาชนจริง ๆ บางส่วนให้แต่ละกระทรวงไปคิดหาวิธีใช้เงินเอง และแจกเงินให้ชาวนาในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ เขายังกล่าวว่า "ที่รัฐบาลใช้เงินรอบนี้ 40,000 ล้านบาท ก็ดีกว่าไปขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวปีละ 250,000 ล้านบาท และทำแค่ปีเดียวเท่านั้น ไม่เรียกว่าเป็นโครงการประชานิยม เพราะไม่ได้ต้องการคะแนนเสียง ตอนนี้ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ"[15]