ฟาโรห์แห่งอียิปต์ ภาพฟาโรห์แบบทั่วไป
รายละเอียด พระราชอิสริยยศ ตำแหน่งห้าพระนาม กษัตริย์องค์แรก นาร์เมอร์ (เมเนส )กษัตริย์องค์สุดท้าย
[ 2] สถาปนาเมื่อ ป. 3100 ปีก่อนคริสตกาล การล้มล้าง
343 ปีก่อนคริสตกาล(ฟาโรห์ชาวอียิปต์พระองค์สุดท้าย) [ 1]
30 ปีก่อนคริสตกาล(ฟาโรห์กรีกองค์สุดท้าย)
ค.ศ. 313(จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายที่ได้รับฉายาว่าทรงเป็นฟาโรห์) [ 2]
ที่ประทับ แตกต่างกันไปตามยุคสมัย ผู้แต่งตั้ง เทวสิทธิ์
ตำแหน่ง "ฟาโรห์ " ได้ถูกใช้สำหรับผู้ปกครองอียิปต์โบราณ ที่ทรงปกครองหลังจากการรวมดินแดนอียิปต์บน และอียิปต์ล่าง โดยฟาโรห์นาร์เมอร์ ในช่วงสมัยราชวงศ์ตอนต้น แห่งอียิปต์เมื่อประมาณ 3100 ปีก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้เพื่อกล่าวถึงผู้ปกครองแห่งอียิปต์ในในช่วงเวลาดังกล่าวจนกระทั่งถึงสมัยของราชวงศ์ที่สิบแปด ของสมัยราชอาณาจักรใหม่ เมื่อประมาณ 1400 ปีก่อนคริสตกาล นอกจากตำแหน่งฟาโรห์ที่ถูกใช้เรียกผู้ปกครองคนในช่วงเวลาต่อมาแล้ว ยังปรากฏตำแหน่งราชวงศ์อียิปต์โบราณ ที่ผู้ปกครองแห่งอียิปต์ทรงใช้ ซึ่งยังคงใช้อย่างคงที่ตลอดเส้นเวลาประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ เมื่อเริ่มแรกประกอบด้วยพระนามฮอรัส , พระนามต้นกกและผึ้ง (nswt-bjtj) และพระนามสองสตรี (nbtj) โดยมีการเพิ่มการใช้พระนามฮอรัสทองคำ, พระนามประสูติ และพระนามครองราชย์กันอย่างต่อเนื่องกันในช่วงราชวงศ์ที่เข้ามาปกครองหลังจากนั้น
อียิปต์ถูกปกครองอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยในบางส่วนโดยฟาโรห์ชาวพื้นเมืองเป็นระยะเวลาประมาณ 2,500 ปี จนกระทั่งถูกยึดครองโดยราชอาณาจักรแห่งคูช ในปลายศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล ซึ่งผู้ปกครองได้นำตำแหน่งฟาโรห์แบบดั้งเดิมมาใช้สำหรับพระองค์เอง หลังจากการพิชิตโดยชาวคูช อียิปต์เข้าสู่ช่วงเวลาของการปกครองโดยชาวพื้นเมืองที่เป็นอิสระอีกช่วงหนึ่งก่อนที่จะถูกยึดครองอีกครั้งโดยจักรวรรดิอะคีเมนิด ซึ่งผู้ปกครองเกล่านั้นทรงได้รับฉายาว่า "ฟาโรห์" ด้วย ฟาโรห์ชาวพื้นเมืองพระองค์สุดท้ายของอียิปต์คือ เนคทาเนโบที่ 2 ซึ่งทรงเป็นฟาโรห์ก่อนที่จักรวรรดิอะคีเมนิดจะพิชิตอียิปต์เป็นครั้งที่สอง
การปกครองของจักรวรรดิอะคีเมนิดเหนือดินแดนอียิปต์สิ้นสุดลงโดยการพิชิต ของอเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อ 332 ปีก่อนคริสตกาล หลังจากนั้นก็ถูกปกครองโดยฟาโรห์ชาวกรีก จากราชวงศ์ปโตเลมี ส่วนการปกครองของราชวงศ์ปโตเลมีและเอกราชของอียิปต์สิ้นสุดลงเมื่ออียิปต์กลายเป็นมณฑลหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน เมื่อ 30 ปีก่อนคริสตกาล จักรพรรดิออกุสตุส และจักรพรรดิโรมันพระองค์ต่อมาได้รับการขนานพระนามว่าทรงเป็นฟาโรห์ ในอียิปต์จนถึงรัชสมัยของจักรพรรดิมักซีมินัส ดาซา ในปี ค.ศ. 314
ช่วงเวลาที่ระบุในรายพระนามฟาโรห์ เป็นช่วงเวลาโดยประมาณ โดยอ้างอิงจากลำดับเหตุการณ์ของอียิปต์โบราณ เป็นหลัก โดยส่วนใหญ่อ้างอิงตามฐานข้อมูลของอียิปต์ดิจิทัลสำหรับมหาวิทยาลัย (Digital Egypt for Universities)[ 3] ที่พัฒนาโดยพิพิธภัณฑ์โบราณคดีอียิปต์เพตรี ส่วนช่วงเวลาอื่นๆ ที่นำมาจากหน่วยงานอื่นอาจจะระบุแยกไว้ต่างหาก
บันทึกพระนามแห่งอียิปต์โบราณ
รายพระนามฟาโรห์ในปัจจุบันได้อ้างอิงจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ รวมถึงบันทึกพระนามกษัตริย์อียิปต์โบราณและประวัติศาสตร์ในช่วงหลัง เช่น แอกิปเทียกา ของแมนิโธ ตลอดจนหลักฐานทางโบราณคดี เกี่ยวกับแหล่งข้อมูลโบราณ นักไอยคุปต์วิทยาและนักประวัติศาสตร์ได้เตือนให้ระมัดระวังในเรื่องความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของแหล่งข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งข้อมูลหลายแหล่งได้ถูกเขียนขึ้นหลังจากรัชสมัยที่ผู้เขียนได้บันทึกข้อมูลเป็นระยะเวลานาน[ 4] ส่วนปัญหาเพิ่มเติม คือ รายพระนามกษัตริย์ในสมัยโบราณมักจะปรากฏส่วนที่เสียหาย ไม่สอดคล้องกัน และ/หรือมีการเลือกที่จะบันทึกพระนามของฟาโรห์พระองค์นั้นๆ
บันทึกพระนามกษัตริย์โบราณที่ถูกค้นพบและเป็นที่รู้จักดังต่อไปนี้ (พร้อมกับช่วงสมัยราชวงศ์ที่บันทึกพระนามได้ถูกเชียนขึ้น)[ 5]
ตราประทับของฟาโรห์เดน (ราชวงศ์ที่หนึ่ง) ค้นพบรายพระนามบนตราประทับทรงกระบอกในสุสานของฟาโรห์เดน ซึ่งปรากฏรายพระนามที่เป็นพระนามฮอรัส ของผู้ปกครองจากราชวงศ์ที่หนึ่งทั้งหมดตั้งแต่ฟาโรห์นาร์เมอร์ จนถึงฟาโรห์เดน[ 6]
ศิลาปาแลร์โม (ราชวงศ์ที่ห้า) แกะสลักบนแผ่นหินบะซอลต์โอลิวีนที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จึงส่งผลให้จารึกดังกล่าวอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์
กระดานเขียนกิซา (ราชวงศ์ที่หก) เขียนด้วยหมึกสีแดง เขียว และดำ บนยิปซัมและไม้ซีดาร์ เป็นบันทึกพระนามที่มีการเลือกที่จะบันทึกพระนามของฟาโรห์มาก
หินสลักแห่งซัคคาราใต้ (ราชวงศ์ที่หก) แกะสลักบนแผ่นหินบะซอลต์สีดำ เป็นบันทึกพระนามที่มีการเลือกที่จะบันทึกพระนามของฟาโรห์มาก
บันทึกพระนามแห่งคาร์นัก (ราชวงศ์ที่สิบแปด) แกะสลักบนหินปูน เป็นบันทึกพระนามที่มีการเลือกที่จะบันทึกพระนามของฟาโรห์มาก
บันทึกพระนามแห่งอไบดอส ของฟาโรห์เซติที่ 1 (ราชวงศ์ที่สิบเก้า) แกะสลักบนหินปูน เป็นบันทึกพระนามที่มีความละเอียดมาก แต่ไม่บันทึกพระนามของผู้ปกครองบางส่วนในช่วงสมัยระหว่างกลางที่หนึ่ง และผู้ปกครองทั้งหมดในช่วงสมัยระหว่างกลางที่สอง แห่งอียิปต์
บันทึกพระนามแห่งอไบดอสของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 2 (ราชวงศ์ที่สิบเก้า) แกะสลักบนหินปูน เป็นบันทึกพระนามที่มีการเลือกที่จะบันทึกพระนามของฟาโรห์มาก
บันทึกพระนามแห่งแรเมสเซียม (ราชวงศ์ที่สิบเก้า) แกะสลักบนหินปูน ซึ่งบันทึกพระนามของฟาโรห์ส่วนใหญ่จากสมัยราชอาณาจักรใหม่จนถึงฟาโรห์ราเมสเซสที่ 2
บันทึกพระนามแห่งซัคคารา (ราชวงศ์ที่สิบเก้า) แกะสลักบนหินปูน เป็นบันทึกพระนามที่มีความละเอียดมาก แต่ไม่บันทึกพระนามของผู้ปกครองส่วนใหญ่จากราชวงศ์ที่หนึ่งไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
บันทึกพระนามแห่งตูริน (ราชวงศ์ที่สิบเก้า) เขียนด้วยหมึกสีแดงและสีดำบนกระดาษปาปิรุส น่าจะเป็นบันทึกพระนามกษัตริย์ที่สมบูรณ์ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งมีความเสียหายอย่างมากในปัจจุบัน
บันทึกพระนามแห่งเมดิเนต ฮาบู (ราชวงศ์ที่ยี่สิบ) แกะสลักบนหินปูน และลักษณะคล้ายกับบันทึกพระนามแห่งแรเมสเซียม
แอกิปเกียกา ของแมนิโธ (สมัยกรีก) อาจจะเขียนบนกระดาษปาปิรุส งานเขียนดั้งเดิมได้สูญหายไปแล้วในปัจจุบัน และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจำนวนมากที่เขียนเกี่ยวกับกับผู้ปกครองบางพระองค์ดูเหมือนเป็นเรื่องที่โกหกขึ้น
ช่วงก่อนยุคราชวงศ์แห่งอียิปต์
ดูบทความหลักที่ อียิปต์โบราณก่อนยุคราชวงศ์
ช่วงก่อนยุคราชวงศ์ แห่งอียิปต์ สิ้นสุดลงประมาณ 3100 ปีก่อนคริสตกาล เมื่ออียิปต์รวมเป็นราชอาณาจักรเดียวกันเป็นครั้งแรก
อียิปต์บน
ดูบทความหลักที่ อียิปต์บน และ ราชวงศ์ที่ศูนย์ศูนย์
อียิปต์บน หรือเป็นที่รู้จักกันใน "ดินแดนสีแดง" ประกอบด้วยอาณาเขตพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำไนล์ทางตอนใต้ของอียิปต์ล่าง รวมไปถึงทะเลทรายรอบข้าง
การจัดกลุ่มผู้ปกครองใหม่ตามที่ปรากฏข้างล่าง คือ กลุ่มผู้ปกครองในช่วงก่อนยุคราชวงศ์แห่งอียิปต์บน ซึ่งอยู่ในช่วงปลายของสมัยนะกอดะฮ์ที่ 3 โดยบางครั้งจะเรียกช่วงเวลาดังกล่าวอย่างไม่เป็นทางการว่า ราชวงศ์ที่ศูนย์ศูนย์ (Dynasty 00)
รูปภาพ
พระนาม
รัชสมัย
คำอธิบาย
อา (?)
เป็นที่ทราบมาจากเฉพาะภาพสลักที่ค้นพบในทะเลทรายทางตะวันตกในปี ค.ศ. 2004[ 7] ยังไม่ปรากฏหลักฐานอื่นในการยืนยันเกี่ยวการมีอยู่ของพระองค์
—
[ฟิงเกอร์ สเนล ]
การมีอยู่ของผู้ปกครองพระองค์ดังกล่าวยังคงคลุมเครืออยู่มาก[ 8]
—
[ฟิช [ 9] ]
เป็นที่ทราบมาจากโบราณวัตถุที่ปรากฎพระนามของพระองค์เท่านั้น และพระองค์น่าจะทรงไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง[ 8]
[เอลเลเฟนต์ [ 10] ]
อาจจะทรงไม่มีตัวตนอยู่จริง
—
[สตอร์ก [ 11] [ 12] ]
อาจจะทรงไม่มีตัวตนอยู่จริง[ 8]
—
[บูล ]
อาจจะทรงไม่มีตัวตนอยู่จริง[ 8]
—
[สกอร์เปียนที่ 1 ]
ผู้ปกครองพระองค์แรกของอียิปต์บน
อียิปต์ล่าง
ดูบทความหลักที่ ราชวงศ์ที่ศูนย์แห่งอียิปต์
อียิปต์ล่าง หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม "ดินแดนสีดำ" ประกอบด้วยอาณาเขตทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ รวมไปถึงพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ และต่อไปนี้เป็นรายพระนามผู้ปกครองที่ยังไม่สมบูรณ์ ดังนี้
ผู้ปกครองช่วงก่อนยุคราชวงศ์: ราชวงศ์ที่ศูนย์
ดูบทความหลักที่ ราชวงศ์ที่ศูนย์แห่งอียิปต์
เนื่องจากผู้ปกครองเหล่านี้ทรงปกครองก่อนหน้าช่วงสมัยราชวงศ์ที่หนึ่ง ซึ่งได้รับการจัดกลุ่มผู้ปกครองอย่างไม่เป็นทางการให้อยู่ใน "ราชวงศ์ที่ศูนย์"
รายพระนามต่อไปนี้ของผู้ปกครองในช่วงก่อนยุคราชวงศ์ ซึ่งอาจจะยังไม่สมบูรณ์ ดังนี้
รูปภาพ
พระนาม
รัชสมัย
คำอธิบาย
[คร็อกโคไดล์ ]
ประมาณ 3170 ปีก่อนคริสตกาล
อาจจะอ่านพระนามได้ว่า เชนดจู และตัวตนและการมีพระชนม์ชีพอยู่นั้นยังคงเป็นที่ถกเถียง[ 18]
อิริ-ฮอร์
ประมาณ 3170 ปีก่อนคริสตกาล
ตำแหน่งตามลำดับเวลาที่ถูกต้องนั้นยังไม่แน่ชัด[ 19]
คา
ประมาณ 3170 ปีก่อนคริสตกาล
พระนามอาจจะอ่าน เซเคน มากกว่า คา ตำแหน่งตามลำดับเวลาที่ถูกต้องนั้นยังไม่แน่ชัด[ 20]
สกอร์เปียนที่ 2
ประมาณ 3170 ปีก่อนคริสตกาล
อาจจะอ่านพระนามได้ว่า เซอร์เกต อาจจะเป็นพระองค์เดียวกันกับฟาโรห์นาร์เมอร์ [ 21]
ช่วงสมัยราชวงศ์ตอนต้นแห่งอียิปต์
สมัยราชวงศ์ตอนต้น แห่งอียิปต์ เริ่มตั้งแต่ประมาณ 3150 - 2686 ปีก่อนคริสตกาล[ 22]
ราชวงศ์ที่หนึ่ง
ราชวงศ์ที่หนึ่ง เป็นราชวงศ์ที่ปกครองอียิปต์ระหว่าง 3150 - 2890 ปีก่อนคริสตกาล[ 23]
ราชวงศ์ที่สอง
ราชวงศ์ที่สอง เป็นราชวงศ์ที่ปกครองอียิปต์ระหว่าง 2890 - 2686 ปีก่อนคริสตกาล[ 23]
ช่วงสมัยราชอาณาจักรเก่าแห่งอียิปต์
สมัยราชอาณาจักรเก่า แห่งอียิปต์เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานของความมั่นคงและการพัฒนาที่เกิดหลังจากช่วงสมัยราชวงศ์ตอนต้น และก่อนหน้าช่วงสมัยระหว่างกลางที่หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดความวุ่นวายในดินแดนอียิปต์ สมัยราชอาณาจักรเก่าครอบคลุมตั้งแต่ 2686 ถึง 2181 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ที่สาม
ราชวงศ์ที่สาม เป็นราชวงศ์ที่ปกครองอียิปต์ระหว่าง 2686 ถึง 2613 ปีก่อนคริสตกาล[ 23]
ราชวงศ์ที่สี่
ราชวงศ์ที่สี่ เป็นราชวงศ์ที่ปกครองอียิปต์ระหว่าง 2613 - 2496 ปีก่อนคริสตกาล[ 23]
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
รัชสมัย
คำอธิบาย
สเนเฟอร์อู
เนบมาอัต
2613–2589 ปีก่อนคริสตกาล[ 23]
พระนามในภาษากรีก คือ โซริส Sóris
พระองค์ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา 48 ปี ทำให้พระองค์ทรงมีเวลามากพอที่จะทรงโปรดให้สร้างพีระมิดไมดุม พีระมิดโค้งงอ และพีระมิดแดง นักวิชาการบางคนเชื่อว่าพระองค์ทรงถูกฝังพระบรมศพอยู่ในพีระมิดแดง และตามที่เชื่อกันมานานแล้วว่าพีระมิดไมดุมไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างของฟาโรห์สเนเฟอร์อู แต่เป็นของฟาโรห์ฮูนิ แทน เอกสารอียิปต์โบราณได้บันทึกไว้ว่าฟาโรห์สเนเฟอร์อูทรงเป็นผู้ปกครองที่เคร่งศาสนา พระทัยกว้าง และทรงน่ายกย่อง[ 60]
(คนุม-) คูฟู
เม'ดเจดอู
2589–2566 ปีก่อนคริสตกาล
พระนามในภาษากรีก คือ เคออปส์ Cheops และ ซูฟิส Suphis
พระองค์ทรงโปรดให้สร้างมหาพีระมิด ที่กิซา ฟาโรห์คูฟูทรงถูกมองว่าเป็นกษัตริย์เผด็จการที่โหดร้ายโดยนักเขียนชาวกรีกโบราณ แหล่งข้อมูลจากอียิปต์โบราณได้อธิบายว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองที่ใจดีและเคร่งศาสนา พระองค์ทรงปรากฏอยู่ในบันทึกปาปิรุสเวสต์คาร์ ที่บันทึกครั้งแรกในรัชสมัยของฟาโรห์คูฟู ซึ่งอาจจะทำให้นักเขียนชาวกรีกโบราณเชื่อว่าฟาโรห์คูฟูทรงจัดทำบันทึกปาปิรุสเพื่อทรงพยายามสรรเสริญเทพเจ้า
ดเจดเอฟเร
เคเปอร์
2566–2558 ปีก่อนคริสตกาล
พระนามในภาษากรีก คือ ราโทอิเซส Rátoises
นักวิชาการบางคนเชื่อว่าพระองค์ทรงโปรดห้สร้างมหาสฟิงซ์ ของกิซ่า เพื่อถวายเป็นอนุสาวรีย์แด่ฟาโรห์คูฟู ผู้เป็นพระราชบิดาที่เสด็จสวรรคตไป นอกจากนี้พระองค์ยังทรงโปรดให้ยังสร้างพีระมิดที่อาบู ราวาช อย่างไรก็ตาม พีระมิดดังกล่าวก็ไม่ได้หลงเหลือตัวพีระมิดแล้ว เนื่องจากสันนิษฐานว่าชาวโรมันขโมยวัสดุจากโครงสร้างพีระมิดไป
คาฟเร
อูเซอร์อิบ
2558–2532 ปีก่อนคริสตกาล
พระนามในภาษากรีก คือ เคเฟรน Chéphren และ ซูฟิสที่ 2 Suphis II
พีระมิดของพระองค์ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในกิซา นักวิชาการบางคนเชื่อว่าพระองค์ทรงโปรดให้สร้างมหาสฟิงซ์ ขึ้นก่อนหน้าฟาโรห์ดเจดเอฟเร หมู่โครงสร้างสุสานของพระองค์มีขนาดใหญ่ที่สุดในที่ราบสูงกิซา
—
บาคา
ประมาณ 2570 ปีก่อนคริสตกาล
พระนามในภาษากรีก คือ บิเคอริส Bikheris
อาจจะทรงเป็นเจ้าของพีระมิดแห่งซาวเยต อัล'อัรยันเหนือที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ และพระองค์อาจจะทรงไม่มีตัวตนอยู่จริง
เมนคาอูเร
คาเคต
2532–2503 ปีก่อนคริสตกาล
พระนามในภาษากรีก คือ เมนเคเรส Menchéres
พีระมิดของพระองค์มีขนาดเป็นอันดับสามและเล็กที่สุดในกิซา มีตำนานเล่าว่าพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวของพระองค์สิ้นพระชนม์เนื่องจากพระประชวร และพระองค์ทรงได้ฝังพระราชธิดาไว้ในโลงพระศพทองคำรูปโค
เชปเซสคาฟ
เชปเอสเคต
2503–2498 ปีก่อนคริสตกาล
พระนามในภาษากรีก คือ เซเบอร์เคเรส Seberchéres
ทรงเป็นเจ้าของสุสานมาสตาบัต อัล-ฟารา'อูน
—
(ทัมฟ์ธิส )
ประมาณ 2500 ปีก่อนคริสตกาล
ตามบันทึกของแมนิโธ พระองค์ทรงเป็นฟาโรห์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่สี่ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันทางโบราณคดีของพระองค์เลย และพระองค์อาจจะทรงไม่มีตัวตนอยู่จริง
ราชวงศ์ที่ห้า
ราชวงศ์ที่ห้า เป็นราชวงศ์ที่ปกครองอียิปต์ระหว่าง 2498 - 2345 ปีก่อนคริสตกาล[ 23]
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
รัชสมัย
คำอธิบาย
ยูเซอร์คาฟ
2498–2491 ปีก่อนคริสตกาล
ทรงถูกฝังพระบรมศพอยู่ในพีระมิดในซักกอเราะฮ์ และพระองค์โปรดให้สร้างวิหารสุริยะแห่งแรกที่อาบูเซอร์
ซาห์อูเร
2490–2477 ปีก่อนคริสตกาล
ทรงย้ายสุสานหลวงไปที่อาบูเซอร์ ที่ซึ่งพระองค์ทรงโปรดสร้างพีระมิดของพระองค์ ไว้
เนเฟอร์อิร์คาเร
คาคาอิ
2477–2467 ปีก่อนคริสตกาล
พระราชโอรสในฟาโรห์ซาอูเร พระนามตอนประสูติ คือ ราเนเฟอร์
เนเฟอร์เอฟเร
อิซิ
2460–2458 ปีก่อนคริสตกาล
พระราชโอรสของฟาโรห์เนเฟอร์อิร์คาเร
เชปเซสคาเร
เนทเจอร์อูเซอร์
เพียงไม่กี่เดือน
น่าจะทรงขึ้นครองราชย์หลังจากรัชสมัยฟาโรห์เนเฟอร์เอฟเรและทรงครองราชย์เพียงไม่กี่เดือน พระองค์อาจจะเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ซาห์อูเร[ 61]
นิอูเซอร์เร
อินิ
2445–2422 ปีก่อนคริสตกาล
เป็นพระภราดรของฟาโรห์เนเฟอร์เอฟเร ทรงโปรดให้สร้างสุสานของพระองค์ขึ้นอย่างใหญ่โตในสุสานหลวงแห่งอาบูเซอร์
เมนคาอูฮอร์
คาอิอู
2422–2414 ปีก่อนคริสตกาล
ทรงเป็นฟาโรห์พระองค์สุดท้ายที่ทรงโปรดให้สร้างวิหารสุริยะ
ดเจดคาเร
อิเซซิ
2414–2375 ปีก่อนคริสตกาล
ทรงทำการปฏิรูปการบริหารราชอาณาจักรอียิปต์อย่างครอบคลุม ทรงเสวยราชสมบัติยาวนานที่สุดในราชวงศ์ของพระองค์ โดยน่าจะทรงครองราชสมบัติมากกว่า 35 ปี
อูนัส
2375–2345 ปีก่อนคริสตกาล
พีระมิดแห่งอูนัส ถูกจารึกไว้ด้วยตัวอย่างที่เก่าแก่ที่สุดของข้อความพีระมิด นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงโปรดให้สร้างทางเดินแห่งอูนัสขนาดยาว 500 เมตรจากริมฝั่งแม่น้ำไนล์ไปยังสถานที่ฝังพระบรมศพของพระองค์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่จะพิธีฝังพระบรมศพของพระองค์ขึ้นที่นั้น
ราชวงศ์ที่หก
ราชวงศ์ที่หก เป็นราชวงศ์ที่ปกครองอียิปต์ระหว่าง 2345 - 2181 ปีก่อนคริสตกาล
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
รัชสมัย
คำอธิบาย
—
เตติ
2345–2333 ปีก่อนคริสตกาล
ตามบันทึกของแมนิโธ พระองค์ทรงถูกปลงพระชนม์
อูเซอร์คาเร
2333–2332 ปีก่อนคริสตกาล
ทรงครองราชย์ตั้งแต่ 1 ถึง 5 ปี พระองค์อาจจะแย่งชิงพระราชบัลลังก์จากฟาโรห์เตติ
เมริเร
เปปิที่ 1
2332–2283 ปีก่อนคริสตกาล
ทรงเผชิญกับการสมรู้ร่วมคิดและปัญหาทางการเมือง แต่พระองค์กลับทรงกลายเป็นผู้ทรงโปรดให้สร้างสิ่งปลูกสร้างมากที่สุดในราชวงศ์ของพระองค์
เมอร์เอนเร
เนมติเอมซาฟที่ 1
2283–2278 ปีก่อนคริสตกาล
ทรงปฏิรูปการปกครองของอียิปต์บนโดยการกระจายอำนาจ และทรงรับการยอมจำนนของนิวเบียล่าง
เนเฟอร์คาเร
เปปิที่ 2
2278–2183 ปีก่อนคริสตกาล
อาจจะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ด้วยพระชนมพรรษา 94 พรรษา หรืออาจจะทรงครองราชย์ได้เพียง 64 ปี
—
เนเฟอร์คา
2200–2199 ปีก่อนคริสตกาล
ทรงขึ้นครองราชย์ในช่วงรัชสมัยของฟาโรห์เปปิที่ 2 พระองค์อาจจะเป็นพระราชโอรสหรือทรงเป็นผู้สำเร็จราชการร่วม พระนามของพระองค์อาจจะเป็นการเขียนผิดของพระนาม "เนเฟอร์คาเร"
เมอร์เอนเร
เนมติเอมซาฟที่ 2 [ 62]
1 ปี กับอีก 1 เดือน ประมาณ 2183 ปีก่อนคริสตกาล
ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลาอันสั้น พระองค์อาจจะเป็นพระราชโอรสที่ทรงมีพระชนมายุมากของฟาโรห์เปปิที่ 2
นิธอิเกอร์ติ ( นิโตคริส )
ซิพทาห์ที่ 1
ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ 2182–2179 ปีก่อนคริสตกาล
เป็นฟาโรห์พระองค์เดียวกันกับฟาโรห์เนทเจอร์คาเร ฟาโรห์บุรุษพระองค์นี้ทรงเป็นที่มาของสมเด็จพระราชินีนิโตคริส ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชินีในตำนานของเฮโรโดตุส และแมนิโธ [ 63] บ้างก็จัดให้พระองค์ทรงเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของราชวงศ์ที่เจ็ดและแปดรวมกัน
ช่วงสมัยระหว่างกลางที่หนึ่งแห่งอียิปต์
สมัยระหว่างกลางครั้งที่หนึ่ง (ระหว่าง 2183–2060 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นช่วงเวลาแห่งความระส่ำระสายและความวุ่นวายระหว่างการล่มสลายของราชอาณาจักรเก่าแห่งอียิปต์ และการสถาปนาของราชอาณาจักรกลางแห่งอียิปต์
ราชอาณาจักรเก่าได้ล่มสลายอย่างรวดเร็วหลังจากการเสด็จสวรรคตของฟาโรห์เปปิที่ 2 ที่ทรงครองราชย์ยาวนานกว่า 64 ปี และอาจจะยาวนานถึง 94 ปี ซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์ ช่วงปลายรัชสมัยของพระองค์เต็มไปด้วยความไร้ประสิทธิภาพ เนื่องจากทรงมีพระชนมพรรษามาก ทำให้ดินแดนทั้งสอง ของอียิปต์ก็แยกออกจากกันและผู้ปกครองท้องถิ่นก็ต้องรับมือกับทุพภิกขภัย ที่เกิดขึ้น
ฟาโรห์จากราชวงศ์ที่เจ็ด และแปด แห่งอียิปต์ ซึ่งเป็นกลุ่มฟาโรห์ที่สืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากราชวงศ์ที่หก ทรงพยายามรักษาอำนาจบางส่วนในเมมฟิส แต่ก็ต้องพึ่งพาผู้ปกครองท้องถิ่นที่มีอำนาจมากเป็นอันมาก หลังจากผ่านไป 20 ถึง 45 ปี กลุ่มฟาโรห์ที่เมมฟิสก็ทรงถูกโค่นล้มโดยฟาโรห์กลุ่มใหม่ที่ศูนย์กลางอำนาจอยู่ในเฮราคลีโอโพลิส มักนา และไม่นานหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ปกครองจากเมืองธีบส์ ได้ลุกฮือต่อต้านผู้ปกครองท้องถิ่นทางตอนเหนือและรวมดินแดนอียิปต์บน เข้าด้วยกันอีกครั้ง เมื่อประมาณ 2055 ปีก่อนคริสตกาล ฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 2 ผู้เป็นพระราชโอรสและผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ของฟาโรห์อินเทฟที่ 3 ได้ทรงเอาชนะฟาโรห์จากเฮราคลีโอโพลิส มักนา และทรงรวมดินแดนทั้งสองเข้าด้วยกัน จึงเป็นการเริ่มต้นของสมัยราชอาณาจักรกลางแห่งอียิปต์
ราชวงศ์ที่เจ็ดและแปด
ราชวงศ์ที่เจ็ดและแปดแห่งอียิปต์ ได้ปกครองอียิปต์เป็นระยะเวลาประมาณ 20 - 45 ปี ซึ่งประกอบด้วยฟาโรห์ที่ทรงขึ้นครองราชย์เป็นระยะเวลาอันสั้นจำนวนหลายพระองค์ ซึ่งทั้งหมดทรงปกครองอียิปต์จากเมมฟิส ครอบคลุมดินแดนอียิปต์ที่อาจจะถูกแบ่งแยก และไม่ว่าในกรณีใด ฟาโรห์ก็ทรงมีพระราชอำนาจจำกัดเพียงเพราะระบบศักดินาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งได้พัฒนาขึ้นจากการบริหารของรัฐ รายพระนามด้านล่างนี้ได้อ้างอิงจากบันทึกพระนามแห่งอไบดอส ที่บันทึกขึ้นนช่วงรัชสมัยของฟาโรห์เซติที่ 1 และอ้างอิงมาจาก Handbuch der ägyptischen Königsnamen [ 64] ของเยือร์เกิน ฟ็อน เบ็คเคอราธ และจากการตีความบันทึกพระนามแห่งตูริน ล่าสุดโดยคิม ไรฮอล์ท ซึ่งเป็นอีกบันทึกพระนามหนึ่งที่บันทึกขึ้นในสมัยรามเสส [ 65]
ราชวงศ์ที่เก้า
ราชวงศ์ที่เก้าแห่งอียิปต์ [ 69] ปกครองระหว่าง 2160 - 2130 ปีก่อนคริสตกาล
บันทึกพระนามแห่งตูริน ปรากฏการบันทึกพระนามของฟาโรห์รวมทั้งราชวงศ์ที่เก้าและสิบปกครองจำนวน 18 พระองค์ และพบว่าพระนามจำนวน 12 พระนามได้สูญหาย และพระนามอีกจำนวน 4 พระนามที่หลงเหลืออยู่บางส่วน[ 70]
รูปภาพ
พระนาม
คำอธิบาย
รัชสมัย
เมริอิบเร
เคติที่ 1
(อัคธอเอสที่ 1)
แมนิโธ กล่าวว่า ฟาโรห์อัคธอเอสทรงสถาปนาราชวงศ์ที่เก้าแห่งอียิปต์
2160 ปีก่อนคริสตกาล – ไม่ทราบ[ 23]
—
—
พระนามสูญหาย
—
ไม่ทราบ
—
เนเฟอร์คาเรที่ 7
—
—
ไม่ทราบ
เนบคาอูเร
เคติที่ 2
(อัคธอเอสที่ 2)
—
ไม่ทราบ
—
เซเนนห์— หรือ เซทุต
—
—
ไม่ทราบ
—
—
พระนามสูญหาย
—
ไม่ทราบ
—
เมริ—
—
—
ไม่ทราบ
—
เชด—
—
—
ไม่ทราบ
—
ฮ—
—
—
ไม่ทราบ
—
—
พระนามสูญหาย
—
ไม่ทราบ
—
—
พระนามสูญหาย
—
ไม่ทราบ
—
—
พระนามสูญหาย
—
ไม่ทราบ
อูเซอร์(?)[...]
—
—
ไม่ทราบ
อิมโฮเทป
—
ทรงเป็นผู้ปกครองในช่วงเวลาสั้น ๆ ของราชวงศ์ที่เก้า พบหลักฐานยืนยันจากเฉพาะศิลาจารึกในวาดิ ฮัมมามาต[ 71] [ 72] [ 73] [ 74] [ 75] ไม่ทราบตำแหน่งตามลำดับเวลาที่แน่ชัด
ไม่ทราบ
ราชวงศ์ที่สิบ
ราชวงศ์ที่สิบ เป็นกลุ่มผู้ปกครองท้องถิ่นที่ทรงมีอิทธิพลเหนืออียิปต์ล่าง และปกครองตั้งแต่ 2130 ถึง 2040 ปีก่อนคริสตกาล[ 23]
ราชวงศ์ที่สิบเอ็ด
ราชวงศ์ที่สิบเอ็ด ได้รับการสถาปนาขึ้นจากกลุ่มผู้ปกครองท้องถิ่นแห่งธีบส์ ที่รับใช้ราชสำนักของฟาโรห์จากราชวงศ์ที่แปด , เก้า , หรือสิบ แห่งอียิปต์ โดยมีต้นเชื้อสายมาจากอียิปต์บน ซึ่งปกครองตั้งแต่ 2134 - 1991 ปีก่อนคริสตกาล
ผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ของอินโยเทฟ ผู้อาวุโส เริ่มต้นด้วยฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 1 กลายทรงเป็นอิสระจากเจ้าผู้ครองทางเหนือและในที่สุดก็สามารถพิชิตอียิปต์ได้ในรัชสมัยของฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 2
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เทปิอา
เมนทูโฮเทปที่ 1
เป็นผู้ปกครองท้องถิ่นแห่งธีบส์ (เทปิ-อา) แต่อาจจะทรงปกครองอย่างอิสระ
ไม่ทราบ – 2133 ปีก่อนคริสตกาล
เซเฮอร์ทาวี
อินเทฟที่ 1
ทรงเป็นสมาชิกราชวงศ์พระองค์แรกที่ใช้พระนามฮอรัส
2133 – 2117 ปีก่อนคริสตกาล[ 23]
วาห์อังค์
อินเตฟที่ 2
ทรงพิชิตเมืองอไบดอส และเขตปกครองท้องถิ่นแห่งอไบดอส
2117 - 2068 ปีก่อนคริสตกาล[ 23]
นัคต์เนบเทปเนเฟอร์
อินเตฟที่ 3
ทรงพิชิตอัสยูฏ และอาจจะทรงย้ายขึ้นไปทางเหนือจนถึงเขตปกครองท้องถิ่นลำดับที่สิบเจ็ด[ 76]
2068 - 2060 ปีก่อนคริสตกาล[ 23]
ช่วงสมัยราชอาณาจักรกลางแห่งอียิปต์
สมัยราชอาณาจักรกลาง (ระหว่าง 2040 – 1802 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นช่วงเวลาที่นับตั้งแต่สิ้นสุดช่วงสมัยระหว่างกลางที่หนึ่ง จนถึงช่วงเริ่มต้นของสมัยระหว่างกลางที่สอง นอกจากราชวงศ์ที่สิบสอง แล้ว นักวิชาการบางคนยังรวมให้ราชวงศ์ที่สิบเอ็ด สิบสาม และสิบสี่ อยู่ในสมัยราชอาณาจักรกลางอีกด้วย
สมัยอาณาจักรกลางแห่งอียิปต์สามารถสังเกตเห็นได้จากการขยายตัวของการค้านอกราชอาณาจักรที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
ราชวงศ์ที่สิบเอ็ด (ช่วงที่สอง)
ช่วงที่สองของราชวงศ์ที่สิบเอ็ด จะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสมัยราชอาณาจักรกลางแห่งอียิปต์
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เนบเฮเทปเร
เมนทูโฮเทปที่ 2 [ 77]
ฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 2 ทรงพิชิตอียิปต์ ได้ทั้งหมดในช่วงประมาณ 2015 ปีก่อนคริสตกาล จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของราชอาณาจักรกลางแห่งอียิปต์ และพระองค์ทรงกลายเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของสมัยราชอาณาจักรกลาง
2060–2040 ปีก่อนคริสตกาล[ 23] (ฟาโรห์แห่งอียิปต์บนเท่านั้น)
2040–2009 ปีก่อนคริสตกาล[ 23] (ฟาโรห์แห่งอียิปต์บนและล่าง)
สอังค์คาเร
เมนทูโฮเทปที่ 3 [ 78]
ทรงส่งคณะเดินทางครั้งแรกไปยังดินแดนแห่งพุนต์ ของสมัยราชอาณาจักรกลาง
2010-1998 ปีก่อนคริสตกาล
เนบทาวีเร
เมนทูโฮเทปที่ 4 [ 79]
ทรงเป็นฟาโรห์ที่คลุมเครือ ซึ่งไม่ปรากฏอยู่ในบันทึกพระนามในเวลาช่วงหลัง ไม่ทราบสถานที่ฝังพระบรมศพของพระองค์ พระองค์อาจจะทรงโดนแย่งชิงพระราชบัลลังก์โดยราชมนตรีและผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์พระนามว่า อเมนเอมฮัตที่ 1
1997-1991 ปีก่อนคริสตกาล
ฟาโรห์ปริศนาที่ปรากฏหลักฐานการมีอยู่เฉพาะบริเวณนิวเบียล่างเท่านั้น
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เมนค์คาเร
เซเกอเซนิ [ 80]
ทรงเป็นฟาโรห์ที่คลุมเครือ ซึ่งไม่ปรากฏอยู่ในบันทึกพระนามในเวลาช่วงหลัง ปรากฏหลักฐานยืนยันเฉพาะในบริเวณนิวเบียล่าง เท่านั้น ซึ่งน่าจะทรงเป็นผู้แย่งชิงพระราชบัลลังก์ในช่วงปลายราชวงศ์ที่สิบเอ็ดหรือช่วงต้นราชวงศ์ที่สิบสอง
ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก่อนคริสตกาล
กาคาเร
อินิ [ 80]
ทรงเป็นฟาโรห์ที่คลุมเครือ ซึ่งไม่ปรากฏอยู่ในบันทึกพระนามในเวลาช่วงหลัง ปรากฏหลักฐานยืนยันเฉพาะในบริเวณนิวเบียล่าง เท่านั้น ซึ่งน่าจะทรงเป็นผู้แย่งชิงพระราชบัลลังก์ในช่วงปลายราชวงศ์ที่สิบเอ็ดหรือช่วงต้นราชวงศ์ที่สิบสอง
ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก่อนคริสตกาล
ไอย์อิบเคนต์เร [ 80]
เกเรกทาว(อี)เอฟ
ทรงเป็นฟาโรห์ที่คลุมเครือ ซึ่งไม่ปรากฏอยู่ในบันทึกพระนามในเวลาช่วงหลัง ปรากฏหลักฐานยืนยันเฉพาะในบริเวณนิวเบียล่าง เท่านั้น ซึ่งน่าจะทรงเป็นผู้แย่งชิงพระราชบัลลังก์ในช่วงปลายราชวงศ์ที่สิบเอ็ดหรือช่วงต้นราชวงศ์ที่สิบสอง
ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ที่สิบสอง
ราชวงศ์ที่สองเป็นราชวงศ์ที่ปกครองอียิปต์ระหว่าง 1991 - 1802 ปีก่อนคริสตกาล
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เซเฮเทปอิบเร
อเมนเอมฮัตที่ 1 [ 81] [ 82] (อัมมาเนเมสที่ 1 ) [ 83]
ทรงมิได้เป็นเชื้อพระวงศ์จากราชวงศ์ที่สิบเอ็ด และพระองค์ทรงโปรดได้สร้างพีระมิด เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รัชสมัยฟาโรห์ฟาโรห์เปปิที่ 1 ที่อัลลิชต์ [ 84] พระองค์ทรงฟื้นฟูระบบระเบียบในอียิปต์ และทรงสร้างเมืองหลวงใหม่นามว่า อิทจ์-ทาวี พระองค์อาจจะทรงถูกลอบปลงพระชนม์[ 85]
1991 – 1962 ปีก่อนคริสตกาล
เคเปอร์คาเร
เซนุสเรตที่หนึ่ง [ 86] (เซซอนคอซิส ) [ 87]
ทรงโปรดให้สร้างสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากทั่วอียิปต์บน รวมทั้งวิหารแห่งอามุน ที่คาร์นัก [ 84] มีการบันทึกว่าพระองค์ทรงได้ส่งคน 17,000 คนไปที่วาดีอัลฮัมมามาต เพื่อนำก้อนหินกลับมาเพื่อสร้างรูปสลักจำนวน 150 รูปและสฟิงซ์ จำนวนอีก 60 ตัว[ 88] นอกจากนี้พระองค์ทรงโปรดให้ยังสร้างพีระมิด ที่อัลลิชต์ ใกล้กับพีระมิด ของผู้ปกครองก่อนหน้าพระองค์
1971 - 1926 ปีก่อนคริสตกาล
[ 89]
นุบคาอูเร
อเมนเอมฮัตที่ 2 [ 90] (อัมเมเนเมสที่ 2 ) [ 91]
บันทึกรัชสมัยของพระองค์ได้ถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารที่อยู่ในสภาพชำรุด[ 84] กองทัพเรืออียิปต์อาจจะเข้าโจมตีไซปรัสระหว่างการดำเนินการทางทหารของพระองค์[ 92] พระองค์ยังทรงโปรดให้สร้างพีระมิด ที่ดาห์ชูร์ และทรงปกครองอย่างน้อย 35 ปี
1929-1895 ปีก่อนคริสตกาล
คาเคเปอร์เร
เซนุสเรตที่ 2 [ 93] (แมนิโธ ไม่ได้บันทึกพระนามของพระองค์ ) [ 94]
พระองค์ทรงได้พัฒนาพื้นที่ฟัยยูม ให้เป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญในรัชสมัยของพระองค์[ 95] พระองค์ยังทรงโปรดให้สร้างพีระมิด ที่ลาฮูน
1897-1878 ปีก่อนคริสตกาล
คาคาอูเร
เซนุสเรตที่ 3 [ 96] (เซซอสทริส ) [ 97]
ทรงได้กำจัดกลุ่มผู้ปกครองท้องถิ่น และทรงสร้างเขตปกครองท้องถิ่นขึ้นอีก 3 แห่ง[ 98] นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นผู้นำการดำเนินการทางทหารเข้าสู่นิวเบีย ล่างในปีที่ 8, 10, 16 และ 18 แห่งการครองราชย์[ 92] พระองค์ยังทรงโปรดให้สร้างพีระมิด ของพระองค์เองที่ดาห์ชูร์ และทรงเป็นฟาโรห์ที่มีพระราชอำนาจและมีอิทธิพลมากที่สุดในราชวงศ์ที่สิบสอง
1878-1860 ปีก่อนคริสตกาล
นิมาอัตเร
อเมนเอมฮัตที่ 3 [ 99] (ลามาเรส ) [ 100]
พระองค์ยังทรงได้พัฒนาพื้นที่ฟัยยูม ให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมต่อไป[ 84] นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดให้สร้างอาคารเก็บพระบรมศพขนาดใหญ่ที่ฮาวารา รวมทั้งพีระมิด ของพระองค์ อาคารเก็บพระบรมศพดังกล่าวน่าจะเป็นเขาวงกตที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักประพันธ์ชาวกรีกโบราณ[ 101]
1860-1815 ปีก่อนคริสตกาล
มาอาเคอร์อูเร
อเมนเอมฮัตที่ 4 [ 102] (อัมเมเนเมส ) [ 103]
ทรงมีผู้สำเร็จราชการร่วมเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ตามบันทึกที่โกนอสโซ
1815-1807 ปีก่อนคริสตกาล
โซเบคคาเร
โซเบคเนเฟอร์อู [ 104] (สเคมิโอฟริส ) [ 105]
ทรงเป็นฟาโรห์สตรีที่ได้รับการยืนยันจากหลักฐานทางโบราณคดีเป็นครั้งแรก
1807-1802 ปีก่อนคริสตกาล
ตำแหน่งผู้ปกครองที่มีความเป็นไปได้เพิ่มเติมพระนามว่า เซอังค์อิบทาวี เซอังค์อิบรา ซึ่งยังไม่มีความแน่นอนอยู่ พระองค์อาจจะเป็นฟาโรห์ที่ขึ้นครองราชย์เป็นระยะเวลาอันหรือเป็นพระนามของฟาโรห์จากช่วงราชวงศ์ที่สิบสองหรือสิบสามแห่งอียิปต์
ช่วงสมัยระหว่างที่สองแห่งอียิปต์
สมัยระหว่างกลางที่สอง (ตั้งแต่ 1802–1550 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นช่วงเวลาที่เกิดความระส่ำระส่ายขึ้นระหว่างการสิ้นสุดของช่วงราชอาณาจักรกลางและจุดเริ่มต้นของช่วงราชอาณาจักรใหม่ เป็นผลกระทบเนื่องจากการบุกรุกเข้ามาของชาวฮิกซอส ซึ่งชาวฮิกซอสได้เข้ามายึดอำนาจของฟาโรห์แล้วขึ้นครองราชย์แทน และสถาปนาขึ้นเป็นราชวงศ์ที่สิบห้า
ราชวงศ์ที่สิบสามอ่อนแอกว่าสมัยราชวงศ์ที่สิบสองและไม่สามารถยึดคืนดินแดนอียิปต์ไว้ได้ ในช่วงเริ่มต้นของราชวงศ์ที่สิบสามใน 1805 ปีก่อนคริสตกาลหรือช่วงกลางของราชวงศ์ที่สิบสามใน 1710 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีการสถาปนาราชวงศ์ที่สิบสี่ ขึ้นด้วยชาวฮิกซอสในอียิปต์ล่าง
การบุกรุกของชาวฮิกซอสได้เริ่มขึ้นในช่วงรัชกาลของฟาโรห์เซเบคโฮเทปที่ 4 ใน 1720 ปีก่อนคริสตกาล และได้เข้าควบคุมเมืองอวาริส (ปัจจุบันคือ เทล เอล-ดับ'อา / คาตา'นา ) และได้ก่อตั้งราชวงศ์ที่สิบสี่ จากนั้นประมาณ 1650 ปีก่อนคริสตกาล ชาวฮิกซอสนำโดยซาลิทิส ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ที่สิบห้า พิชิตเมมฟิส แล้วจึงล้มล้างราชวงศ์ที่สิบสาม ทำให้อียิปต์บนเสื่อมอำนาจลงซึ่งเป็นผลมาจากการล่มสลายของราชวงศ์ที่สิบสาม ต่อมาราชวงศ์ที่สิบหก ได้ปกครองอียิปต์บน แต่ก็ถูกล้มล้างราชวงศ์โดยราชวงศ์ที่สิบห้าหลังจากนั้นไม่นาน
ต่อจากนั้นเมื่อชาวฮิกซอสได้ถอยออกจากอียิปต์บน ทำให้ชาวอียิปต์บนได้สถาปนาราชวงศ์ที่สิบเจ็ด ขึ้นมา และในที่สุดราชวงศ์ที่สิบเจ็ดก็สามารถขับไล่ชาวฮิกซอสออกไปจากอียิปต์ นำโดยฟาโรห์ทาโอที่สอง ฟาโรห์คาโมส และฟาโรห์อาโมส ซึ่งเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของราชวงศ์ที่สิบแปด
ราชวงศ์ที่สิบสาม
ราชวงศ์ที่สิบสาม (ตามบันทึกรายพระนามแห่งตูริน ) ปกครองจาก 1802 ไปถึงประมาณ 1649 ปีก่อนคริสตกาล และรวมทั้งหมดเป็นเวลา 153 หรือ 154 ปี
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เซเคมเร คูทาวี
โซเบคโฮเทปที่ 1
ทรงสถาปนาราชวงศ์ที่สิบสาม แห่งอียิปต์ ปรากฏหลักฐานยืยันจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับรัชสมัยของพระองค์ ในข้อการสันนิษฐานหลักนั้นใ้เรียกพระองค์ โซเบคโฮเทปที่ 1 ส่วนในการศึกษาเก่าให้เรียกพระองค์ว่า โซเบคโฮเทปที่ 2 แทน
1802 – 1800 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
เมอิบทาวี เซเคมคาเร
อเมนเอมฮัต โซนเบฟ
อาจจะเป็นพระอนุชาของฟาโรห์เซเคมเร คูทาวี โซเบคโฮเทป และเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 4 [ 106]
1800 – 1796 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
เนริคาเร
โซเบค[...]
ทรงได้รับการยืนยันจากบันทึกระดับแม่น้ำไนล์จากเซมนา [ 107]
1796 ปีก่อนคริสตกาล
เซเคมคาเร
อเมนเอมฮัตที่ 5
ทรงปกครองเป็นระยะเวลา 3 ถึง 4 ปี[ 106]
1796 – 1793 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
—
อเมนอิ เกมาอู
ทรงถูกฝังพระบรมศพไว้ที่พีระมิดของพระองค์ ในดาห์ชูร์
1795 – 1792 ปีก่อนคริสตกาล
โฮเทปอิบเร
เกมาอู ซิฮาร์เนดจ์เฮอร์อิเทฟ
อาจจะเรียกพระองค์ได้อีกว่า เซโฮเทปอิบเร
1792 – 1790 ปีก่อนคริสตกาล
—
—
อิอูฟนิ
ทรงปรากฏแค่ในบันทึกพระนามแห่งตูริน เท่านั้น
รัชสมัยที่สั้นมาก, อาจจะราวประมาณ 1790 – 1788 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
เซอังค์อิบเร
อเมนเอมฮัตที่ 6
ทรงปรากฏแค่ในบันทึกพระนามแห่งตูริน เท่านั้น[ 108]
1788 – 1785 ปีก่อนคริสตกาล
เซเมนคาเร
เนบนูนิ
ทรงปรากฏแค่ในบันทึกพระนามแห่งตูริน เท่านั้น[ 109]
1785 – 1783 ปีก่อนคริสตกาล[ 106] หรือ 1739 ปีก่อนคริสตกาล[ 110]
เซเฮเทปอิบเร
เซเวเซคทาวี
ทรงปรากฏในบันทึกพระนามแห่งตูริน [ 111]
1783 – 1781 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
—
เซวัดจ์คาเรที่ 1
—
ทรงเป็นที่ทราบแค่ในบันทึกพระนามแห่งตูริน เท่านั้น
1781 ปีก่อนคริสตกาล
—
เนดจ์เอมอิบเร
—
ทรงเป็นที่ทราบแค่ในบันทึกพระนามแห่งตูริน เท่านั้น
7 เดือน, 1780 ปีก่อนคริสตกาล[ 106] หรือ 1736 ปีก่อนคริสตกาล[ 110]
คาอังค์เร
โซเบคโฮเทป
ในข้อการสมมติฐานหลักเรียกพระองค์ว่า โซเบคโฮเทปที่ 2 ส่วนในการศึกษาที่เก่ากว่าเรียกพระองค์ว่า โซเบคโฮเทปที่ 1 แทน
ทรงครองราชย์ประมาณ 3 ปี, 1780 – 1777 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
—
เรนเซเนบ
—
4 เดือน
1777 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
อาวอิบเร
ฮอร์
ทรงเป็นที่โด่งดังมาจากสุสานที่ไม่ได้ความเสียหายและรูปสลักดวงพระวิญญาน ของพระองค์
ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา 1 ปี และอีก 6 เดือน, 1777 – 1775 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
เซเคมเรคูทาวี คาบาว
—
อาจจะเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ฮอร์ อาวอิบเร
ทรงครองราชย์ประมาณ 3 ปี, 1775 – 1772 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
ดเจดเคเปอร์เอว
—
อาจจะเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ฮอร์ อาวอิบเร และเป็นพระอนุชาของฟาโรห์คาบาว ซึ่งก่อนหน้าพระองค์ถูกระบุว่าเป็นพระองค์เดียวกันกับฟาโรห์เคนด์เจอร์
ทรงครองราชย์ประมาณ 2 ปี, 1772 – 1770 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
—
เซบคาย
อาจจะเป็นฟาโรห์สองพระองค์ พระนามว่า เซบ และพระราชโอรสของพระองค์นามว่า คาย[ 106]
เซดเจฟาคาเร
คาย อเมนเอมฮัต
ทรงเป็นที่ทราบมาจากหลักฐานยืนยันจำนวนมากจากจารึกและเอกสารอื่น ๆ
5 ถึง 7 ปี หรือ 3 ปี, 1769 – 1766 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
คูทาวีเร
เวกาฟ
ในการศึกษาที่เก่ากว่าได้ระบุว่าพระองค์ทรงเป็นผู้สถาปนาราชวงศ์ที่สิบสามแห่งอียิปต์
ประมาณ 1767 ปีก่อนคริสตกาล
อูเซอร์คาเร
เคนด์เจอร์
อาจจะทรงเป็นฟาโรห์ชาวเซมิติกพระองค์แรก และทรงโปรดให้สร้างพีระมิด ที่ซักกอเราะฮ์
ทรงครองราชย์อย่างน้อย 4 ปี กับอีก 3 เดือน ประมาณ 1765 ปีก่อนคริสตกาล
สเมนค์คาเร
อิมิเรเมชาว
ทรงได้รับการยืนยันมาจากรูปสลักขนาดมหึมาของพระองค์จำนวนสองรูป
ทรงครองราชย์น้อยกว่า 10 ปี, ตั้งแต่ 1759 ปีก่อนคริสตกาล[ 106] หรือ 1711 ปีก่อนคริสตกาล[ 112]
เซเฮเทปคาเร
อินเทฟที่ 4
—
ทรงครองราชย์น้อยกว่า 10 ปี
เมอร์อิบเร
เซธ
—
สิ้นสุดรัชสมัยเมื่อ 1749 ทรงครองราชย์น้อยกว่า 10 ปี
เซเคมเรเซวัดจ์ทาวี
โซเบคโฮเทปที่ 3
4 ปี กับอีก 2 เดือน
1755 – 1751 ปีก่อนคริสตกาล
คาเซเคมเร
เนเฟอร์โฮเทปที่ 1
11 ปี
1751 – 1740 ปีก่อนคริสตกาล
เมนวัดจ์เร
ซิฮัตฮอร์
ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมกับพระบรมเชษฐาธิราชพระนามว่า เนเฟอร์โฮเทปที่ 1 เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ และพระองค์อาจจะไม่ได้ทรงครองราชย์อย่างอิสระ
1739 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
คาเนเฟอร์เร
โซเบคโฮเทปที่ 4
10 หรือ 11 ปี
1740 – 1730 ปีก่อนคริสตกาล
เมอร์โฮเทปเร
โซเบคโฮเทป ที่ 5
—
1730 ปีก่อนคริสตกาล
คาโฮเทปเร
โซเบคโฮเทปที่ 6
4 ปี 8 เดือน กับอีก 29 วัน
ประมาณ 1725 ปีก่อนคริสตกาล
วาอิบเร
อิบอิอาอู
10 ปี กับอีก 8 เดือน
1725 – 1714 ปีก่อนคริสตกาล หรือ 1712 – 1701 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
เมอร์เนเฟอร์เร
ไอย์ที่ 1
ทรงเป็นฟาโรห์ที่ทรงครองราชย์นานที่สุดของราชวงศ์ที่สิบสามแห่งอียิปต์
23 ปี, 8 เดือน กับอีก 18 วัน, 1701 – 1677 ปีก่อนคริสตกาล[ 106] หรือ 1714 – 1691 ปีก่อนคริสตกาล
เมอร์โฮเทปเร
อินิ
อาจจะเป็นพระราชโอรสของผู้ปกครองพระองค์ก่อนหน้า
2 ปี, 3 หรือ 4 เดือน กับอีก 9 วัน, 1677 – 1675 ปีก่อนคริสตกาล[ 106] หรือ 1691 – 1689 ปีก่อนคริสตกาล
—
สอังค์เอนเร
เซวัดจ์ตู
ทรงปรากฏแค่ในบันทึกพระนามแห่งตูริน เท่านั้น
3 ปี กับอีก 2 ถึง 4 เดือน, 1675 – 1672 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
เมอร์เซเคมเร
อิเนด
อาจจะทรงเป็นพระองค์เดียวกันกับฟาโรห์เนเฟอร์โฮเทปที่ 2
3 ปี, 1672 – 1669 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
—
เซวัดจ์คาเรที่ 2
ฮอร์อิ
ทรงครองราชเป็นระยะเวลา 5 ปี
5 ปี
เมอร์คาวเร
โซเบคโฮเทปที่ 7
ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา 2 ปี กับอีก 6 เดือน[ 106]
1664 – 1663 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
—
พระนามสูญหาย
ฟาโรห์จำนวน 7 พระองค์
พระนามสูญหายจากส่วนที่เสียหายของบันทึกพระนามแห่งตูริน [ 106]
1663 ปีก่อนคริสตกาล –?[ 106]
—
พระนามสูญหาย
—
พระนามสูญหาย
—
พระนามสูญหาย
—
พระนามสูญหาย
—
พระนามสูญหาย
—
พระนามสูญหาย
—
เมอร์[...]เร
—
—
ไม่ทราบ
เมอร์เคเปอร์เร
—
—
บางช่วงเวลในระหว่าง 1663 ถึง 1649 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
—
เมอร์คาเร
—
ทรงปรากฏแค่ในบันทึกพระนามแห่งตูริน เท่านั้น
บางช่วงเวลาในระหว่าง 1663 ถึง 1649 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
—
พระนามสูญหาย
—
ไม่ทราบ
เซวัดจ์คาเร
เมนทูโฮเทปที่ 5
—
ประมาณ 1655 บางช่วงเวลในระหว่าง 1663 ถึง 1649 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
—
[...]มอสเร
—
—
ไม่ทราบ
—
อิบิ [...]มาอัตเร
—
—
ไม่ทราบ
—
ฮอร์[...] [...]เวบเอนเร
—
—
ไม่ทราบ
—
เซ...คาเร
—
ไม่ทราบ
ไม่ทราบ
เซเฮกเอนเร
สอังค์พทาห์อิ
อาจจะเป็นพระราชโอรสของผู้ปกครองพระองค์ก่อนหน้า
ระหว่าง 1663 ถึง 1649 ปีก่อนคริสตกาล
—
...เร
—
ไม่ทราบ
ไม่ทราบ
—
เซ...เอนเร
—
ไม่ทราบ
ไม่ทราบ – 1649 ปีก่อนคริสตกาล[ 106]
ตำแหน่งตามลำดับเวลาของฟาโรห์ดังต่อไปนี้ยังคงคลุมเครืออยู่
ราชวงศ์ที่สิบสี่
ราชวงศ์ที่สิบสี่ เป็นราชวงศ์ท้องถิ่นจากบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำฝั่งตะวันออก ซึ่งมีฐานอำนาจอยู่ที่เมืองอวาริส [ 114] และปกครองตั้งแต่ 1805 ปีก่อนคริสตกาลหรือราว 1710 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงราว 1650 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ดังกล่าวประกอบด้วยผู้ปกครองหลายพระองค์ที่ทรงมีพระนามในกลุ่มภาษาเซมิติกตะวันตก และด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเชื่อกันว่าเป็นแหล่งกำเนิดของชาวคานาอันตามที่คิม ไรฮอล์ทข้อความเห็น อย่างไรก็ตาม การจัดผังของราชวงศ์ที่สิบสี่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับตำแหน่งตามลำดับเวลาของฟาโรห์จำนวน 5 พระองค์ก่อนหน้ารัชสมัยของฟาโรห์เนเฮซิที่ยังมีข้อโต้แย้งอยู่มาก
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เซคาเอนเร
ยากบิม
ตำแหน่งตามลำดับเวลายังคลุมเครือ ซึ่งอ้างอิงจากไรฮอล์ท[ 114]
1805 – 1780 ปีก่อนคริสตกาล
นุบวอเซอร์เร
ยา'อัมมู
ตำแหน่งตามลำดับเวลายังคลุมเครือ ซึ่งอ้างอิงจากไรฮอล์ท[ 114]
1780 – 1770 ปีก่อนคริสตกาล
คาวอเซอร์เร [ 114]
กาเรห์
ตำแหน่งตามลำดับเวลายังคลุมเครือ ซึ่งอ้างอิงจากไรฮอล์ท[ 114]
1770 – 1760 ปีก่อนคริสตกาล
อาอาโฮเทปเร [ 114]
'อัมมู
ตำแหน่งตามลำดับเวลายังคลุมเครือ ซึ่งอ้างอิงจากไรฮอล์ท[ 114]
1760 – 1745 ปีก่อนคริสตกาล
มาอาอิบเร
เชชิ [ 115]
ตำแหน่งตามลำดับเวลา ระยะเวลาแห่งการครองราชย์ และการขยายขอบเขตของการปกครองยังคงคลุมเครืออยู่ ซึ่งอ้างอิงมาจากไรฮอล์ท[ 114] หรืออีกช้อสันนิษฐานหนึ่งคือ พระองค์อาจจะทรงเป็นฟาโรห์ฮิกซอสในช่วงแรก, ฟาโรห์ฮิกซอสในช่วงที่สองของราชวงศ์ที่สิบห้าแห่งอียิปต์ หรือเป็นข้าหลวงของฟาโรห์ฮิกซอส
1745 – 1705 ปีก่อนคริสตกาล
อาอาเซเร
เนเฮซิ
รัชสมัยอันสั้น, อาจจะเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์เชชิ[ 114]
ประมาณ 1705 ปีก่อนคริสตกาล
—
คาเคเรวเร
—
—
ไม่ทราบ
—
เนบเอฟอาวเร
—
—
ประมาณ 1704 ปีก่อนคริสตกาล
—
เซเอบเร
—
อาจจะเป็นฟาโรห์พระองค์เดียวกันกับฟาโรห์วาซาด หรือฟาโรห์เซเนฮ์ [ 113]
ประมาณ 1704 ถึง 1699 ปีก่อนคริสตกาล
เมอร์ดเจฟาเร
—
อาจจะเป็นฟาโรห์พระองค์เดียวกันกับฟาโรห์วาซาด หรือฟาโรห์เซเนฮ์ [ 113]
ประมาณ 1699 ปีก่อนคริสตกาล
—
เซวัดจ์คาเรที่ 3
—
—
ไม่ทราบ
—
เนบดเจฟาเร
—
—
1694 ปีก่อนคริสตกาล
—
เวบเอนเร
—
—
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
—
ไม่ทราบ
—
[...]ดเจฟาเร
—
—
ไม่ทราบ
—
[...]เวบเอนเร
—
—
ประมาณ 1690 ปีก่อนคริสตกาล
—
อาวอิบเรที่ 2
—
—
ไม่ทราบ
—
เฮอร์อิบเร
—
—
ไม่ทราบ
—
เนบเซนเร [ 114]
ทรงได้รับการยืนยันจากโถที่ปรากฏพระนามของพระองค์
ทรงครองราชย์อย่างน้อย 5 เดือน, ในช่วงเวลาระหว่าง 1690 ถึง 1649 ปีก่อนคริสตกาล
—
พระนามสูญหาย
—
ไม่ทราบ
—
[...]เร
—
—
ไม่ทราบ
เซเคเปอร์เอนเร [ 114]
—
ทรงได้รับการยืนยันจากตราประทับสคารับเพียงชิ้นเดียว
2 เดือน, ในช่วงเวลาระหว่าง 1690 ถึง 1649 ปีก่อนคริสตกาล
—
ดเจดเคเรวเร
—
—
ไม่ทราบ
—
สอังค์อิบเรที่ 2
—
—
ไม่ทราบ
—
เนเฟอร์ตุม[...]เร
—
—
ไม่ทราบ
—
เซเคม[...]เร
—
—
ไม่ทราบ
—
คาเคมูเร
—
—
ไม่ทราบ
—
เนเฟอร์อิบเร
—
—
ไม่ทราบ
—
—
อิ[...]เร
—
ไม่ทราบ
—
คาคาเร
—
—
ไม่ทราบ
—
อาคาเร[ 116]
—
ไม่ทราบ
—
เซเมนเอนเร
ฮาปุ
—
ไม่ทราบ
—
ดเจดคาเร[ 114]
อนาติ
ทรงเป็นที่ทราบแค่ในบันทึกพระนามแห่งตูริน เท่านั้น
ไม่ทราบ
—
—
เบบนุม [ 114]
ทรงเป็นที่ทราบแค่ในบันทึกพระนามแห่งตูริน เท่านั้น
ในช่วงเวลาระหว่าง 1690 ถึง 1649 ปีก่อนคริสตกาล
—
พระนามสูญหาย
พระนามจำนวนแปดพระนามสูญหายในบันทึกพระนามแห่งตูริน
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
เซเนเฟอร์[...]เร
—
—
ไม่ทราบ
—
เมน[...]เร
—
—
ไม่ทราบ
—
ดเจด[...]เร
—
—
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
พระนามจำนวนสามพระนามสูญหายในบันทึกพระนามแห่งตูริน
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
อินค[...]
—
—
ไม่ทราบ
—
'อา[...][ 117]
—
ทรงเป็นที่ทราบแค่ในบันทึกพระนามแห่งตูริน เท่านั้น พระนามของพระองค์อาจจะอ่านได้ว่า "อิเนบ" ตามที่อลัน การ์ดิเนอร์เสนอความเห็น[ 117]
ไม่ทราบ
—
—
'อเปปิ [ 114]
อาจจะทรงได้รับการยืนยันจากตราประทับสคารับองพระราชโอรสแห่งกษัตริย์จำนวน 5 ชิ้น
ประมาณ 1650 ปีก่อนคริสตกาล
—
พระนามสูญหาย
พระนามจำนวนห้าพระนามสูญหายในบันทึกพระนามแห่งตูริน
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
—
พระนามสูญหาย
ไม่ทราบ
ตำแหน่งและตัวตนของฟาโรห์ดังต่อไปนี้ยังคงคลุมเครืออยู่
ทั้งนี้ บันทึกพระนามแห่งตูริน ได้ระบุพระนามของฟาโรห์จากราชวงศ์ที่สิบสี่เพิ่มเติม แต่รายพระนามดังกล่าวไม่ปรากฏในหลักฐานใดอื่นอีกนอกจากบันทึกพระนามดังกล่าว
ราชวงศ์ที่สิบห้า
ราชวงศ์ที่สิบห้า ถูกสถาปนาขึ้นโดยชาวฮิกซอส ที่ซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ โดยที่ได้ปกครองบริเวณในพื้นที่ส่วนใหญ่ของแม่น้ำไนล์ เป็นระยะเวลาสั้น ๆ และปกครองตั้งแต่ 1674 ถึง 1535 ปีก่อนคริสตกาล
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
—
(ซาลิทิส )
ทรงปกครองพื้นที่บริเวณอียิปต์ล่าง และทรงเป็นผู้สถาปนาราชวงศ์ที่สิบห้า แห่งอียิปต์
ประมาณ 1650 ปีก่อนคริสตกาล
—
เซมเกน
ตำแหน่งตามลำดับเวลายังคลุมเครือ
1649 ปีก่อนคริสตกาล – ไม่ทราบ
—
'อะเปอร์-'อะนัต
ตำแหน่งตามลำดับเวลายังคลุมเครือ
ไม่ทราบ
—
—
ซาคิร์-ฮาร์
—
ไม่ทราบ
เซอูเซอร์เอนเร
คยาน
เป็นจุดรุ่งโรจน์ในอำนาจของชาวฮิกซอส ซึ่งได้พิชิตเมืองธีบส์ในช่วงปลายรัชสมัยของพระองค์
ประมาณ 30 – 35 ปี
เนบเคเปชเร / อะเกนเอนเร / อาอูเซฮร์เร
อะเปปิ
—
1590 ปีก่อนคริสตกาล?
นัคต์อิเร / โฮเทปอิบเร
คามูดิ
—
1555 – 1544 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์อไบดอส
ช่วงสมัยระหว่างกลางที่สอง อาจจะรวมถึงราชวงศ์อิสระที่ปกครองอไบดอส ตั้งแต่ประมาณ 1650 จนถึง 1600 ปีก่อนคริสตกาลเข้าไปด้วย[ 118] [ 119] [ 120]
ฟาโรห์ที่ได้รับการรับรองแล้วจำนวน 4 พระองค์ อาจจะเกี่ยวข้องกับราชวงศ์อไบดอสอย่างไม่เป็นทางการ และรายพระนามด้านหลังไม่ได้จัดตามลำดับรัชสมัยที่ถูกต้อง (ไม่ทราบ) ของพระองค์
ราชวงศ์ที่สิบหก
ราชวงศ์ที่สิบหก เป็นราชวงศ์ท้องถิ่นธีบส์ ที่สถาปนาขึ้นจากการล่มสลายของราชวงศ์ที่สิบสาม แห่งอียิปต์ที่มีฐานอำนาจอยู่ที่เมืองเมมฟิส ราวประมาณ 1650 ปีก่อนคริสตกาล ในที่สุดราชวงศ์ที่สิบหกก็ถูกพิชิตโดยราชวงศ์ที่สิบห้า แห่งฮิกซอส เมื่อประมาณ 1580 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ที่สิบหกมีอิทธิพลเหนืออียิปต์บน เท่านั้น
ราชวงศ์ที่สิบหกแห่งอียิปต์ อาจประกอบด้วยรัชกาลของฟาโรห์เซเนเฟอร์อังค์เร เปปิที่ 3 [ 127] และฟาโรห์เนบมาอัตเร [ 128] [ 126] ซึ่งไม่ทราบอย่างแน่ชัดถึงลำดับตำแหน่งตามเวลาแห่งการครองราชย์
ราชวงศ์ที่สิบเจ็ด
ราชวงศ์ที่สิบเจ็ด ปกครองอยู่ในอียิปต์บน และปกครองตั้งแต่ 1650 ถึง 1550 ปีก่อนคริสตกาล
|-
ในช่วงต้นของสมัยราชวงศ์ที่สิบเจ็ดแห่งอียิปต์อาจจะเพิ่มรัชสมัยของฟาโรห์เนบมาอัตเร ซึ่งยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดเกี่ยวกับตำแหน่งตามลำดับเวลา[ 129]
ช่วงสมัยราชอาณาจักรใหม่แห่งอียิปต์ (จักรวรรดิอียิปต์)
สมัยราชอาณาจักรใหม่ (ระหว่าง 1550–1077 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นช่วงเวลาที่ครอบคลุมราชวงศ์ที่สิบแปด สิบเก้า และยี่สิบ แห่งอียิปต์ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ถึง 11 ก่อนคริสตกาล ซึ่งอยู่ระหว่างช่วงสมัยระหว่างกลางที่สอง และช่วงสมัยระหว่างกลางที่สาม
ด้วยอำนาจทางทหารในต่างแดน ราชอาณาจักรใหม่จึงมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ที่สุดของอียิปต์ ซึ่งขยายไปไกลถึงนิวเบีย ในทางตอนใต้ และยึดครองดินแดนอันกว้างขวางในตะวันออกใกล้ กองทัพอียิปต์ได้ต่อสู้กับกองทัพฮิตไทต์ เพื่อควบคุมบริเวณซีเรีย ในปัจจุบัน
ฟาโรห์จำนวนสามพระองค์ที่รู้จักกันดีที่สุดของสมัยราชอาณาจักรใหม่คือ ฟาโรห์อาเคนอาเตน หรือเรียกอีกพระนามว่า อเมนโฮเทปที่ 4 ซึ่งทรงนิยมการบูชาเทพอาเตน เป็นพิเศษ ซึ่งถูกชี้ว่าเป็นตัวอย่างแรกของลัทธิเอกเทวนิยม ต่อมาคือ ฟาโรห์ทุตอังค์อามุน ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการค้นพบสุสานที่เกือบเสร็จสมบูรณ์ของพระองค์ และฟาโรห์ราเมสเซสที่ 2 ผู้ซึ่งทรงพยายามที่จะกอบกู้ดินแดนในอิสราเอล ในปัจจุบัน/ปาเลสไตน์ เลบานอน และซีเรีย ที่เคยถูกยึดครองในสมัยราชวงศ์ที่สิบแปด และการพิชิตครั้งใหม่ของพระองค์ได้นำไปสู่สมรภูมิคาเดช ซึ่งพระองค์ทรงนำกองทัพอียิปต์เข้าต่อสู้กับกองทัพของกษัตริย์มูวาทัลลิที่ 2 แห่งฮิตไทต์
ราชวงศ์ที่สิบแปด
ราชวงศ์ที่สิบแปด ปกครองระหว่างประมาณ 1550 ถึง 1292 ปีก่อนคริสตกาล
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เนบเพติเร
อาโมสที่ 1 (อาโมซิสที่ 1 )
เป็นพระอนุชาและทรงเป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ของฟาโรห์คาโมส พระองค์ทรงพิชิตดินแดนทางเหนือของอียิปต์จากชาวฮิกซอส
ประมาณระหว่าง 1550–1525 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนช่วงเวลาตามเรดิโอคาร์บอนในช่วงเวลาการเริ่มต้นการครองราชย์ของพระองค์ คือ ระหว่าง 1570–1544 ปีก่อนคริสตกาล ค่าเฉลี่ยคือ 1557 ปีก่อนคริสตกาล
[ 130]
ดเจเซอร์คาเร
อเมนโฮเทปที่ 1
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์อาโมสที่ 1 ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 1 ทรงเป็นผู้นำการดำเนินการทางทหารในนิวเบีย จนถึงแก่งน้ำตกแม่น้ำไนล์ ที่ 3[ 131] นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเริ่มในการสร้างวิหารบูชาพระบรมศพและสุสานแยกจากกันแทนที่จะอยู่ในสถานที่เดียวกัน[ 132] เป็นไปได้ว่าฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 1 และพระนางอาโมส-เนเฟอร์ทาริ ซึ่งเป็นพระราชมารดาของพระองค์ ทรงได้ก่อตั้งหมู่บ้านคนงานสุสานในเดียร์ อัล-เมดินา ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าโดยผู้อยู่อาศัยในภายหลัง[ 133]
1541–1520 ปีก่อนคริสตกาล
อาอาเคเปอร์คาเร
ทุตโมสที่ 1
ไม่ทราบถึงพระราชบิดาของพระองค์ แต่อาจจะเป็นฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 1 ส่วนพระราชมารดาของพระองค์คือพระนางเซนเซเนบ ฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 ทรงได้สถาปนาพระราชวงศ์ขึ้นควบคุมพระราชบัลลังก์อียิปต์ต่อไปอีก 175 ปีข้างหน้า[ 131] ฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 ทรงเอาชนะราชอาณาจักรคูชและทรงทำลายเมืองเคอร์มา ในนิวเบียได้ พระองค์ทรงดำเนินการทางทหารในบริเวณซีเรีย จนถึงแม่น้ำยูเฟรติส [ 131] พระองค์ยังเป็นพระราชบิดาของฟาโรห์ทุตโมสที่ 2 และพระนางฮัตเชปซุต อีกด้วย[ 131]
1520–1492 ปีก่อนคริสตกาล
อาอาเคเปอร์เอนเร
ทุตโมสที่ 2
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 และเป็นพระราชนัดดาของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 1 ผ่านพระนางมุตโนเฟรต ซึ่งเป็นพระราชมารดาของพระองค์
1492–1479 ปีก่อนคริสตกาล
มาอัตคาเร
ฮัตเชปซุต
ทรงเป็นผู้ปกครองสตรีพระองค์ที่สองของอียิปต์ อาจจะทรงได้ปกครองร่วมกับพระภาติยะของพระองค์พระนามว่า ทุตโมสที่ 3 ในช่วงต้นแห่งการครองราชย์ ทรงมีชื่อเสียงจากการเดินทางไปยังดินแดนแห่งพุนต์ ที่บันทึกไว้ในวิหารบูชาพระบรมศพที่มีชื่อเสียงของพระองค์ที่เดียร์ อัล-บาฮะริ ทรงสร้างวิหารและอนุสรณ์สถานจำนวนมาก ทรงปกครองในช่วงที่อียิปต์มีอำนาจสูงสุด พระองค์เป็นพระราชธิดาของฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 กับพระอัครมเหสีของฟาโรห์ทุตโมสที่ 2 ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์
1479–1458 ปีก่อนคริสตกาล
เมนเคเปอร์เร
ทุตโมสที่ 3
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ทุตโมสที่ 2 อาจจะทรงได้ปกครองร่วมกับพระนางฮัตเชปซุต ซึ่งเป็นพระปิตุจฉาและพระราชมารดาบุญธรรมของพระองค์ในช่วงต้นแห่งการครองราชย์ ทรงมีชื่อเสียงในด้านการขยายดินแดนไปยังเลวานไทน์และนิวเบีย ในรัชสมัยของพระองค์ ราชอาณาจักรอียิปต์โบราณมีขอบเขตที่กว้างใหญ่ที่สุด ทรงปกครองในช่วงที่อียิปต์มีอำนาจสูงสุด ก่อนสิ้นรัชสมัย พระองค์ทรงลบพระนามและรูปของพระนางฮัตเชปซุตออกจากวิหารและอนุสาวรีย์
1458–1425 ปีก่อนคริสตกาล
อาอาเคเปอร์อูเร
อเมนโฮเทปที่ 2
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 ทรงปกครองในช่วงที่อียิปต์มีอำนาจสูงสุด
1425–1400 ปีก่อนคริสตกาล
เมนเคเปอร์อูเร
ทุตโมสที่ 4
ทรงมีชื่อเสียงจากศิลาแห่งพระสุบิน เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 2 ทรงปกครองในช่วงที่อียิปต์มีอำนาจสูงสุด
1400–1390 ปีก่อนคริสตกาล
เนบมาอัตเร
อเมนโฮเทปที่ 3 ผู้ยิ่งใหญ่
เป็นพระราชบิดาของฟาโรห์อาเคนอาเตน และพระอัยกาของฟาโรห์ทุตอังค์อามุน ทรงปกครองอียิปต์ด้วยอำนาจสูงสุด ทรงโปรดให้สร้างวิหารและอนุสรณ์สถานจำนวนมาก รวมทั้งวิหารบูชาพระบรมศพขนาดมหึมาของพระองค์ด้วย พระองค์เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ทุตโมสที่ 4
1390–1352 ปีก่อนคริสตกาล
เนเฟอร์เคเปอร์อูเร วาเอนเร
อเมนโฮเทปที่ 4 / อาเคนอาเตน (อาเคนเคเรส )
ทรงเป็นผู้สถาปนาสมัยอามาร์นา ซึ่งพระองค์ทรงได้เปลี่ยนศาสนาประจำพระราชอาณาจักรจากศาสนาอียิปต์โบราณ ที่นับถือพระเจ้าหลายพระองค์ เป็นลัทธิอาเตนนิยม ซึ่งเป็นศาสนาแบบเอกเทวนิยม โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่การบูชาเทพอาเตน ซึ่งทรงเป็นภาพของสุริยจักร พระองค์ทรงย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองอาเคตอาเตน พระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 พระองค์ทรงเปลี่ยนพระนามจาก อเมนโฮเทป (เทพอามุนทรงพึงพอพระทัย) มาเป็น อาเคนอาเตน (ทรงมีผลกับเทพอาเตน) เพื่อสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงศาสนาของพระองค์
1352–1336 ปีก่อนคริสตกาล
อังค์เคเปอร์อูเร
สเมนค์คาเร
ทรงปกครองร่วมกับฟาโรห์อาเคนอาเตน ในช่วงหลายปีต่อมาในการครองราชย์ของพระองค์ ไม่ทราบว่าฟาโรห์สเมนค์คาเรทรงเคยปกครองเพียงพระองค์เดียวหรือไม่
ยังคงมีความคลุมเครือเกี่ยวกับตัวตนและแม้แต่เพศของพระองค์ บางคนสันนิษฐานว่าพระองค์อาจจะเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์อาเคนอาเตน ซึ่งอาจจะเป็นพระองค์เดียวกับกับฟาโรห์ทุตอังค์อามุน ส่วนคนอื่นสันนิษฐานว่าฟาโรห์สเมนค์คาเรอาจะทรงเป็นพระนางเนเฟอร์ติติ หรือพระนางเมริตอาเตน อาจจะทรงสืบราชสันตติวงศ์หรืออาจจะเป็นพระองค์เดียวกันกับฟาโรห์สตรีพระนามว่า เนเฟอร์เนเฟอร์อูอาเตน
1335–1334 ปีก่อนคริสตกาล
อังค์เคเปอร์อูเร เมริ เนเฟอร์เคเปอร์อูเร
เนเฟอร์เนเฟอร์อูอาเตน
ทรงเป็นฟาโรห์สตรี ซึ่งอาจจะเป็นผู้ปกครองพระองค์เดียวกันกับฟาโรห์สเมนค์คาเร ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวข้องกับสตรีผู้ซึ่งทรงขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์ในช่วงปลายสมัยอามาร์นา และเป็นไปได้ว่าพระองค์คือพระนางเนเฟอร์ติติ
1334-1332 ปีก่อนคริสตกาล
เนบเคเปอร์อูเร
ทุตอังค์อาเตน / ทุตอังค์อามุน
โดยทั่วไปเชื่อกันว่าเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์อาเคนอาเตน ซึ่งมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะทรงคืนสถานะศศาสนาอียิปต์โบราณ ที่นับถือพระเจ้าหลายพระองค์ การเปลี่ยนพระนามจาก ทุตอังค์อาเตน มาเป็น ทุตอังค์อามุน สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในศาสนาจากลัทธิอาเตนนิยม ซึ่งเป็นศาสนาแบบเอกเทวนิยม ไปสู่ศาสนาดั้งเดิม ซึ่งเทพอามุน เป็นเทพเจ้าพระองค์สำคัญ เชื่อกันว่าพระองค์ทรงขึ้นครองบัลลังก์เมื่อพระชนมพรรษาประมาณแปดหรือเก้าพรรษา และเสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมพรรษาประมาณสิบแปดหรือสิบเก้าพรรษา ทำให้พระองค์ได้รับสมญานามว่า "ยุวกษัตริย์" ฟาโรห์ทุตอังค์อามุนทรงเป็นผู้ปกครองที่อ่อนแอและมีปัญหาพระพลานามัยหลายอย่าง อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงมีชื่อเสียงจากการถูกฝังในสุสานที่มีไว้ฝังพระศพเชื้อพระวงศ์พระองค์อื่นที่เรียกว่า เควี 62
1332–1324 ปีก่อนคริสตกาล
เคเปอร์เคเปอร์อูเร
ไอย์ที่ 2
ทรงเคยเป็นมหาราชมนตรีของฟาโรห์ทุตอังค์อามุน และทรงเป็นขุนนางคนสำคัญในรัชสมัยของฟาโรห์อาเคนอาเตน และฟาโรห์สเมนค์คาเร อาจจะเป็นพระอนุชาของพระนางติเย ซึ่งเป็นพระอัครมเหสีของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 และอาจจะเป็นพระบิดาของพระนางเนเฟอร์ติติ ซึ่งเป็นพระอัครมเหสีของฟาโรห์อาเคนอาเตน เชื่อว่าทรงมีพระชาติกำเนิดมาในตระกูลสูงศักดิ์แต่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ทรงสืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์ทุตอังค์อามุน เนื่องจากทรงไม่มีรัชทายาท
1324–1320 ปีก่อนคริสตกาล
ดเจเซอร์เคเปอร์อูเร เซเทปเอนเร
ฮอร์เอมเฮบ
ทรงมีพระชาติกำเนิดเป็นสามัญชน ทรงเคยเป็นนายพลในสมัยอามาร์นา ทรงลบภาพของฟาโรห์แห่งอามาร์นา และทรงโปรดให้ทำลายและล้างผลาญโครงสร้างอาคารและอนุสาวรีย์ ทรงสืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์ไอย์ ถึงแม้ว่าเจ้าชายนัคต์มิน ทรงจะเป็นรัชทายาทที่ตั้งใจไว้ แต่ทรงสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน
1320–1292 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ที่สิบเก้า
ราชวงศ์ที่สิบเก้า ปกครองมาตั้งแต่ 1292 ถึง 1186 ปีก่อนคริสตกาล รวมถึงมีฟาโรห์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ แรเมซีสที่ 2 มหาราช
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เมนเพติเร
ราเมสเซสที่ 1 [ 134]
ทรงมิได้เป็นเชื้อพระวงศ์ แต่พระองค์ทรงสืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบ เนื่องจากพระองค์ทรงไม่มีรัชทายาท
1292–1290 ปีก่อนคริสตกาล
เมนมาอัตเร
เซติที่ 1
ทรงรวบรวมดินแดนที่สูญเสียในช่วงรัชสมัยของฟาโรห์อาเคนอาเทน
1290–1279 ปีก่อนคริสตกาล
อูเซอร์มาอัตเร เซเทปเอนเร (โอไซมันดิอัส )
ราเมสเซสที่ 2 มหาราช
ทรงขยายอาณาเขตของอียิปต์ต่อไปจนกระทั่งจนยุติที่บริเวณจักรวรรดิฮิตไทต์ ในสมรภูมิคาเดช เมื่อ 1275 ปีก่อนคริสตกาล หลังจากนั้นสนธิสัญญาสันติภาพอียิปต์-ฮิตไทต์ อันโด่งดังได้รับการลงนามเมื่อ 1258 ปีก่อนคริสตกาล ทรงครองราชย์เป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดของอียิปต์ ทรงเป็นที่รู้จักจากแผนการก่อสร้างขนาดใหญ่ รวมถึงอนุสรณ์สถานที่มีชื่อเสียงมากมายในปัจจุบัน
1279–1213 ปีก่อนคริสตกาล
บาเอนเร
เมอร์เนพทาห์ [ 135]
เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 13 ของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 2
1213–1203 ปีก่อนคริสตกาล
เมนมิเร เซเทปเอนเร
อเมนเมสเซ
น่าจะทรงเป็นผู้อ้างสิทธิ์ในพระราชบัลลังก์ อาจจะทรงปกครองฝ่ายตรงข้ามกับฟาโรห์เซติที่ 2 สันนิษฐานว่าเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์เมอร์เนพทาห์
1203–1200 ปีก่อนคริสตกาล
อูเซอร์เคเปอร์อูเร
เซติที่ 2 [ 136]
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์เมอร์เนพทาห์ พระองค์อาจจะทรงต้องเอาชนะฟาโรห์อเมนเมสเซ ก่อนที่พระองค์จะสามารถทรงอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ได้
1203–1197 ปีก่อนคริสตกาล
เซคาเอนเร / อาเคนเร
(เมอร์เอนพทาห์) ซิพทาห์ [ 137]
อาจจะเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์เซติที่ 2 หรือฟาโรห์อเมนเมสเซ ทรงขึ้นครองพระราชบัลลังก์ตั้งแต่เยาว์วัย
1197–1191 ปีก่อนคริสตกาล
ซัตเร เมอร์เอนอามุน
ทาอุสเรต
น่าจะเป็นพระมเหสีของฟาโรห์เซติที่ 2 สามารถเรียกพระนามของพระองค์ได้อีกว่า ทวอสเรต หรือ ทาวอสเรต
1191–1190 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ที่ยี่สิบ
ราชวงศ์ที่ยี่สิบ ปกครองระหว่าง 1190 ถึง 1077 ปีก่อนคริสตกาล
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
อูเซอร์คาอูเร
เซตนัคต์เอ
ทรงไม่มีเกี่ยวข้องกับฟาโรห์เซติที่ 2 , ฟาโรห์ซิพทาห์ หรือพระนางทาอุสเรต เลย พระองค์อาจจะทรงแย่งชิงพระราชบัลลังก์จากพระนางทาอุสเรต ละทรงไม่ยอมรับว่าฟาโรห์ซิพทาห์หรือพระนางทาอุสเรตทรงเป็นผู้ปกครองที่ถูกต้องชอบด้วยกฎมณเฑียรบาล พระองค์อาจจะทรงเป็นเชื้อพระวงศ์สายรองของราชวงศ์รามเสส สามารถเรียกพระนามได้อีกว่า เซตนัคต์
1190–1186 ปีก่อนคริสตกาล
อูเซอร์มาอัตเร เมริอามุน
ราเมสเซสที่ 3
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์เซตนัคต์เอ พระองค์ทรงต่อสู้กับชาวทะเล เมื่อ 1175 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์อาจจะทรงถูกลอบสังหาร (แผนการณ์ฝ่ายใน )
1186–1155 ปีก่อนคริสตกาล
อูเซอร์มาอัตเร / เฮกามาอัตเร เซเทปเอนอามุน
ราเมสเซสที่ 4
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 3 ในรัชสมัยของพระองค์ อำนาจของราชอาณาจักรอียิปต์เริ่มเสื่อมลง
1155–1149 ปีก่อนคริสตกาล
อูเซอร์มาอัตเร เซเคเปอร์เอนเร
ราเมสเซสที่ 5
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 4
1149–1145 ปีก่อนคริสตกาล
เนบมาอัตเร เมริอามุน
ราเมสเซสที่ 6
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 3 , เป็นพระอนุชาของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 4 และเป็นพระปิตุลาของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 5
1145–1137 ปีก่อนคริสตกาล
อูเซอร์มาอัตเร เซเทปเอนเร เมริอามุน
ราเมสเซสที่ 7
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 6
1137–1130 ปีก่อนคริสตกาล
อูเซอร์มาอัตเร อาเคนอามุน
ราเมสเซสที่ 8
ทรงเป็นฟาโรห์ที่คลุมเครือผู้ทรงครองราชย์เพียงปีเดียว สามารถระบุตัวตนเป็นพระองค์เดียวกับเจ้าชายเซธอิเฮอร์เคเปชเอฟที่ 2 ซึ่งเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 3 , เป็นพระอนุชาของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 4 และฟาโรห์ราเมสเซสที่ 6 และเป็นพระปิตุลาของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 5 และฟาโรห์ราเมสเซสที่ 7 พระองค์ทรงเป็นฟาโรห์พระองค์เดียวแห่งราชวงศ์ที่ยี่สิบ ซึ่งยังไม่มีการค้นพบสุสานของพระองค์
1130–1129 ปีก่อนคริสตกาล
เนเฟอร์คาเร เซเทปเอนเร
ราเมสเซสที่ 9
อาจจะเป็นพระราชนัดดาของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 3 ผ่านทางพระบิดาของพระองค์พระนามว่า มอนตูเฮอร์โคเปชเอฟ ซึ่งเป็นพระญาติของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 5 และฟาโรห์ราเมสเซสที่ 7
1129–1111 ปีก่อนคริสตกาล
เคเปอร์มาอัตเร เซเทปเอนพทาห์
ราเมสเซสที่ 10 [ 138]
ปรากฏหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับพระองค์เล็กน้อย ช่วงรัชสมัยของพระองค์อยู่ระหว่าง 3 ถึง 10 ปี พระชาติกำเนิดของพระองค์ยังคลุมเครือ
1111–1107 ปีก่อนคริสตกาล
เมนมาอัตเร เซเทปเอนพทาห์
ราเมสเซสที่ 11 [ 139]
อาจจะเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ราเมสเซสที่ 10 ในช่วงครึ่งหลังแห่งการครองราชย์ของพระองค์ มหาปุโรหิตแห่งอามุน นามว่า เฮอร์อิฮอร์ ซึ่งปกครองอยู่ทางใต้ในเมืองธีบส์ และจำกัดพระราชอำนาจของพระองค์ไว้เพียงบริเวณอียิปต์ล่าง (ทางเหนือ) ฟาโรห์สเมนเดส ทรงเป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์แห่งอียิปต์ล่างของพระองค์
1107–1077 ปีก่อนคริสตกาล
ช่วงสมัยระหว่างกลางที่สามแห่งอียิปต์
สมัยระหว่างกลางที่สาม (ระหว่าง 1077 – 664 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นจุดสิ้นสุดของสมัยราชอาณาจักรใหม่ หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิอียิปต์เมื่อสิ้นสุดสมัยสัมฤทธิ์ ราชวงศ์ที่มาจากลิเบีย หลายราชวงศ์ได้เข้ามาปกครองอียิปต์ ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวเรียกได้อีกอย่างว่าสมัยลิเบีย
ราชวงศ์ที่ยี่สิบเอ็ด
ราชวงศ์ที่ยี่สิบเอ็ด มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เมืองทานิส และเป็นราชวงศ์ที่ค่อนข้างอ่อนแอ ตามทฤษฎีแล้ว ฟาโรห์จากราชวงศ์ดังกล่าวทรงเป็นผู้ปกครองราชอาณาจักรอียิปต์ทั้งหมด แต่ในทางปฏิบัติแล้วอิทธิพลของพระองค์ได้จำกัดอยู่เพียงแค่อียิปต์ล่าง เท่านั้น ซึ่งทรงปกครองตั้งแต่ 1077 ถึง 943 ปีก่อนคริสตกาล
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เฮดจ์เคเปอร์เร-เซตป์เอนเร
เนสบาเนบดเจดที่ 1 [ 140] (สเมนเดสที่ 1 )
ทรงอภิเษกสมรสกับเทนต์อามุน ซึ่งเป็นพระราชธิดาของฟาโรห์รามเสสที่ 11
1077–1051 ปีก่อนคริสตกาล
เนเฟอร์คาเร
อเมนเอมนิซู
การครองราชย์จำนวนสี่ปีที่คลุมเครือ
1051–1047 ปีก่อนคริสตกาล
อาอาเคเปอร์เร
พาเซบาคาเอนนูอิตที่ 1 (ซูเซนเนสที่ 1 )
เป็นพระโอรสของพิเนดจ์เอมที่ 1 ซึ่งทรงเป็นมหาปุโรหิตแห่งอามุน ทรงปกครองเป็นระยะเวลา 40 ถึง 51 ปี ทรงมีชื่อเสียงจากสุสานของพระองค์ที่ทานิส รู้จักกันในนาม "ฟาโรห์เงิน" เนื่องจากโลงพระบรมศพเงินอันงดงามที่พระองค์ทรงถูกฝังไว้ ทรงเป็นหนึ่งในผู้ปกครองที่มีอำนาจมากที่สุดของราชวงศ์
1047–1001 ปีก่อนคริสตกาล
อูเซอร์มาอัตเร
อเมนเอมโอเพ
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ซูเซนเนสที่ 1
1001–992 ปีก่อนคริสตกาล
อาอาเคเปอร์เร เซเทปเอนเร
โอซอร์คอน ผู้อาวุโส
ทรงเป็นบุตรชายของโชเชงค์ เอ ซึ่งเป็นประมุขผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมชเวส (ลิเบีย) หรือเรียกพระองค์ว่า โอซอร์คอร์
992–986 ปีก่อนคริสตกาล
เนทเจอร์อิเคเปอร์เร-เซปต์เอนอามุน
ซิอามุน
ไม่ทราบพระชาติกำเนิดของพระองค์ ทรงเป็นฟาโรห์ที่มรงโปรดให้สร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นอย่างกว้างขวางในช่วงสมัยระหว่างกลางที่สาม พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งของราชวงศ์
986–967 ปีก่อนคริสตกาล
มิตเคเปอร์อูเร
พาเซบาคาเอนนูอิตที่ 2 (ซูเซนเนสที่ 2 )
เป็นพระโอรสของพิเนดจ์เอมที่ 2 ซึ่งทรงเป็นมหาปุโรหิตแห่งอามุน
967–943 ปีก่อนคริสตกาล
มหาปุโรหิตแห่งอามุนที่ธีบส์
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ฟาโรห์อย่างเป็นทางการ แต่มหาปุโรหิตแห่งอามุนที่ธีบส์ ก็ทรงเป็นผู้ปกครองอียิปต์บน โดยพฤตินัยในช่วงสมัยราชวงศ์ที่ยี่สิบเอ็ด แห่งอียิปต์ ซึ่งปรากฏการบันทึกพระนามลงในคาร์ทูช และฝังพระบรมศพไว้ในสุสานหลวง
ราชวงศ์ที่ยี่สิบสอง
ฟาโรห์ของราชวงศ์ที่ยี่สิบสองเป็นชาวลิเบีย ปกครองระหว่าง 943 ถึง 728 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ที่ยี่สิบสาม
ราชวงศ์ที่ยี่สิบสามมีผู้ปกครองเป็นชาวลิเบีย ซึ่งศูนย์กลางอำนาจตั้งอยู่ที่เมืองเฮราคลีโอโพลิส และเมืองธีบส์ ซึ่งปกครองตั้งแต่ 837 ถึง 735 ปีก่อนคริสตกาล
ฟาโรห์รุดอามุนทรงถูกสืบทอดพระราชอำนาจต่อที่เมืองธีบส์ โดยผู้ปกครองท้องถิ่น
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เมนเคเปอร์เร
อินิ
ทรงครองราชย์เฉพาะบริเวณเมืองธีบส์เท่านั้น
762 ปีก่อนคริสตกาล – ไม่ทราบ
ราชวงศ์ที่ยี่สิบสี่
ราชวงศ์ที่ยี่สิบสี่เป็นราชวงศ์ที่ปกครองเป็นระยะเวลาสั้นๆ เมืองหลวงของราชวงศ์ตั้งอยู่ในเขตตะวันตกของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ (เมืองซาอิส ) มีเพียงฟาโรห์จำนวนสองพระองค์ ซึ่งปกครองตั้งแต่ 732 ถึง 720 ปีก่อนคริสตกาล
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เชปเซสเร
เทฟนัคต์
—
732–725 ปีก่อนคริสตกาล
วาคาเร
บาเคนเรเนฟ (บ็อกคอริส )
—
725–720 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ที่ยี่สิบห้า
ชาวนิวเบีย ได้บุกรุกอียิปต์ล่างและได้ครองพระราชบัลลังก์แห่งอียิปต์ในช่วงรัชสมัยของฟาโรห์ปิเย ถึงแม้ว่าพระองค์จะควบคุมเมืองธีบส์และอียิปต์บนในช่วงปีแรก ๆ แห่งการครองราชสมบัติของพระองค์ แต่การพิชิตอียิปต์ของฟาโรห์ปิเยในบริเวณอียิปต์ล่างนั้นได้ทำให้เกิดการสถาปยนาราชวงศ์ยี่สิบห้าขึ้น ซึ่งปกครองจนถึง 656 ปีก่อนคริสตกาล
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
อูเซอร์มาอัตเร
ปิเย
ทรงเป็นกษัตริย์แห่งนิวเบีย ซึ่งทรงพิชิตอียิปต์ในปีที่ 20 แห่งการครองราชย์ พระองค์ทรงครองราชย์อย่างน้อย 24 ปี หรืออาจจะมากกว่า 30 ปี
744–714 ปีก่อนคริสตกาล ตามเฟรเดริก ปายโรโด[ 141]
ดเจดคาอูเร
เชบิตคู
เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ของฟาโรห์ชาบากา จนถึงคริสต์ทศวรรษที่ 2010
714–705 ปีก่อนคริสตกาล ตามเฟรเดริก ปายโรโด[ 141]
เนเฟอร์คาเร
ชาบาคา
เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองก่อนหน้าของฟาโรห์เชบิตคู จนถึงคริสต์ทศวรรษที่ 2010
705–690 ปีก่อนคริสตกาล ตามเฟรเดริก ปายโรโด[ 141]
คูอิเนเฟอร์เทมเร
ทาฮาร์กา
เสด็จสวรรตเมื่อ 664 ปีก่อนคริสตกาล
690–664 ปีก่อนคริสตกาล[ 142]
บาคาเร
ทันต์อมานิ
ทรงสูญเสียการควบคุมในอียิปต์บน เมื่อ 656 ปัก่อนคริสตกาล เมื่อฟาโรห์พซัมติกที่ 1 ได้ทรงขยายพระราชอำนาจไปยังธีบส์ ในปีเดียวกันนั้น
664–653 ปีก่อนคริสตกาล
ในที่สุดผู้ปกครองก็ถูกขับไล่กลับไปยังนิวเบีย ซึ่งทรงได้สถาปนาพระราชอาณาจักรที่นาปาตา (656–590 ปีก่อนคริสตกาล) และต่อมาที่เมโรวี (590 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 500)
สมัยปลายแห่งอียิปต์โบราณ
สมัยปลาย แห่งอียิปต์โบราณเริ่มตั้งแต่ประมาณ 664 ถึง 332 ปีก่อนคริสตกาล และรวมถึงเป็นระยะเวลาแห่งการปกครองโดยชาวอียิปต์พื้นเมืองและชาวเปอร์เซีย
ราชวงศ์ที่ยี่สิบหก
ราชวงศ์ที่ยี่สิบหก ปกครองระหว่าง 664 ถึง 525 ปีก่อนคริสตกาล[ 143]
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เมนอิบเร? อิร์อิบเร?
เทฟนัคต์ที่ 2 (สเตฟินาเตส )
ทรงพระนาม สเตฟินาเตส ตามบันทึกของแมนิโธ พระองค์อาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์จากราชวงศ์ที่ยี่สิบสี่ แห่งอียิปต์ และเป็พระราชบิดาของฟาโรห์เนโคที่ 1
685–678 ปีก่อนคริสตกาล
—
—
เนคาอูบา (เนเคปซอส )
ทรงพระนาม เนเคปซอส ตามบันทึกของแมนิโธ มีการสงสัยเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระองค์
678–672 ปีก่อนคริสตกาล
เมนเคเปอร์เร
เนคาอูที่ 1 (เนโคที่ 1 )
ทรงถูกสังหารโดยกองกำลังชาวคูช ที่รุกรานเมื่อ 664 ปีก่อนคริสตกาลในรัชสมัยของฟาโรห์ทันต์อมานิ และพระองค์เป็นพระราชบิดาของฟาโรห์พซัมติกที่ 1
672–664 ปีก่อนคริสตกาล
ฟาโรห์พซัมติกที่ 1 ซึ่งเป็นพระราชโอรสและทรงเป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์เนคาอูที่ 1 ทรงสามารถรวมราชอาณาจักรอียิปต์ได้อีกครั้งและได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าทรงเป็นผู้สถาปนาราชวงศ์ที่ยี่สิบหกแห่งอียิปต์
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
วาอิบเร
พซัมติกที่ 1 (ซัมเมติคัสที่ 1 )
ทรงรวมราชอาณาจักรอียิปต์อีกครั้ง พระองค์เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์เนโคที่ 1 และเป็นพระราชบิดาของฟาโรห์เนโคที่ 2
664–610 ปีก่อนคริสตกาล[ 144]
เวเฮมอิบเร
เนคาอูที่ 2 (เนโคที่ 2 )
เป็นไปได้มากว่าจะทรงเป็นฟาโรห์ที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือหลายเล่มของพระคัมภีร์ และมรณกรรมของโยสิยาห์ พระองค์เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์พซัมติกที่ 1 และเป็นพระราชบิดาของฟาโรห์พซัมติกที่ 2
610–595 ปีก่อนคริสตกาล[ 144]
เนเฟอร์อิบเร
พซัมติกที่ 2 (ซัมเมติคัสที่ 2 )
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์เนโคที่ 2 และเป็นพระราชบิดาของฟาโรห์อพริส
595–589 ปีก่อนคริสตกาล[ 144]
ฮาอาอิบเร
วาอิบเร (อพริส )
ทรงหนีออกจากอียิปต์หลังจากที่ฟาโรห์อามาซิสที่ 2 (ซึ่งเป็นนายพลในขณะนั้น) ทรงประกาศพระองค์เป็นฟาโรห์หลังจากสงครามกลางเมือง พระองค์เป็นพระราชโอรสในฟาโรห์พซัมติกที่ 2
589–570 ปีก่อนคริสตกาล[ 144]
คเนมอิบเร
อาโมสที่ 2 (อามาซิสที่ 2 )
พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่พระองค์สุดท้ายของอียิปต์ก่อนการพิชิตของเปอร์เซีย ตามที่นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เฮโรโดตัส ได้บันทึกไว้ว่า พระองค์ทรงมีพระชาติกำเนิดเป็นสามัญชน พระองค์เป็นพระราชบิดาของฟาโรห์พซัมติกที่ 3
570–526 ปีก่อนคริสตกาล[ 144]
อังค์คาเอนเร
พซัมติกที่ 3 (ซัมเมติคัสที่ 3 )
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์อามาซิสที่ 2 ทรงปกครองประมาณหกเดือนก่อนที่จะทรงพ่ายแพ้ต่อเปอร์เซียในยุทธการที่เปลูเซียม และทรงต่อมาถูกสำเร็จในข้อหาพยายามก่อการกบฏ
526–525 ปีก่อนคริสตกาล[ 144]
ราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ด
อียิปต์ถูกยึดครองโดยจักรวรรดิเปอร์เซีย เมื่อ 525 ปีก่อนคริสตกาล และสถาปนาตั้งขึ้นเป็นมณฑล ให้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิจนถึงเมื่อ 404 ปีก่อนคริสตกาล จักรพรรดิ แห่งจักรวรรดิอะคีเมนิดทรงได้รับการยอมรับว่าทรงเป็นฟาโรห์ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งได้สถาปนาเป็นราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ด แห่งอียิปต์
การก่อกบฏโดยชาวพื้นเมืองหลายครั้งที่เกิดขึ้นในช่วงราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ดแห่งอียิปต์
ราชวงศ์ที่ยี่สิบแปด
ราชวงศ์ที่ยี่สิบแปด ปกครองเพียง 6 ปี ตั้งแต่ 404 ถึง 398 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีเพียงฟาโรห์พระองค์เดียว
รูปภาพ
พระนาม
คำอธิบาย
รัชสมัย
อามุนดิอิร์ซู (อไมร์เตอุส )
ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ของฟาโรห์จากราชวงศ์ที่ยี่สิบหกแห่งซาอิส ทรงได้ขับไล่ชาวเปอร์เชียออกไปจากอียิปต์
404–398 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ที่ยี่สิบเก้า
ราชวงศ์ยี่สิบเก้า ปกครองระหว่าง 398 ถึง 380 ปีก่อนคริสตกาล
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
บาเอนเร เมริเนทเจอร์อู
เนฟาอารุดที่ 1 (เนเฟริเตสที่ 1 )
หรือที่เรียกพระนามได้อีกว่า เนเฟริเตส พระองค์ทรงเอาชนะฟาโรห์อไมร์เตอุส ในการสู้รบและทรงสำเร็จโทษพระองค์
398–393 ปีก่อนคริสตกาล
คเนมมาอัตเร เซเทปเอนคเนมู
ฮาคอร์ (อะคอริส )
เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์เนฟาอารุดที่ 1
ประมาณ 392 – ประมาณ 391 ปีก่อนคริสตกาล
อูเซอร์เร เซเทปเอนพทาห์
พาเชอร์อิเอนมุต (พซัมมูธิส )
อาจจะทรงปลดฟาโรห์ฮาคอร์ ลงจากพระราชบัลลังก์เป็นระยะเวลาหนึ่งปี
ประมาณ 391 ปีก่อนคริสตกาล
คเนมมาอัตเร เซเทปเอนคเนมู
ฮาคอร์ (อะคอริส )
ทรงยึดพระราชบัลลังก์จากฟาโรห์พซัมมูธิส
ประมาณ 390 – ประมาณ 379 ปีก่อนคริสตกาล
—
—
เนฟาอารุดที่ 2 (เนเฟริเตสที่ 2 )
ทรงถูกปลดออกจากพระราชบัลลังก์และน่าจะทรงถูกสังหารโดยฟาโรห์เนคทาเนโบที่ 1 หลังจากทรงปกครองได้เพียง 4 เดือน พระองค์เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์ฮาคอร์
ประมาณ 379 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ที่สามสิบ
ราชวงศ์ที่สามสิบปกครองตั้งแต่ 380 ปีก่อนคริสตกาล จนกระทั่งอียิปต์กลับเข้าอยู่มาภายใต้การปกครองของเปอร์เซียอีกครั้งเมื่อประมาณ 343 ปีก่อนคริสตกาล
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เคเปอร์คาเร
เนคต์เนเบฟ (เนคทาเนโบที่ 1 )
ยังทราบในอีกพระนามว่า เนคต์เนเบฟ พระองค์เป็นผู้เนรเทศและน่าจะปลงพระชนม์ฟาโรห์เนเฟอริเตสที่สอง และเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์อียิปต์ที่ปกครองโดยชาวอียิปต์เป็นราชวงศ์สุดท้าย พระองค์เป็นพระราชบิดาของฟาโรห์เจดฮอร์
379/8–361/0 ปีก่อนคริสตกาล
อิริมาอัตเอนเร
ดเจดเฮอร์ (ทีออส )
ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมกับฟาโรห์เนคทาโบที่ 1 ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระองค์ ตั้งแต่ประมาณ 365 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ถูกโค่นพระราชบัลลังก์โดยฟาโรห์เนคทาเนโบที่ 2 ด้วยความช่วยเหลือของอาเกซิลาอุสที่ 2 แห่งสปาร์ตา
361/0–359/8 ปีก่อนคริสตกาล
สเนดจ์เอมอิบเร เซเทปเอนอันฮูร์
นัคต์ฮอร์เฮบิต เมริฮัตฮอร์ (เนคทาเนโบที่ 2 )
ทรงเป็นผู้ปกครองพระองค์สุดท้ายของอียิปต์ โบราณ[ 147] ตามที่แมนิโธ บันทึกไว้
359/8–341/0 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ด
อียิปต์ได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเปอร์เซียอีกครั้ง ผู้ปกครองชาวเปอร์เซียปกครองระหว่าง 343 ถึง 332 ปีก่อนคริสตกาล ได้รับการแต่งตั้งเป็นครั้งคราวเป็นราชวงศ์สามสิบเอ็ด
การก่อกบฏโดยชาวพื้นเมืองเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงราชวงศ์ที่สิบเอ็ด
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เซเนนเซเทปอูนิพทาห์
คาบาบาช
ฟาโรห์กบฏที่ทรงนำการรุกรานในนิวเบีย
338–335 ปีก่อนคริสตกาล[ 148]
ช่วงสมัยเฮลเลนิสติก
ราชวงศ์อาร์กีด
ชาวกรีกมาซิโดเนีย ภายใต้การนำของอเล็กซานเดอร์มหาราช เข้าสู่ยุคแห่งเฮลเลนิสติกด้วยการพิชิตเปอร์เซียและอียิปต์ ราชวงศ์อาร์กีดปกครองตั้งแต่ 332 ถึง 309 ปีก่อนคริสตกาล
รูปภาพ
พระนามครองราชย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
เซปต์เอนเร เมริอามุน
อะลุกซิเดรส (อเล็กซานเดอร์มหาราช )
พระนามทางการ คือ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งมาซิโดเนีย ทรงพิชิตเปอร์เซีย และอียิปต์
332–13 มิถุนายน 323 ปีก่อนคริสตกาล[ 149]
เซปต์เอนเร เมริอามุน
เพลูพูอิซา (ฟิลิป อาร์ริดีอุส )
พระนามทางการ คือ ฟิลิปที่ 3 แห่งมาซิโดเนีย พระองค์เป็นพระอนุชาต่างพระราชมารดาของอเล็กซานเดอร์มหาราชที่ทรงพิการทางสมอง
323–317 ปีก่อนคริสตกาล
คาอิบเร เซเทปเอนอามุน
อะลุกซินเดรส (อเล็กซานเดอร์ที่ 4 )
พระนามทางการ คือ อเล็กซานเดอร์ที่ 4 แห่งมาซิโดเนีย พระองค์เป็นพระราชโอรสของอเล็กซานเดอร์มหาราชและพระนางร็อกซานา
317–309 ปีก่อนคริสตกาล
ราชวงศ์ทอเลมี
ราชวงศ์ทอเลมี เป็นราชวงศ์เฮลเลนิสติก ลำดับที่สอง ซึ่งปกครองอียิปต์ตั้งแต่ 305 ปีก่อนคริสตกาล จนกระทั่งอียิปต์กลายเป็นมณฑลหนึ่งของกรุงโรม เมื่อ 30 ปีก่อนคริสตกาล (เมื่อใดก็ตามที่เวลาสองช่วงเวลาทับซ้อนกัน นั่นหมายถึงมีการปกครองร่วมกัน) สมาชิกราชวงศ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของราชวงศ์นี้คือพระนางคลีโอพัตราที่ 7 ซึ่งในยุคปัจจุบันรู้จักกันโดยทั่วกันในพระนาม คลีโอพัตรา ซึ่งเป็นมเหสีของจูเลียส ซีซาร์ และหลังจากการตายของซีซาร์ พระองค์ทรงความสัมพันธ์กับมาร์ค แอนโทนี ซึ่งทั้งสองพระองค์ก็ทรงมีพระราชโอรส-ธิดาด้วยกัน
พระนางคลีโอพัตราทรงพยายามสร้างความปรองดองทั้งทางด้านราชวงศ์และทางด้านการเมืองระหว่างอียิปต์และโรม แต่การลอบสังหารซีซาร์และความพ่ายแพ้ของมาร์ค แอนโทนี ทำให้แผนการของพระองค์ต้องล้มเหลว[ต้องการอ้างอิง ]
ซีซาเรียน (ทอเลมีที่ 15 ฟิโลปาตอร์ ฟิโลมาตอร์ ซีซาร์) ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ทอเลมีแห่งอียิปต์ และพระองค์ทรงครองราชย์ร่วมกับพระมารดาคือพระนางคลีโอพัตราที่ 7 แห่งอียิปต์ ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 47 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์โตของพระนางคลีโอพัตราที่ 7 และอาจจะเป็นโอรสพระเดียวของจูเลียส ซีซาร์ ซึ่งตั้งพระนามตามซีซาร์ ระหว่างช่วงเวลาการเสด็จสวรรคตของพระนางคลีโอพัตราในวันที่ 12 สิงหาคม 30 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงการเสด็จสวรรคตของพระองค์เองในวันที่ 23 สิงหาคม 30 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ทรงกลายว่าเป็นฟาโรห์ที่ครองราชย์แต่เพียงพระองค์เดียว ตามประวัติศาสตร์แล้วพระองค์ทรงถูกตามล่าและถูกสำเร็จโทษตามคำสั่งของออคตาเวียน ผู้ซึ่งจะกลายเป็นจักรพรรดิออกุสตุส ของโรมัน แต่กลับไม่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์[ต้องการอ้างอิง ]
การก่อกบฏโดยชาวพื้นเมืองก็ยังคงเกิดขึ้นภายใต้การปกครองของกรีก ดังนี้
รูปภาพ
พระนามครงราขย์
พระนามประสูติ
คำอธิบาย
รัชสมัย
—
—
ฮูโกรนาฟอร์
ทรงเป็นฟาโรห์กบฏในทางใต้
205–199 ปีก่อนคริสตกาล
—
—
อังค์มาคิส
ทรงเป็นฟาโรห์กบฏในทางใต้
199–185 ปีก่อนคริสตกาล
—
—
ฮาร์ซิเอซิ
ทรงเป็นฟาโรห์กบฏในทางใต้
131–130 ปีก่อนคริสตกาล
ช่วงสมัยโรมัน
ภาพสลักอียิปต์ที่แสดงภาพของจักรพรรดิทราจัน แห่งโรมัน (ด้านขวา ซึ่งครองราชย์ ค.ศ. 98 – 117) ในรูปแบบของฟาโรห์เต็มรูปแบบ
คลีโอพัตราที่ 7 ทรงมีความสัมพันธ์กับจอมเผด็จการโรมันนามว่า จูเลียส ซีซาร์ และแม่ทัพโรมันนามว่า มาร์ค แอนโทนี แต่หลังจากนั้นไม่นานหลังจากที่พระองค์ทรงทำอัตวินิบาตกรรม (หลังจากมาร์ค แอนโทนีได้พ่ายแพ้ต่ออ็อคตาเวียน ซึ่งต่อมาคือจักรพรรดิออกุสตุส ซีซาร์ ) อียิปต์จึงกลายเป็นมณฑลหนึ่งของสาธารณรัฐโรมัน เมื่อ 30 ปีก่อนคริสตกาล จักรพรรดิโรมันพระองค์ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นฟาโรห์ แม้ว่าจะอยู่ในอียิปต์เท่านั้น
จักรพรรดิโรมันองค์สุดท้ายที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นฟาโรห์คือจักรพรรดิมักซีมินัส ดาซา (ทรงครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 311–313)[ 2] [ 152]
อ้างอิง
↑ 1.0 1.1 Clayton 1995 , p. 217. "Although paying lip-service to the old ideas and religion, in varying degrees, pharaonic Egypt had in effect died with the last native pharaoh, Nectanebo II in 343 BC"
↑ 2.0 2.1 2.2 von Beckerath, Jürgen (1999). Handbuch der ägyptischen Königsnamen . Verlag Philipp von Zabern. pp. 266–267. ISBN 978-3422008328 .
↑ "Digital Egypt for Universities" . www.ucl.ac.uk . สืบค้นเมื่อ 2019-02-12 .
↑ Toby A. H. Wilkinson: Royal Annals Of Ancient Egypt . Routledge, London 2012, ISBN 1-136-60247-X , p. 50.
↑ Toby A. H. Wilkinson: Royal Annals Of Ancient Egypt . Routledge, London 2012, ISBN 1-136-60247-X , p. 61.
↑ Cervello-Autuori, Josep (2003). "Narmer, Menes and the Seals from Abydos". ใน Hawass, Zahi (บ.ก.). Egyptology at the Dawn of the Twenty-first Century: Proceedings of the Eighth International Congress of Egyptologists, 2000 . Vol. 2. Cairo: American University in Cairo Press. pp. 168–75. ISBN 9789774247149 .
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 5. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 Barry Kemp (a1), Andrew Boyce and James Harrell, The Colossi from the Early Shrine at Coptos in Egypt , in: Cambridge Archaeological Journal Volume 10, Issue 2April 2000, 233
↑ zur Altägyptischen Kultur, Band 37
↑ Ludwig David Morenz: Bild-Buchstaben und symbolische Zeichen. Die Herausbildung der Schrift der hohen Kultur Altägyptens (= Orbis Biblicus et Orientalis 205). Fribourg 2004, ISBN 3-7278-1486-1 , p. 91.
↑ "Aufstand gegen den Tod" . Der Spiegel . 24 December 1995.
↑ http://www.nefershapiland.de/pharaonenliste%201.htm [URL เปล่า ]
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 3. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 288. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Wilke, Matthias (2015-04-22), "Emanuel Hirsch (1888 –1972) – "Jene zwei Göttinger Stiftsinspektorenjahre haben die Liebe zu Göttingen für immer in mir erweckt […] Aber […]" , Stiftsgeschichte(n) , Göttingen: Vandenhoeck & Ruprecht, pp. 187–196, doi :10.13109/9783666570377.187 , ISBN 978-3-525-57037-1 , สืบค้นเมื่อ 2022-10-26
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 104. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Felde, Rolf: Gottheiten, Pharaonen und Beamte im alten Ägypten, Norderstedt 2017, S. 125.
↑ Günter Dreyer: Horus Krokodil, ein Gegenkönig der Dynastie 0. In: Renee Friedman and Barbara Adams (Hrsg.): The Followers of Horus, Studies dedicated to Michael Allen Hoffman, 1949–1990 (= Egyptian Studies Association Publication , vol. 2). Oxbow Publications, Bloomington (IN) 1992, ISBN 0-946897-44-1 , p. 259–263.
↑ P. Tallet, D. Laisnay: Iry-Hor et Narmer au Sud-Sinaï (Ouadi 'Ameyra), un complément à la chronologie des expéditios minière égyptiene. In: Bulletin de L'Institute Français D'Archéologie Orientale (BIFAO) 112. Ausgabe 2012, S. 381–395.
↑ Jürgen von Beckerath: Handbuch der ägyptischen Königsnamen (= Münchner ägyptologische Studien , vol. 49. von Zabern, Mainz 1999, ISBN 3-8053-2591-6 , p. 36–37.
↑ Toby Wilkinson: Early Dynastic Egypt: Strategy, Society and Security . Routeledge, London 1999, ISBN 0-415-18633-1 , p. 38, 56 & 57.
↑ Stewart, John (2006). African States and Rulers (Third ed.). London: McFarland. p. 77 . ISBN 0-7864-2562-8 .
↑ 23.00 23.01 23.02 23.03 23.04 23.05 23.06 23.07 23.08 23.09 23.10 23.11 23.12 23.13 Stewart, John (2006). African States and Rulers (Third ed.). London: McFarland. p. 81 . ISBN 0-7864-2562-8 .
↑ 24.0 24.1 Elizabeth BLOXAM, Wouter CLAES, Tiphaine DACHY, Maude EHRENFELD, Ashraf EL-SENUSSI, Chloé GIRARDI, James HARRELL, Thomas C. HEAGY, Stan HENDRICKX, Christiane HOCHSTRASSER-PETIT, Dirk HUYGE, Clara JEUTHE, Adel KELANY, Christian KNOBLAUCH, Béatrix MIDANT-REYNES, Norah MOLONEY, Aurélie ROCHE and Adel TOHAMEY (January 2014). "Who Was Menes?" (PDF) . Archéo nil . 24 : 59–92. doi :10.3406/arnil.2014.1071 . S2CID 248280047 . สืบค้นเมื่อ 24 September 2022 . {{cite journal }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )[ลิงก์เสีย ]
↑ Toby A.H. Wilkinson (1999). Early Dynastic Egypt . Routledge. p. 67 . ISBN 0-415-26011-6 .
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 7. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ 27.0 27.1 Toby A.H. Wilkinson (1999). Early Dynastic Egypt . Routledge. p. 71 . ISBN 0-415-26011-6 .
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 92. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Wolfgang Helck: Untersuchungen zur Thinitenzeit (= Ägyptologische Abhandlungen (ÄA) , Vol. 45). Harrassowitz, Wiesbaden 1987, ISBN 3-447-02677-4 , p. 124.
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 95. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ 31.0 31.1 31.2 Wolfgang Helck : Untersuchungen zur Thinitenzeit (Agyptologische Abhandlungen) , ISBN 3-447-02677-4 , O. Harrassowitz (1987), p. 124
↑ Toby A.H. Wilkinson (1999). Early Dynastic Egypt . Routledge. p. 73 . ISBN 0-415-26011-6 .
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 78. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ 34.0 34.1 Toby A.H. Wilkinson (1999). Early Dynastic Egypt . Routledge. p. 75 . ISBN 0-415-26011-6 .
↑ Toby A.H. Wilkinson (1999). Early Dynastic Egypt . Routledge. p. 77 . ISBN 0-415-26011-6 .
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 55. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Nicolas-Christophe Grimal: A History of Ancient Egypt . Blackwell, Oxford UK / Cambridge USA 1992, ISBN 978-0-631-19396-8 , p. 53.
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 376. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Toby A.H. Wilkinson (1999). Early Dynastic Egypt . Routledge. p. 79 . ISBN 0-415-26011-6 .
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 299. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Wilkinson (1999) pp. 83–84
↑ Toby A.H. Wilkinson (1999). Early Dynastic Egypt . Routledge. p. 83 . ISBN 0-415-26011-6 .
↑ Dietrich Wildung: Die Rolle ägyptischer Könige im Bewußtsein ihrer Nachwelt. Teil I. Posthume Quellen über die Könige der ersten vier Dynastien. In: Münchener Ägyptologische Studien , vol. 17. Deutscher Kunstverlag , Munich/Berlin 1969, p. 31–33.
↑ Wilkinson (1999) p. 79
↑ Wilkinson (1999) pp. 87–88
↑ Pascal Vernus, Jean Yoyotte, The Book of the Pharaohs , Cornell University Press 2003, p. 27
↑ Jürgen von Beckerath: Handbuch der ägyptischen Königsnamen . Deutscher Kunstverlag, Munich/Berlin 1984, ISBN 3-422-00832-2 , p. 171.
↑ Toby A. H. Wilkinson: Early Dynastic Egypt . Routledge, London/New York 2002, ISBN 1-134-66420-6 , p. 75–76.
↑ Jürgen von Beckerath: Handbuch der ägyptischen Königsnamen. 2. verbesserte und erweiterte Auflage . von Zabern, Mainz 1999, S. 44–45.
↑ Thomas Schneider: Lexikon der Pharaonen. Albatros, Düsseldorf 2002, ISBN 3-491-96053-3 , page 175.
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Toby A.H. Wilkinson 1999 833
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Toby A.H. Wilkinson 1999 832
↑ Toby A.H. Wilkinson (1999). Early Dynastic Egypt . Routledge. p. 93 . ISBN 0-415-26011-6 .
↑ Wilkinson, Toby (1999). Early Dynastic Egypt . Routledge. pp. 83 & 95. ISBN 0-415-18633-1 .
↑ Wilkinson, Toby. Royal Annals of Ancient Egypt . pp. 79 & 258.
↑ "Pharaohs - Timeline Index" . www.timelineindex.com . สืบค้นเมื่อ 2020-03-23 .
↑ Clayton (1994) p.32
↑ Lehner, Mark (1997). Geheimnis der Pyramiden (ภาษาเยอรมัน). Düsseldorf: Econ. pp. 94–96. ISBN 3-572-01039-X .
↑ Clayton (1994) p.42
↑ Thomas Schneider: Lexikon der Pharaonen . Albatros, Düsseldorf 2002, ISBN 3-491-96053-3 , pp. 278–279.
↑ Miroslav Verner (2000): "Who was Shepseskara, and when did he reign?", in: Miroslav Bárta, Jaromír Krejčí (editors): Abusir and Saqqara in the Year 2000 , Academy of Sciences of the Czech Republic, Oriental Institute, Prague, ISBN 80-85425-39-4 , p. 581–602, available online เก็บถาวร 2011-02-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน .
↑ Dodson & Hilton (2004) p.73
↑ Ryholt & Bardrum (2000) pp.87–100.
↑ Jürgen von Beckerath : Handbuch der ägyptischen Königsnamen , Münchner ägyptologische Studien, Heft 49, Mainz : P. von Zabern, 1999, ISBN 3-8053-2591-6 , available online เก็บถาวร 2015-12-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
↑ Kim Ryholt : "The Late Old Kingdom in the Turin King-list and the Identity of Nitocris", Zeitschrift für Ägyptische Sprache und Altertumskunde , 127, 2000, p. 99
↑ Gustave Jéquier, Maṣlaḥat al-Āthār (1993) : Les pyramides des reines Neit et Apouit (in French), Cairo: Institut français d'archéologie orientale, OCLC 195690029, see plate 5.
↑ Percy Newberry (1943) : Queen Nitocris of the Sixth Dynasty , in: The Journal of Egyptian Archeology, vol. 29, pp=51-54
↑ Gae Callender: Queen Neit-ikrety/Nitokris , in: Miroslav Barta, Filip Coppens, Jaromic Krecji (editors) : Abusir and Saqqara in the year 2010/1 , Prague: Czech Institute of Egyptology, Faculty of Arts, Charles University, 2011, ISBN 978-80-7308-384-7 , see pp. 249-250
↑ Turin Kinglist, Columns IV,18 to V,10 , Ancient Egypt dot org . Accessed 10 February 2010.
↑ Turin Kinglist, Columns IV,18 to V,10 , Ancient Egypt dot org . Accessed 10 February 2010.
↑ Lepsius, Karl (1859). Denkmaler aus Aegypten und Aethiopien . pp. 115h.
↑ Breasted, James (1906). Ancient Records of Egypt (PDF) . Vol. 1. The University of Chicago Press. p. 175.
↑ Gauthier, Henri (1907). MIFAO 17 Le livre des rois d'Egypte Des origines à la fin de la XIIe dynastie . The French Institute of Oriental Archeology. pp. 143–144.
↑ Couyat, Jean; Montet, Pierre (1912). MIFAO 34 Les inscriptions hieroglyphiques et hieratiques du Ouâdi Hammâmât . The French Institute of Oriental Archeology. pp. 103-104 Plate=XXXIX.
↑ Baker, Darrell (2008). The Encyclopedia of the Pharaohs. Predynastic to the Twentieth Century: 3300-1069 BC . Vol. 1. Stacey International. p. 133. ISBN 978-1905299379 .
↑ Margaret Bunson: Encyclopedia of Ancient Egypt , Infobase Publishing, 2009, ISBN 978-1-4381-0997-8 , available online, see p. 181
↑ Labib Habachi : King Nebhepetre Menthuhotep: his monuments, place in history, deification and unusual representations in form of gods , in: Annales du Service des Antiquités de l'Égypte 19 (1963), pp. 16–52
↑ Wolfram Grajetzki (2006) pp. 23–25
↑ Wolfram Grajetzki (2006) pp. 25–26
↑ 80.0 80.1 80.2 Wolfram Grajetzki (2006) pp. 27–28
↑ http://www.digitalegypt.ucl.ac.uk//chronology/amenemhatI.html Amenemhat I
↑ Wolfram Grajetzki (2006) pp. 28–35
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 20. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ 84.0 84.1 84.2 84.3 Marc Van De Mieroop (2021). A History of Ancient Egypt . Wiley Blackwell. p. 98. ISBN 978-1-119-62087-7 .
↑ Marc Van De Mieroop (2021). A History of Ancient Egypt . Wiley Blackwell. p. 99. ISBN 978- 1-119-62087-7 .
↑ Murnane (1977) p.2
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 391. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Marc Van De Mieroop (2021). A History of Ancient Egypt . Wiley Blackwell. pp. 112–113. ISBN 978-1-119-62087-7 .
↑ Murnane (1977) p.7
↑ Murnane (1977) p.7
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 24. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ 92.0 92.1 Marc Van De Mieroop (2021). A History of Ancient Egypt . Wiley Blackwell. p. 109. ISBN 978-1-119-62087-7 .
↑ Murnane (1977) p.9
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 395. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Marc Van De Mieroop (2021). A History of Ancient Egypt . Wiley Blackwell. p. 100. ISBN 978-1-119-62087-7 .
↑ Josef Wegner, The Nature and Chronology of the Senwosret III–Amenemhat III Regnal Succession: Some Considerations based on new evidence from the Mortuary Temple of Senwosret III at Abydos , JNES 55, Vol.4, (1996), pp.251
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 398. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Marc Van De Mieroop (2021). A History of Ancient Egypt . Wiley Blackwell. p. 104. ISBN 978-1-119-62087-7 .
↑ Wolfram Grajetzki (2006) pp. 56–61
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 26. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ "Amenemhat III" . University College London.
↑ "Amenemhat IV Maakherure (1807/06-1798/97 BC)" . Digital Egypt for Universities .
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 30. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Grajetzki (2006) pp. 61–63
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 456. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ 106.00 106.01 106.02 106.03 106.04 106.05 106.06 106.07 106.08 106.09 106.10 106.11 106.12 106.13 106.14 106.15 106.16 106.17 106.18 106.19 106.20 106.21 106.22 106.23 106.24 106.25 106.26 106.27 106.28 106.29 106.30 K. S. B. Ryholt, The Political Situation in Egypt during the Second Intermediate Period, c.1800–1550 BC , Carsten Niebuhr Institute Publications, vol. 20. Copenhagen: Museum Tusculanum Press, 1997
↑ en:Nerikare, oldid 866899332 [การอ้างอิงวกเวียน ]
↑ en:Amenemhet_VI, oldid 916924832 [การอ้างอิงวกเวียน ]
↑ en:Semenkare_Nebnuni, oldid 910764002 [การอ้างอิงวกเวียน ]
↑ 110.0 110.1 Thomas Schneider: Lexikon der Pharaonen , Albatros, Düsseldorf 2002, ISBN 3-491-96053-3
↑ en:Sehetepibre, oldid 866897575 [การอ้างอิงวกเวียน ]
↑ Thomas Schneider: Lexikon der Pharaonen , Albatros, 2002
↑ 113.0 113.1 113.2 113.3 113.4 113.5 113.6 113.7 113.8 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ryholt1997
↑ 114.00 114.01 114.02 114.03 114.04 114.05 114.06 114.07 114.08 114.09 114.10 114.11 114.12 114.13 K.S.B. Ryholt : The Political Situation in Egypt during the Second Intermediate Period , c.1800–1550 BC, Carsten Niebuhr Institute Publications, vol. 20. Copenhagen: Museum Tusculanum Press, 1997
↑ 115.0 115.1 "Kings of the 2nd Intermediate Period" . www.ucl.ac.uk .
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 12. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ 117.0 117.1 Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 4. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ Detlef Franke : "Zur Chronologie des Mittleren Reiches. Teil II: Die sogenannte Zweite Zwischenzeit Altägyptens", In Orientalia 57 (1988), p. 259
↑ Ryholt, K. S. B. (1997). The Political Situation in Egypt During the Second Intermediate Period, C. 1800–1550 B.C . Museum Tusculanum Press. p. 164. ISBN 978-87-7289-421-8 .
↑ "Giant Sarcophagus Leads Penn Museum Team in Egypt To the Tomb of a Previously Unknown Pharaoh" . Penn Museum . January 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-07-24. สืบค้นเมื่อ 16 January 2014 .
↑ Jürgen von Beckerath: Untersuchungen zur politischen Geschichte der Zweiten Zwischenzeit in Ägypten , Glückstadt, 1964
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ beckerath1997
↑ Jürgen von Beckerath: Handbuch der ägyptischen Königsnamen , Münchner ägyptologische Studien 49, Mainz 1999.
↑ 124.0 124.1 Marcel Marée: A sculpture workshop at Abydos from the late Sixteenth or early Seventeenth Dynasty , in: Marcel Marée (editor): The Second Intermediate period (Thirteenth-Seventeenth Dynasties), Current Research, Future Prospects , Leuven, Paris, Walpole, Massachusetts. 2010 ISBN 978-90-429-2228-0 . p. 247, 268
↑ Baker, Darrell D. (2008). Encyclopedia of the Pharaohs Volume 1: Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300-1069 BC . Egypt: The American University in Cairo Press. p. 111. ISBN 978-977-416-221-3 .
↑ 126.0 126.1 126.2 Jürgen von Beckerath: Chronologie des pharaonischen Ägyptens , Münchner Ägyptologische Studien 46. Mainz am Rhein, 1997
↑ Wolfgang Helck, Eberhard Otto, Wolfhart Westendorf, Stele – Zypresse: Volume 6 of Lexikon der Ägyptologie, Otto Harrassowitz Verlag, 1986, Page 1383
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ReferenceA2
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ryholt19973
↑ Christopher Bronk Ramsey et al., Radiocarbon-Based Chronology for Dynastic Egypt , Science 18 June 2010: Vol. 328. no. 5985, pp. 1554–1557.
↑ 131.0 131.1 131.2 131.3 Marc Van De Mieroop (2021). A History of Ancient Egypt . Wiley Blackwell. p. 146. ISBN 978-1-119-62087-7 .
↑ Marc Van De Mieroop (2021). A History of Ancient Egypt . Wiley Blackwell. p. 168. ISBN 978-1-119-62087-7 .
↑ Marc Van De Mieroop (2021). A History of Ancient Egypt . Wiley Blackwell. p. 169. ISBN 978-1-119-62087-7 .
↑ "Ramesses I Menpehtire" . Digital Egypt . University College London. 2001. สืบค้นเมื่อ 2007-09-29 .
↑ "King Merenptah" . Digital Egypt . University College London. 2001. สืบค้นเมื่อ 2007-09-29 .
↑ "Sety II" . Digital Egypt . University College London. 2001. สืบค้นเมื่อ 2007-10-27 .
↑ "Siptah Sekhaenre/Akhenre" . Digital Egypt . University College London. 2001. สืบค้นเมื่อ 2007-10-27 .
↑ Grimal (1992) p.291
↑ "Ramesses XI Menmaatre-setpenptah" . สืบค้นเมื่อ 2007-10-28 .
↑ Cerny p.645
↑ 141.0 141.1 141.2 F. Payraudeau, Retour sur la succession Shabaqo-Shabataqo, Nehet 1, 2014, p. 115–127
↑ Stewart, John (1989). African States and Rulers . London: McFarland. p. 88 . ISBN 0-89950-390-X .
↑ "Late Period Kings" . สืบค้นเมื่อ 2007-10-27 .
↑ 144.0 144.1 144.2 144.3 144.4 144.5 Stewart, John (2006). African States and Rulers (Third ed.). London: McFarland. p. 83 . ISBN 0-7864-2562-8 .
↑ 145.0 145.1 145.2 145.3 145.4 145.5 145.6 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Stewart834
↑ 146.0 146.1 Placed in this dynasty only for chronological reasons, as he was not related to the Achaemenids.
↑ "Nakhthorhebyt" . Digital Egypt for Universities. สืบค้นเมื่อ March 1, 2011 .
↑ 148.00 148.01 148.02 148.03 148.04 148.05 148.06 148.07 148.08 148.09 148.10 148.11 148.12 148.13 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Stewart83
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Stewart832
↑ Tyldesley, Joyce (2006), Chronicle of the Queens of Egypt , p. 200 , ISBN 0-500-05145-3 .
↑ Roller, Duane W. (2010). Cleopatra: a Biography . Oxford University Press. p. 27 . ISBN 978-0-195-36553-5 .
↑ Vernus, Pascal; Yoyotte, Jean (2003). The Book of the Pharaohs (ภาษาอังกฤษ). Cornell University Press. pp. 238 –256. ISBN 9780801440502 . maximinus pharaoh.
ยุค
ราชวงศ์
ฟาโรห์ (ชาย หญิง ) ไม่ทราบ
ยุคปลาย (664–332 ปีก่อน ค.ศ)
เฮลเลนิสต์ (332–30 ปีก่อน ค.ศ)
ยุค
ราชวงศ์
ฟาโรห์ (ชาย หญิง ) ไม่ทราบ
โรมัน (30 ปีก่อน ค.ศ.–ค.ศ. 313)