เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า (อังกฤษ: The Most Illustrious Order of Chula Chom Klao) สถาปนาขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2416 ด้วยทรงเห็นว่าพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทรงอยู่ในราชสมบัติยั่งยืนนานมาเป็นเวลา 90 ปี ก็ด้วยความจงรักภักดีและการปฏิบัติราชการของพระบรมวงศานุวงศ์และบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวง ทั้งมีพระราชประสงค์จะทรงชุบเลี้ยงบรรดาทายาทของบุคคลเหล่านี้ ให้มีความเจริญรุ่งเรืองในราชการสืบเนื่องต่อไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทายาทของผู้ได้รับพระราชทานสามารถรับพระราชทานตราสืบตระกูลของบิดาได้ โดยพระราชทานนามพระองค์ "จุลจอมเกล้า" เป็นนามของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ พร้อมทรงคิดคำขวัญจารึกบนดวงตราว่า "เราจะบำรุงตระกูลวงศ์ให้เจริญ"
ประวัติ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระชันษาครบ 20 พรรษาบริบูรณ์ พระองค์ทรงสละราชสมบัติเพื่อเสด็จออกผนวชตามประเพณีเป็นระยะเวลา 15 วัน เมื่อจะเสด็จคืนครองสิริราชสมบัติจึงโปรดฯ ให้ทำการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในครั้งนี้ พระองค์มีพระราชดำริว่า นับแต่การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ มีพระมหากษัตริย์ครองสิริราชสมบัติมาถึง 5 พระองค์นับระยะเวลารวมได้ประมาณ 90 ปี โดยไม่มีเหตุการแก่งแย่งชิงอำนาจจนเกิดศึกกลางพระนครเมื่อมีการผลัดแผ่นดินดังเช่นสมัยกรุงศรีอยุธยา และถึงแม้พระองค์จะทรงครองสิริราชสมบัติเมื่ออายุยังน้อย พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทั้งปวงก็มิได้รังเกียจและยังคงรับสนองพระเดชพระคุณเหมือนเช่นที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นความดีความชอบพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทั้งที่ล่วงลับไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่ พระองค์จึงมีจิตคิดบำรุงวงศ์ตระกูลของท่านเหล่านี้ ดังนั้น พระองค์จึงทรงสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 โดยพระราชทานนามว่า "เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า" เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงอิสริยยศและเพื่อระลึกถึงความดีความชอบของท่านผู้ใหญ่ที่ได้รักษาแผ่นดินมาแต่ก่อนและผู้ที่ได้ทำนุบำรุงแผ่นดินในปัจจุบัน
เมื่อแรกสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้านั้นสามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ [1]
ซึ่งจะพระราชทานให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการฝ่ายหน้าเท่านั้น เมื่อปี พ.ศ. 2443 พระองค์มีพระราชดำริเห็นสมควรเพิ่มชั้นพิเศษสำหรับชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้าอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้เป็นเกียรติยศและประโยชน์แก่ผู้รับราชการยิ่งขึ้น เรียกว่า ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ และในปี พ.ศ. 2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าชั้นที่ 3 ขึ้นเป็นพิเศษ เรียกว่าตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ เพื่อพระราชทานแก่ข้าราชการฝ่ายหน้าเพิ่มขึ้นอีกชั้น[2]
สำหรับฝ่ายในนั้น พระองค์ทรงสร้างกล่องหมาก และหีบหมากเป็นเครื่องยศสำหรับพระราชทานฝ่ายในทำนองเดียวกันกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าสำหรับพระราชทานฝ่ายหน้า ไม่จำกัดจำนวน แต่ไม่ได้พระราชทานโดยทางสืบสกุล สามารถแบ่งเป็น 3 ชั้น 4 ชนิด มีลักษณะดังนี้[3]
- ชั้นที่ 1 กล่องปฐมจุลจอมเกล้า เป็นกล่องหมากทำด้วยเงินกาไหล่ทองจำหลักเป็นลายชัยพฤกษ์พื้นลงยาสีขาบ ฝากล่องมีดวงดาราปฐมจุลจอมเกล้าอยู่กลางอยู่กลาง มีขอบนอกเป็นอีกษรว่า "การพระราชพิธีบรมราชภิเษก ปีระกาเบญจศก จุลศักราช ๑๒๓๕" มีตลับข้างใน 4 ใบจัดเป็นครึ่งซีกตามรูปกล่อง
- ชั้นที่ 2 กล่องทุติยจุลจอมเกล้า มีลักษณะเช่นเดียวกับชั้นที่ 1 แต่กลางฝากล่องเป็นดวงดาราวิเศษของตราทุติยจุลจอมเกล้า และมีตลับด้านในเพิ่มเป็นส่วนพิเศษบ้าง
- ชั้นที่ 3 ชนิดที่ 1 หีบตติยจุลจอมเกล้า เป็นหีบหมากเงินกาไหล่ทองจำหลักเป็นลายชัยพฤกษ์พื้นลงยาสีขาบ ฝาหีบมีอักษรย่อเช่นเดียวกับชั้นที่ 1 ตรงกลางมีรูปดวงตราตติยจุลจอมเกล้าแต่ตรงพระบรมรูปจำหลักเป็นอักษรพระนาม จจจ (จุฬาลงกรณ์จุลจอมเกล้า)ไขว้กันแทน
- ชั้นที่ 3 ชนิดที่ 2 เป็นหีบหมากเช่นเดียวกับชั้นที่ 3 แต่เป็นเงินล้วน ไม่ได้ลงยากาไหล่ทอง
หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2436 พระองค์พระราชดำริสมควรที่จะทรงสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายในขึ้น เพื่อให้สมาชิกผู้ได้รับพระราชทานได้ประดับตนเป็นที่แสดงเกียรติยศเพิ่มขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 ชั้น
- ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า
- ชั้นที่ 2 ทุติยจุลจอมเกล้า
- ชั้นที่ 3 ตติยจุลจอมเกล้า
- ชั้นที่ 4 จตุตถจุลจอมเกล้า
และเมื่อปี พ.ศ. 2442 ทรงพระราชดำริให้เพิ่มเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าสำหรับฝ่ายในในชั้นที่ 2 ขึ้นอีก 1 ชนิด เรียกว่า ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ เพื่อให้มีจำนวนชนิด 5 ชนิด (ในขณะนั้น) เช่นเดียวกับสำหรับพระราชทานฝ่ายหน้า[4]
ประเภท ลำดับชั้นตรา และจำนวน
กฎหมายได้บัญญัติจำแนกเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทฝ่ายหน้าสำหรับบุรุษ และประเภทฝ่ายในสำหรับสตรี คำว่าฝ่ายหน้าและฝ่ายใน เรียกตามตำแหน่งที่เคยจัดให้เฝ้าแต่สมัยโบราณ ทั้งยังได้กำหนดจำนวนเครื่องราชฯ ในตระกูลนี้ในแต่ละชั้นตราไว้เป็นการแน่นอน หากชั้นตราใดมีผู้ได้รับพระราชทานเต็มตามจำนวนแล้ว ก็จะไม่พระราชทานชั้นตรานั้นแก่ผู้อื่นอีก ชั้นตราจะว่างก็ต่อเมื่อผู้ได้รับพระราชทานอยู่เดิมสิ้นชีวิตหรือได้รับพระราชทานเลื่อนชั้นตราสูงขึ้น โดยญาติผู้เสียชีวิตหรือผู้ได้รับพระราชทานเลื่อนชั้นตราสูงขึ้น ต้องมีหน้าที่ส่งคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจุลจอมเกล้าที่ได้รับพระราชทานหรือชั้นรองตามกฎหมายแก่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
โดยผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าในแต่ละชั้น จะได้รับพระราชทานเครื่องยศเหมือนขุนนางในสมัยก่อนจึงมีการเปรียบเทียบได้ดังนี้
- ชั้น ปฐมจุลจอมเกล้า มีบรรดาศักดิ์เสมอ ขุนนางชั้น เจ้าพระยา
- ชั้น ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ - ทุติยจุลจอมเกล้า มีบรรดาศักดิ์เสมอ ขุนนางชั้น พระยาพานทอง
- ชั้น ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ มีบรรดาศักดิ์เสมอ ขุนนางชั้น พระยาโต๊ะทอง
ธรรมเนียมการพระราชทาน
เมื่อครั้งดั้งเดิม มีพระราชดำริจะพระราชทานแต่เฉพาะพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขยายขอบเขตการพระราชทานไปยังผู้ทำประโยชน์อื่น ๆ ทั้งในราชการแผ่นดินและในราชการส่วนพระองค์ด้วย เช่น พ่อค้าวาณิช และคู่สมรสของผู้ดำรงตำแหน่งบางตำแหน่ง เป็นต้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จะพระราชทานในโอกาสพระราชพิธีฉัตรมงคล วันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี
ในการพระราชทานจะพระราชทานชั้นตราเรียงตามลำดับจากชั้นเริ่มต้นไปสู่ชั้นสูงสุดในแต่ละฝ่าย ดังนี้
ฝ่ายหน้า (บุรุษ)
ทายาทที่รับพระราชทานตราสืบตระกูลจะได้รับตราดังนี้ แล้วแต่กรณี คือ
- ตติยานุจุลจอมเกล้า (ต.อ.จ.) (หลานสืบตระกูลปู่)
- ตติยจุลจอมเกล้า (ต.จ.) (บุตรสืบตระกูลบิดา)
สำหรับพระราชทานแก่บุคคลทั่วไป ปกติแล้วจะเริ่มต้นและเรียงไปหาชั้นสูงสุดตามลำดับ ดังนี้
- ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ต.จ.ว.)
- ทุติยจุลจอมเกล้า (ท.จ.)
- ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.)
- ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.)
- ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ (ป.จ.ว.)
ฝ่ายใน (สตรี)
- จตุตถจุลจอมเกล้า (จ.จ.)
- ตติยจุลจอมเกล้า (ต.จ.)
- ทุติยจุลจอมเกล้า (ท.จ.)
- ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.)
- ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.)
คำนำนามสำหรับสตรี
การใช้คำนำหน้าสตรีในอดีตนั้นมีการระบุเกี่ยวพันกับบรรดาศักดิ์ของสามีที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ว่าในปัจจุบันรัฐบาลจะไม่มีนโยบายขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ข้าราชการแล้ว แต่คำนำหน้าสตรีสำหรับผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ก็ยังสมควรได้รับคำยกย่องอยู่ เนื่องจากประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อเป็นการเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ ดังนั้น จึงสมควรยกย่องสตรีผู้ได้รับเกียรติจากองค์พระมหากษัตริย์ด้วย โดยอนุโลมไม่ต้องยึดถือบรรดาศักดิ์ของสามีเป็นเกณฑ์[6]
สำหรับคำนำหน้าสตรีที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ปฐมจุลจอมเกล้าและทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษให้ใช้คำว่า "ท่านผู้หญิง" [7] ยกเว้น สตรีในราชสกุลตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไปให้ใช้คำนำพระนามตามเดิม[8][6]
ส่วนสตรีที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ทุติยจุลจอมเกล้า ตติยจุลจอมเกล้า และจตุตถจุลจอมเกล้าใช้คำนำหน้าว่า "คุณหญิง" [9] ยกเว้นสตรีในราชสกุลตั้งแต่หม่อมหลวงขึ้นไปให้ใช้คำนำนามตามเดิม[8][6]
สตรีที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ฝ่ายใน ไม่ต้องใช้คำนำหน้านามใดๆ ให้ใช้บรรดาศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานตามเดิม
การสืบตระกูลเครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้านั้น แตกต่างจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลอื่นตรงที่สามารถมีการสืบตระกูลเครื่องราชอิสริยาภรณ์ได้ โดยถ้าเป็นบุตรสืบตระกูลบิดา จะได้รับพระราชทาน "ตติยจุลจอมเกล้า" แต่ถ้าเป็นหลานสืบตระกูลปู่ จะได้รับพระราชทาน "ตติยานุจุลจอมเกล้า" ลักษณะการสืบตระกูลเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มีดังต่อไปนี้[10]
- เมื่อบิดาได้รับพระราชทาน "เครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ" บุตรชายได้รับสืบตระกูลตั้งแต่บิดายังมีชีวิตอยู่ และให้รับสืบตลอดไป จนหาตัวผู้สืบสายโลหิตเป็นชายมิได้
- เมื่อบิดาได้รับพระราชทาน "เครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้า" บุตรชายได้รับสืบตระกูลตั้งแต่บิดายังมีชีวิตอยู่ แต่การสืบตระกูลจะสิ้นสุดลงเพียงชั้นนี้เท่านั้น
- เมื่อบิดาได้รับพระราชทาน "ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ" หรือ "ทุติยจุลจอมเกล้า" บุตรชายได้รับสืบตระกูลเมื่อบิดาล่วงลับไปแล้ว และจะสิ้นสุดลงเพียงชั้นนี้เท่านั้น
ผู้สืบตระกูลเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น จะเป็นบุตรชายคนโตที่มีชีวิตอยู่ในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม หากบุตรชายคนโตไม่สมควรจะได้รับการพระราชทาน บิดาสามารถขอพระราชทานให้บุตรชายคนรองลงมาก็ได้ แต่การสืบตระกูลจะสิ้นสุดลงเพียงชั้นนี้เท่านั้น นอกจากนี้ ถ้าบุตรชายคนโตวิกลจริตหรือเสียชีวิตลงก่อนได้รับพระราชทาน ก็จะพระราชทานแก่หลานซึ่งเป็นบุตรของบุตรชายคนโตก่อน แต่ถ้าไม่มีหลานซึ่งเป็นบุตรของบุตรชายคนโตก่อนแล้ว ก็จะพระราชทานแก่บุตรชายคนต่อไป
พระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์
พระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ฝ่ายหน้า
พระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายหน้า ลักษณะเป็นตรางารูปกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7.2 เซนติเมตร สูง 9.8 เซนติเมตร ลายภายในเป็นรูปสายสร้อยเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า เป็นรูปวงกลม ภายในวงกลมเป็นรูปดาราอยู่เบื้องบน เป็นรูปตราจุลจอมเกล้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังอยู่เบื้องล่าง ที่วงขอบมีอักษรว่า "คณาธิบดี ของตรา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ จุลจอมเกล้าสำหรับตระกูล" พระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ ใช้สำหรับประทับประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายหน้า[11] ในปัจจุบัน พระราชลัญจกรนี้พ้นสมัย และเก็บรักษาอยู่ที่กองประกาศิต สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ปัจจุบันจะประทับพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์กำกับพระปรมาภิไธยแทน [12]
พระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ฝ่ายใน
พระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายใน ลักษณะเป็นตรางารูปกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7.2 เซนติเมตร สูง 9.6 เซนติเมตร ลายภายในเป็นรูปสายสร้อยเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า เป็นรูปวงกลม ภายในวงกลมเป็นรูปดาราอยู่เบื้องบน เป็นรูปตราจุลจอมเกล้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังอยู่เบื้องล่าง ที่วงขอบมีอักษรว่า "มหาสวามินี ของตรา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ จุลจอมเกล้าสำหรับตระกูล" พระราชลัญจกรประจำเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ ใช้สำหรับประทับประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายใน[11] ในปัจจุบัน พระราชลัญจกรนี้พ้นสมัย และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย กองอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ปัจจุบันจะประทับพระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์กำกับพระปรมาภิไธยแทน เช่นเดียวกับฝ่ายหน้า [12]
อ้างอิง
- ↑ พระราชบัญญัติเครื่องราชอิศริยยศจุลจอมเกล้าสำหรับตระกูล ปีระกาเบญจศก จุลศักราช ๑๒๓๕
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติเพิ่มเติมเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า พระพุทธศักราช ๒๔๕๗, เล่ม ๓๑, ตอน ๐ก, ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๗, หน้า ๓๘๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับตระกูลจุลจอมเกล้า รัตนโกสินทร์ ศก ๑๑๒ (ฝ่ายใน), เล่ม ๑๐, ตอน ๓๒, ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๑๘๙๓, หน้า ๓๔๖
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับตระกูลจุลจอมเกล้าฝ่ายในเพิ่มเติม รัตนโกสินทร ศก ๑๑๘, ตอน ๑๖, เล่ม ๓๔, ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๑๘๙๙, หน้า ๔๙๗
- ↑ 5.0 5.1 ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย เก็บถาวร 2011-11-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๑๐, ตอน ๒๙ง ฉบับพิเศษ, ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖, หน้า ๑
- ↑ 6.0 6.1 6.2 หนังสือเวียนที่กล่าวถึงการใช้คำนำนามสตรีที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2010-01-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จาก สำนักเลขธิการคณะรัฐมนตรี
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศการใช้คำนำหน้านามสตรีผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า, เล่ม ๑๓๙, ตอนพิเศษ ๕๓ง, ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕, หน้า ๑
- ↑ 8.0 8.1 เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า เก็บถาวร 2007-12-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จาก เว็บไซต์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศการใช้คำนำหน้านามสตรีผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า, เล่ม ๑๓๙, ตอนพิเศษ ๕๓ง, ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕, หน้า ๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า พุทธศักราช ๒๔๘๔, เล่ม ๕๘, ตอน ๐ ก, ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๔, หน้า ๑๕๕๓
- ↑ 11.0 11.1 พระราชบัญญัติพระราชลัญจกร รัตนโกสินทรศก 130 มาตรา 11
- ↑ 12.0 12.1 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. พระราชลัญจกร. กรุงเทพ : อมรินทร์พริ้นติ้ง,, พ.ศ. 2538. 200 หน้า. หน้า หน้าที่. ISBN 974-7771-63-2
แหล่งข้อมูลอื่น