ภาษาขมุ
ภาษาขมุ [ขะ-หฺมุ] หรือ ภาษากำมุ เป็นภาษาของชาวขมุ ซึ่งอาศัยอยู่ในตอนเหนือของประเทศลาว รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และประเทศจีน จัดอยู่ในกลุ่มภาษาขมุ ของตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก โดยในตระกูลภาษานี้ ภาษาขมุมักได้รับการระบุว่ามีความใกล้ชิดกับภาษากลุ่มปะหล่อง และภาษากลุ่มคาซี มากที่สุด[ 6]
การกระจายตามเขตภูมิศาสตร์
บริเวณที่มีการพูดภาษาขมุถิ่นโดยประมาณในประเทศลาว
สุวิไล เปรมศรีรัตน์ (2002)[ 7] รายงานที่ตั้งและภาษาถิ่นของภาษาขมุในประเทศไทย ประเทศลาว ประเทศเวียดนาม และประเทศจีนดังต่อไปนี้
ภาษาถิ่น
ภาษาขมุประกอบด้วยภาษาถิ่นหลายภาษาโดยไม่มีวิธภาษามาตรฐาน ภาษาขมุถิ่นมีความแตกต่างกันในแง่จำนวนเสียงพยัญชนะ การใช้ลักษณะน้ำเสียง และระดับอิทธิพลจากภาษาประจำชาติ ที่อยู่โดยรอบ ภาษาขมุถิ่นต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ อย่างไรก็ตาม ผู้พูดภาษาถิ่นที่อยู่ไกลจากกันออกไปอาจสื่อสารกันลำบากขึ้น
ภาษาขมุในท้องถิ่นต่าง ๆ สามารถจัดเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้สองกลุ่ม ได้แก่ ภาษาขมุตะวันตกและภาษาขมุตะวันออก
ภาษาขมุตะวันตก ได้แก่ภาษาขมุที่พูดกันเป็นหลักในจังหวัดน่านและจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย; แขวงบ่อแก้ว แขวงอุดมไซ และแขวงหลวงน้ำทา ประเทศลาว; และในบางหมู่บ้านของจังหวัดปกครองตนเองสิบสองปันนา ประเทศจีน[ 8] ภาษาขมุถิ่นในกลุ่มนี้มีหน่วยเสียงพยัญชนะน้อยกว่าภาษาขมุตะวันออกและมีการเปรียบต่างหน่วยเสียงระหว่างลักษณะน้ำเสียงทุ้ม-ต่ำกับลักษณะน้ำเสียงแรง-ดัง-สูง (หรือใส-แรง) ภาษาถิ่นบางภาษายังผ่านภาวะการเป็นภาษามีลักษณะน้ำเสียงไปเป็นภาษามีวรรณยุกต์แล้วด้วย
ภาษาขมุตะวันออก ได้แก่ภาษาขมุที่พูดกันเป็นหลักในแขวงพงสาลี แขวงหลวงพระบาง แขวงหัวพัน และแขวงเชียงขวาง ประเทศลาว; จังหวัดเหงะอาน จังหวัดเซินลา และจังหวัดเดี่ยนเบียน ในประเทศเวียดนาม; และในบางหมู่บ้านของจังหวัดปกครองตนเองสิบสองปันนา ประเทศจีน[ 8] ภาษาขมุถิ่นในกลุ่มนี้มีแนวโน้มตรงกันข้ามกับภาษาขมุตะวันตก กล่าวคือ ไม่มีการเปรียบต่างหน่วยเสียงระหว่างลักษณะน้ำเสียงหรือระหว่างวรรณยุกต์ แต่มีการเปรียบต่างหน่วยเสียงระหว่างเสียงพยัญชนะหยุด 3 ประเภท (ก้อง ไม่ก้อง และไม่พ่นลม) และระหว่างเสียงพยัญชนะนาสิก 3 ประเภท (ก้อง ไม่ก้อง และนำด้วยเสียงหยุด เส้นเสียง ) ในตำแหน่งต้นพยางค์
สัทวิทยา
พยัญชนะ
หน่วยเสียงในช่องสีแดงคือหน่วยเสียงที่ปรากฏเฉพาะในภาษาขมุตะวันออกถิ่นต่าง ๆ
หน่วยเสียงที่เป็นได้ทั้งพยัญชนะต้น และพยัญชนะท้าย มี 15 หน่วยเสียง ได้แก่ /m/ , /n/ , /ɲ/ , /ŋ/ , /p/ , /t/ , /c/ , /k/ , /ʔ/ , /s/ , /h/ , /r/ , /l/ , /w/ และ /j/ [ 9]
หน่วยเสียงพยัญชนะต้นควบมี 13 หน่วยเสียง ได้แก่ /pr/ , /pl/ , /pʰr/ , /tr/ , /tʰr/ , /cr/ , /cʰr/ , /kr/ , /kl/ , /kw/ , /kʰr/ , /kʰw/ และ /sr/ (แต่หน่วยเสียง /tʰr/ ไม่ปรากฏในภาษาขมุตะวันตกถิ่นห้วยเอียน จังหวัดเชียงราย)[ 10]
หน่วยเสียง /c/ เมื่ออยู่ในตำแหน่งต้นพยางค์ออกเสียงเป็น [t͡ɕ] และเมื่ออยู่ในตำแหน่งท้ายพยางค์ออกเสียงเป็น [c] [ 11]
หน่วยเสียง /cʰ/ ออกเสียงเป็น [t͡ɕʰ] [ 11]
หน่วยเสียง /f/ เป็นหน่วยเสียงที่ปรากฏเฉพาะในคำยืมจากภาษากลุ่มไท ที่อยู่โดยรอบ[ 12]
หน่วยเสียง /s/ เมื่ออยู่ในตำแหน่งท้ายพยางค์ออกเสียงเป็น [jh] , [h] , [ç] หรือ [s] ขึ้นอยู่กับภาษาถิ่น[ 13]
หน่วยเสียง /w̥/ ออกเสียงเป็นเสียงเปิด ริมฝีปาก-เพดานอ่อน ไม่ก้อง
เสียง [ˀj] หรือ [ʔj] จัดเป็นหน่วยเสียงเอกเทศในภาษาขมุตะวันออก แต่จัดเป็นหน่วยเสียงย่อยของหน่วยเสียง /j/ ในภาษาขมุตะวันตก โดยปรากฏเฉพาะในคำบางคำและในคำยืมจากภาษากลุ่มไท[ 14]
สระ
สระในภาษาขมุมีทั้งสิ้น 22 เสียง เป็นสระเดี่ยว 19 เสียง และสระประสมสองเสียง 3 เสียง ภาษาขมุถิ่นทุกภาษามีหน่วยเสียงสระคล้ายคลึงกัน แม้ว่าภาษาขมุถิ่นบางภาษาจะได้พัฒนาระบบลักษณะน้ำเสียงขึ้นใช้ แต่สระยังคงเหมือนเดิม[ 9]
สระเดี่ยว
หน่วยเสียงสระเดี่ยวภาษาขมุ [ 9]
ระดับลิ้น
ตำแหน่งลิ้น
หน้า
กลาง
หลัง
สูง
i, iː
ɨ, ɨː
u, uː
กึ่งสูง
e, eː
ə, əː
o, oː
กึ่งต่ำ
ɛ, ɛː
ʌː
ɔ, ɔː
ต่ำ
a, aː
สระสั้น /e/ , /ɛ/ , /ɨ/ , /ə/ , /u/ , /o/ และสระยาว /ʌː/ มีจำนวนการเกิดไม่มากนัก[ 15]
คำที่มีพยัญชนะท้ายเป็น [h] สระมักจะมีลักษณะเป็นเสียงสั้น เช่น [si h] 'นอน' ในขณะที่คำที่มีพยัญชนะท้ายเป็น [ʔ] สระมักจะมีลักษณะเป็นเสียงยาว เช่น [lə ʔ] 'ดี'[ 16]
เสียงสระในพยางค์แรกของคำ (ซึ่งเป็นพยางค์ที่ไม่ลงเสียงหนัก) อาจมีการแปรเสียง เช่น /ka to̤ŋ/ [kə to̤ŋ~kɨ to̤ŋ] 'ไข่'[ 17]
สระประสม
ภาษาขมุมีหน่วยเสียงสระประสม 3 หน่วยเสียง ได้แก่ /iə/ , /ɨə/ และ /uə/ [ 9]
ลักษณ์เหนือหน่วยแยกส่วน
ภาษาขมุนั้นมีทั้งภาษาถิ่นที่ใช้ลักษณะน้ำเสียง ภาษาถิ่นที่ใช้วรรณยุกต์ และความแตกต่างของพยัญชนะต้น (พ่นลมหรือไม่พ่นลม) ภาษาถิ่นที่ใช้วรรณยุกต์แต่ไม่ใช้ความแตกต่างของพยัญชนะต้น (พ่นลมหรือไม่พ่นลม) และภาษาถิ่นที่ไม่ใช้ทั้งลักษณะน้ำเสียงและวรรณยุกต์ แต่ใช้ความแตกต่างของพยัญชนะต้น (ก้องหรือไม่ก้อง) ในการจำแนกความหมายของคำ ดังตัวอย่างในตาราง
ตัวอย่างพัฒนาการของเสียงวรรณยุกต์ในภาษาขมุ 4 ถิ่น [ 18] [ 19]
คำ
ภาษาไม่มีวรรณยุกต์ และไม่มีลักษณะน้ำเสียง
ภาษามีลักษณะน้ำเสียง
ภาษามีวรรณยุกต์
ภาษาขมุตะวันออก
ภาษาขมุตะวันตก
ถิ่นที่ 1
ถิ่นที่ 2
ถิ่นที่ 3
'เหล้า'
buːc
pṳːc
pʰùːc
pùːc
'ถอด'
puːc
pûːc
púːc
pûːc
'เหยี่ยว'
ɡlaːŋ
kla̤ːŋ
kʰlàːŋ
klàːŋ
'หิน'
klaːŋ
klâːŋ
kláːŋ
klâːŋ
จากตาราง ภาษาขมุตะวันออกเป็นตัวแทนของภาษาขมุดั้งเดิมที่รักษาความเปรียบต่างระหว่างพยัญชนะก้องกับพยัญชนะไม่ก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ และเป็นภาษาไม่มีลักษณะน้ำเสียงและไม่มีวรรณยุกต์ แต่ในภาษาขมุตะวันตกถิ่นที่ 1 พยัญชนะก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ได้กลายเป็นพยัญชนะไม่ก้องพร้อมสระที่มีลักษณะน้ำเสียงทุ้ม-ต่ำ ในภาษาขมุตะวันตกถิ่นที่ 2 พยัญชนะก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ได้กลายเป็นพยัญชนะไม่ก้อง พ่นลม ส่วนลักษณะน้ำเสียงทุ้ม-ต่ำได้พัฒนาไปเป็นเสียงวรรณยุกต์ต่ำ ส่วนภาษาขมุตะวันตกถิ่นที่ 3 พยัญชนะก้องในตำแหน่งต้นพยางค์ได้กลายเป็นพยัญชนะไม่ก้องพร้อมสระที่มีเสียงวรรณยุกต์ต่ำ ในขณะเดียวกัน ภาษาขมุตะวันตกยังคงรักษาเสียงพยัญชนะไม่ก้องในตำแหน่งต้นพยางค์จากภาษาขมุดั้งเดิมเอาไว้ แต่ได้พัฒนาลักษณะน้ำเสียงแรง-ดัง-สูงหรือวรรณยุกต์สูง (หรือสูง-ตก) ขึ้นมาเป็นลักษณ์เด่นจำแนกควบคู่กัน[ 20]
ในภาษาขมุถิ่นที่ใช้ลักษณะน้ำเสียงบางภาษา (เช่น ภาษาขมุตะวันตกถิ่นห้วยเอียน จังหวัดเชียงราย) ลักษณะน้ำเสียงยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ถ้าเป็นคำที่มีคู่เทียบเสียง ลักษณะน้ำเสียงที่ 1 และลักษณะน้ำเสียงที่ 2 ในคำเหล่านั้นจะมีลักษณะต่างกันอย่างชัดเจน แต่ถ้าไม่มีคู่เทียบเสียง ลักษณะน้ำเสียงทั้งสองจะใกล้เคียงกัน[ 21] และถ้าเป็นคำหลายพยางค์ จะลงเสียงหนักและระบุลักษณะน้ำเสียงที่พยางค์สุดท้ายเท่านั้น ส่วนพยางค์อื่นจะไม่ลงเสียงหนัก จึงไม่ระบุลักษณะน้ำเสียง เช่น /ka to̤ŋ/ 'ไข่', /si cáːŋ/ 'ช้าง', /ta laː ptáːp/ 'ผีเสื้อ', /ta le ŋtéŋ/ 'แมลงปอ'[ 22]
ไวยากรณ์
วิทยาหน่วยคำ
โดยทั่วไปภาษาขมุเป็นภาษาไม่มีการเปลี่ยนรูปคำเพื่อแสดงเพศ หรือพจน์ (ยกเว้นคำสรรพนาม ) และไม่มีการกระจายรูปคำกริยาตามกาล หรือการณ์ลักษณะ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นภาษาที่มีคำพยางค์เดียวมากขึ้นเช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ ในตระกูลออสโตรเอเชียติก เช่น ภาษามัล ภาษาเวียดนาม [ 23] อย่างไรก็ตาม ในภาษาขมุก็มีการเติมหน่วยคำเติม เพื่อแสดงลักษณะทางไวยากรณ์อยู่บ้าง แต่จัดเป็นระบบไม่ได้ชัดเจนนัก[ 23]
สรรพนาม
คำสรรพนามแทนบุคคลมีรูปเป็นเอกพจน์ ทวิพจน์ และพหูพจน์ดังนี้[ 24]
สรรพนาม
เอกพจน์
ทวิพจน์
พหูพจน์
บุรุษที่ 1
โอะ
อะ
อิ
บุรุษที่ 2
ชาย
แยะ
ซะว้า
ปอ
หญิง
ปา
บุรุษที่ 3
ชาย
เกอ
ซะน้า
นอ
หญิง
นา
สัตว์
เกอ , นา
สิ่งของ
เกอ
คำสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยคซึ่งตรงกับคำว่า "อันที่" "คนที่" หรือ "ตัวที่" ในภาษาไทย ภาษาขมุจะใช้ว่า กัม หรือ นัม
หน่วยคำเติม
คำในภาษาขมุที่มีมากกว่า 1 พยางค์อาจเกิดจากการเติมหน่วยคำเติมหน้า (อุปสรรค) หรือหน่วยคำเติมกลาง (อาคม) เพื่อแสดงลักษณะทางไวยากรณ์ การเติมหน่วยคำเติมยังอาจทำให้ลักษณะน้ำเสียงในพยางค์ที่ 2 เปลี่ยนไปด้วย ตัวอย่างการเติมหน่วยคำเติมมีดังนี้[ 25]
หน่วยคำเติมหน้า {ซัง– } และ {รึน– } ทำให้คำกริยาเป็นคำนาม เช่น
จุ้ 'เจ็บ' → ซัง จุ้ 'ความเจ็บป่วย'
เต็น 'นั่ง' → รึน เต็น 'ที่นั่ง'
หน่วยคำเติมหน้า {ตึร– } และ {อึน– } ทำให้คำกริยาเป็นคำคุณศัพท์ เช่น
เวียด 'บิด' → ตึร เวียด 'ที่ผิดไปจากรูปเดิม'
จ้าก 'ฉีก' → อึน จ้าก 'ที่ฉีกขาด'
หน่วยคำเติมหน้า {ปะ– } และ {ปึน– } เปลี่ยนคำกริยาทั่วไปให้เป็นคำกริยาก่อเหตุ (กริยาการีต) เช่น
เลียน 'ออก' → ปะ เลี้ยน 'ทำให้ออก'
ล้ง 'ลืม, ไม่รู้ทาง' → ปึน ล้ง 'ปล่อย, ทำให้หลงทาง'
หน่วยคำเติมกลาง {–ึรน– } ทำให้คำกริยาเป็นคำนาม เช่น
แก้บ 'คีบ' → กึร แน บ 'คีม'
ต้าญ 'สาน' → ตึรน าญ 'เครื่องสาน'
วากยสัมพันธ์
ภาษาขมุเป็นภาษาที่มีการเรียงลำดับคำแบบประธาน–กริยา–กรรมเป็นหลัก มีการใช้คำสันธาน น้อย โดยมากใช้ประโยคเรียงต่อกันเท่านั้น คำบุพบท มีไม่กี่คำ ที่ใช้มากคือคำว่า ตา หมายถึง 'ด้าน' หรือ 'ที่' และคำว่า ลอง หมายถึง 'แถว' หรือ 'บริเวณ'
ระบบการเขียน
คณะกรรมการจัดทำระบบเขียนภาษาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยอักษรไทย สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ได้กำหนดตัวเขียนภาษาขมุอักษรไทยตามระบบเสียงภาษาขมุตะวันตกที่พูดกันในบ้านห้วยเอียน ตำบลหล่ายงาว อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ไว้ดังนี้
พยัญชนะ
อักษรไทย
เสียง
ตัวอย่างคำ
ความหมาย
ก
/k/
ก วล
ครกตำข้าว
ตร้าก
ควาย
ค
/kʰ/
เคิ้ บ
ฝักใส่มีด
ง
/ŋ/
เง้ าะ
ข้าวเปลือก
แชร้ง
ฉาบ
จ
/c/
เจื อง
เท้า
มูจ
มด
ช
/cʰ/
ช้ าง
ค่าง
ซ
/s/ (เมื่อเป็นพยัญชนะต้น)
เซ้ าะ
หมา
ญ
/ɲ/
ญ าง
ใยแมงมุม
ซึรมิญ
ดาว
ด
/d/
ด้ ง
ป่าดงดิบ
/t/ (เมื่อเป็นพยัญชนะท้าย)
ซร้วด
เช้า
ต
/t/ (เมื่อเป็นพยัญชนะต้น)
ติ้
มือ
ท
/tʰ/
ท้ าน
ระเบียงบ้าน
น
/n/
นั ย
กระแต
อยอน
ราฟืนราไฟ
บ
/b/
เบ้ ด
เบ็ด
/p/ (เมื่อเป็นพยัญชนะท้าย)
เตี้ยบ
ห่อ (กริยา)
ป
/p/ (เมื่อเป็นพยัญชนะต้น)
ปั้ ด
เป็ด
พ
/pʰ/
เพื้ อน
ขันโตก
ฟ
/f/
แฟ้ บ
ผงซักฟอก
ม
/m/
มั ร
งู
ยุม
ลูกอ๊อด
ย
/j/
ย าน
มโหระทึก
ระวาย
เสือ
ยฮ
/s/ (เมื่อเป็นพยัญชนะท้าย)
ฮ้อยฮ
ตั๊กแตน
ร
/r/
เร้ ะ
ไร่, เม่น
ก้าร
ปิ้ง, ย่าง
ล
/l/
ล้ ะ
ใบไม้
โย็ล
หัวปลี
ว
/w/
เว อฺร
มีดถากหญ้า
ปลาว
มะพร้าว
อ
/ʔ/ (เมื่อเป็นพยัญชนะต้น)
แอ บ
กระติบ
อย
[ˀj]
อยั้ ง
กระบุงแบบขมุ
ฮ
/h/
ฮ้ วล
หมี
ติฮ
เห็ด
ไม่มีรูป
/ʔ/ (เมื่อเป็นพยัญชนะท้าย)
อิ
พวกเรา
โคระ
นกกรงหัวจุก
สระ
อักษรไทย
เสียง
ตัวอย่างคำ
ความหมาย
–ะ
/a/ (เมื่อไม่มีพยัญชนะท้าย และอยู่ในคำหลายพยางค์ หรือเมื่อมีพยัญชนะท้ายเป็น /ʔ/ )
กะ มู้ล
เงิน
ละ วาง
ท้องฟ้า
กะ
ปลา
–ั
/a/ (เมื่อมีพยัญชนะท้าย ที่ไม่ใช่ /ʔ/ , /w/ )
ควั้ ร
แคะ, คุ้ย
มั ฮ
ข้าวสุก
–า
/aː/
ซ้า
กระบุง
–ิ
/i/
ยิ ม
สีแดง
–ี
/iː/
ซี้ ม
นก
–ึ
/ɨ/
ตึ รลึ บ
กระบอกไม้ไผ่
–ือ
/ɨː/ (เมื่อไม่มีพยัญชนะท้าย)
จื้อ
จำ
–ื
/ɨː/ (เมื่อมีพยัญชนะท้าย)
อื ง
อึ่งอ่าง
–ุ
/u/
ปลุ
ต้นขา
–ู
/uː/
มู ม
อาบ (น้ำ)
เ–ะ
/e/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายเป็น /ʔ/ )
เ ป้ะ
สาม
เ–็
/e/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น และมีลักษณะน้ำเสียงทุ้ม)
เก็ บ
ตัด, เล็ม
เต็ น
นั่ง
เ–้
/e/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น และมีลักษณะน้ำเสียงใส-แรง)
เจ้ ด
เจ็ด
เซ้ ง
สะอาด
เ–
/eː/
เ ป้
ไม่
เ ปลก
ปลาไหล
แ–ะ
/ɛ/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายเป็น /ʔ/ )
ซังแ บะ
แพะ
แ–็
/ɛ/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น และมีลักษณะน้ำเสียงทุ้ม)
แต็ ฮ
ตะกร้าปากบาน
แ–้
/ɛ/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น และมีลักษณะน้ำเสียงใส-แรง)
แซ้ ก
ตัด (เชือก)
แ–
/ɛː/
แ อบ
กระติบ
แ ล้บ
แบน
โ–ะ
/o/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายเป็น /ʔ/ )
โ ซ้ะ
ขวานแบบขมุ
โ–็
/o/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายเป็น/ɲ/ , /c/ , /s/ , /h/ , /r/ , /l/ และมีลักษณะน้ำเสียงทุ้ม)
โก็ ร
เกา
โย็ ยฮ
เปราะ, หักง่าย
โอ็ ฮ
แผล
โ–้
/o/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายเป็น/ɲ/ , /c/ , /s/ , /h/ , /r/ , /l/ และมีลักษณะน้ำเสียงใส-แรง)
โท้ ร
เครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ทำจากไม้ไผ่
โ–ะ (ลดรูป)
/o/ (เมื่อมีพยัญชนะท้าย ที่ไม่ใช่ /ʔ/ , /ɲ/ , /c/ , /s/ , /h/ ,/r/ , /l/ )
บ้ก
ขุดโดยใช้จอบ
ปด
หยิบ
อม
น้ำ
โ–
/oː/
โ ซรญ
แห้งสนิท
โ ม้บ
แอบ, ซ่อน
เ–าะ
/ɔ/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายเป็น /ʔ/ )
เ ชาะ
อุด
–็อ
/ɔ/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น และมีลักษณะน้ำเสียงทุ้ม)
ย็อ ฮ
ไป
ปล็อ ญ
แกะ (ข้าวโพด)
–้อ
/ɔ/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น และมีลักษณะน้ำเสียงใส-แรง)
ร้อ ฮ
ไต่
–อ
/ɔː/
จอ ย
ช่วยเหลือ
จ้อ ย
ไซดักปลา
เ–อะ
/ə/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายเป็น /ʔ/ )
เ กลอะ
ผม (นาม)
เ–ิ–็
/ə/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น และมีลักษณะน้ำเสียงทุ้ม)
เอิบ็
ครึ้ม
เริง็ เริง็
รุ่งสาง
เ–ิ้
/ə/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น และมีลักษณะน้ำเสียงใส-แรง)
เริ้ ง
นาน
เ อยิ้ ง
ภาชนะแช่ข้าว
เ–อ
/əː/ (เมื่อไม่มีพยัญชนะท้าย)
เ ซอเ กรอ
ตะไคร้
เ–ิ
/əː/ (เมื่อมีพยัญชนะท้าย)
เปิ กเป้อ
ตุ๊กแก
เติ้ บ
พอ, หยุด
เ–อฺ
/ʌː/
เ ดอฺ ม
ดู
เ–า
/aw/
เต้า
เต่า
เ–ียะ
/iə/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายเป็น /ʔ/ )
เซี้ยะ
ลูกพี่ลูกน้องชาย
เ–ีย
/iə/ (เมื่อไม่มีพยัญชนะท้าย หรือเมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น)
เ ปลีย
สวย
เซี้ย ม
เสียม
เ–ือะ
/ɯə/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายเป็น /ʔ/ )
เ กลื้อะ
เหยี่ยวชนิดหนึ่ง
เ–ือ
/ɯə/ (เมื่อไม่มีพยัญชนะท้าย หรือเมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น)
ปึรเลือ
ไฟ
เ ตรื้อ ก
ซี่โครง
–ัวะ
/uə/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายเป็น /ʔ/ )
กึมลัวะ
พืชชนิดหนึ่งคล้ายข่า
–ัว
/uə/ (เมื่อไม่มีพยัญชนะท้าย)
ซิญั้ว
ไม้ทำหน้าจั่ว
–ว–
/uə/ (เมื่อมีพยัญชนะท้ายอื่น)
ป้ว ยฮ
เก้ง
รูปสระสั้นที่มีเครื่องหมาย –็ จะใส่ –็ ไว้เหนือพยัญชนะต้นเดี่ยวหรือ พยัญชนะต้นควบตัวที่สอง เช่น ย็ อฮ , แกล็ ฮ ในกรณีที่เป็นสระ เ–ิ–็ จะเลื่อน –็ ไปไว้เหนือพยัญชนะถัดไป เนื่องจากชนกับรูปสระบน (–ิ ) เช่น เอิบ็
ในกรณีที่เป็นสระเสียงสั้นที่มีลักษณะน้ำเสียงใส-แรง ให้ใส่เฉพาะ เครื่องหมาย –้ โดยไม่ต้องใส่เครื่องหมาย –็ เพื่อแสดงเสียงสั้นด้วย เช่น แซ้ ก , โท้ ร , เริ้ ง
ในกรณีที่พยัญชนะต้นควบปรากฏร่วมกับรูปสระหน้า เ , แ , โ ไม่ต้องเลื่อนพยัญชนะตัวแรกไปไว้หน้ารูปสระนั้น เช่น เกล้ ะ , แชร้ ง , โซร ญ
ลักษณะน้ำเสียง
อักษรไทย
ลักษณะ น้ำเสียง
ตัวอย่างคำ
ความหมาย
ไม่มีรูป
ทุ้ม (ทุ้ม-ต่ำ)
ตุก
จน
ปิฮ
ใหญ่
ราง
ดอกไม้
เกละ
สามี
–้
ใส-แรง (แรง-ดัง-สูง)
ตุ้ ก
ผูก
ปิ้ ฮ
จูง, ยางไม้
ร้ าง
ฟัน (นาม)
เกล้ ะ
โผล่
คำที่มีคู่เทียบลักษณะน้ำเสียง ผู้พูดภาษาขมุ จะออกเสียงคำต่างกันชัดเจน เช่น เงาะ 'กลัว' กับ เง้าะ 'ข้าวเปลือก' ส่วนคำที่ไม่มีคู่เทียบ ลักษณะน้ำเสียง ผู้พูดภาษาขมุจะไม่เคร่งครัด ในการใช้เครื่องหมายแสดงลักษณะน้ำเสียง เช่น อัฮ 'มี' อาจเขียนโดยไม่ใส่เครื่องหมาย แสดงลักษณะน้ำเสียงกำกับก็ได้
ในกรณีที่เป็นคำหลายพยางค์ จะลงเสียงหนัก และระบุลักษณะน้ำเสียงที่พยางค์สุดท้ายเท่านั้น ส่วนพยางค์อื่นจะไม่ลงเสียงหนัก จึงไม่ระบุลักษณะ น้ำเสียง เช่น กะ ตง , ซิ จ้าง , ตะลาบ ต้าบ , ตะเล็ง เต้ง
อ้างอิง
↑ สุวิไล เปรมศรีรัตน์. (2536). พจนานุกรมไทย–ขมุ–อังกฤษ. นครปฐม : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล, หน้า 57, 389.
↑ "Kmhmu' " . Ethnologue (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-07-26 .
↑ "Khuen" . Ethnologue (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-07-26 .
↑ Hammarström (2015) Ethnologue 16/17/18th editions: a comprehensive review: online appendices
↑ "Mon-Khmer Classification (Draft)" .
↑ Diffloth, Gérard (2005). "The contribution of linguistic palaeontology and Austroasiatic". in Laurent Sagart, Roger Blench and Alicia Sanchez-Mazas, eds. The Peopling of East Asia: Putting Together Archaeology, Linguistics and Genetics. 77–80. London: Routledge Curzon.
↑ Premsrirat, Suwilai. (2002). Dictionary of Khmu in Laos. Mon-Khmer Studies, Special Publication, Number 1, Volume 3. Nakhon Pathom: Mahidol University at Salaya, Thailand.
↑ 8.0 8.1 Premsrirat, Suwilai (2001). "Tonogenesis in Khmu dialects of SEA". Mon-Khmer Studies . 31 : 54.
↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 Premsrirat, Suwilai (2001). "Tonogenesis in Khmu dialects of SEA". Mon-Khmer Studies . 31 : 50.
↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ : สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 37.
↑ 11.0 11.1 Premsrirat, Suwilai (1987). "A Khmu Grammar". Papers in South-East Asian Linguistics . 10 : 8.
↑ Premsrirat, Suwilai. The Thesaurus and Dictionary Series of Khmu Dialects in Southeast Asia. Nakhon Pathom: Institute of Language and Culture for Rural Development and SIL International, 2002.
↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 38.
↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 37.
↑ สุวิไล เปรมศรีรัตน์. (2536). พจนานุกรมไทย–ขมุ–อังกฤษ. นครปฐม : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล, หน้า (25).
↑ สุวิไล เปรมศรีรัตน์. (2536). พจนานุกรมไทย–ขมุ–อังกฤษ. นครปฐม : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล, หน้า (25)–(26).
↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 16.
↑ Premsrirat, Suwilai (2001). "Tonogenesis in Khmu dialects of SEA". Mon-Khmer Studies . 31 : 54.
↑ ผณินทรา ธีรานนท์. (2557). เสียงวรรณยุกต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : กำเนิดและพัฒนาการ. เชียงราย: ชอบพิมพ์, หน้า 41.
↑ Premsrirat, Suwilai (2001). "Tonogenesis in Khmu dialects of SEA". Mon-Khmer Studies . 31 : 53.
↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 44.
↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 45.
↑ 23.0 23.1 สุวิไล เปรมศรีรัตน์. (2536). พจนานุกรมไทย–ขมุ–อังกฤษ. นครปฐม : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล, หน้า (29).
↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 17.
↑ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2566). คู่มือระบบเขียนภาษาขมุอักษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. กรุงเทพฯ: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, หน้า 16–17.
ภาษาราชการ กลุ่มภาษาไท
เชียงแสน ตะวันตกเฉียงเหนือ ลาว–ผู้ไท สุโขทัย กลุ่มอื่น ๆ
ชนกลุ่มน้อย ตามตระกูลภาษา
ไม่ใช่ภาษาพื้นเมือง
ภาษามือ