|
ทั่วไป
|
ชื่อ, สัญลักษณ์, เลขอะตอม
|
ซีนอน, Xe, 54
|
อนุกรมเคมี |
แก๊สมีสกุล
|
หมู่, คาบ, บล็อก
|
18, 5, p
|
ลักษณะ |
ไม่มีสี
|
มวลอะตอม |
131.293 (6) กรัม/โมล
|
การจัดเรียงอิเล็กตรอน |
[Kr] 4d10 5s2 5p6
|
อิเล็กตรอนต่อระดับพลังงาน |
2, 8, 18, 18, 8
|
คุณสมบัติทางกายภาพ
|
สถานะ |
แก๊ส
|
ความหนาแน่น |
(0 °C, 101.325 kPa) 5.894 กรัม/ลิตร
|
จุดหลอมเหลว |
161.4 K (-111.7 °C)
|
จุดเดือด |
165.03 K(-108.12 °C)
|
ความร้อนของการหลอมเหลว |
2.27 กิโลจูล/โมล
|
ความร้อนของการกลายเป็นไอ |
12.64 กิโลจูล/โมล
|
ความร้อนจำเพาะ |
(25 °C) 20.786 J/(mol·K)
|
Critical pressure |
5.84 MPa
|
Critical temperature |
289.8 K (16.6 °C)
|
ความดันไอ
P/Pa |
1 |
10 |
100 |
1 k |
10 k |
100 k
|
ที่ T K |
83 |
92 |
103 |
117 |
137 |
165
|
|
คุณสมบัติของอะตอม
|
โครงสร้างผลึก |
cubic face centered
|
สถานะออกซิเดชัน |
0, +2, +4, +6 (rarely more than 0) (ออกไซด์เป็นกรดอ่อน)
|
อิเล็กโตรเนกาติวิตี |
2.6 (พอลิงสเกล)
|
พลังงานไอออไนเซชัน
|
ระดับที่ 1: 1170.4 กิโลจูล/โมล
|
ระดับที่ 2: 2046.4 กิโลจูล/โมล
|
ระดับที่ 3: 3099.4 กิโลจูล/โมล
|
รัศมีอะตอม (คำนวณ) |
108 pm
|
รัศมีโควาเลนต์ |
130 pm
|
รัศมีวานเดอร์วาลส์ |
216 pm
|
อื่น ๆ
|
การจัดเรียงทางแม่เหล็ก |
nonmagnetic
|
การนำความร้อน |
(300 K) 5.65 mW/(m·K)
|
อัตราเร็วของเสียง |
(liquid) 1090 m/s
|
เลขทะเบียน CAS |
7440-63-3
|
ไอโซโทปเสถียรที่สุด
|
|
แหล่งอ้างอิง
|
ซีนอน (อังกฤษ: Xenon) คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 54 และสัญลักษณ์คือ Xe ซีนอนเป็นธาตุที่มีลักษณะเป็นแก๊สมีสกุล (Noble gases) ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น น้ำหนักมาก พบเพียงเล็กน้อยในบรรยากาศโลก
-มีน้ำหนักอะตอมเท่ากับ 131.30 amu
-จุดหลอมเหลวเท่ากับ -111.9 องศา
-จุดเดือด
(โดยประมาณ)อยู่ที่ -108.12 +/- .01 องศา
ความหนาที่(stp) 5.8971 g/l
เลขออกซิเดชันสามัญ +2,+4,+6,+8 1.[1]
สารประกอบซีนอน
นีล บาร์เลตต์ได้ศึกษาสารประกอบของแพลทินัมชนิดหนึ่ง คือ แพลทินัมเฮกซะฟลูออไรด์ ซึ่งสามารถดึงอิเล็กตรอน 1 ตัวออกจากโมเลกุลของออกซิเจนกลายเป็นสารประกอบไดออกซิเจนิล เฮกซะฟลูออกโรแพลทิเนต เขาทราบว่าค่าพลังงานไอออไนเซชันของซีนอนนั้นใกล้เคียงกับของออกซิเจนในสภาวะโมเลกุลมาก จึงได้ทดลองซ้ำกับซีนอน พบว่าได้ผลึกของ'''ซีนามอน'''เฮกซะฟลูออโรแพลทิเนต (V) ซึ่งสามารถลบล้างความเชื่อดั้งเดิมที่เชื่อว่า "แก๊สมีสกุลไม่สามารถเกิดสารประกอบได้" ลงอย่างสิ้นเชิง
การค้นพบ
ซีนอนเป็นธาตุที่ถูกค้นพบโดย Sir William Ramsey และ M.W.Travers เมือ่ปี ค.ศ.1898 ซึ่งการค้นพบซีนอนนั้นเกิดจากการที่พยายามทำให้แก๊ส คริปทอน(Kr)บริสุทธิ์โดยการกลั่นแบบลำดับส่วนจึงทำให้พบแก๊สที่มีความหนาแนนสูงผิดปกติและทราบว่าเป็นธาตุใหม่จากการศึกษาสเปกตรัมซึ่งคำว่า "xenon" มาจากภาษากรีก หมายถึง "the stranger" ซึ่งหมายถึงคนแปลกหน้า และธาตุซีนอนมีการปรากฏเพียงแค่ 0.006 ใน 1 ล้านส่วน ในชั้นบรรยากาศ [2]
ประวัติของธาตุซีนอน
ธาตุซีนอนถูกค้นพบในประเทศอังกฤษโดยนักเคมี Sir William Ramsey และ M.W.Travers เมื่อปี ค.ศ.1898 ไม่นานหลังจากการค้นพบองค์ประกอบของธาตุคริปทอน และ นีออน พวกเขาก็ได้คิดค้นธาตุซีนอนขึ้นมาในสภาพที่เป็นกากที่เหลือจากการระเหยส่วนประกอบของอากาศภายในของเหลว[3]
ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1930 วิศวกรชาวอเมริกัน แฮโรลด์ เอ็ดเคอร์ตัน ได้มีการเริ่มสำรวจแสงแฟลชเทคโนโลยีเพื่อการถ่ายภาพด้วยความเร็วสูงหลังจากการสำรวจเส็จสิ้นลงทำให้เขาประดิษฐ์ไฟแฟลชของซีนอนที่สร้างโดยกระบวนการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านท่อสั้นๆที่เต็มไปด้วยก๊าซซีนอนขึ้นมา ต่อมาในปี 1934 เอ็ดเกอร์ดันสามารถสร้างไฟกระพริบสั้นๆให้เป็นหนึ่งมิลลิด้วยกระบวนการดังกล่าวได้
ในปี 1939 แพทย์ชาวอเมริกันอัลเบิร์ด จูเนียร์ เริ่มทำการสำรวจสาเหตุของการ"เมา" ในการดำน้ำลงไปในระยะทางที่ลึกมาก ทำให้เขาผ่านการทดสอบเนื่องจากสามารถระงับความรู้สึกเมื่ออยู่ใต้น้ำโดยไม่เมาได้และต่อมาพบว่าเกิดจากนักดำน้ำไม่มีการรับรู้หรือไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่ออยู่ในน้ำที่ลึก จากผลการทดลองของอัลเบร์ดอาจอนุมานได้ว่าก๊าซซีนอนสามารถนำมาใช้เป็นยาชาได้
ต่อมาซีนอนได้มีการตีพิมพ์ครั้งแรกว่าสามารถระงับความรู้สึกได้ในปี 1946 โดยนักวิจัยทางการแพทย์อเมริกันจอห์นเอชเรนซ์ซึ่งเขาได้ทำการทดลองในสิ่งมีชีวิตจำพวกหนู ซีนอนถูกนำมาใช้ครั้งแรกในฐานะยาสลบในห้องผ่าตัดในปี 1951 โดยนายแพทย์จ๊วร์ตซีคัลเลน ชาวอเมริกันที่ดำเนินการจนประสบความสำเร็จในห้องผ่าตัดผู้ป่วย[4]
การประยุกต์ใช้งาน
ซีนอนมีใช้ในเชิงพาณิชย์ค่อนข้างน้อยมาก มันถูกใช้ในโคมไฟแฟลชถ่ายภาพ, โคมไฟ stroboscopic สูง intensitive โค้ง โคมไฟสำหรับการฉายภาพเคลื่อนไหวและความดันสูง โคมไฟโค้งกับผลิตภัณฑ์แสงอัลตราไวโอเลต (จำลองแสงอาทิตย์) การใช้งานอื่น ๆ เช่นยาชาทั่วไปซีนอน 'สีฟ้า' ไฟหน้าและไฟตัดหมอกจะใช้ในยานพาหนะบางอย่าง พวกมันส่องสว่างได้มากกว่าไฟธรรมดาทั่วไป[5]
ข้อควรระวัง
การสูดดมก๊าซซีนอนซึ่งเป็นก๊าซเฉื่อยและจัดเป็น asphyxiant ในระดับความเข้มข้นที่มากเกินไปจะส่งผลทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นใส้ อาเจียน การสูญเสียสติ หรืออาจจะถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็เป็นได้[6]
อ้างอิง