สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (อังกฤษ: Manchester United Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลตั้งอยู่ที่เขตโอลด์แทรฟฟอร์ดในเกรเทอร์แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันแข่งขันในพรีเมียร์ลีกซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ สโมสรมีฉายา "ปีศาจแดง" ก่อตั้งในชื่อสโมสรฟุตบอลนิวตันฮีตแอลวายอาร์ใน ค.ศ. 1878 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดใน ค.ศ. 1902 และย้ายไปเล่นที่สนามเหย้าปัจจุบันอย่างโอลด์แทรฟฟอร์ดใน ค.ศ. 1910
สำหรับการแข่งขันภายในประเทศ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศลีกสูงสุด 20 สมัย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด, เอฟเอคัพ 13 สมัย, ลีกคัพ 6 สมัย และเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 21 สมัย ซึ่งก็เป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน ในการแข่งขันระดับนานาชาติ ยูไนเต็ดชนะเลิศยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัย และยูฟ่ายูโรปาลีก, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ, ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกรายการละ 1 สมัย[5][6] โดยในฤดูกาล 1998–99 สโมสรกลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่คว้าทริปเปิลแชมป์ระดับทวีปยุโรป[7] และในฤดูกาล 2016–17 หลังจากที่ชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก พวกเขากลายเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่ชนะเลิศการแข่งขันรายการหลักของยูฟ่าครบทั้งสามรายการ (ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่ายูโรปาลีก และยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ)
แมตต์ บัสบี ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 1945 สร้างทีมด้วยค่าเฉลี่ยอายุของผู้เล่นในทีมชุดใหญ่เพียง 22 ปี ซึ่งในยุคนั้นได้รับการขนานนามว่าบัสบีเบบส์ บัสบีพาสโมสรชนะเลิศลีกสูงสุดสามสมัยในทศวรรษ 1950 และยังเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่ร่วมแข่งขันฟุตบอลยูโรเปียนคัพ ภัยพิบัติทางอากาศมิวนิกเมื่อ ค.ศ. 1958 คร่าชีวิตผู้เล่นแปดคน อย่างไรก็ตาม บัสบีสร้างทีมขึ้นมาใหม่ด้วยผู้เล่นชื่อดังอย่าง จอร์จ เบสต์, เดนิส ลอว์ และ บ็อบบี ชาร์ลตัน ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อสามประสานศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาชนะเลิศลีกสูงสุดอีกสองสมัยก่อนที่ใน ค.ศ. 1968 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพ ภายหลังการอำลาทีมของบัสบี สโมสรไม่สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนจนกระทั่งการมาถึงของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งพาทีมชนะเลิศถ้วยรางวัล 38 ใบในฐานะผู้จัดการทีม ซึ่งรวมพรีเมียร์ลีก 13 สมัย, เอฟเอคัพ 5 สมัย และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัยในระหว่าง ค.ศ. 1986 ถึง 2013 ซึ่งเป็นปีที่เขาประกาศเกษียณตัวเอง[8][9][10]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก[11][12] และมีสโมสรคู่ปรับคือ ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ซิตี, อาร์เซนอล และลีดส์ยูไนเต็ด แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีรายได้สูงที่สุดในโลกในฤดูกาล 2016–17 ด้วยรายได้ต่อปีเป็นจำนวน 676.3 ล้านยูโร[13] และเป็นสโมสรที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่สามของโลกใน ค.ศ. 2019 เป็นมูลค่า 3.15 พันล้านปอนด์ (3.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)[14] ณ ค.ศ. 2015 สโมสรเป็นเครื่องหมายการค้าฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คาดว่ามีมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[15][16] หลังจากที่ได้มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนเมื่อ ค.ศ. 1991 สโมสรได้กลับมาเป็นบริษัทเอกชนจากการที่มัลคอม เกลเซอร์ซื้อกิจการเมื่อ ค.ศ. 2005 ด้วยมูลค่าเกือบ 800 ล้านปอนด์ ซึ่งเงินที่ถูกกู้กว่า 500 ล้านปอนด์นี้กลายเป็นหนี้ของสโมสร[17] และตั้งแต่ ค.ศ. 2012 หุ้นบางส่วนของสโมสรถูกเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก แม้ว่าตระกูลเกลเซอร์จะยังคงมีบทบาทเป็นเจ้าของและควบคุมสโมสร
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1878 ในชื่อสโมสรฟุตบอลนิวตันฮีตแอลวายอาร์ (อังกฤษ: Newton Heath LYR Football Club) โดยพนักงานแผนกตู้โดยสารและตู้สินค้าของโรงซ่อมบำรุงรถไฟแลงคาเชียร์และยอร์กเชียร์ที่นิวตันฮีต[18] ในช่วงแรก ทีมแข่งขันกับแผนกและบริษัทรถไฟอื่น ๆ แต่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1880 พวกเขาแข่งขันในนัดแรกที่มีการบันทึกไว้ โดยสวมเสื้อสีประจำบริษัทอย่างสีเขียวและสีทอง นัดนั้น พวกเขาพ่ายแพ้ต่อทีมสำรองของโบลตันวอนเดอเรอส์ด้วยผลประตู 6–0[19] ต่อมาใน ค.ศ. 1888 สโมสรกลายเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของเดอะคอมบิเนชัน ลีกฟุตบอลระดับภูมิภาค แต่หลังจากยุบลีกในช่วงเวลาผ่านไปเพียงฤดูกาลเดียว นิวตันฮีทเข้าร่วมฟุตบอลอัลไลแอนซ์ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ โดยแข่งขันสามฤดูกาลก่อนที่ลีกจะถูกรวมเข้ากับฟุตบอลลีก ส่งผลให้สโมสรเริ่มต้นฤดูกาล 1892–93 ในเฟิสต์ดิวิชัน ณ เวลานั้น พวกเขาแยกตัวออกจากบริษัทรถไฟและนำคำว่า "แอลวายอาร์" ออกจากชื่อ[18] สองฤดูกาลถัดมา สโมสรตกชั้นสู่เซคันด์ดิวิชัน[18]
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1902 สโมสรติดหนี้เป็นจำนวน 2,670 ปอนด์ หรือเท่ากับ 290,000 ปอนด์ใน ค.ศ. 2020[nb 1] จนมีคำสั่งให้เลิกกิจการ[20] กัปตันทีม แฮร์รี สแตฟเฟิร์ด ได้ไปพบกับนักธุรกิจท้องถิ่นสี่คน ซึ่งรวมถึงจอห์น เฮนรี เดวีส์ (ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นประธานสโมสร) ทุกคนยินดีที่จะลงทุนเงิน 500 ปอนด์เพื่อแลกกับผลประโยชน์โดยตรงในการบริหารสโมสร พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อสโมสรในภายหลัง[21] ทำให้ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1920 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ[22][nb 2] เออร์เนสต์ มังแนล ผู้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 1903 พาทีมจบรองชนะเลิศในเซคันด์ดิวิชันใน ค.ศ. 1906 จนได้เลื่อนชั้นสู่เฟิสต์ดิวิชัน ซึ่งพวกเขาชนะเลิศใน ค.ศ. 1908 นับเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกของสโมสร พวกเขาเริ่มต้นฤดูกาลถัดมาด้วยการชนะเลิศแชริตีชีลด์เป็นสมัยแรกเป็นสโมสร[23] ก่อนที่จะจบฤดูกาลด้วยการชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยแรกของสโมสรเช่นเดียวกัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศเฟิสต์ดิวิชันเป็นสมัยที่สองใน ค.ศ. 1911 แต่หลังจบฤดูกาลถัดมา มังแนลออกจากสโมสรและเข้าร่วมแมนเชสเตอร์ซิตี[24]
ใน ค.ศ. 1922 ซึ่งมีการแข่งขันฟุตบอลใหม่มาแล้วสามปีหลังจากที่หยุดไปเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สโมสรตกชั้นสู่เซคันด์ดิวิชัน และได้เลื่อนชั้นอีกครั้งใน ค.ศ. 1925 พวกเขาตกชั้นอีกครั้งใน ค.ศ. 1931 ทำให้สโมสรจึงกลายเป็นโยโย่คลับ สโมสรจบอันดับที่ 20 ในเซคันด์ดิวิชันเมื่อ ค.ศ. ค.ศ. 1934 นับเป็นอันดับต่ำที่สุดตลอดกาล ต่อมาเมื่อจอห์น เฮนรี เดวีส์ ผู้อุปการคุณหลัก เสียชีวิตในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1927 สถานะการเงินของสโมสรย่ำแย่จนอาจล้มละลายหากไม่ได้เจมส์ ดับเบิลยู. กิบสัน ผู้ซึ่งลงทุนเงิน 2,000 ปอนด์และเข้าควบคุมกิจการสโมสรในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1931[25] ต่อมาในฤดูกาล 1938–39 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มีการแข่งขันฟุตบอลก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง สโมสรจบอันดับที่ 14 ในเฟิสต์ดิวิชัน[25]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 การกลับมาแข่งขันฟุตบอลอีกครั้งทำให้มีการแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ คือ แมตต์ บัสบี ผู้เรียกร้องอำนาจการคุมทีมสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งการเลือกผู้เล่น การซื้อขายผู้เล่นและการฝึกซ้อม[26] บัสบีพาทีมจบอันดับที่สองในลีกใน ค.ศ. 1947, 1948 และ 1949 และชนะเลิศเอฟเอคัพใน ค.ศ. 1948 ต่อมาใน ค.ศ. 1952 สโมสรชนะเลิศเฟิสต์ดิวิชันเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปี[27] พวกเขายังชนะเลิศลีกสองสมัยติดต่อกันใน ค.ศ. 1956 และ 1957 โดยผู้เล่นชุดนั้นมีอายุเฉลี่ยเพียง 22 ปี สื่อมวลชนได้ขนานนามทีมว่า "เดอะบัสบีเบบส์" เพื่อเป็นเกียรติแก่บัสบีที่ให้โอกาสผู้เล่นเยาวชนของเขา[28] ต่อมาใน ค.ศ. 1957 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่เข้าร่วมแข่งขันยูโรเปียนคัพ แม้ว่าจะมีการคัดค้านจากฟุตบอลลีกซึ่งปฏิเสธการเข้าร่วมของเชลซีในฤดูกาลก่อนหน้า[29] ยูโรเปียนคัพครั้งนั้น ยูไนเต็ดตกรอบรองชนะเลิศหลังจากที่แพ้เรอัลมาดริด โดยก่อนหน้านี้ พวกเขาเอาชนะอันเดอร์เลคต์ ทีมชนะเลิศลีกเบลเยียม ด้วยผลประตู 10–0 นับเป็นผลชนะสูงสุดตลอดกาลของสโมสร[30]
ในฤดูกาลถัดมา ระหว่างเดินทางกลับจากการแข่งขันยูโรเปียนคัพรอบก่อนรองชนะเลิศที่เอาชนะเรดสตาร์ เบลเกรด เครื่องบินที่มีผู้เล่นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เจ้าหน้าที่ และนักข่าว เกิดอุบัติเหตุในตอนที่บินขึ้นหลังเติมเชื้อเพลิงที่มิวนิกในเยอรมนี จนเกิดภัยพิบัติทางอากาศมิวนิกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958 ภัยพิบัตินี้มีผู้เสียชีวิต 23 คน โดยมีผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแปดคน ได้แก่ เจฟฟ์ เบนต์, โรเจอร์ ไบร์น, เอ็ดดี โคลแมน, ดังคัน เอดเวิดส์, มาร์ก โจนส์, เดวิด เพ็กก์, ทอมมี เทย์เลอร์ และบิลลี วีลัน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก[31][32]
ผู้ช่วยผู้จัดการทีม จิมมี เมอร์ฟี รับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมในช่วงที่บัสบีรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ เขาพาทีมซึ่งประกอบด้วยผู้เล่นตัวสำรองเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพซึ่งพวกเขาพ่ายแพ้ต่อโบลตันวอนเดอเรอส์ ในช่วงเหตุการณ์ร้ายแรงนี้เอง ยูฟ่าได้เชิญสโมสรเข้าร่วมการแข่งขันยูโรเปียนคัพ ฤดูกาล 1958–59 พร้อมกับวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ แม้ว่าสมาคมฟุตบอลจะอนุมัติให้เข้าร่วม แต่ฟุตบอลลีกตัดสินว่าสโมสรไม่ควรเข้าร่วมแข่งขันเพราะไม่ผ่านการคัดเลือก[33][34] บัสบีสร้างทีมขึ้นใหม่ในช่วงทศวรรษ 1960 โดยซื้อผู้เล่นอย่างเดนิส ลอว์และแพต เครแรนด์ ที่จะมาเล่นร่วมกันกับผู้เล่นดาวรุ่งหลายคนซึ่งรวมถึงจอร์จ เบสต์ พวกเขาชนะเลิศเอฟเอคัพได้ใน ค.ศ. 1963 โดยบัสบีตัดสินใจพักผู้เล่นตัวหลักหลายรายในเกมลีกก่อนการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ โดยนักเตะอย่าง เดนนิส วอล์กเกอร์ ได้โอกาสลงสนามเป็นครั้งแรกในนัดที่พบกับนอตทิงแฮมฟอเรสต์ ในวันที่ 20 พฤษภาคม และเขากลายเป็นผู้เล่นผิวสีคนแรกที่ได้ลงสนามให้สโมสร[35]
ฤดูกาลถัดมา พวกเขาจบอันดับที่สองในลีก จากนั้นชนะเลิศลีกใน ค.ศ. 1965 และ 1967 ต่อมาใน ค.ศ. 1968 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษ (และสโมสรที่สองของบริติช) ที่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพหลังเอาชนะไบฟีกาด้วยผลประตู 4–1 ในนัดชิงชนะเลิศ[36] โดยทีมชุดนั้นมีผู้เล่นที่ได้รางวัลผู้เล่นแห่งปีของยุโรปสามคน ได้แก่ บ็อบบี ชาร์ลตัน, เดนิส ลอว์ และจอร์จ เบสต์[37] พวกเขาเป็นตัวแทนจากยุโรปในการแข่งขันอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1968 ที่พบกับเอสตูเดียนเตสจากอาร์เจนตินา พวกเขาพ่ายแพ้ด้วยผลประตูรวม หลังจากที่แพ้ในเลกแรกที่บัวโนสไอเรส ก่อนที่จะเสมอด้วยผลประตู 1–1 ที่โอล์ดแทรฟฟอร์ดในอีกสามสัปดาห์ถัดมา บัสบีลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 1969 และวิล์ฟ์ แมคควินเนสส์ ผู้ฝึกสอนทีมสำรองและอดีตผู้เล่นของสโมสร เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน[38]
หลังจากจบอันดับที่แปดในฤดูกาล 1969–70 และเริ่มต้นฤดูกาล 1970–71 ได้อย่างย่ำแย่ สโมสรเกลี้ยกล่อมให้บัสบีกลับมารับหน้าที่ผู้จัดการทีมชั่วคราว ส่วนแม็กกินเนสส์กลับไปเป็นผู้จัดการทีมสำรอง ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1971 แฟรงก์ โอแฟร์เรลล์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีม แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่ถึง 18 เดือน ทอมมี ดอเชอร์ตีก็เข้ารับตำแหน่งแทนในเดือนธันวาคม ค.ศ.1972[40] ดอเชอร์ตีช่วยให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดรอดจากการตกชั้นได้ในฤดูกาลนั้น แต่ใน ค.ศ. ค.ศ. 1974 ทีมก็ต้องตกชั้นไป ทำให้ผู้เล่นสามประสานอันได้แก่ เบสต์, ลอว์ และชาร์ลตัน ย้ายออกจากสโมสร[36] ทีมเลื่อนชั้นกลับมาได้ภายในฤดูกาลเดียวและยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพใน ค.ศ. 1976 แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับเซาแทมป์ตัน พวกเขาเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งใน ค.ศ. 1977 โดยสามารถเอาชนะลิเวอร์พูล ด้วยผลประตู 2–1 อย่างไรก็ตาม สโมสรปลดดอเชอร์ตีออกจากตำแหน่งหลังมีข่าวเชิงชู้สาวกับภรรยาของนักกายภาพสโมสร[38][41]
เดฟ เซ็กตันเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทนดอเชอร์ตีในฤดูร้อน ค.ศ.1977 แม้ว่าเขาจะเซ็นสัญญาผู้เล่นหลายคน รวมทั้งโจ จอร์แดน, กอร์ดอน แม็กควีน, แกรี เบลีย์ และเรย์ วิลกินส์ แต่ทีมก็ยังไม่สามารถประสบความสำเร็จ พวกเขาจบอันดับที่สองในฤดูกาล 1979–80 และแพ้อาร์เซนอลในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 1979 สโมสรปลดเซ็กตันออกจากตำแหน่งใน ค.ศ. 1981 แม้ว่าเขาจะพาทีมชนะเจ็ดนัดสุดท้ายของฤดูกาลก็ตาม[42] สโมสรแต่งตั้งรอน แอตกินสันเป็นผู้จัดการทีม เขาทำลายสถิติซื้อตัวผู้เล่นในบริติชด้วยการเซ็นสัญญากับไบรอัน ร็อบสันจากเวสต์บรอมมิชอัลเบียน ภายใต้การคุมทีมของแอตกินสัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศเอฟเอคัพสองครั้งในช่วงสามปี คือใน ค.ศ. 1983 และ 1985 ต่อมาในฤดูกาล 1985–86 หลังจากชนะ 13 นัดและเสมอ 2 นัดใน 15 นัดแรกของฤดูกาล สโมสรมีความหวังที่จะชนะเลิศลีก แต่สุดท้ายต้องจบเพียงอันดับสี่เท่านั้น ฤดูกาลถัดมา ในช่วงเดือนพฤศจิกายน สโมสรอยู่ในอันดับที่สุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้น ทำให้สโมสรปลดแอตกินสันออกจากตำแหน่ง[43]
อเล็กซ์ เฟอร์กูสันและผู้ช่วยของเขา อาร์ชี น็อกซ์ ที่มาจากแอเบอร์ดีน เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันเดียวกันกับที่แอตกินสันถูกปลดออก[44] และพาสโมสรจบอันดับที่ 11 ในลีก[45] แม้ว่าสโมสรจะจบอันดับที่ 2 ในฤดูกาล 1987–88 แต่ในฤดูกาลถัดมา สโมสรกลับไปจบอันดับที่ 11 เหมือนเดิม[46] มีรายงานว่าเฟอร์กูสันจะถูกไล่ออก ก่อนที่ใน ค.ศ. 1990 สโมสรจะชนะเลิศเอฟเอคัพเหนือคริสตัลพาเลซในนัดชิงชนะเลิศที่แข่งใหม่ (หลังจากที่เสมอกัน 3–3) ทำให้เฟอร์กูสันได้ทำหน้าที่ต่อ[47][48] ฤดูกาลถัดมา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพเป็นสมัยแรก ทำให้ได้เข้าร่วมแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1991 และสามารถเอาชนะเรดสตาร์ เบลเกรด ทีมชนะเลิศยูโรเปียนคัพ ด้วยผลประตู 1–0 ในนัดชิงชนะเลิศที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ต่อมาใน ค.ศ. 1992 สโมสรเข้าชิงชนะเลิศลีกคัพเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน โดยทีมเอาชนะนอตทิงแฮมฟอเรสต์ด้วยผลประตู 1–0 ที่สนามกีฬาเวมบลีย์[43] ต่อมาใน ค.ศ. 1993 สโมสรชนะเลิศลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1967 และในปีถัดมา สโมสรชนะเลิศลีกสองสมัยติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1957 และยังชนะเลิศเอฟเอคัพ นับเป็นดับเบิลแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร[43] ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่คว้าดับเบิลแชมป์ได้สองครั้งหลังจากที่พวกเขาชนะเลิศทั้งสองรายการอีกครั้งในฤดูกาล 1995–96[49] ก่อนที่ป้องกันแชมป์ลีกอีกหนึ่งสมัยในฤดูกาล 1996–97 ขณะที่ยังมีการแข่งขันเหลือเพียงนัดเดียว[50]
ในฤดูกาล 1998–99 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกที่ชนะเลิศพรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หรือ "ทริปเปิลแชมป์" ได้ในฤดูกาลเดียวกัน[51] โดยในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 1999 ยูไนเต็ดตามหลังอยู่ 1–0 แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เท็ดดี เชอริงงัมและอูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ ทำประตูแซงเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกได้อย่างปาฏิหาริย์ ถือเป็นหนึ่งในการกลับมาเอาชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล[52] สโมสรยังชนะเลิศอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพหลังจากที่เอาชนะปัลเมย์รัสด้วยผลประตู 1–0 ที่โตเกียว[53] เฟอร์กูสันได้รับยศอัศวินจากคุณประโยชน์ของเขาที่มีต่อฟุตบอล[54]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศลีกอีกครั้งในฤดูกาล 1999–2000 และ 2000–01 และจบอันดับที่สามในฤดูกาล 2001–02 ก่อนที่จะกลับมาชนะเลิศอีกครั้งในฤดูกาล 2002–03[56] พวกเขาชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยที่ 11 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด ในฤดูกาล 2003–04 ด้วยการชนะมิลล์วอลล์ด้วยผลประตู 3–0 ในนัดชิงชนะเลิศที่มิลเลนเนียมสเตเดียมในคาร์ดิฟฟ์[57] ต่อมาในฤดูกาล 2005–06 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ กว่าทศวรรษ[58] อย่างไรก็ตาม สโมสรสามารถจบอันดับที่สองในลีกและเอาชนะวีแกนแอทเลติกในฟุตบอลลีกคัพนัดชิงชนะเลิศ สโมสรชนะเลิศพรีเมียร์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2006–07 และในฤดูกาลถัดมา สโมสรชนะเลิศลีกอังกฤษเป็นสมัยที่ 17 ก่อนที่จะคว้ายูโรเปียนดับเบิลแชมป์ด้วยการยิงลูกโทษเอาชนะเชลซีด้วยผลประตู 6–5 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2008 ที่มอสโก โดยไรอัน กิกส์ลงเล่นเป็นนัดที่ 759 ให้กับสโมสรในนัดนี้ ทำลายสถิติลงเล่นมากที่สุดให้กับสโมสรที่บ็อบบี ชาร์ลตัน เคยทำไว้[59] ต่อมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 สโมสรชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2008 และฟุตบอลลีกคัพ ฤดูกาล 2008–09 อีกทั้งยังชนะเลิศพรีเมียร์ลีกเป็นสมัยที่สามติดต่อกัน[60][61] ในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 2009 สโมสรขายคริสเตียโน โรนัลโดให้กับเรอัลมาดริดด้วยค่าตัวสถิติโลก 80 ล้านปอนด์[62] ต่อมาใน ค.ศ. 2010 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเอาชนะแอสตันวิลลาในลีกคัพที่เวมบลีย์ด้วยผลประตู 2–1 ทำให้สโมสรป้องกันแชมป์ฟุตบอลถ้วยแบบแพ้คัดออกได้เป็นครั้งแรก[63]
หลังจบอันดับที่สองรองจากเชลซีในฤดูกาล 2009–10 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลับมาชนะเลิศลีกเป็นสมัยที่ 19 ได้ในฤดูกาล 2010–11 หลังจากที่บุกไปเสมอกับแบล็กเบิร์นโรเวอส์ด้วยผลประตู 1–1 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2011[64] ต่อมาสโมสรชนะเลิศลีกเป็นสมัยที่ 20 ในฤดูกาล 2012–13 หลังจากที่เปิดบ้านเอาชนะแอสตันวิลลาด้วยผลประตู 3–0 เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2013[65]
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 เฟอร์กูสันประกาศว่าเขาจะเกษียณจากตำแหน่งผู้จัดการทีมหลังจบฤดูกาล แต่จะยังคงเป็นผู้อำนวยการและทูตของสโมสร[66][67] วันถัดมา สโมสรประกาศว่า เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมของเอฟเวอร์ตัน จะรับหน้าที่ต่อจากเขาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ด้วยสัญญาหกปี[68][69][70] สิบเดือนถัดมา เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2014 ไรอัน กิกส์รับหน้าที่เป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมชั่วคราวหลังจากที่มอยส์ถูกปลดออกเนื่องจากผลงานอันย่ำแย่ โดยสโมสรไม่สามารถป้องกันแชมป์ลีกและไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1995–96[71] อีกทั้งยังไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูโรปาลีก ถือเป็นครั้งแรกที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในการแข่งขันระดับทวีปยุโรปนับตั้งแต่ ค.ศ. 1990[72] วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 มีการยืนยันว่าลูวี ฟัน คาลจะเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแทนมอยส์ด้วยสัญญาสามปี โดยมีกิกส์เป็นผู้ช่วย[73] มัลคอล เกลเซอร์ หัวหน้าตระกูลเกลเซอร์ผู้เป็นเจ้าของสโมสรได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2014[74]
ในฤดูกาลแรกของฟัน คาล แม้ว่าเขาจะพายูไนเต็ดกลับไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้งจากการจบอันดับที่สี่ในลีก แต่สโมสรจบเพียงอันดับที่ห้าในฤดูกาลต่อมา แม้ว่ายูไนเต็ดจะชนะเลิศเอฟเอคัพสมัยที่ 12 ซึ่งนับเป็นถ้วยรางวัลแรกของพวกเขานับตั้งแต่ ค.ศ. 2013[75] แต่สโมสรปลดฟัน คาล ออกจากตำแหน่งในอีกสองวันต่อมา[76] โชเซ มูรีนโย เข้ารับตำแหน่งแทนเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ด้วยสัญญาสามปี[77] ในฤดูกาลนั้น ยูไนเต็ดจบอันดับที่หกพร้อมกับชนะเลิศอีเอฟแอลคัพเป็นสมัยที่ห้า และชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีกเป็นสมัยแรก เช่นเดียวกับการชนะเลิศเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์เป็นสมัยที่ 21 ในนัดแรกที่มูรีนโยคุมทีม[78] แม้ว่าจะไม่จบในสี่อันดับแรก แต่ยูไนเต็ดสามารถผ่านเข้าสู่แชมเปียนส์ลีกได้จากการชนะเลิศยูโรปาลีก ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ. 2017 เวย์น รูนีย์ทำประตูที่ 250 ให้กับยูไนเต็ดในนัดที่พบกับสโตกซิตี แซงหน้าเซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน ในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสร[79] ในฤดูกาลถัดมา ยูไนเต็ดจบอันดับที่สองในลีก นับเป็นอันดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 2013 แต่ทีมมีคะแนนตามหลังคู่ปรับอย่างแมนเชสเตอร์ซิตีถึง 19 แต้ม มูรีนโยพาสโมสรเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นครั้งที่ 19 แต่แพ้เชลซี 1–0 ต่อมาในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ซึ่งยูไนเต็ดอยู่อันดับที่หกของตารางโดยมีคะแนนตามหลังอันดับที่หนึ่งอย่างลิเวอร์พูล 19 แต้ม และตามหลังพื้นที่แชมเปียนส์ลีก 11 แต้ม สโมสรปลดมูรีนโยออกจากตำแหน่งหลังจากที่เขาคุมทีมได้ 144 นัด วันถัดมา อดีตผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าของสโมสร อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมรักษาการจนจบฤดูกาล[80] ต่อมาในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2019 ซูลชาร์รับตำแหน่งผู้จัดการทีมถาวรด้วยสัญญาสามปี หลังจากพาสโมสรชนะการแข่งขัน 14 จาก 19 นัดแรก[81]
ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2021 ยูไนเต็ดได้ประกาศว่าจะเข้าร่วมการแข่งขันเดอะซูเปอร์ลีก ร่วมกับสโมสรชั้นนำในยุโรปอีก 11 ทีม เพื่อคานอำนาจกับสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากแฟนบอล, สปอนเซอร์, สโมสรชั้นนำ และรัฐบาลอังกฤษ ส่งผลให้พวกเขาต้องยกเลิกแผนดังกล่าวในสองวันถัดมา[82][83] เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การลาออกของ เอ็ด วู้ดวาร์ด ประธานกรรมการบริหารของสโมสร ตามมาด้วยการประท้วงของแฟนบอลบริเวณสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2021 ส่งผลให้การแข่งขันระหว่างยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลต้องถูกเลื่อนออกไป โดยถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่มีการเลื่อนเกมการแข่งขันเนื่องจากการประท้วงของแฟนบอล[84][85]
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 ยูไนเต็ดเอาชนะเซาแทมป์ตันด้วยผลประตู 9–0 ถือเป็นสถิติร่วมในการชนะมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก[86] แต่พวกเขาสิ้นสุดฤดูกาลด้วยการแพ้จุดโทษบิยาร์เรอัลในยูฟ่ายูโรปาลีก นัดชิงชนะเลิศ 2021 ซึ่งเป็นการจบฤดูกาลโดยไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใดมาครองเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน[87] ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021 ซูลชาร์ได้ยุติบทบาทการเป็นผู้จัดการทีม[88] ไมเคิล แคร์ริก อดีตผู้เล่นของสโมสรรับหน้าที่รักษาการในการแข่งขันสามนัดต่อมา ก่อนที่ รัล์ฟ รังนิค จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวจนจบฤดูกาล 2021–22[89]
ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2022 สโมสรแต่งตั้ง เอริก เติน ฮัค เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในฤดูกาล 2022–23 โดยเซ็นสัญญาไปถึง ค.ศ. 2025 พร้อมเงื่อนไขในการขยายสัญญาเพิ่มเติม[90] เติน ฮัค ชนะเลิศถ้วยรางวัลแรกกับสโมสรในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 โดยเอาชนะนิวคาสเซิลยูไนเต็ดในรอบชิงชนะเลิศอีเอฟแอลคัพ ด้วยผลประตู 2–0 ยุติช่วงเวลาที่ไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใดมาครองยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ระยะเวลาหกปีระหว่าง ค.ศ. 1977–1983[91][92] ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2023 ยูไนเต็ดแพ้ลิเวอร์พูลที่สนามแอนฟีลด์ด้วยผลประตู 7–0 ซึ่งเป็นการแพ้ที่ขาดลอยที่สุดสำหรับการเจอกันระหว่างสองสโมสร[93] เติน ฮัค พาทีมจบอันดับสามในฤดูกาล 2022–23 และยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ แต่แพ้แมนเชสเตอร์ซิตีด้วยผลประตู 2–1 ต่อมา ยูไนเต็ดจบอันดับแปดในฤดูกาล 2023–24 ซึ่งเป็นอันดับที่ย่ำแย่ที่สุดในลีกสูงสุดของสโมสรตั้งแต่ฤดูกาล 1989–90 แต่สโมสรยังชนะเลิศเอฟเอคัพสมัยที่ 13 จากการชนะแมนเชสเตอร์ซิตีด้วยผลประตู 2–1 ได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่ายูโรปาลีก[94] เติน ฮัค ถูกปลดจากตำแหน่งในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2024 จากการพาสโมสรเริ่มต้นฤดูกาล 2024–25 ได้ย่ำแย่ โดยชนะได้เพียงสามนัดจากการแข่งขันเก้านัดแรก[95] สโมสรมอบหมายให้ รืด ฟัน นิสเติลโรย ทำหน้าที่ผู้จัดการทีมชั่วคราว[96] ต่อมา เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2024 รูแบน อามูริง ผู้จัดการทีมสปอร์ติงลิสบอนได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ มีผลตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2024[97]
ตราสัญลักษณ์ของสโมสรมีที่มาจากตราประจำสภานครแมนเชสเตอร์ ส่วนที่ยังคงอยู่จากตราดั้งเดิมที่ปรากฏในตราปัจจุบันคือรูปเรือใบเต็มลำ[98] รูปปีศาจมาจากฉายาของสโมสร "ปีศาจแดง" ปีศาจนี้ปรากฏบนรายการโทรทัศน์ของสโมสรและผ้าพันคอในทศวรรษ 1960 และถูกนำไปใส่ในตราสโมสรเมื่อ ค.ศ. 1970 อย่างไรก็ตาม ตรานี้ยังไม่ปรากฏบนอกเสื้อจนกระทั่งใน ค.ศ. 1971[98]
เครื่องแบบของนิวตันฮีตเมื่อ ค.ศ. 1879 สี่ปีก่อนที่สโมสรจะลงแข่งขันครั้งแรก มีบันทึกว่าเป็น 'ชุดสีขาวและสีน้ำเงิน'[99] ภาพถ่ายของทีมนิวตันฮีตใน ค.ศ. 1892 แสดงให้เห็นว่าผู้เล่นสวมเสื้อสี่ส่วนสีแดงและขาวและกางเกงนิกเกอร์บอกเกอส์สีน้ำเงินเข้ม[100] ต่อมาระหว่าง ค.ศ. 1894 และ 1896 ผู้เล่นสวมเสื้อสีเขียวและสีทอง[100] ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นเสื้อสีขาวและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้มใน ค.ศ. 1896[100]
หลังจากเปลี่ยนชื่อสโมสรใน ค.ศ. 1902 สีชุดแข่งของสโมสรเปลี่ยนเป็นเสื้อสีแดง กางเกงสีขาว และถุงเท้าสีดำ ซึ่งกลายเป็นชุดเหย้ามาตรฐานของทีม[100] มีการเปลี่ยนแปลงของชุดเล็กน้อยจนกระทั่งใน ค.ศ. 1922 เมื่อสโมสรนำเสื้อสีขาวที่มีรูปตัว "วี" สีแดงเข้มรอบคอ คล้ายกับเสื้อที่สวมในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 1909 พวกเขาคงไว้เป็นส่วนหนึ่งของชุดเหย้าจนถึง ค.ศ. 1927[100] สำหรับช่วงเวลาใน ค.ศ. 1934 เสื้อชุดเหย้ากลายเป็นเสื้อลายขวางสีเชอร์รีสลับขาว แต่ในฤดูกาลถัดมาสโมสรนำเสื้อสีแดงกลับมาใช้อีกครั้งหลังจากที่สโมสรจบอันดับที่ 20 ในเซคันด์ดิวิชันซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดของสโมสร ส่วนเสื้อลายทางถูกลดบทบาทเป็นเพียงชุดตัวเลือก[100] ถุงเท้าสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาวตั้งแต่ ค.ศ. 1959 ถึง 1965 ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่สีขาวใช้ในบางโอกาส และใน ค.ศ. 1971 สโมสรกลับไปใช้ถุงเท้าสีดำ กางเกงสีดำและถุงเท้าสีขาวจะสวมคู่กับเสื้อเหย้าเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่ใส่ในนัดเยือนกรณีที่ชุดของทีมตรงกับชุดของคู่แข่ง สำหรับฤดูกาล 2018–19 กางเกงสีดำและถุงเท้าสีแดงกลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับชุดเหย้า[101] ตั้งแต่ฤดูกาล 1997–98 สโมสรใช้ถุงเท้าสีขาวในเกมยุโรปที่มักแข่งขันในคืนกลางสัปดาห์ เพื่อช่วยในการมองเห็นของผู้เล่น[102] ชุดเหย้าในปัจจุบันประกอบด้วยเสื้อสีแดงพร้อมเครื่องหมายสามแถบของอาดิดาสบนไหล่ กางเกงสีขาว และถุงเท้าสีดำ[103]
ชุดเยือนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมักเป็นเสื้อสีขาว กางเกงสีดำและถุงเท้าสีขาว ยกเว้นในบางครั้งที่มีการใช้ชุดสีดำล้วนตัดด้วยสีน้ำเงินและสีทองระหว่าง ค.ศ. 1993 ถึง 1995 กับเสื้อสีกรมท่าที่มีแถบสีเงินแนวนอนในช่วงฤดูกาล 1999–2000[104] และชุดเยือนในฤดูกาล 2011–12 ซึ่งใช้เสื้อสีฟ้าที่มีแขนเสื้อแถบลายเส้นสีกรมท่าและสีดำ พร้อมกับกางเกงสีดำ และถุงเท้าสีน้ำเงิน[105] ชุดเยือนสีเทาล้วนที่ใช้ในช่วงฤดูกาล 1995–96 ถูกยกเลิกหลังจากที่ได้สวมเพียงห้านัด นัดสุดท้ายที่ใช้ชุดนี้คือนัดที่พบกับเซาแทมป์ตัน โดยอเล็กซ์ เฟอร์กูสันบังคับให้ทีมเปลี่ยนไปสวมชุดที่สามในช่วงครึ่งหลัง เพราะผู้เล่นอ้างว่ามีปัญหาในการมองหาเพื่อนร่วมทีม จนทำให้ยูไนเต็ดไม่สามารถเอาชนะในนัดที่สวมชุดนี้[106] ใน ค.ศ. 2001 ซึ่งมีการฉลองครบรอบ 100 ปีในชื่อ "แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" มีการจำหน่ายชุดเยือนสีขาวและทองแบบกลับด้านได้ แม้ว่าในนัดแข่งขันจริงจะไม่สามารถกลับด้านเสื้อได้[107]
ชุดที่สามของสโมสรมักเป็นสีน้ำเงินล้วน โดยครั้งล่าสุดที่ใช้คือฤดูกาล 2014–15[108] บางครั้งชุดที่สามเป็นสีอื่น เช่น เสื้อแบ่งครึ่งสีเขียวและสีทองที่ใช้ระหว่าง ค.ศ. 1992 ถึง 1994 เสื้อลายทางสีน้ำเงินและสีขาวที่ใส่ในฤดูกาล 1994–95, 1995–96 และ 1996–97 ชุดสีดำที่ล้วนใส่ในฤดูกาล 1998–99 ที่ได้ทริปเปิลแชมป์ และเสื้อสีขาวแถบแนวนอนสีดำและสีแดงที่ใส่ในฤดูกาล 2003–04 และ 2005–06[109] ตั้งแต่ฤดูกาล 2006–07 ถึง 2013–14 ชุดที่สามจะเป็นชุดเยือนของฤดูกาลก่อนหน้า แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนผู้สนับสนุนของสโมสรในฤดูกาล 2006–07 และ 2010–11 ก็ตาม ชุดที่สามในฤดูกาล 2008–09 เป็นชุดสีฟ้าล้วนที่ผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีของความสำเร็จในยูโรเปียนคัพ ฤดูกาล 1967–68[110]
ในช่วงแรก นิวตันฮีตเล่นที่สนามนอร์ทโรดใกล้กับย่านรถไฟ เดิมมีความจุประมาณ 12,000 ที่นั่ง แต่เจ้าหน้าที่ของสโมสรเห็นว่าสิ่งอำนวยความสะดวกนั้นไม่เพียงพอต่อสโมสรในการเข้าร่วมฟุตบอลลีก[111] ทำให้มีการขยายสนามใน ค.ศ. 1887 และ 1891 นิวตันฮีตใช้เงินสำรองขั้นต่ำเพื่อซื้ออัฒจันทร์สองฝั่ง โดยแต่ละฝั่งจุผู้ชมได้ 1,000 คน[112] แม้ในนัดแรก ๆ จะยังไม่มีการบันทึกจำนวนผู้เข้าชมที่นอร์ทโรด แต่สถิติผู้เข้าชมสูงสุดที่มีการบันทึกไว้อยู่ที่ประมาณ 15,000 คนในนัดการแข่งขันเฟิสต์ดิวิชันที่พบกับซันเดอร์แลนด์เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1893[113] นอกจากนี้ ยังมีการบันทึกจำนวนผู้เข้าชมที่ใกล้เคียงกันในนัดกระชับมิตรที่พบกอร์ตันวิลลาเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1889[114]
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1893 หลังจากที่เจ้าของนอร์ทโรดอย่างดีนและแคนอนแห่งแมนเชสเตอร์ที่รู้สึกว่าการที่สโมสรคิดค่าเข้าสนามนั้นไม่เหมาะสม ได้ขับไล่สโมสรออกไป เลขานุการ เอ. เอช. อัลบัต ได้จัดหาสนามแบงก์สตรีตในเคลย์ตัน[115] ในช่วงแรก สนามยังไม่มีอัฒจันทร์ จนกระทั่งในช่วงต้นฤดูกาล 1893–94 ได้มีการก่อสร้างอัฒจันทร์สองฝั่งแรก ฝั่งหนึ่งอยู่ในแนวตามยาวของสนาม ส่วนอีกฝั่งตั้งอยู่ที่ปลายสนามฝั่ง "แบรดฟอร์ดเอนด์" ซึ่งอยู่หลังประตู ในฝั่งตรงข้ามซึ่งก็คือ "เคลย์ตันเอนด์" ได้มีการก่อสร้างอัฒจันทร์ที่รองรับได้หนึ่งพันคน[115] การแข่งขันในลีกนัดแรกของนิวตันฮีตที่แบงก์สตรีตในนัดที่พบกับเบิร์นลีย์เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1893 มีผู้เข้าชม 10,000 คนที่เห็นอัลฟ์ ฟาร์มันทำแฮตทริกช่วยให้ทีมเอาชนะด้วยผลประตู 3–2 อัฒจันทร์ฝั่งที่เหลือสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเกมลีกนัดถัดมาที่พบกับนอตทิงแฮมฟอเรสต์ในอีกสามสัปดาห์ถัดมา[115] ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1895 ในนัดที่ก่อนที่จะพบกับแมนเชสเตอร์ซิตี สโมสรได้ซื้ออัฒจันทร์ความจุ 2,000 ที่นั่งจากสโมสรบรอตันเรนเจอส์ในลีกรักบี้ และสร้างอัฒจันทร์อีกฝั่งบน "รีเซิร์ฟไซด์" (ตั้งชื่อให้แยกออกจาก "ป็อปปูลาร์ไซด์") อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดทางสภาพอากาศทำให้มีผู้เข้าชมในนัดของแมนเชสเตอร์ซิตีเพียง 12,000 คน[116]
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งปิดสนามแบงก์สตรีตชั่วคราวใน ค.ศ. 1902 กัปตันทีม แฮร์รี สแตฟฟอร์ต ระดมทุนให้กับสโมสรในนัดเยือนถัดไปที่จะพบกับบริสตอลซิตี และหาสนามชั่วคราวที่ฮาร์ปูร์เฮย์ในนัดถัดไปของทีมสำรองที่จะพบกับพาดิแฮม[117] ต่อมาเมื่อมีการลงทุนด้านการเงิน ประธานสโมสรคนใหม่ จอห์น เฮนรี เดวีส์ จ่ายเงิน 500 ปอนด์เพื่อสร้างอัฒจันทร์แห่งใหม่ความจุ 1,000 ที่นั่งที่แบงก์สตรีต[118] ภายในสี่ปี สนามมีอัฒจันทร์ครบทั้งสี่ด้าน ทำให้รองรับผู้เข้าชมได้ประมาณ 50,000 คน ผู้เข้าชมบางส่วนสามารถรับชมเกมได้จากระเบียงบนอัฒจันทร์หลัก[118]
หลังจากที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศลีกสมัยแรกใน ค.ศ. 1908 และชนะเลิศเอฟเอคัพในปีถัดมา มีความเห็นว่าแบงก์ตรีตนั้นมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับความทะเยอทะยานของเดวีส์[118] ทำให้ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1909 หกสัปดาห์หลังจากที่สโมสรชนะเลิศเอฟเอคัพสมัยแรก มีการตั้งชื่อสนามเหย้าแห่งใหม่ของสโมสรว่าโอลด์แทรฟฟอร์ดโดยมีการซื้อที่ดินราคา 60,000 ปอนด์ อาร์คิบัลด์ ลีตช์ ผู้เป็นสถาปนิก ได้รับงบประมาณ 30,000 ปอนด์ในการก่อสร้าง แผนดั้งเดิมคือการสร้างสนามให้มีความจุ 100,000 ที่นั่ง แต่งบประมาณที่จำกัดทำให้ต้องลดความจุเหลือเพียง 77,000 ที่นั่ง ตัวอาคารสนามก่อสร้างโดยเมสเซอร์ เบรเมลด์ และสมิทออฟแมนเชสเตอร์ สถิติผู้เข้าชมสูงสุดที่สนามแห่งนี้บันทึกไว้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1939 ในการแข่งขันเอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศที่วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์พบกับกริมส์บีทาวน์ โดยมีผู้เข้าชม 76,962 คน[119]
การทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่สองสร้างความเสียหายให้กับสนามเป็นส่วนมาก โดยอุโมงค์กลางในอัฒจันทร์ฝั่งทิศใต้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่หลงเหลือในพื้นที่ส่วนนั้น หลังสงคราม สโมสรได้รับค่าบูรณะจากคณะกรรมาธิการความเสียหายจากสงครามด้วยจำนวนเงิน 22,278 ปอนด์ ในขณะที่มีการซ่อมแซมสนาม ทีมลงเล่นนัดเหย้าที่สนามเมนโรดของแมนเชสเตอร์ซิตี โดยยูไนเต็ดต้องจ่ายค่าเช่าสนาม 5,000 ปอนด์ต่อปีพร้อมกับส่วนแบ่งเงินค่าเข้าสนามคิดเป็นร้อยละที่กำหนดไว้[120] การปรับปรุงสนามในขั้นต่อมารวมถึงการประกอบหลังคา โดยประกอบครั้งแรกที่อัฒจันทร์ฝั่งสเตรตฟอร์ด ต่อมาจึงประกอบที่อัฒจันทร์ฝั่งทิศเหนือและทิศตะวันออก เดิมหลังคาค้ำจุนด้วยเสาซึ่งบดบังการมองเห็นของผู้สนับสนุน ทำให้มีการเปลี่ยนโครงสร้างค้ำจุนเป็นคานแทน อัฒจันทร์ฝั่งสเตรตฟอร์ดเป็นอัฒจันทร์ฝั่งสุดท้ายที่เปลี่ยนโครงสร้างค้ำจุนเป็นคาน โดยปรับปรุงเสร็จในฤดูกาล 1993–94[38] เสาสี่เสาความสูง 180-ฟุต (55-เมตร) สร้างขึ้นด้วยงบประมาณ 40,000 ปอนด์และเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1957 แต่ละเสาติดตั้งไฟสองสว่าง 54 ดวง โครงสร้างเหล่านี้ถูกรื้อถอนใน ค.ศ. 1987 และแทนที่ด้วยระบบไฟส่องสว่างที่ฝังในหลังคาของแต่ละอัฒจันทร์ ซึ่งใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน[121]
ข้อกำหนดของเทย์เลอร์รีพอร์ตที่กำหนดให้สนามต้องติดตั้งเก้าอี้ครบทุกที่นั่ง ทำให้ความจุของโอลด์แทรฟฟอร์ดลดลงเหลือเพียง 44,000 ที่นั่งใน ค.ศ. 1993 ต่อมาใน ค.ศ. 1995 อัฒจันทร์ฝั่งทิศเหนือได้ปรับปรุงใหม่เป็นแบบสามชั้น ทำให้ความจุของสนามเพิ่มขึ้นเป็น 55,000 ที่นั่ง หลังจบฤดูกาล 1998–99 มีการเพิ่มชั้นที่สองให้กับอัฒจันทร์ฝั่งทิศตะวันออกและฝั่งทิศตะวันตก ทำให้ความจุของสนามเพิ่มขึ้นเป็น 67,000 ที่นั่ง ต่อมาระหว่างเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2005 ถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 มีการเพิ่มเก้าอี้ 8,000 ที่นั่งบนชั้นที่สองของมุมอัฒจันทร์ฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือและฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นั่งใหม่บางส่วนเปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2006 โดยมีผู้เข้าชมในสนาม 69,070 คน กลายเป็นสถิติใหม่ของพรีเมียร์ลีก[122] สถิตินี้ถูกทำลายลงเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2007 เมื่อมีผู้เข้าชม 76,098 คน รับชมเกมที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเอาชนะแบล็กเบิร์นโรเวอส์ด้วยผลประตู 4–1 ในนัดนั้นมีเพียง 114 ที่นั่ง (ร้อยละ 0.15 ของความจุทั้งสนามที่ 76,212 ที่นั่ง) ที่ไม่มีผู้ชม[123] ต่อมาใน ค.ศ. 2009 มีการปรับปรุงที่นั่งจนทำให้ความจุของสนามลดลง 255 ที่นั่ง จนเหลือเพียง 75,957 ที่นั่ง[124][125] แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีผู้เข้าชมโดยเฉลี่ยสูงเป็นอันดับที่สองของทวีปยุโรปรองจากโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์[126][127][128] ใน ค.ศ. 2021 โจเอล เกลเซอร์ หนึ่งในประธานสโมสรได้เปิดเผยความคืบหน้าสำหรับแผนงานขั้นต้นในการปรับปรุงสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ที่เพิ่มขึ้นจากการขาดการพัฒนาสนามตั้งแต่ ค.ศ. 2009[129] ภายหลังการเข้าซื้อกิจการโดยจิม แรตคลิฟฟ์ ใน ค.ศ. 2024 สโมสรเปิดเผยว่ามีแผนในการก่อสร้างสนามใหม่ด้วยความจุถึง 100,000 ที่นั่งบริเวณใกล้กับสนามปัจจุบัน ในขณะที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดจะถูกลดจำนวนที่นั่งลง และจะถูกใช้เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลหญิงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดและทีมเยาวชนของสโมสร[130] นอกจากนี้ จากผลสำรวจในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2024 พบว่า ผู้สนับสนุนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแผนการสร้างสนามเหย้าแห่งใหม่มากกว่าการพัฒนาสนามปัจจุบัน[131] ต่อมาในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2025 สโมสรออกแถลงการณ์ยืนยันการสร้างสนามแห่งใหม่ด้วยความจุ 100,000 ที่นั่ง ดำเนินการโดยฟอสเตอร์แอนด์พาร์ตเนอส์[132][133]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่มีจำนวนผู้เข้าชมเกมเหย้าโดยเฉลี่ยสูงที่สุดในยุโรป[134] สโมสรมีฐานสนับสนุนทั่วโลก ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้สนับสนุนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมากกว่า 200 แห่งที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในอย่างน้อย 24 ประเทศ[135] สโมสรใช้ประโยชน์จากการสนับสนุนนี้ผ่านการทัวร์ฤดูร้อนทั่วโลก บริษัทการบัญชีและกลุ่มที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรมกีฬาอย่างดีลอยต์ประมาณการว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีผู้สนับสนุน 75 ล้านคนทั่วโลก[11] สโมสรเป็นทีมกีฬาที่มีผู้ติดตามบัญชีเครือข่ายสังคมสูงเป็นอันดับที่สามของโลก (รองจากบาร์เซโลนาและเรอัลมาดริด) โดยมีผู้ติดตามเฟซบุ๊กมากกว่า 82 ล้านคน ณ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2023[12][136] การศึกษาใน ค.ศ. 2014 เปิดเผยว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีผู้สนับสนุนที่ส่งเสียงดังที่สุดในพรีเมียร์ลีก[137]
ผู้สนับสนุนมีตัวแทนจากสองหน่วยงานอิสระ ได้แก่ สมาคมผู้สนับสนุนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอิสระ (อังกฤษ: Independent Manchester United Supporters' Association; IMUSA) ซึ่งเชื่อมโยงกับสโมสรอย่างใกล้ชิดผ่านทางฟอรัมผู้สนับสนุน[138] และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซัพพอร์เทอส์ทรัสต์ (อังกฤษ: Manchester United Supporters' Trust; MUST) หลังจากการเข้าซื้อกิจการของตระกูลเกลเซอร์ใน ค.ศ. 2005 กลุ่มผู้สนับสนุนได้ก่อตั้งสโมสรแยกออกมาคือ สโมสรฟุตบอลยูไนเต็ดออฟแมนเชสเตอร์ อัฒจันทร์ฝั่งทิศตะวันตกของโอลด์แทรฟฟอร์ด "สเตรตฟอร์ดเอนด์" เป็นอัฒจันทร์ฝั่งเหย้าและเป็นอัฒจันทร์ดั้งเดิมของกลุ่มผู้สนับสนุนสโมสรที่ส่งเสียงดังที่สุด[139]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีทีมคู่แข่งโดยตรงคือ ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ซิตี สโมสรอื่น ๆ ที่เป็นอริได้แก่ อาร์เซนอล, ลีดส์ยูไนเต็ด และเชลซี[140][141]
การแข่งขันกับลิเวอร์พูลมีรากฐานจากการแข่งขันระหว่างเมืองในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งแมนเชสเตอร์มีชื่อเสียงในด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอ ขณะที่ลิเวอร์พูลเป็นเมืองท่าสำคัญ[142] ทั้งสองสโมสรเป็นทีมจากอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทั้งการแข่งขันระดับประเทศและระดับนานาชาติ ถ้วยรางวัลที่พวกเขาชนะเลิศเมื่อนำมารวมกัน ได้แก่ ลีก 39 สมัย, ยูโรเปียนคัพ 9 สมัย, ยูฟ่าคัพ 4 สมัย, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 5 สมัย, เอฟเอคัพ 21 สมัย, อีเอฟแอลคัพ 16 สมัย, ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2 สมัย, อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1 สมัย และเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 37 สมัย[143][144][145] การพบกันของทั้งคู่ถือเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกฟุตบอลและนัดการแข่งขันที่มีชื่อเสียงที่สุดในฟุตบอลอังกฤษ[146][147][148][149][150] อดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวใน ค.ศ. 2002 ว่า "ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมคือการสกัดลิเวอร์พูลออกจากความสำเร็จ"[151]
การแข่งขันกับแมนเชสเตอร์ซิตีถูกเรียกว่าดาร์บีแมนเชสเตอร์ เนื่องด้วยทั้งสองสโมสรเป็นทีมตัวแทนจากเมืองแมนเชสเตอร์ มักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในการแข่งขันท้องถิ่นที่เข้มข้นที่สุดในสหราชอาณาจักร[152] การแข่งขันดุเดือดขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 2010 เป็นต้นมาซึ่งซิตียกระดับทีมขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด และทั้งสองสโมสรขับเคี่ยวกันเพื่อถ้วยรางวัล เช่น การแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกใน ค.ศ. 2012 และ 2013 รวมถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ ค.ศ. 2023 และ 2024[153]
"ศึกกุหลาบ" กับลีดส์ มีสาเหตุจากสงครามแห่งดอกกุหลาบที่ต่อสู้กันระหว่างราชวงศ์แลงคัสเตอร์กับราชวงศ์ยอร์ก โดยแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นตัวแทนของแลงคาเชียร์และลีดส์เป็นตัวแทนของยอร์กเชียร์[154]
ความเป็นคู่แข่งกับอาร์เซนอลเป็นผลมาจากการแข่งขันหลายนัดระหว่างทั้งสองทีม โดยผู้จัดการทีม อเล็กซ์ เฟอร์กูสันและอาร์แซน แวงแกร์ต่างต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวนแชมป์ 33 สมัยของทั้งสองทีมรวมกัน (แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 20 สมัยและอาร์เซนอล 13 สมัย) การแข่งขันนี้จึงกลายเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในนัดการแข่งขันพรีเมียร์ลีกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์[155][156]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้รับการขนานนามว่าเป็นตราสินค้าระดับโลก โดยใน ค.ศ. 2011 แบรนด์ไฟแนนซ์ประเมินมูลค่าเครื่องหมายการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องของสโมสรไว้ที่ 412 ล้านปอนด์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 39 ล้านปอนด์ และยังประเมินมูลค่ามากกว่าตราสินค้าอันดับที่สองอย่างเรอัลมาดริด 11 ล้านปอนด์ นอกจากนี้ ยังให้คะแนนความแข็งแกร่งของตราสินค้าไว้ที่ระดับ AAA (แข็งแกร่งมาก)[157] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 นิตยสารฟอบส์จัดอันดับให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่อันดับที่หนึ่งในรายชื่อทีมกีฬาที่มีมูลค่าตราสินค้ามากที่สุดสิบอันดับแรก โดยให้มูลค่าเครื่องหมายการค้าของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่ที่ 2.23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[158] ในขณะที่ดีลอยต์ฟุตบอลมันนีลีกจัดอันดับให้สโมสรอยู่อันดับที่สาม (รองจากเรอัลมาดริดและบาร์เซโลนา)[159] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2013 สโมสรกลายเป็นทีมกีฬาทีมแรกของโลกที่มีมูลค่าถึง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[160] นิตยสารฟอบส์ระบุว่าสโมสรมีมูลค่าสูงถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าทีมกีฬาที่มีมูลค่าเป็นอันดับที่สองถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[160] สี่ปีถัดมา มูลค่าของสโมสรเรอัลมาดริดสูงกว่ายูไนเต็ด แต่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลับสู่อันดับสูงสุดในรายชื่อของฟอบส์ด้วยมูลค่า 3.689 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[161]
จุดแข็งหลักของตราสินค้าระดับโลกของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาจากการสร้างทีมขึ้นใหม่ของแมตต์ บัสบี และความสำเร็จที่เกิดขึ้นหลังภัยพิบัติทางอากาศที่มิวนิก จนทำให้เกิดการสรรเสริญทั่วโลก[139] ทีม "ที่เป็นเอกลักษณ์" ซึ่งรวมผู้เล่นอย่างบ็อบบี ชาร์ลตัน และน็อบบี สติลส์ (ผู้เล่นทีมชาติอังกฤษชุดชนะเลิศฟุตบอลโลก), เดนิส ลอว์ และจอร์จ เบสต์ ได้นำการเล่นเกมรุก (ตรงข้ามกับการเล่นเกมรับอย่าง "คาเตนัชโช" ที่ทีมชั้นนำของอิตาลีในยุคนั้นนิยมใช้) ซึ่ง "เป็นที่จับใจของมหาชนชาวอังกฤษ" มาใช้[162] ทีมของบัสบีเริ่มเกี่ยวข้องกับการเปิดเสรีของสังคมตะวันตกในช่วงทศวรรษ 1960 จอร์จ เบสต์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "ฟิฟท์บีเทิล" จากทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา เป็นนักฟุตบอลคนแรกที่มีภาพลักษณ์นอกสนามจากสื่ออย่างมีนัยสำคัญ[162]
ในฐานะสโมสรฟุตบอลอังกฤษแห่งที่สองที่ได้มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนเมื่อ ค.ศ. 1991 สโมสรได้ระดมทุนอย่างมีนัยสำคัญซึ่งจะนำไปพัฒนากลยุทธ์เชิงพาณิชย์ของสโมสรต่อไป การมุ่งเน้นของสโมสรในการประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์และกีฬา ทำให้เกิดผลกำไรในอุตสาหกรรมที่มักจะขาดทุนอย่างหนัก[163] ความแข็งแกร่งของตราสินค้าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเกิดจากความสนใจจากสื่อนอกสนามที่มีต่อผู้เล่นรายบุคคลอย่างแรงกล้า โดยเฉพาะเดวิด เบคแคม (ผู้ซึ่งพัฒนาตราสินค้าระดับโลกของตนเองอย่างรวดเร็ว) ความสนใจนี้ก่อให้เกิดความสนใจที่มากขึ้นในกิจกรรมที่สนาม และสร้างโอกาสที่จะมีผู้สนับสนุน ซึ่งมูลค่าที่ได้มาจากการรับชมโทรทัศน์[164] ในช่วงที่เบคแคมอยู่กับสโมสร ความนิยมในเอเชียของเขานำไปสู่ความสำเร็จเชิงพาณิชย์ของสโมสรในภูมิภาคนั้นของโลก[165]
เนื่องจากอันดับในลีกที่สูงขึ้นส่งผลให้สโมสรได้รับค่าลิขสิทธิ์ทางโทรทัศน์มากขึ้น ผลงานความสำเร็จในสนามจึงสร้างรายได้ให้กับสโมสรมากขึ้นเช่นกัน นับตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้รับส่วนแบ่งรายได้จากข้อตกลงการออกอากาศของบีสกายบีมากที่สุด[166] แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยังเป็นสโมสรอังกฤษที่มีรายได้เชิงพาณิชย์สูงที่สุดตลอดมา โดยในฤดูกาล 2005–06 กลุ่มการค้าของสโมสรทำรายได้ 51 ล้านปอนด์ ในขณะที่เชลซีทำรายได้ 42.5 ล้านปอนด์ ลิเวอร์พูลทำรายได้ 39.3 ล้านปอนด์ อาร์เซนอลทำรายได้ 34 ล้านปอนด์ และนิวคาสเซิลยูไนเต็ดทำรายได้ 27.9 ล้านปอนด์ ผู้สนับสนุนหลักใกล้ชิดที่สำคัญคือบริษัทอุปกรณ์กีฬาอย่างไนกี้ ซึ่งดำเนินการขายสินค้าของสโมสรโดยเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นส่วนมูลค่า 303 ล้านปอนด์ตลอดเวลา 13 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 2002 ถึง 2015[167] ในแผนการเงินและการรับสมาชิกสโมสรของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด วันยูไนเต็ด ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสโมสร สามารถซื้อสินค้าและบริการได้หลายอย่าง นอกจากนี้ยังมีสื่อของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อย่างเช่น รายการโทรทัศน์เฉพาะของสโมสร เอ็มยูทีวี ที่ขยายฐานผู้สนับสนุนไปยังพื้นที่ที่อยู่ไกลกว่าสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด[11]
ในช่วงต้นฤดูกาล 1982–83 ชาร์ปอิเล็กทรอนิกส์ เป็นผู้สนับสนุนรายแรกที่ปรากฏบนเสื้อแข่งของสโมสร โดยทำสัญญามูลค่า 500,000 ปอนด์ เป็นระยะเวลาห้าปี สัญญานี้สิ้นสุดลงหลังจบฤดูกาล 1999–2000 เมื่อโวดาโฟนทำสัญญากับสโมสร 30 ล้านปอนด์เป็นระยะเวลาสี่ปี[169] โวดาโฟนยินดีที่จ่ายเงิน 36 ล้านปอนด์ ในการขยายสัญญาอีกสี่ปี แต่หลังจากผ่านไปสองฤดูกาล มีการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดเพื่อที่จะเน้นการสนับสนุนในแชมเปียนส์ลีก[169]
ในช่วงต้นฤดูกาล 2006–07 บริษัทประกันภัยอเมริกัน เอไอจีทำสัญญาสี่ปีด้วยมูลค่า 56.5 ล้านปอนด์ ทำให้เป็นสัญญาที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลกเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2006[170][171] ต่อมาในช่วงต้นฤดูกาล 2010–11 บริษัทประกันภัยต่ออเมริกา เอออน กลายเป็นผู้สนับสนุนหลักของสโมสร โดยทำสัญญาสี่ปีด้วยมูลค่าประมาณ 80 ล้านปอนด์ ทำให้เป็นสัญญาผู้สนับสนุนบนเสื้อแข่งที่ได้รับผลตอบแทนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดประกาศว่าได้ทำสัญญาผู้สนับสนุนบนเสื้อซ้อมเป็นครั้งแรก โดยทำสัญญาสี่ปีกับดีเอชแอลด้วยค่ามูลค่าที่ได้รับรายงานอยู่ที่ 40 ล้านปอนด์ สัญญานี้เชื่อกันว่าทำให้มีผู้สนับสนุนบนเสื้อซ้อมเป็นครั้งแรกในฟุตบอลอังกฤษ[172][173] สัญญากับดีเอชแอล มีระยะเวลาปีกว่าก่อนที่สโมสรจะซื้อสัญญาคืนในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 แม้ว่าบริษัทจะยังเป็นหุ้นส่วนโลจิสติกส์อย่างเป็นทางการของสโมสร[174] เอออนทำสัญญาเป็นผู้สนับสนุนบนเสื้อซ้อมในเดือนเมษายน ค.ศ. 2013 ด้วยมูลค่า 180 ล้านปอนด์ เป็นระยะเวลากว่าแปดปี โดยยังรวมถึงการซื้อสิทธิ์ในการตั้งชื่อศูนย์ฝึกซ้อมแทรฟฟอร์ด[175]
ผู้ผลิตชุดแข่งรายแรกของสโมสรคืออัมโบร ต่อมาใน ค.ศ. 1975 แอดไมรัลสปอตส์แวร์เข้ามาแทนที่ในฐานะผู้ผลิตชุดแข่งด้วยสัญญาห้าปี[176] อาดิดาสเซ็นสัญญาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งใน ค.ศ. 1980[177] ก่อนที่อัมโบรจะกลับมาผลิตชุดแข่งเป็นครั้งที่สองใน ค.ศ. 1992[178] อัมโบรผลิตชุดแข่งให้กับสโมสรเป็นเวลาสิบปี ก่อนที่ไนกี้จะเซ็นสัญญาด้วยมูลค่าอันเป็นสถิติโลกที่ 302.9 ล้านปอนด์โดยมีผลถึง ค.ศ. 2015 บริษัทขายเสื้อจำลองได้ถึง 3.8 ล้านตัวในช่วง 22 เดือนแรก[179][180] นอกจากไนกี้และเชฟโรเลตแล้ว สโมสรยังมีผู้สนับสนุนในระดับรองลงมาอย่างเอออนและบัดไวเซอร์[181]
วันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 ยูไนเต็ดเซ็นสัญญาเจ็ดปีกับบริษัทรถยนต์อเมริกันอย่างเจเนรัลมอเตอร์ ซึ่งเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนบนเสื้อแทนเอออนตั้งแต่ฤดูกาล 2014–15 สัญญาการสนับสนุนบนเสื้อแข่งมีมูลค่า 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (หรือมีมูลค่าประมาณ 559 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลากว่าเจ็ดปี) โดยแสดงสัญลักษณ์ของเชฟโรเลตซึ่งเป็นตราสินค้าของเจเนรัลมอเตอร์[182][183] ไนกี้ประกาศว่าพวกเขาจะไม่ขยายสัญญาในการผลิตชุดให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดหลังจบฤดูกาล 2014–15 โดยให้เหตุผลว่ามีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น[184][185] นับตั้งแต่เริ่มฤดูกาล 2015–16 อาดิดาสได้ผลิตชุดแข่งให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยสัญญาอันมีระยะเวลาเป็นสถิติโลกที่ 10 ปี พร้อมมูลค่าอย่างน้อย 750 ล้านปอนด์[186][187] บริษัทสุขภัณฑ์ห้องน้ำอย่างโคเลอร์กลายเป็นผู้สนับสนุนแรกที่ปรากฏบนแขนเสื้อแข่งของสโมสรนับตั้งแต่ฤดูกาล 2018–19[188] ต่อมา ทีมวีเวอร์ กลายเป็นผู้สนับสนุนของสโมสรด้วยระยะเวลาสัญญาห้าปีมูลค่า 235 ล้านปอนด์ โดยเริ่มต้นในฤดูกาล 2021–22 ภายหลังสโมสรและผู้สนันสนุนรายเดิมอย่างเจเนรัลมอเตอร์ยุติการขยายสัญญาร่วมกัน[189] ต่อมาเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2023–24 ควอลคอมม์ สแนปดรากอน เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนรายใหม่ด้วยมูลค่าสัญญามากกว่า 60 ล้านปอนด์ต่อปี[190] และในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2024 ควอลคอมม์ ในฐานะบริษัทแม่ของควอลคอมม์ สแนปดรากอน ใช้สิทธิ์ขยายสัญญาการสนับสนุนสโมสรเพิ่มอีกสองปี โดยจะสิ้นสุดใน ค.ศ. 2029[191]
บริษัทรถไฟแลงคาเชียร์และยอร์กเชียร์เป็นผู้จัดหาเงินทุนให้กับสโมสรในช่วงที่เพิ่งก่อตั้ง ต่อมาสโมสรกลายเป็นบริษัทจำกัดใน ค.ศ. 1892 และขายหุ้นส่วนมูลค่าหนึ่งปอนด์ให้กับผู้สนับสนุนท้องถิ่นผ่านการสมัคร[21] ต่อมาใน ค.ศ. 1902 นักธุรกิจท้องถิ่นสี่คนผู้ลงทุนเงิน 500 ปอนด์ เพื่อกอบกู้สโมสรจากการล้มละลาย กลายเป็นเจ้าของหลัก โดยหนึ่งในนั้นเป็นประธานสโมสรคนถัดไปอย่างจอห์น เฮนรี เดวีส์[21] เมื่อเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1927 สโมสรต้องพบกับภาวะล้มละลายอีกครั้ง แต่ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1931 เจมส์ ดับเบิลยู. กิบสัน ได้เข้ามากอบกู้สโมสรด้วยเงินลงทุน 2,000 ปอนด์ และได้สิทธิ์ควบคุมสโมสร[25] กิบสันแต่งตั้งให้อลัน บุตรชายของเขา ขึ้นเป็นคณะกรรมการบริหารใน ค.ศ. 1948[192] แต่อลันเสียชีวิตในอีกสามปีถัดมา ตระกูลกิบสันยังคงสถานะความเป็นเจ้าของสโมสรผ่านทางลิลเลียน ภรรยาของเจมส์[193] แต่อดีตนักฟุตบอลอย่างฮาโรลด์ ฮาร์ดมัน ได้รับตำแหน่งเป็นประธานสโมสร[194]
หลังจากที่สโมสรแต่งตั้งหลุยส์ เอ็ดเวิดส์ เพื่อนของแมตต์ บัสบี ขึ้นเป็นคณะกรรมการบริหารเพียงไม่กี่วันหลังจากภัยพิบัติทางอากาศมิวนิก เขาเริ่มซื้อหุ้นสโมสรด้วยการลงทุนเงินประมาณ 40,000 ปอนด์ และรวบรวมหุ้นได้ร้อยละ 54 จนได้ถือหุ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1964[195] เมื่อลิลเลียน กิบสันเสียชีวิตในเดือนมกราคม ค.ศ. 1971 อลัน กิบสัน ได้รับหุ้นของเธอ และขายหุ้นของเขาให้กับมาร์ติน บุตรชายของหลุยส์ เอ็ดเวิดส์ใน ค.ศ. 1978 ต่อมา มาร์ติน เอ็ดเวิดส์กลายเป็นประธานสโมสรหลังจากที่บิดาของเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1980[196] ผู้ประกอบการสื่ออย่างโรเบิร์ต แม็กซ์เวลล์ พยายามซื้อสโมสรใน ค.ศ. 1984 แต่ราคาที่เสนอไม่ตรงกับที่เอ็ดเวิดส์ต้องการ[196] ต่อมาใน ค.ศ. 1989 ประธานสโมสร มาร์ติน เอ็ดเวิดส์ พยายามขายสโมสรให้กับมิชาเอล ไนตัน ด้วยมูลค่า 20 ล้านปอนด์ แต่การขายไม่สำเร็จและไนตันเข้าร่วมคณะกรรมการบริหารแทน[196]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1991 (ระดมเงินได้ 6.7 ล้านปอนด์)[197] ต่อมาใน ค.ศ. 1998 มีการเสนอซื้อกิจการอีกครั้งโดยบริษัทถ่ายทอดสดบริติชสกายของรูเปิร์ต เมอร์ดอช จนทำให้เกิดการก่อตั้ง กลุ่มหุ้นส่วนยูไนเต็ดต่อต้านเมอร์ดอช (อังกฤษ: Shareholders United Against Murdoch) ซึ่งปัจจุบันคือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซัพพอร์เทอส์ทรัสต์ กลุ่มนี้ส่งเสริมให้ผู้สนับสนุนซื้อหุ้นส่วนของสโมสรเพื่อพยายามป้องกันการครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตร คณะกรรมการของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยอมรับข้อเสนอซื้อกิจการมูลค่า 623 ล้านปอนด์[198] แต่การซื้อกิจการครั้งนี้ถูกสั่งห้ามโดยคณะกรรมาธิการการผูกขาดและการควบรวมกิจการในขั้นตอนสุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1999[199] อีกไม่กี่ปีถัดมา เกิดการแย่งชิงอำนาจขึ้นระหว่างอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการสโมสร กับจอห์น แมกเนียร์และเจ. พี. แมกมานัส พันธมิตรแข่งม้าที่ค่อย ๆ กลายเป็นผู้ถือหุ้นส่วนหลัก ในกรณีพิพาทอันเกิดจากการแก่งแย่งชิงม้าร็อกออฟยิบรอลตาร์ แมกเนียร์กับแมกมานัสพยายามขับไล่เฟอร์กูสันออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และคณะกรรมการตอบสนองด้วยการเข้าหานักลงทุนเพื่อพยายามลดการครอบครองหุ้นส่วนใหญ่ของชาวไอริชทั้งสอง[200]
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2005 มัลคอล์ม เกลเซอร์ซื้อหุ้นร้อยละ 28.7 ที่ถือโดยแมกมานัสและแมกเนียร์ ต่อมาเขาถือครองส่วนได้เสียที่มีอำนาจควบคุมผ่านเครื่องมือในการลงทุนบริษัทเรดฟุตบอลเพื่อซื้อกิจการสโมสรด้วยการกู้ยืมเงินประมาณ 800 ล้านปอนด์ (หรือ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)[201] เมื่อการซื้อกิจการเสร็จสมบูรณ์ สโมสรจึงออกจากตลาดหลักทรัพย์[202] เงินที่ซื้อกิจการส่วนใหญ่เป็นเงินที่ตระกูลเกลเซอร์กู้มา หนี้สินจึงถูกโอนมาเป็นหนี้ของสโมสร จนสโมสรมีหนี้ติดตัวถึง 540 ล้านปอนด์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ถึง 20[203][204][17]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 สโมสรได้ทำการรีไฟแนนซ์ส่งผลให้หนี้สินเพิ่มขึ้นเป็น 660 ล้านปอนด์ แต่ดอกเบี้ยที่จ่ายประจำปีลดลงร้อยละ 30 เหลือเพียง 62 ล้านปอนด์ต่อปี[205][206] ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 สโมสรติดหนี้ 716.5 ล้านปอนด์ (1.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)[207] และได้รีไฟแนนซ์เพิ่มเติมผ่านการออกตราสารหนี้มูลค่า 504 ล้านปอนด์ ทำให้พวกเขาสามารถชำระหนี้สินแทบทั้งหมดที่ติดค้างธนาคารนานาชาติเป็นจำนวนเงิน 509 ล้านปอนด์[208] ดอกเบี้ยรายปีที่ต้องชำระให้กับผู้ถือตราสารหนี้ ซึ่งจะครบกำหนดชำระในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 มีมูลค่าประมาณ 45 ล้านปอนด์ต่อปี[209] แม้ว่าจะมีการปรับโครงสร้าง แต่หนี้ของสโมสรทำให้ผู้สนับสนุนที่จะไปรับชมที่สนามรวมกลุ่มประท้วงที่โอลด์แทรฟฟอร์ดและศูนย์ฝึกซ้อมแทรฟฟอร์ดเมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2010[210][211] กลุ่มผู้สนับสนุนแนะนำให้ผู้สนับสนุนที่ประท้วงสวมเสื้อสีเขียวและสีทอง อันเป็นสีของนิวตันฮีต ต่อมาในวันที่ 30 มกราคม มีรายงานว่า กลุ่มแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซัพพอร์เทอส์ทรัสต์จัดประชุมกับกลุ่ม "อัศวินสีแดง" ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนที่ร่ำรวย โดยวางแผนเพื่อซื้อการถือครองส่วนได้เสียที่มีอำนาจควบคุมของตระกูลเกลเซอร์คืน[212] หนี้ของสโมสรพุ่งสูงถึง 777 ล้านปอนด์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007[213]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 เชื่อกันว่าตระกูลเกลเซอร์ได้เข้าไปทาบทามเครดิตสวิสในการเตรียมการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชน (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ด้วยมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 600 ล้านปอนด์) ซึ่งจะช่วยให้สโมสรมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ล้านปอนด์[214] อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 สโมสรประกาศว่ามีแผนเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กแทน[215] ในช่วงแรก มีการตั้งเป้าขายในราคาระหว่าง 16 ถึง 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น แต่ในช่วงที่เริ่มเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชนเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ราคาลดลงเหลือ 14 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีผลหลังจากได้รับเสียงวิจารณ์แง่ลบจากนักวิเคราะห์ของวอลล์สตรีตและการเปิดตัวในตลาดหลักทรัพย์อันน่าผิดหวังของเฟซบุ๊กในเดือนพฤษภาคม แม้จะมีการลดราคา แต่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็มีมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก[216]
ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กอนุญาตให้ผู้ที่ถือหุ้นต่างกันมีสิทธิ์การออกเสียงไม่เท่ากัน โดยหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชน ("ระดับเอ") มีสิทธิ์ในการลงคะแนนน้อยกว่าหุ้นที่เกลเซอร์ถือ ("ระดับบี") ถึง 10 เท่า[217] ในช่วงแรก (ค.ศ. 2012) มีการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเพียงร้อยละ 10[218] และในปี ค.ศ. 2019 ตระกูลเกลเซอร์ยังคงมีสิทธิ์ในการควบคุมสโมสรมากที่สุด เนื่องจากถือหุ้นร้อยละ 70 ขณะที่อำนาจการลงคะแนนเสียงสูงขึ้น[219]
ใน ค.ศ. 2012 เดอะการ์เดียน รายงานว่าสโมสรมีรายจ่ายเกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินกู้และค่าใช้จ่ายอื่นของตระกูลเกลเซอร์ 500 ล้านปอนด์[220] ต่อมาใน ค.ศ. 2019 มีรายงานว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดของสโมสรด้านดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านปอนด์[204] และในช่วงสิ้นปี สโมสรมีหนี้สุทธิเกือบ 400 ล้านปอนด์[221]
ใน ค.ศ. 2023 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้รับการเสนอราคาหลายครั้งเพื่อซื้อสโมสร เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ เจ้าของ INEOS และจัสซิม บิน ฮาหมัด อัล-ธานี ชีคชาวกาตาร์เป็นผู้เข้าร่วมประมูลที่ประกาศความสนใจต่อสาธารณะ[222]
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2023 มีการประกาศว่าแรตคลิฟฟ์ได้ซื้อหุ้น 25% ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และบริษัท INEOS Sport ของเขากำลังเข้าควบคุมการดำเนินงานด้านฟุตบอล[223] ในขณะที่เกลเซอร์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
รายชื่อผู้เล่นชุดอายุไม่เกิน 21 ปีและชุดเยาวชนที่มีหมายเลขเสื้อในทีมชุดใหญ่
ฌ็อง-โกลด บล็อง[251] เดวิด กิลล์ไมเคิล เอเดลสันเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน[252]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทวีปยุโรปในแง่ของจำนวนถ้วยรางวัล[255] ถ้วยรางวัลแรกของสโมสรคือแมนเชสเตอร์คัพ ซึ่งพวกเขาชนะเลิศในสมัยที่ใช้ชื่อว่านิวตันฮีตแอลวายอาร์เมื่อ ค.ศ. 1886[256] ต่อมาใน ค.ศ. 1908 สโมสรชนะเลิศลีกเป็นสมัยแรก และชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยแรกในปีถัดมา หลังจากนั้น พวกเขาชนะเลิศลีกสูงสุด 20 สมัย นับเป็นสถิติสูงสุด การชนะเลิศลีกสูงสุดนี้รวมถึงการชนะเลิศพรีเมียร์ลีก 13 สมัย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน นอกจากนี้พวกเขาชนะเลิศเอฟเอคัพ 13 สมัย มากที่สุดเป็นอันดับที่สองรองจากอาร์เซนอล (14 สมัย) การชนะเลิศในรายการเหล่านี้ทำให้สโมสรได้เข้าร่วมแข่งขันเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ (ชื่อเดิมคือเอฟเอแชริตีชีลด์) มากที่สุด 30 ครั้ง การแข่งขันนี้จัดขึ้นในช่วงต้นฤดูกาลโดยเป็นการพบกันระหว่างผู้ชนะเลิศลีกกับผู้ชนะเลิศเอฟเอคัพจากฤดูกาลก่อนหน้า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศรายการนี้มากที่สุด 21 สมัยจากการเข้าร่วม 30 สมัย โดยรวมถึงการเสมอสี่ครั้งซึ่งถ้วยรางวัลจะถูกแบ่งให้กับสองสโมสรร่วมกัน
สโมสรมีช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จภายใต้การคุมทีมของแมตต์ บัสบี โดยเริ่มจากชนะเลิศเอฟเอคัพใน ค.ศ. 1948 และขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยการเป็นสโมสรแรกจากอังกฤษที่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพใน ค.ศ. 1968 และในช่วงปีก่อนหน้านี้ สโมสรชนะเลิศลีก 5 สมัย ช่วงที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุดคือทศวรรษ 1990 ภายใต้การคุมทีมของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยชนะเลิศลีก 5 สมัย, เอฟเอคัพ 4 สมัย, ลีกคัพ 1 สมัย, แชริตีชีลด์ 5 สมัย (ชนะเลิศร่วม 1 สมัย), ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1 สมัย และอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1 สมัย พวกเขายังคว้าดับเบิลแชมป์ (ชนะเลิศพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาลเดียวกัน) อีกสามครั้งในช่วงทศวรรษนี้ ก่อนที่พวกเขาจะคว้าดับเบิลแชมป์เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1993–94 เคยมีการคว้าดับเบิลแชมป์ในฟุตบอลอังกฤษเพียงห้าครั้ง ดังนั้นเมื่อพวกเขาคว้าดับเบิลแชมป์ครั้งที่สองในฤดูกาล 1995–96 พวกเขาจึงกลายเป็นสโมสรแรกที่คว้าดับเบิลแชมป์ได้สองครั้งซึ่งเรียกกันว่า "ดับเบิลดับเบิล"[257] ต่อมาเมื่อพวกเขาชนะเลิศยูโรเปียนคัพ (ปัจจุบันคือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) เป็นครั้งที่สองใน ค.ศ. 1999 พร้อมกับชนะเลิศพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ พวกเขาได้กลายเป็นสโมสรแรกจากอังกฤษที่คว้าทริปเปิลแชมป์ การชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งนั้นทำให้พวกเขาได้เข้าร่วมการแข่งขันอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ ซึ่งพวกเขาชนะเลิศ จนกลายเป็นสโมสรเดียวจากบริติชที่ชนะเลิศรายการนี้ได้ การชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกสมัยใน ค.ศ. 2008 ทำให้พวกเขาได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2008 ซึ่งพวกเขาก็ชนะเลิศจนกลายเป็นทีมเดียวจากบริติชที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้จนถึง ค.ศ. 2019
ถ้วยรางวัลล่าสุดของสโมสรคือ เอฟเอคัพฤดูกาล 2023–24 จากการชนะแมนเชสเตอร์ซิตีด้วยผลประตู 2–1 นอกจากนี้ จากการชนะเลิศ ยูฟ่ายูโรปาลีกฤดูกาล 2016–17 ทำให้ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรที่ห้าที่ชนะทริปเปิลแชมป์ยุโรป อันประกอบไปด้วยยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, คัพวินเนอร์สคัพ และยูฟ่าคัพ/ยูโรปาลีก ต่อจากยูเวนตุส, อายักซ์, ไบเอิร์นมิวนิก และเชลซี[258][259]
การแข่งขันในช่วงเวลาสั้น ๆ อย่างเอฟเอแชริตีชีลด์/เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์, อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ (ปัจจุบันถูกยกเลิก), ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก หรือยูฟ่าซูเปอร์คัพ จะไม่ถูกนับรวมในดับเบิลหรือทริปเปิลแชมป์[260]
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซัพพอร์ตเตอส์คลับเลดีส์เริ่มดำเนินการในช่วงปลายทศวรรษ 1970 และมีการรับรองให้เป็นทีมฟุตบอลหญิงชุดใหญ่ของสโมสรอย่างไม่เป็นทางการ พวกเขาเป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งลีกฟุตบอลหญิงภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือใน ค.ศ. 1989[261] ทีมกลายเป็นหุ้นส่วนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 2001 และกลายเป็นทีมฟุตบอลหญิงอย่างเป็นทางการของสโมสร อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 2005 หลังจากที่มัลคอล์ม เกลเซอร์ซื้อกิจการสโมสร สโมสรยุบทีมฟุตบอลหญิงเพราะเห็นว่า "ไม่เกิดประโยชน์"[262] ใน ค.ศ. 2018 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก่อตั้งทีมฟุตบอลหญิงใหม่ ซึ่งได้เข้าร่วมแข่งขันในลีกฟุตบอลหญิงระดับสองของอังกฤษนับตั้งแต่ฤดูกาลแรกของสโมสร[263][264][265][266][267] สโมสรชนะเลิศถ้วยรางวัลแรกในเอฟเอคัพ ฤดูกาล 2023–24 โดยเอาชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ 4–0 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2024
{{cite web}}