พรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นพรรคการเมืองไทยซึ่งก่อตั้งในกลางปี พ.ศ. 2550 มีสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก เป็นพรรคการเมืองที่เคยได้รับเลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย
ประวัติ
ยุคก่อตั้ง
ในช่วงก่อตั้ง นายสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก ยุทธศาสตร์หาเสียงของพรรคคือ "นำรอยยิ้มกลับสู่สังคมไทย" มีอดีต ส.ส.ภาคอีสานเป็นสมาชิก เช่น กลุ่มของพินิจ จารุสมบัติ ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ วัฒนา อัศวเหม โสภณ เพชรสว่าง กลุ่มอดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร ในกลุ่มกรุงเทพ 50 ของสุรนันท์ เวชชาชีวะ รวมทั้งกลุ่มบ้านริมน้ำของสุชาติ ตันเจริญ และกลุ่มทางภาคเหนือของกิ่งกาญจน์ ณ เชียงใหม่ อีกด้วย ในส่วนของกลุ่มบุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นนักการเมืองมาก่อน แต่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคด้วยก็ได้แก่ นายสุระ แสนคำ หรือ เขาทราย แกแล็คซี่ อดีตแชมป์โลกชาวไทย [2] และ นาวาอากาศตรีปิยะพงษ์ ผิวอ่อน อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นต้น
กรรมการบริหารพรรค (2 ตุลาคม 2550 - 30 ตุลาคม 2551)
ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะกรรมการบริหารพรรค ได้แก่
กรรมการบริหารพรรค (9 ธันวาคม 2551 - 27 มีนาคม 2552)
การเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดดังกล่าวนี้ มีเรื่องวุ่นวายตามมาซึ่งมีสมาชิกพรรคบางส่วนอ้างว่าการที่พลตำรวจเอกประชา ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ถือเป็นโมฆะ เนื่องจากผิดข้อบังคับพรรค กระทั่งต้องมีการส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณา โดยพลตำรวจเอกประชายังคงดำรงตำแหน่งเรื่อยมาระหว่างรอผลพิจารณา เรื่องราวได้ลุกลามจนถึงขั้นพยายามลงมติขับพลตำรวจเอกประชาออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา ท้ายสุดผลของการพิจารณาจาก กกต. หลังจากตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องข้อบังคับต่างๆ มติ กกต.เสียงข้างมากเห็นว่า การประชุมดังกล่าวไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.พรรคการเมืองและข้อบังคับพรรคเพื่อแผ่นดิน จึงทำให้มติการเลือกพลตำรวจเอกประชา พรหมนอกเป็นหัวหน้าพรรค ถือเป็นโมฆะ [4]
กรรมการบริหารพรรค (20 เมษายน 2552 - พ.ศ. 2554)
การเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหาร[5][6][7]
ยุค พ.ศ. 2554
ต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 ผู้บริหารของพรรครวมชาติพัฒนา และพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ประกาศรวมตัวกันและตั้งพรรคใหม่ขึ้น ชื่อว่า "พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน" โดยสมาชิกของพรรคเพื่อแผ่นดินจำนวนมาก โดยเฉพาะอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ลาออกจากพรรคเพื่อแผ่นดินและสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมชาติพัฒนา[8]
กลางเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 กรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดินมีมติให้ ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เป็นหัวหน้าพรรค และนำสมาชิกพรรคสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งแบบบัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง[9] ในนามพรรคเพื่อแผ่นดิน เบอร์ 53
ยุคหลังการเลือกตั้ง 2562
ต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 พรรคเพื่อแผ่นดินได้จัดการประชุมใหญ่สามัญพรรคเพื่อแผ่นดิน ครั้งที่ 1/2563 ที่โรงแรมเชียงใหม่ออร์คิด จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จำนวน 12 คนพร้อมกับเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์พรรคซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกนายประมวล เอมเปีย อดีตรองโฆษก พรรคประชาธิปัตย์ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ พร้อมกรรมการบริหารพรรคอีก 11 คน[10] ต่อมาพรรคเพื่อแผ่นดินได้ถูกยุบพรรคเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2566 เนื่องจากทางพรรคไม่มีการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมากว่า 1 ปีเพราะคณะกรรมการบริหารพรรคลาออกจากสมาชิกพรรคทั้งคณะ[11]
กรรมการบริหารพรรค (26 กรกฎาคม 2563 -13 มีนาคม 2566)
รายชื่อ |
ตำแหน่ง
|
ประมวล เอมเปีย (ลาออกจากสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2565)
|
หัวหน้าพรรค
|
ไตรเทพ รัตนาจารย์ |
รองหัวหน้าพรรค
|
เฉลิมชัย ตันเจริญ (ลาออกจากสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2563)[12]
|
พันตำรวจเอก สนธยา แสงเภา (ลาออกจากสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2565)
|
สดใส โรจนวิชัย (ลาออกจากสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2565)
|
โสภณ ศรีมาเหล็ก
|
เลขาธิการพรรค (ลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)[13]
|
ยศพนต์ สุธรรม (แต่งตั้งแทน 4 เมษายน พ.ศ. 2564)
|
เลขาธิการพรรค
|
มาโนชญ์ เชื้อชาติ
|
เหรัญญิกพรรค
|
กฤตธี จันทร์สง่า
|
นายทะเบียนสมาชิกพรรค
|
ว่าที่ร้อยตรี พิทักษ์ จิระวนิชกุล (ลาออกจากสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2565)
|
โฆษกพรรค
|
เอกรินทร์ นิลสวัสดิ์ |
กรรมการบริหารพรรค
|
ณรง ชุมพล
|
ชัยพร ภูผารัตน์ (ลาออกจากสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2565)
|
ไพฑูรย์ วชิรวงศ์ภิญโญ (ลาออกจากสมาชิกพรรค เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2565)
|
อดีตสมาชิกพรรคที่มีชื่อเสียง
สภานโยบายและยุทธศาสตร์พรรค
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 พรรคเพื่อแผ่นดินได้แต่งตั้ง นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นประธานสภานโยบายและยุทธศาสตร์พรรค โดยมีคณะกรรมการสภาฯ ประกอบด้วย นายวิจิตร สุพินิจ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายศุภชัย พิศิษฐวานิช อดีตปลัดกระทรวงการคลัง นายบรรพต หงษ์ทอง อดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน และ นายนิทิต พุกกะณะสุต ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน โดยทั้งหมดจะเป็นทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อแผ่นดินด้วย [14]
ต่อมานายสุรเกียรติ ได้ลาออกจากตำแหน่ง ประธานสภานโยบายและยุทธศาสตร์พรรค เนื่องจากเป็นหนึ่งใน 111 อดีตกรรมกรรมบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี และ กกต. วินิจฉัยว่าไม่สมควรดำรงตำแหน่งใดๆ ในพรรคการเมืองระหว่างที่ถูกตัดสิทธิ์ดังกล่าว
การเลือกตั้ง
ผลการเลือกตั้ง
|
จำนวนที่นั่ง
|
คะแนนเสียงทั้งหมด
|
สัดส่วนคะแนนเสียง
|
ที่นั่งเปลี่ยน
|
ผลการเลือกตั้ง
|
ผู้นำเลือกตั้ง
|
2550
|
|
1,981,021
|
5.44%
|
24
|
ร่วมรัฐบาล
|
สุวิทย์ คุณกิตติ
|
2562
|
|
31,307
|
|
24
|
ไม่ได้รับเลือกตั้ง
|
ชัยยงค์ พรหมวงศ์
|
บทบาททางการเมือง
การถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล สมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี
ในค่ำวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 นายสุวิทย์ คุณกิตติ ในฐานะหัวหน้าพรรคได้จัดแถลงข่าวที่กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกรรมการบริหารพรรคอีก 2 คน ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลคณะรัฐมนตรีคณะที่ 57 โดยอ้างถึงมีความพยายามของรัฐบาลที่จะดึงดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ การจาบจ้วงเบื้องสูง และความไม่ชัดเจนในกรณีปราสาทเขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก แต่ต่อมา บรรดาสมาชิกได้แถลงว่า การลาออกครั้งนี้เป็นการกระทำของนายสุวิทย์คนเดียว มิได้ผ่านมติของกรรมการบริหารพรรค[15] [16]
การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2551
ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีปี พ.ศ. 2551 ต่อจากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จากรณียุบพรรคพลังประชาชน การลงมติครั้งนี้มีกระแสข่าวถึงความไม่แน่นอนในการเปลี่ยวขั้วรัฐบาล ของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งรวมถึงพรรคเพื่อแผ่นดินด้วยเช่นกัน ก่อนการลงมติมีการแถลงข่าวที่สร้างความสับสนถึงมติของพรรคเพื่อแผ่นดินอยู่เป็นระยะว่าจะเป็นเช่นไร จนมีเมื่อนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ได้เสนอชื่อพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินในขณะนั้น ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุว่าเป็นคนกลางและมีคุณวุฒิ เหมาะกับสถานการณ์บ้านเมือง แต่เมื่อถึงวันลงมติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เสียงของ ส.ส. ในพรรคเพื่อแผ่นดินทั้งหมด 21 เสียงในเวลานั้น ได้แตกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส.ส.ที่ลงมติเลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
- นายไชยยศ จิรเมธากร ส.ส.อุดรธานี
- นายนรพล ตันติมนตรี ส.ส.เชียงใหม่
- นายประนอม โพธิ์คำ ส.ส.นครราชสีมา
- นายพิกิฏ ศรีชนะ ส.ส.ยโสธร
- นายพิเชษฐ์ ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา
- นายพลพีร์ สุวรรณฉวี ส.ส.นครราชสีมา
- ร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี ส.ส.นครราชสีมา
- นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร
- นายอนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ ส.ส.นครราชสีมา
- นายวิทยา บุตรดีวงศ์ ส.ส.มุกดาหาร
- นายสุชาติ ตันติวณิชชานนท์ ส.ส.อุบลราชธานี
- นายแพทย์อลงกต มณีกาศ ส.ส.นครพนม
ส.ส.ที่ลงมติเลือกพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก เป็นนายกรัฐมนตรี
- พลตำรวจเอกประชา พรหมนอก ส.ส.สัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 3
- หม่อมราชวงศ์กิติวัฒนา ไชยันต์ ส.ส.สัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 6
- นางจิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล ส.ส.นครราชสีมา
- นายปุระพัฒน์ วิเศษจินดาวัฒนา ส.ส.สัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 5
- นายมานพ ปัตนวงศ์ ส.ส.สัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 8
- นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ ส.ส.สัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 4
- นายแพทย์แวมาฮาดี แวดาโอะ ส.ส.นราธิวาส
- นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ส.สัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 2
- นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ ส.ส.สัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 1
การลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี พ.ศ. 2553
การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี 5 คน เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม และวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ซึ่งมีการลงมติในวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553 โดย ส.ส.ของพรรคเพื่อแผ่นดินบางส่วน ได้ลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในรัฐบาล 2 คน คือ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล และนายโสภณ ซารัมย์ จากพรรคภูมิใจไทย ทำให้แกนนำของพรรคภูมิใจไทย แสดงความไม่พอใจ และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปรับพรรคเพื่อแผ่นดินออกจากพรรคร่วมรัฐบาล[17]
ต่อมาได้มีการปรับรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อแผ่นดิน จำนวน 3 คน คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ออกจากตำแหน่ง และมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคมาตุภูมิ แทนในโควตาของพรรค โดยให้โควตารัฐมนตรีให้พรรคเพื่อแผ่นดิน เพียง 1 ตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
การเลือกตั้งภายหลังการย้ายออกของอดีต ส.ส.
พรรคเพื่อแผ่นดิน โดยนายกว้าง รอบคอบ รักษาการหัวหน้าพรรค ประกาศแสดงเจตนารมณ์ของพรรคว่าจะไม่มีการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 เพื่อป้องกันความสับสันระหว่างพรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ซึ่งสมาชิกของพรรคเพื่อแผ่นดินส่วนใหญ่ได้ย้ายเข้าไปร่วมงานทางการเมืองด้วย ส่วนกิจกรรมของพรรคเพื่อแผ่นดินยังคงมีต่อไป
พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดเชียงใหม่ เขต 3 แทนนางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ เมื่อวันที 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง
พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 มีหมายเลขประจำพรรคคือ หมายเลข 53 แต่การเลือกตั้งในครั้งนั้นเป็นโมฆะตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
หมายเหตุ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น