ฟูกูชิมะ 50 เป็นชื่อที่สื่อตั้งให้แก่กลุ่มของลูกจ้างของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่ง ซึ่งยังคงทำงานต่อไปหลังจากเกิดเพลิงไหม้ขึ้นในเครื่องปฏิกรณ์หน่วยที่ 4 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554 ซึ่งส่งผลให้มีการอพยพพนักงาน 750 คน จากทั้งหมด 800 คน[1][2]
ต่อมา กลุ่มฟูกูชิมะ 50 ได้รับการสมทบโดยคนงานเพิ่มเติมในหลายวันต่อมา แต่ชื่อ "ฟูกูชิมะ 50" ยังคงถูกใช้โดยสื่อเพื่อหมายถึงกลุ่มคนงานที่ทำงานอยู่ที่ฟูกูชิมะ จำนวนคนงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้นเป็น 580 คนในตอนเช้าของวันที่ 18 มีนาคม[1] โดยมีเจ้าหน้าที่จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์คาชิวาซากิ-คาริวะ และคนงานซึ่งติตตั้งสายไฟฟ้าเข้ามาร่วมด้วย เมื่อวันที่ 23 มีนาคม จำนวนของคนงาน พนักงานดับเพลิง และทหารที่ยังคงทำงานอยู่ที่โรงไฟฟ้าดังกล่าวเพิ่มคนเป็นมากกว่า 1,000 คน[3] [4] ฟูกูชิมะ 50 เป็นกลุ่มที่ถูกนำตัวมาจากโตชิบา ฮิตาชิ บริษัทท้องถิ่นขนาดเล็กถึงปานกลางในฟูกูชิมะ คาจิมะ คันเด็นโกะ[5] พนักงานดับเพลิงจากโตเกียว โอซากะ[6] โยโกฮามะ[7] คาวาซากิ และนาโงยะ ตลอดจนบริษัทผลิตไฟฟ้าโตเกียวและบริษัทลูก[2]
มีคนงานมากกว่า 20 คนได้รับบาดเจ็บจนถึงวันที่ 18 มีนาคม รวมไปถึงคนงานที่ได้รับกัมมันตภาพรังสีเมื่อคนงานพยายามที่จะระบายไอน้ำจากวาล์วของอาคารคลุมเตาปฏิกรณ์[1] ส่วนคนงานอีก 3 คนได้รับปริมาณรังสีสูงกว่า 100 มิลลิซีเวิร์ต 2 คนในจำนวนนี้ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเนื่องจากรังสีบีตาทำให้ผิวไหม้เมื่อวันที่ 24 มีนาคม[8]
คนงานและอาสาสมัครถูกจัดให้ทำภารกิจเพื่อรักษาเครื่องปฏิกรณ์ให้เสถียร กิจกรรมของพวกเขารวมไปถึงการประเมินความเสียหายและระดับกัมมันตรังสีซึ่งเกิดจากแรงระเบิด การทำให้เครื่องปฏิกรณ์ที่ติดขัดมีอุณหภูมิเย็นลงด้วยน้ำทะเลและป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดเพลิงไหม้ คนงานเหล่านี้ยังคงทำงานอยู่ในพื้นที่แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากการถูกพิษกัมมันตรังสี[9] ระดับของกัมมันตรังสีในพื้นที่สูงกว่าในพื้นที่กีดกัน 20 กิโลเมตร และสื่อได้รายงานว่าความร้ายแรงของเหตุการณ์นี้อาจเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพในอนาคตของพวกเขา รวมทั้งผลกระทบที่อาจถึงตายของคนงานเหล่านี้[10] เมื่อวันที่ 18 มีนาคม นายกรัฐมนตรี นาโอโตะ คัง กล่าวว่าคนงานเหล่านี้ "พร้อมที่จะตาย"[11]
สภาพกัมมันตรังสี
ขีดจำกัดของปริมาณรังสีของผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ระหว่างประเทศอยู่ที่ 20 มิลลิซีเวิร์ตต่อปี โดยเฉลี่ยมากกว่าห้าปี โดยมีขีดจำกัดอยู่ที่ 50 มิลลิซีเวิร์ตในปีใดปีหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สำหรับคนงานซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ฉุกเฉินตามแนวปฏิบัติของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (EPA) นั้นมีขีดจำกัดอยู่ที่ 100 มิลลิซีเวิร์ตเมื่อ "กำลังปกป้องทรัพย์สินที่มีค่า" และ 250 มิลลิซีเวิร์ตเมื่อกิจกรรมนั้นเกี่ยวข้องกับ "การช่วยชีวิตหรือการปกป้องประชากรขนาดใหญ่"[12]
ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุ ปริมาณจำกัดที่ได้รับอนุญาตสำหรับคนงานนิวเคลียร์ญี่ปุ่นอยู่ที่ 100 มิลลิซีเวิร์ตต่อปี แต่หลังจากวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554 กระทรวงสาธารณสุขและแรงงานญี่ปุ่นได้อนุญาตขีดจำกัดที่ 250 มิลลิซีเวิร์ต จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่ง[13][14]
ตามข้อมูลของเดอะการ์เดียน คนงานฟูกูชิมะจำเป็นจะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นเฉียบพลันของกัมมันตรังสี ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้[15] อันตรายนี้ทำให้ต้องมีการอพยพคนงานเป็นการชั่วคราวเมื่อเช้าวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554 เมื่อปริมาณกัมมันตรังสีซึ่งตรวจวัดได้ที่ฟุกุชิมะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 1000 มิลลิซีเวิร์ต/ชั่วโมง[16] ซึ่งเป็นกัมมันตรังสีระดับสูงสุดที่ตรวจวัดได้หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น
คนงานสวมชุดและหน้ากากป้องกันสารเคมี ถือเครื่องวัดสารกัมมันตรังสีซึ่งจะเตือนที่ 80 มิลลิซีเวิร์ต คนงานแต่ละคนจะต้องหยุดทำงานเมื่อเครื่องวัดดังกล่าวเตือน[17] ตามข้อมูลของบริษัทผลิตไฟฟ้าโตเกียว มีคนงาน 7 คนที่ได้รับปริมาณรังสีเกินขีดจำกัด 100 มิลลิซีเวิร์ตในช่วงเช้าของวันที่ 20 มีนาคม ซึ่งทั้งหมดเป็นคนงานของบริษัทผลิตไฟฟ้าโตเกียว[18]
การระเบิด
กลุ่มคนงานฟูกูชิมะ 50 ปรากฏตัวขึ้นเมื่อเกิดระเบิดและเพลิงไหม้ที่เครื่องปฏิกรณ์หน่วยที่ 4[19] มีข้อสงสัยเกิดขึ้นเกี่ยวกับขอบเขตกัมมันตรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมาในเหตุการณ์ดังกล่าว โดยที่รัฐบาลญี่ปุ่นค่อนข้างที่จะปิดปากเงียบเกี่ยวกับสถานการณ์ เนื่องจากเกรงว่าอาจจะก่อให้เกิดความตกใจกลัว ขณะที่บางคนเสนอว่ารัฐบาลอาจไม่เปิดเผยความจริงทั้งหมด[20]
จำนวนคนงานที่แท้จริง
แต่เดิมมีคนงานอย่างน้อย 800 คนเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นวันที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม คนงานที่ถูกมองว่าไม่สำคัญถูกอพยพออกจากพื้นที่โดยบริษัทผลิตไฟฟ้าโตเกียว รวม 750 คน เนื่องจากความเสี่ยงที่มีมากขึ้น และเหลือคนงานอยู่ประมาณ 50 คน ในวันนี้เอง สื่อได้เริ่มเรียกคนงานที่เหลือนี้ว่า "ฟูกูชิมะ 50"
อย่างไรก็ตาม เช้าของวันที่ 16 มีนาคม คนงานที่เหลือจำเป็นต้องอพยพชั่วคราวเนื่องจากการเพิ่มขึ้นเฉียบพลันของกัมมันตรังสีซึ่งสามารถตรวจวัดได้ว่าอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนงาน มีการรายงานว่าเมื่อพวกเขากลับเข้าทำงานยังเครื่องปฏิกรณ์ มีคนงานอีก 130 คนเข้าร่วมด้วย รวมเป็น 180 คน เพื่อรักษาเครื่องปฏิกรณ์ให้เสถียร[21] จำนวนคนงานเพิ่มขึ้นเป็น 580 คนในช่วงเช้าของวันที่ 18 มีนาคม[1]
ในวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554 โตชิบาได้ส่งเจ้าหน้าที่ 700 คนไปยังเครื่องปฏิกรณ์สองเครื่องเพื่อขจัดวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ และฮิตาชิได้ส่งเจ้าหน้าที่ 120 คนมายังฟูกูชิมะแห่งที่หนึ่งและก่อตั้งเป็นคณะทำงานเฉพาะกิจจำนวน 1000 คน[22]
นักวิจัยนิวเคลียร์ ดร.อีริก ฮอลล์ แสดงความคิดเห็นว่าคนงานเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็นคนงานสูงอายุ และคาดว่าไม่น่าจะมีบุตรอีกในอนาคต ดังนั้นผลกระทบระยะยาวของการได้รับกัมมันตภาพรังสีในระดับสูงจึงมีโอกาสที่จะปรากฏน้อยกว่าการเสียชีวิตตามธรรมชาติ[23][24] อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวหลายสำนักบ่งชี้ว่ามีคนงานอายุน้อยจำนวนมากยังทำงานอยู่ในพื้นที่ อย่างเช่น คนงานที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งมีอายุอยู่ในวัย 20-30[5] และพนักงานดับเพลิงที่เข้าไปในหน่วยผลิตกระแสไฟฟ้าก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกของหัวหน้าของพวกเขา[6]
การบาดเจ็บ
มีคนงานมากกว่า 20 คนได้รับบาดเจ็บจนถึงวันที่ 18 มีนาคม[1] คนงาน 3 คนได้รับปริมาณรังสีเข้าไปในปริมาณมาก และอีก 2 คนถูกเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังได้รับปริมาณรังสีสูงถึง 180 มิลลิซีเวิร์ต ซึ่งน้อยกว่าปริมาณสูงสุด 250 มิลลิซีเวิร์ตที่รัฐบาลกำหนดไว้สำหรับคนงานที่ทำงานอยู่ที่นั่น[8] คนงานทั้งสองคน ซึ่งคนหนึ่งอยู่ในวัยยี่สิบ และอีกคนหนึ่งอยู่ในวัยสามสิบ เป็นคนงานประจำของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะแห่งที่สอง[5] ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนงานจากบริษัทว่าจ้างของคันเด็นโกะ[25]
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 「英雄フクシマ50」欧米メディア、原発の作業員ら称賛 ["Fukushima 50" western press praise workers at nuclear plant]. Asahi Shimbun (ภาษาญี่ปุ่น). JP. 18 March 2011.
- ↑ 2.0 2.1 福島第1原発:英雄でも何でもない…交代で懸命の復旧作業 [Fukushima I Nuclear Plant: "Not a hero...." rotating desperate work for recovering the plant]. Mainichi Shimbun (ภาษาญี่ปุ่น). JP. 21 มีนาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 มกราคม 2013. สืบค้นเมื่อ 25 มีนาคม 2011.
- ↑ "Tokyo tap water 'radioactive'". The Sun. UK. 24 March 2011. สืบค้นเมื่อ 25 March 2011.
- ↑ Alford, Peter (24 March 2011). "Nameless samurai are `heroes of our modern world'". The Australian. AUS. สืบค้นเมื่อ 25 March 2011.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 東日本大震災:福島第1原発事故 業界挙げ収束躍起 原子炉メーカー、作業員続々派遣 [East Japan Great Earthquake: Fukushima I N-plant accident: Whole nuclear industry commit to repair. Nuclear reactor maker dispatching its workers one after another]. Mainichi Shimbun (ภาษาญี่ปุ่น). JP. 25 มีนาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2013. สืบค้นเมื่อ 28 มีนาคม 2011.
- ↑ 6.0 6.1 「特攻隊…」ヨウ素飲ませ覚悟の命令 放水支援の大阪市消防局 [Osaka Fire Department firefighter]. Sankei Shimbun (ภาษาญี่ปุ่น). JP. 25 มีนาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 กันยายน 2011.
- ↑ 67人10台を派遣 福島第1原発に横浜市消防局 [Dispatched 67 people 10 Fire apparatus to Fukushima I N-plant: Yokohama Fire Department]. Sankei Shimbun (ภาษาญี่ปุ่น). JP. 21 มีนาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 มีนาคม 2012.
- ↑ 8.0 8.1 "Japan nuclear workers exposed to radioactive elements". Belfasttelegraph. 25 March 2011. สืบค้นเมื่อ 25 March 2011.
- ↑ Branigan, Tania; McCurry, Justin (15 March 2011). "Fukushima 50 battle radiation risks as Japan nuclear crisis deepens". The Guardian. UK.
- ↑ "BBC News - Japan hails the heroic 'Fukushima 50'". BBC News. 17 March 2011. สืบค้นเมื่อ 17 March 2011.
- ↑ "More volunteers 'prepared for death' at Fukushima". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-24. สืบค้นเมื่อ 2011-03-25.
- ↑ Table 2-2 EPA
- ↑ Bradsher, Keith; Tabuchi, Hiroko (16 March 2011), "Last Defense at Troubled Reactors: 50 Japanese Workers", Asia, The New York Times
- ↑ Gov't ups permissible radiation level, JP: NHK, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 มีนาคม 2011
- ↑ McCurry, Justin (16 March 2011). "Radiation spike forces evacuations at Fukushima nuclear power station". Guardian. สืบค้นเมื่อ 18 March 2011.
- ↑ "Radiation spike hinders work at Japan nuke plant". CBS News. 15 March 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-04-20. สืบค้นเมื่อ 18 March 2011.
- ↑ "復旧へ命がけ…「フクシマ50」に援軍" [Threatening lives for recovery.... Reinforcements sent to "Fukushima 50"]. Sponichi Annex (ภาษาญี่ปุ่น). JP. 20 March 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-23. สืบค้นเมื่อ 2011-03-27.
- ↑ "上限100ミリシーベルト超被曝の東電作業員1人増え、計7人に" [one more TEPCO worker added, now seven workers exposed to radiation over 100 millisievert.]. Sankei Shimbun (ภาษาญี่ปุ่น). JP. 20 March 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-23. สืบค้นเมื่อ 2011-03-27.
- ↑ "Fukushima 50 Stay Behind to Prevent Nuclear Meltdown". Fox News. สืบค้นเมื่อ 16 March 2011.
- ↑ "Lack of information frustrates Japanese public". CBS News. 16 March 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-20. สืบค้นเมื่อ 17 March 2011.
- ↑ Winerman, Lea. "The 'Fukushima 50': Nuclear Workers Stay Behind to Brave Plant's Woes". PBS NewsHour. สืบค้นเมื่อ 16 March 2011.
- ↑ "Toshiba, Hitachi send engineers to stricken nuclear plant". Reuters. 22 March 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-25. สืบค้นเมื่อ 2011-03-27.
- ↑ KATRANDJIAN, Olivia; Cho, Joohee; Chang, Juju (16 March 2011). "Japan's Fukushima 50: Heroes Who Volunteered to Stay Behind at Japan's Crippled Nuclear Plants". ABC News. สืบค้นเมื่อ 19 March 2011.
- ↑ KATRANDJIAN, OLIVIA (16 March 2011). "Japan's Fukushima 50: Heroes Who Volunteered to Stay Behind at Japan's Crippled Nuclear Plants". ABC News. สืบค้นเมื่อ 17 March 2011.
- ↑ 被曝の関電工社員は20代と30代「こんな量を…」戸惑う担当者 [Exposed Kandenko workers 20s and 30s, "We haven't experienced this much radiator...", confused manager] (ภาษาญี่ปุ่น). JP. 25 มีนาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 25 มีนาคม 2011.
|
---|
|
ธรณีวิทยา | |
---|
พื้นที่ได้รับ ผลกระทบ | |
---|
สาธารณูปโภค ที่ได้รับผลกระทบ | |
---|
อุบัติภัยนิวเคลียร์ | |
---|