งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์พิธีเปิดฟุตบอลประเพณีฯ ครั้งที่ 71 |
|
ชื่ออื่น | งานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์–จุฬาฯ |
---|
กีฬา | ฟุตบอล |
---|
ประเภท | เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัย |
---|
ที่ตั้ง | กรุงเทพมหานคร |
---|
ทีม | 2 |
---|
พบกันครั้งแรก | 4 ธันวาคม พ.ศ. 2477 สนามหลวง (ธรรมศาสตร์) |
---|
พบกันครั้งล่าสุด | 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 (จุฬาฯ) |
---|
พบกันครั้งต่อไป | 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 (ธรรมศาสตร์) |
---|
ออกอากาศ | ไทยรัฐทีวี |
---|
สนาม | สนามกีฬาแห่งชาติ |
---|
รางวัล | ถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว |
---|
สถิติ |
---|
การพบกันทั้งหมด | 74 ครั้ง |
---|
ชนะสูงสุด | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
---|
ชนะต่อเนื่องยาวนานที่สุด | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
---|
|
---|
จุฬาฯ |
ธรรมศาสตร์ |
18 |
24 |
เสมอ |
32 |
|
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ หรือ งานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ[a] เป็นการแข่งขันฟุตบอลประเพณีระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2 มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของประเทศไทย เริ่มจัดกิจกรรมครั้งแรกในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2477[1] แต่ละมหาวิทยาลัยจะสลับกันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันทุกปี ชื่อของมหาวิทยาลัยที่เป็นเจ้าภาพจะได้รับเกียรติให้ขึ้นต้นชื่องานฟุตบอลประเพณีในปีนั้น สถานที่จัดการแข่งขันจะไม่สลับตามเจ้าภาพ แต่จะจัดงานที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ ถนนพระรามที่ 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เป็นประจำทุกปี กองเชียร์ของมหาวิทยาลัยเจ้าภาพจะใช้อัฒจันทร์ฝั่งทิศเหนือ อีกฝ่ายจะใช้อัฒจันทร์ฝั่งทิศใต้
กิจกรรมภายในงานอาจแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การแข่งขันฟุตบอล และกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนิสิตจุฬาฯ กับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เช่น การเดินพาเหรด การเชียร์ การแปรอักษร ขบวนพาเหรดล้อการเมืองและกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์[2] ในทุกๆ ปี บรรยากาศภายในงานจะถ่ายทอดสดผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ตามลำดับ ยกเว้น ครั้งที่ 70 (มีการถ่ายทอดสดผ่านทางช่องไบรต์ทีวีร่วมอยู่ด้วย) และ ครั้งที่ 72 และ 74 ที่ถ่ายทอดสดเฉพาะช่องไทยรัฐทีวีในระบบความคมชัดสูง[3] รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการจัดงานทุกปีจะนำไปบริจาคเป็นสาธารณกุศล[1]
ผลการแข่งขันถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ชนะ 24 ครั้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชนะ 18 ครั้ง และเสมอกัน 32 ครั้ง (ไม่นับรวมการแข่งขันฟุตบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2567 ซึ่งเป็นการแข่งขันโดยตรงระหว่างนิสิตและนักศึกษาของมหาวิทยาลัย)
ประวัติ
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ ได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2477 โดยกลุ่มนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพื่อสร้างความสามัคคีนิสิตในหมู่นิสิตนักศึกษาทั้งสองมหาวิทยาลัย เนื่องจากมุมมองของนักเรียนในสมัยก่อนว่า ผู้เข้าศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสำเร็จมัธยมศึกษา ส่วนผู้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ชื่อในขณะนั้น) ไม่สำเร็จมัธยมศึกษา ทำให้มีการดูถูกกันหรือไม่สนิทสนมกันเหมือนเดิม จึงเป็นแรงบันดาลใจให้นิสิตนักศึกษาทั้งสองมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมสานความสามัคคีและสร้างความปรองดองระหว่างกัน โดยมีแบบอย่างจากการแข่งขันเรือประเพณีระหว่างมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในสหราชอาณาจักร และการแข่งขันเบสบอลประเพณีระหว่างมหาวิทยาลัยเคโอและมหาวิทยาลัยวาเซดะในประเทศญี่ปุ่น แต่กลุ่มผู้ริเริ่มถนัดและสนใจกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่เมื่ออยู่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จึงตกลงที่จะจัดการแข่งขันฟุตบอลขึ้น
ผู้ริเริ่มฝ่ายจุฬาฯ ประกอบด้วย ประถม ชาญสันต์ เป็นหัวหน้านิสิตคณะอักษรศาสตร์ในขณะนั้น กับทั้งประสงค์ ชัยพรรค และประยุทธ์ สวัสดิ์สิงห์ เวลานั้น หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิวัฒน์ นายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำเรื่องเสนอผ่านกองกิจการนิสิตซึ่งมีหม่อมราชวงศ์สลับ ลดาวัลย์ เป็นผู้รับผิดชอบ เพื่อขออนุมัติจัดงานจากอธิการบดี ส่วนผู้ริเริ่มฝ่ายธรรมศาสตร์ คือ ต่อศักดิ์ ยมนาค และบุศย์ สิมะเสถียร ได้ทำเรื่องเสนอเดือน บุนนาค เลขาธิการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อขออนุมัติจากผู้ประศาสน์การ เมื่อได้รับฉันทานุมัติจากมหาวิทยาลัยทั้งสองแล้ว งานก็ได้เริ่มขึ้นโดยมีธรรมศาสตร์เป็นเจ้าภาพ จัดที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2477 และมีการเก็บค่าผ่านประตูคนละ 1 บาท รายได้ทั้งหมดมอบให้แก่สมาคมปราบวัณโรค ซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดในขณะนั้น
ปีต่อมา ย้ายสถานที่จัดการแข่งขันมายังสนามฟุตบอลโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จน พ.ศ. 2492 จึงย้ายมาที่สนามศุภชลาศัยถึงปัจจุบัน รายได้ที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายแล้วมอบให้แก่หน่วยงานการกุศลทุกครั้ง จน พ.ศ. 2521 จึงเริ่มนำรายได้ถวายพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย
การพระราชทานถ้วยรางวัลมีขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2492 โดยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จมาเป็นองค์ประธาน จน พ.ศ. 2495 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานและพระราชทานถ้วยรางวัลด้วยพระองค์เอง แต่ปัจจุบัน โปรดให้ผู้แทนพระองค์มาแทน
เหตุการณ์ที่ทำให้ต้องยกเลิกการจัดงานฟุตบอลประเพณีมีหลายครั้ง เช่น พ.ศ. 2485 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ทั่วจังหวัดพระนคร, พ.ศ. 2487–2491 เกิดสงครามแปซิฟิก, พ.ศ. 2494 เกิดกบฏแมนฮัตตัน, พ.ศ. 2516 – 2518 องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เห็นว่าการจัดงานฟุตบอลประเพณีใช้งบประมาณมาก เป็นกิจกรรมที่ฟุ่มเฟือย, พ.ศ. 2557 เกิดวิกฤตการณ์การเมือง, พ.ศ. 2560 ยกเลิกกิจกรรมเพื่อเป็นการแสดงความอาลัยในช่วงพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หลังจากนั้นได้ยกเลิกกิจกรรมในชื่อนี้ไปอีก 4 ปีติดต่อกัน ใน พ.ศ. 2564 – 2567 เนื่องจากตั้งแต่ พ.ศ. 2564 – 2566 ยกเลิกกิจกรรมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ พ.ศ. 2567 มีการแข่งขันฟุตบอลสานสัมพันธ์จุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ ขึ้นทดแทน
เอกลักษณ์เด่น
ขบวนพาเหรด
ตามธรรมเนียมก่อนเข้าสู่การแข่งขัน จะมีการเดินพาเหรดขบวนล้อการเมือง โดยกลุ่มอิสระล้อการเมือง ม.ธรรมศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งในงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ เป็นสิ่งแสดงความคิดความอ่านทางการเมืองของนักศึกษาที่จะต้องโตขึ้นไปอยู่ในสังคมที่ถูกขับเคลื่อนโดยแรงขับทางการเมือง ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม ดังนั้น การทำล้อการเมืองแสดงผ่านหุ่น ผ่านข้อความในป้ายผ้า เป็นบทกลอน จะสะท้อนความคิดเห็นของนักศึกษาหลากหลายคณะในมหาวิทยาลัยจากการเรียนในวิชาต่างๆ ออกมาเป็นตัวหุ่น เป็นป้ายผ้า ซึ่งล้อการเมืองมีมาทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นในยุครัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลสมัยประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากกว่าหลายล้านเสียงก็ตาม ตรงนี้ล้อการเมืองก็ยังอยู่มาเรื่อยๆ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของการล้อที่ไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ล้อการเมืองจะไม่ขาดช่วงไปจากสังคมไทย[4]
ในขณะที่ขบวนสะท้อนสังคม ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับผิดชอบโดยกลุ่มสะท้อนสังคม เป็นการนำปัญหาของสังคมที่เกิดในรอบปี โดยการนำเสนอผ่านงานศิลปะ อาทิตัวหุ่น และป้ายผ้า ซึ่งการสะท้อนสังคมเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงที่สามารถทำได้ในฐานะนิสิต โดยเป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่มีถูกผิด เพียงแค่ต้องอยู่ในกรอบเท่านั้น[5]
ทั้งขบวนล้อการเมือง และขบวนสะท้อนสังคม มีจุดประสงค์เพื่อเป็นเสมือนกระจกที่สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในสังคม โดยนำเสนอภายใต้ขอบเขต ซึ่งจะไม่โจมตีไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง เพื่อให้นิสิต-นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักและตื่นตัวต่อปัญหา/สถานการณ์ที่เกิดขึ้น และร่วมกันหาทางแก้ไขเพื่อให้สังคมมีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การอัญเชิญพระเกี้ยว
การอัญเชิญพระเกี้ยวปรากฏหลักฐานครั้งแรกในหนังสือพิมพ์สยามนิกร (พิเศษ) ฉบับวันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2507 โดยมีนิสิตหญิง 1 คน เป็นผู้อัญเชิญ โดยการอัญเชิญพระเกี้ยวเข้ามาสู่สนามการแข่งขันเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่นักกีฬาและกองเชียร์ โดยจะคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นนิสิตชาย 1 คน และ นิสิตหญิง 1 คน เพื่อเป็นตัวแทนบรรดานิสิตอัญเชิญพระเกี้ยวเข้าสู่สนามแข่งขัน ถึงแม้ว่านิสิตทุกคนต่างมีฐานะเป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยว[6] แต่เนื่องจากในทางปฏิบัตินั้นไม่สามารถให้ทุกคนเป็นผู้อัญเชิญพระเกี้ยวได้ จึงต้องคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นตัวแทนนิสิตเพื่อทำหน้าที่นี้[7]
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2564 องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) มีมติในการประชุมสามัญ 29:0 เสียง เห็นควรให้มีการยกเลิกกิจกรรมการคัดเลือกผู้อัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีฯ เนื่องจากเห็นว่าเป็นธรรมเนียมที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียม และพบว่ามีการบังคับนิสิตให้มาแบกเสลี่ยงโดยอ้างว่าจะมีผลต่อคะแนนการคัดเลือกผู้มีสิทธิ์ใช้หอพัก[8]
ประธานเชียร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้นำเชียร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหรือฝั่งจุฬาจะเรียกว่า "ประธานเชียร์" นอกจากจะทำหน้าที่นำเชียร์ ควบคุมจังหวะการร้องเพลงเชียร์ของสแตนด์แล้ว ยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของนิสิตจุฬา ในการประชาสัมพันธ์งานฟุตบอลประเพณีฯ และบำเพ็ญประโยชน์แก่สาธารณะอีกด้วย ในระยะแรกนั้นผู้นำเชียร์หรือประธานเชียร์จะเป็นผู้ให้จังหวะปรบมือแก่กองเชียร์ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงท่าทางของผู้นำเชียร์ขึ้นใหม่ โดยเน้นหลักการสำคัญของผู้นำเชียร์แห่งจุฬาฯ นั้น มี 5 ประการ ได้แก่ การให้จังหวะ การควบคุมกองเชียร์ ความสวยงาม ความพร้อมเพรียง และรูปแบบในการนำเสนอ มีการแต่งตัวให้สวยงาม สร้างสีสันให้กับสแตนด์เชียร์ การสรรหาผู้นำเชียร์ฯ จากการเปิดรับสมัครคัดเลือกอย่างเป็นทางการจากนิสิตทั่วไป ไม่จำกัดคณะและชั้นปี ในแต่ละปีนั้นมีจำนวนผู้ผ่านการคัดเลือกแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมของผู้สมัครในปีนั้น ๆ โดยทั่วไปแล้วมักมีจำนวนเฉลี่ยรุ่นละ 11-13 คน
จุฬาฯ คทากร
จุฬาฯคทากรมีหน้าที่หลักคือ การเดินนำขบวนพาเหรดของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากนั้นยังมีหน้าที่แสดงควงคทาประกอบเพลงประจำมหาวิทยาลัยอีกด้วย
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์
ในอดีตผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำในขบวนอัญเชิญธรรมจักร ถ้วยพระราชทาน ป้ายนามมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และดรัมเมเยอร์ ได้มาจากการคัดเลือกเช่นเดียวกับการอัญเชิญพระเกี้ยวของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนกระทั่งหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาใน พ.ศ. 2516 ประเพณีการคัดเลือกก็ได้งดไป เนื่องจากถูกมองว่าเป็นความฟุ่มเฟือยและเกิดเป็นที่มาของคำขวัญว่า "ธรรมจักรเป็นของชาวธรรมศาสตร์ทุกคน ทุกคนจึงมีสิทธิในการอัญเชิญได้" จึงคงไว้เพียงขบวนอัญเชิญธรรมจักรและรับสมัครทุกคนที่สนใจร่วมแบกเสลี่ยงอัญเชิญโดยไม่มีผู้แทน จนกระทั่ง พ.ศ. 2544 สมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ฟื้นฟูผู้นำในขบวนอัญเชิญธรรมจักรและดรัมเมเยอร์และทำหน้าที่ในการบำเพ็ญประโยชน์ ตลอดจนการรณรงค์และส่งเสริมให้นักศึกษาร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคมกันมากขึ้นกลับมา ในชื่อว่า "ทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" โดยเริ่มตั้งแต่ 2545 เป็นต้นมา หน้าที่ของทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์คือเป็นตัวแทนนักศึกษาในการนำขบวนพาเหรดทั้งหมดของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เข้าสู่สนาม โดยเป็นผู้อัญเชิญป้ายนามมหาวิทยาลัย ถ้วยพระราชทาน อัญเชิญพานพุ่มนำขบวนอัญเชิญธรรมจักรและดรัมเมเยอร์ รวมถึงการบำเพ็ญประโยชน์ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย การคัดเลือกทูตกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะพิจารณาถึงทั้งลักษณะ บุคลิก ความรู้ความสามารถ ทั้งในด้านการเรียน และในความรู้เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การมีจิตอาสา มีคุณธรรมและพร้อมที่จะช่วยเหลือแก่สังคม
แม่ทัพเชียร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผู้นำเชียร์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หรือฝั่งธรรมศาสตร์จะเรียกว่า "แม่ทัพเชียร์" เป็นตัวแทนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยสำหรับทำหน้านำกองเชียร์ร้องเพลงส่งเสียงเชียร์ ประกอบรหัส สัญญาณ การเคลื่อนไหวร่างกาย หรืออุปกรณ์ เพื่อความพร้อมเพรียง ความสวยงาม และความสนุกสนานของการเชียร์และแปรอักษร โดยทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีแนวคิดและต้นแบบแรงบันดาลใจจาก ผู้ควบคุมวงดนตรีหรือวาทยากร ที่ทำหน้าที่นำการเล่นดนตรีวงใหญ่หรือการร้องประสานเสียง ผู้นำเชียร์นั้นนอกจากจะมีท่วงท่าสง่างาม ยังมีรหัสสัญญาณมือที่สื่อความหมายสามารถประยุกต์ใช้กับการร้องเพลงเป็นหมู่คณะของกองเชียร์
เพลงประจำการแข่งขัน
- เพลงพระราชนิพนธ์ของทั้งสองมหาวิทยาลัย
- เพลงของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ เพลงพระราชนิพนธ์ยูงทอง
- เพลงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือ เพลงพระราชนิพนธ์มหาจุฬาลงกรณ์
- เพลงจามจุรีประดับโดมในดวงใจ เป็นการนำเพลงของทั้งสองมหาวิทยาลัยมาร่วมกันคือเพลงจามจุรีประดับใจ และเพลงโดมในดวงใจ
- เพลงชั่วดินฟ้า เป็นเพลงของจุฬา และธรรมศาสตร์บอกถึงความรักความสามัคคีของทั้งสองสถาบันนี้
- เพลงธรรมศาสตร์-จุฬา สามัคคี แต่งโดยจิตร ภูมิศักดิ์
- เพลงธรรมศาสตร์-จุฬา ภาราดรณ์ ไม่ปรากฏผู้แต่ง
ผลการแข่งขัน
ผลการแข่งขันจนนับจาก พ.ศ. 2477 ถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชนะ 24 ครั้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชนะ 18 ครั้ง และเสมอกัน 33 ครั้ง ดังนี้[9]
- หมายเหตุ
จุฬาฯ ชนะ ธรรมศาสตร์ชนะ เสมอ
ครั้งที่
|
วันที่
|
ทีมชนะ
|
จำนวนประตู
|
1 |
4 ธันวาคม พ.ศ. 2477 |
เสมอ |
1–1
|
2 |
พ.ศ. 2478 |
เสมอ |
3–3
|
3 |
พ.ศ. 2479 |
ธรรมศาสตร์ |
4–1
|
4 |
พ.ศ. 2480 |
ธรรมศาสตร์ |
2–1
|
5 |
พ.ศ. 2481 |
ธรรมศาสตร์ |
2–1
|
6 |
พ.ศ. 2482 |
เสมอ |
0–0
|
7 |
พ.ศ. 2483 |
เสมอ |
2–2
|
8 |
พ.ศ. 2484 |
จุฬาฯ |
2–0
|
9 |
พ.ศ. 2486 |
จุฬาฯ |
3–1
|
10 |
30 ธันวาคม พ.ศ. 2492 |
ธรรมศาสตร์ |
3–2
|
11 |
30 ธันวาคม พ.ศ. 2493 |
จุฬาฯ |
5–3
|
12 |
27 ธันวาคม พ.ศ. 2495 |
เสมอ |
0–0
|
13 |
19 ธันวาคม พ.ศ. 2496 |
ธรรมศาสตร์ |
3–1
|
14 |
25 ธันวาคม พ.ศ. 2497 |
จุฬาฯ |
1–0
|
15 |
24 ธันวาคม พ.ศ. 2498 |
เสมอ |
2–2
|
16 |
25 ธันวาคม พ.ศ. 2499 |
เสมอ |
0–0
|
17 |
21 ธันวาคม พ.ศ. 2500 |
ธรรมศาสตร์ |
3–1
|
18 |
20 ธันวาคม พ.ศ. 2501 |
จุฬาฯ |
3–2
|
19 |
26 ธันวาคม พ.ศ. 2502 |
ธรรมศาสตร์ |
2–1
|
20 |
27 ธันวาคม พ.ศ. 2503 |
เสมอ |
1–1
|
21 |
23 ธันวาคม พ.ศ. 2504 |
เสมอ |
1–1
|
22 |
22 ธันวาคม พ.ศ. 2505 |
เสมอ |
0–0
|
23 |
8 มกราคม พ.ศ. 2506 |
ธรรมศาสตร์ |
3–1
|
24 |
26 ธันวาคม พ.ศ. 2507 |
ธรรมศาสตร์ |
3–0
|
25 |
25 ธันวาคม พ.ศ. 2508 |
ธรรมศาสตร์ |
2–1
|
26 |
24 ธันวาคม พ.ศ. 2509 |
ธรรมศาสตร์ |
2–0
|
27 |
30 ธันวาคม พ.ศ. 2510 |
เสมอ |
1–1
|
28 |
21 ธันวาคม พ.ศ. 2511 |
จุฬาฯ |
2–0
|
29 |
27 ธันวาคม พ.ศ. 2512 |
ธรรมศาสตร์ |
1–0
|
30 |
30 มกราคม พ.ศ. 2514 |
เสมอ |
0–0
|
31 |
29 มกราคม พ.ศ. 2515 |
ธรรมศาสตร์ |
4–0
|
32 |
23 ธันวาคม พ.ศ. 2515 |
ธรรมศาสตร์ |
2–1
|
33 |
31 มกราคม พ.ศ. 2519 |
ธรรมศาสตร์ |
2–0
|
34 |
21 มกราคม พ.ศ. 2521 |
ธรรมศาสตร์ |
1–0
|
35 |
20 ธันวาคม พ.ศ. 2522 |
จุฬาฯ |
2–0
|
36 |
20 มกราคม พ.ศ. 2523 |
เสมอ |
0–0
|
37 |
31 มกราคม พ.ศ. 2524 |
เสมอ |
1–1
|
38 |
27 มกราคม พ.ศ. 2525 |
เสมอ |
2–2
|
|
ครั้งที่
|
วันที่
|
ทีมชนะ
|
จำนวนประตู
|
39 |
29 มกราคม พ.ศ. 2526 |
เสมอ |
1–1
|
40 |
21 มกราคม พ.ศ. 2527 |
ธรรมศาสตร์ |
1–0
|
41 |
27 มกราคม พ.ศ. 2528 |
เสมอ |
1–1
|
42 |
26 มกราคม พ.ศ. 2529 |
เสมอ |
1–1
|
43 |
25 มกราคม พ.ศ. 2530 |
ธรรมศาสตร์ |
1–0
|
44 |
30 มกราคม พ.ศ. 2531 |
จุฬาฯ |
2–1
|
45 |
21 มกราคม พ.ศ. 2532 |
จุฬาฯ |
2–0
|
46 |
20 มกราคม พ.ศ. 2533 |
1-1
|
47 |
19 มกราคม พ.ศ. 2534 |
เสมอ |
0–0
|
48 |
18 มกราคม พ.ศ. 2535 |
เสมอ |
1–1
|
49 |
23 มกราคม พ.ศ. 2536 |
ธรรมศาสตร์ |
2–1
|
50 |
22 มกราคม พ.ศ. 2537 |
เสมอ |
2–2
|
51 |
21 มกราคม พ.ศ. 2538 |
จุฬาฯ |
2–1
|
52 |
20 มกราคม พ.ศ. 2539 |
ธรรมศาสตร์ |
1–0
|
53 |
18 มกราคม พ.ศ. 2540 |
เสมอ |
1–1
|
54 |
7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 |
เสมอ |
0–0
|
55 |
23 มกราคม พ.ศ. 2542 |
จุฬาฯ |
2–1
|
56 |
15 มกราคม พ.ศ. 2543 |
เสมอ |
0–0
|
57 |
20 มกราคม พ.ศ. 2544 |
จุฬาฯ |
2–0
|
58 |
19 มกราคม พ.ศ. 2545 |
เสมอ |
2–2
|
59 |
25 มกราคม พ.ศ. 2546 |
เสมอ |
0–0
|
60 |
24 มกราคม พ.ศ. 2547 |
เสมอ |
0–0
|
61 |
22 มกราคม พ.ศ. 2548 |
ธรรมศาสตร์ |
1–0
|
62 |
21 มกราคม พ.ศ. 2549 |
จุฬาฯ |
2–0
|
63 |
20 มกราคม พ.ศ. 2550 |
เสมอ |
1–1
|
64 |
17 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 |
เสมอ |
0–0
|
65 |
31 มกราคม พ.ศ. 2552 |
ธรรมศาสตร์ |
2–0
|
66 |
16 มกราคม พ.ศ. 2553 |
เสมอ |
0–0
|
67 |
5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 |
จุฬาฯ |
3–1
|
68 |
25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 |
จุฬาฯ |
1–0
|
69 |
2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 |
จุฬาฯ |
1–0
|
70 |
7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 |
ธรรมศาสตร์ |
2–0
|
71 |
13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 |
ธรรมศาสตร์ |
5–1
|
72 |
3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 |
เสมอ |
1–1
|
73 |
9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 |
จุฬาฯ |
2–1
|
74 |
8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 |
จุฬาฯ |
2–1
|
75 |
15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 |
|
|
|
|
|
|
หมายเหตุ : ปี 2567 การแข่งขันเปลี่ยนชื่อเป็น CU-TU Unity Footbal Match 2024 จัดโดยองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องจากไม่สามารถจัดงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 75 ได้ เนื่องจากติดขัดเรื่องวันจัดงานที่ไม่สามารถตกลงกันให้ลงตัว ทำให้การแข่งขันในปีดังกล่าวไม่ได้ใช้ชื่อว่างานบอลประเพณี ธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 75 ซึ่งโดยปกติมีสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งหากเป็นไปตามเดิมในปีนี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะเป็นเจ้าภาพ[10]
เชิงอรรถ
- ↑ ชื่อมหาวิทยาลัยใดนำหน้าเป็นเจ้าภาพ
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
ฟุตบอลดาร์บีของไทย |
---|
สโมสร | |
---|
สถาบันการศึกษา | |
---|
ทีมชาติ | |
---|
|
---|
สัญลักษณ์ | | |
---|
คณะ | |
---|
สำนักวิชา | |
---|
วิทยาลัย | |
---|
สถาบันวิจัย | |
---|
สถาบันสมทบ | |
---|
พิพิธภัณฑ์ | |
---|
สถานที่ในส่วนการศึกษา | |
---|
สถานที่ในพื้นที่ราชการเช่าใช้ | |
---|
สถานที่ในพื้นที่พาณิชยกรรม | |
---|
กิจกรรมสำคัญ | |
---|
อื่น ๆ | |
---|
|
|
---|
สัญลักษณ์ | | |
---|
ศูนย์ | |
---|
คณะ | |
---|
วิทยาลัย | |
---|
หน่วยงานวิจัย และบริการวิชาการ | |
---|
วันสำคัญ | |
---|
คณะบุคคล | |
---|
สวัสดิการและบริการ | |
---|
อื่น ๆ | |
---|
|