อาณาจักรรีวกีว (ญี่ปุ่น : 琉球王国 Ryūkyū Ōkoku ; รีวกีว : 琉球國 Ruuchuu-kuku ; จีนตัวเต็ม : 琉球國 ; จีนตัวย่อ : 琉球国 ; พินอิน : Liúqiú Guó ; ค.ศ. 1429 — 1879) เป็นรัฐเอกราช ครอบครองหมู่เกาะรีวกีว (ญี่ปุ่น : 琉球諸島 ; โรมาจิ : Ryūkyū Shotō ) เกือบทั้งหมดตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 – 19
ชื่อของอาณาจักรรีวกีวปรากฏในเอกสารต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ว่า ลิชี่ว (ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์)[ 1] หรือ ลิ่วขิ่ว (โคลงภาพคนต่างภาษา)[ 2]
กษัตริย์ของอาณาจักรรีวกีวได้รวบรวมเกาะโอกินาวะ (ญี่ปุ่น : 沖縄島 ; โรมาจิ : Okinawa-jima ) ให้เป็นปึกแผ่น และขยายอาณาเขตไปถึงหมู่เกาะอามามิ (ญี่ปุ่น : 奄美諸島 ; โรมาจิ : amami shotō ) (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดคาโงชิมะ (ญี่ปุ่น : 鹿児島県 ; โรมาจิ : Kagoshima-ken ) และหมู่เกาะซากิชิมะ (ญี่ปุ่น : 先島諸島 ; โรมาจิ : Sakishima shotō ) ใกล้กับเกาะไต้หวัน แม้ว่าจะเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ แต่ก็มีบทบาทสำคัญทางด้านการค้าทางทะเลในยุคกลางของเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประวัติศาสตร์
กำเนิดอาณาจักร
ในศตวรรษที่ 14 เมืองเล็ก ๆ ที่กระจายตัวบนเกาะโอกินาวะ ได้รวมตัวกันตั้งเป็นแคว้น 3 แคว้น ได้แก่ แคว้นโฮกูซัน (ญี่ปุ่น : 北山 ; โรมาจิ : Hokuzan ) (แปลว่า เขาตอนเหนือ) แคว้นชูซัน (ญี่ปุ่น : 中山 ; โรมาจิ : Chūzan ) (แปลว่า เขาตอนกลาง) และแคว้นนันซัน (ญี่ปุ่น : 南山 ; โรมาจิ : Nanzan ) (แปลว่า เขาตอนใต้) อันเป็นที่รู้กันในนามยุคสามก๊ก หรือยุคซันซัน (ญี่ปุ่น : 三山 ; โรมาจิ : Sanzan ) (แปลว่า เขาทั้งสาม) แคว้นโฮกูซัน ตั้งอยู่ทางเหนือของเกาะ และเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุด กินเนื้อที่เกือบครึ่งหนึ่งของเกาะ แม้ว่าจะมีกำลังทหารที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็มีเศรษฐกิจที่อ่อนแอที่สุด แคว้นนันซัน ตั้งอยู่ตอนใต้ของเกาะ ส่วนแคว้นชูซัน นั้นตั้งอยู่ตอนกลางของเกาะ และมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นที่ตั้งของเมืองชูริ (ญี่ปุ่น : 首里 ; โรมาจิ : Shuri ) อันเป็นเมืองศูนย์กลางทางการเมือง ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองนาฮะ (ญี่ปุ่น : 那覇 ; โรมาจิ : Naha ) อันเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุด (ปัจจุบัน เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโอกินาวะ ) และเมืองคูเมมูระ (ญี่ปุ่น : 久米村 ; โรมาจิ : Kumemura ) อันเป็นเมืองศูนย์รวมสรรพวิชาความรู้ต่าง ๆ จากจีน เหตุนี้เองที่ทำให้แคว้นชูซัน เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรรีวกีวจนกระทั่งล่มสลาย
ต่อมา เมื่อผู้ครองสามแคว้นใหญ่นี้ได้สู้รบกัน ผู้ครองแคว้นชูซัน ก็ได้รับชัยชนะ และได้รับการรับรองจากจักรวรรดิจีน ให้เป็นกษัตริย์ผู้มีสิทธิเหนือสามแคว้นอย่างชอบธรรม แม้ว่าจะไม่สามารถปราบแคว้นที่เหลือได้อย่างราบคาบก็ตาม จากนั้น ผู้ครองแคว้นชูซัน ก็ได้ส่งต่อบังลังก์ให้กับฮาชิ ฮาชิสามารถปราบแคว้นโฮกูซัน ได้อย่างราบคาบใน ค.ศ. 1416 และแคว้นนันซัน ได้ในค.ศ. 1429 แล้วรวบรวมเกาะโอกินาวะ ให้เป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรก ในเวลาต่อมา ฮาชิได้ก่อตั้ง "ราชวงศ์โช" ขึ้นเป็นราชวงศ์แรก โดย "โช" เป็นแซ่ซึ่งได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ ราชวงศ์หมิง แห่งจักรวรรดิจีน ตั้งแต่ ค.ศ. 1421 และตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรกของอาณาจักรนามว่า พระเจ้าโชฮาชิ ในค.ศ. 1429 อันเป็นจุดเริ่มแรกของอาณาจักรรีวกีว
พระเจ้าโช ฮาชิ ได้ทรงนำระบบราชสำนักแบบมีลำดับศักดิ์จากจีนมาใช้ ทรงก่อสร้างปราสาทชูริ (ญี่ปุ่น : 首里城 ; โรมาจิ : Shurijō ) ขึ้นเป็นศูนย์กลางการปกครอง และทรงสร้างท่าเรือใหญ่ที่เมืองนาฮะ ต่อมา ในค.ศ. 1469 พระเจ้าโช โทกุ สวรรคตโดยไม่มีโอรสเป็นรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้อ้างตัวเป็นบุตรบุญธรรมของพระองค์และยังได้รับอุปถัมภ์จากจักรวรรดิจีน อีกด้วย จากนั้นได้ตั้งตนเองเป็น พระเจ้าโช เอ็ง และตั้งราชวงศ์โชที่สองขึ้นเป็นราชวงศ์ใหม่ของอาณาจักรรีวกีว หลังสิ้นพระเจ้าโช เอ็ง พระเจ้าโช ชิน ขึ้นครองราชย์ต่อ และยุคของพระองค์นี้เองที่เป็นยุคทองของอาณาจักรรีวกีว พระองค์ครองราชย์ตั้งแต่ ค.ศ. 1487-1526
ในปลายศตวรรษที่ 15 อาณาจักรรีวกีวได้ขยายอาณาเขตไปถึงเกาะใต้สุดของหมู่เกาะรีวกีว และใน ค.ศ. 1571 ได้ขยายอาณาเขตทางเหนือไปถึงเกาะอามามิโอชิมะ (ญี่ปุ่น : 奄美大島 ; โรมาจิ : Amami Ōshima ) ใกล้เกาะคีวชู สำหรับการปกครองนั้น พื้นที่เกือบทั้งอาณาจักรตั้งขึ้นตรงกับชูริ อันเป็นเมืองหลวง ยกเว้นเกาะตั้งแต่หมู่เกาะซากิชิมะ ลงมา เป็นเพียงแคว้นบรรณาการของอาณาจักรรีวกีว โดยยังมีผู้ครองแคว้นของตัวเองได้แต่ต้องจงรักภักดีกับเมืองชูริ
ยุคทองของการค้าทางทะเล
เป็นเวลาถึงเกือบสองร้อยปีที่อาณาจักรรีวกีวเติบโตได้เพราะเป็นศูนย์กลางทางการค้าทางทะเลในแถบเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยบทบาทนี้เอง ทำให้อาณาจักรรีวกีวตั้งมีฐานะเป็นรัฐบรรณาการต่อราชวงศ์หมิง แห่งจักรวรรดิจีน ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัยแคว้นชูซัน ในค.ศ. 1372 การเป็นรัฐบรรณาการของจีนนี้ ทำให้จีนมีอิทธิพลอย่างสูงต่ออาณาจักรรีวกีวตั้งแต่สมัยสามแคว้น โดยจีนได้จัดเรือเดินทะเลเพื่อให้ชาวรีวกีวอันค้าขาย จำกัดจำนวนชาวรีวกีวอันเพื่อให้ไปศึกษาในวิทยาลัยหลวงในเมืองปักกิ่ง รับรองสิทธิชอบธรรมในการครองแคว้นทั้งสามของกษัตริย์แคว้นชูซัน อนุญาตให้เรือของอาณาจักรรีวกีวเข้าไปทำการค้าที่ท่าเรือของจีนได้ พ่อค้าชาวรีวกีวอันใช้เรือสำเภาที่จีนจัดให้ได้เดินเรือไปทั่วภูมิภาค และเข้าไปค้าขายในท่าเรือของเมืองสำคัญต่าง ๆ เช่น เกาหลี จีน และญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีมะละกา ชวา สุมาตรา ปาเล็มบัง อันนัม (เวียดนาม ) รวมถึงอยุธยา และปัตตานี ด้วย
สินค้าญี่ปุ่น อาทิเช่น เครื่องเงิน ดาบ พัด เครื่องเขิน ม่านเบียวบุ เป็นต้น สินค้าจีน อาทิเช่น ยาจีน เหรียญกษาปณ์ เครื่องสังคโลก ผ้าไหม และสิ่งทออื่นๆ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นสินค้าที่ซื้อขายกันในอาณาจักรเพื่อแลกกับสินค้าจากที่ต่างๆ เช่น เครื่องเทศ เขาแรด ดีบุก น้ำตาล เหล็ก ไขปลาวาฬ จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เถาวัลย์จากอินเดีย และกำยานจากอาหรับ ทั้งหมดนี้ มีการบันทึกว่ามีเรือจากรีวกีวแล่นมาทำการค้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึง 150 เที่ยว โดยมาที่สยาม 61 เที่ยว มะละกา 10 เที่ยว ปัตตานี 10 เที่ยว และชวา 8 เที่ยว
มาตรการไห่จิน (ภาษาจีน : 海禁, Hai jin แปลว่าข้อห้ามทางทะเล) คือมาตรการที่ราชวงศ์หมิง ของจักรวรรดิจีน บังคับให้รัฐบรรณาการของจีนต้องทำการค้ากับจีนและประเทศที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ทำให้อาณาจักรรีวกีวได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าจากจีนมากกว่าประเทศอื่น ได้สร้างความมั่งคั่งให้กับอาณาจักรรีวกีวเป็นอย่างมากมาตลอด 150 ปี แต่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 การค้าของอาณาจักรรีวกีวตกต่ำ เนื่องจาก วาโก (ภาษาจีน : 倭寇, wōkòu; ภาษาญี่ปุ่น : wakō; ภาษาเกาหลี : 왜구, waegu) หรือโจรสลัดญี่ปุ่น ออกอาละวาด ทำให้จีนคุ้มครองการค้าของอาณาจักรรีวกีวน้อยลง นอกจากนี้ อาณาจักรรีวกีวยังต้องเผชิญกับการแข่งขันทางการค้ากับประเทศจากยุโรป ด้วย
การรุนรานของญี่ปุ่นและถูกยึดครอง
อาคารหลักของปราสาทชูริ
ในค.ศ. 1590 โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (ญี่ปุ่น : 豊臣 秀吉 ; โรมาจิ : Toyotomi Hideyoshi ) ขุนศึกคนสำคัญของญี่ปุ่น ได้มีการร้องขอให้อาณาจักรรีวกีวเข้าร่วมโจมตีราชวงศ์โชซ็อน ของเกาหลี หากสำเร็จ ฮิเดโยชิก็จะสามารถยกทัพสู่จีนต่อได้ ด้วยอาณาจักรรีวกีวในขณะนั้นมีฐานะเป็นรัฐบรรณาการของราชวงศ์หมิง แห่งจักรวรรดิจีน จึงทำให้คำขอร้องนี้ถูกปฏิเสธไป
รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ (ญี่ปุ่น : 徳川幕府 ; โรมาจิ : Tokugawa bakufu ) ได้ขึ้นครองอำนาจหลังจากโค่นขุนศึกฮิเดโยชิลงได้ และได้แต่งตั้งตระกูลชิมาซุ (ญี่ปุ่น : 島津氏 ; โรมาจิ : Shimazu-shi ) ตระกูลไดเมียว (ญี่ปุ่น : 大名 ; โรมาจิ : daimyō ) หรือเจ้าเมืองผู้ครองแคว้นซัตสึมะ (ปัจจุบันคือจังหวัดคาโงชิมะ ) ให้ส่งกำลังทหารไปบุกอาณาจักรรีวกีวให้ได้ ในค.ศ. 1609 ด้วยกองทหารเพียงน้อยนิด อาณาจักรรีวกีวถูกยึดสำเร็จเป็นครั้งแรก พระเจ้าโชเน (ญี่ปุ่น : 尚寧 ; โรมาจิ : Shō Nei ) ทรงถูกจับและนำไปขังไว้ที่แคว้นซัตสึมะและส่งต่อไปยังเอโดะ (ญี่ปุ่น : 江戸 ; โรมาจิ : Edo ) เมืองหลวงของญี่ปุ่นในสมัยนั้น (ปัจจุบันคือโตเกียว (ญี่ปุ่น : 東京 ; โรมาจิ : Tōkyō ) 2 ปีต่อมา อาณาจักรรีวกีวกลับรับอิสรภาพอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม แคว้นซัตสึมะยังคงคุมบางพื้นที่ของอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หมู่เกาะอามามิ ซึ่งถูกรวมไปเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นซัตสึมะ และปัจจุบันนี้กลายเป็นจังหวัดคาโงชิมะ พร้อมแคว้นซัตสึมะ ไม่ใช่จังหวัดโอกินาวะ เช่นส่วนอื่นของอาณาจักรรีวกีว
หลังได้รับอิสรภาพคืน อาณาจักรรีวกีวต้องอยู่ในภาวะประเทศราชของสองจักรวรรดิพร้อมกัน คือ จีนและญี่ปุ่น ซึ่งอาณาจักรรีวกีวต้องส่งบรรณาการให้กับราชวงศ์หมิงของจักรวรรดิจีน และรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะของญี่ปุ่น เนื่องจากจักรวรรดิจีนประกาศห้ามการค้าขายกับญี่ปุ่น เพื่อตอบโต้ที่รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะประกาศปิดประเทศ แคว้นซัตสึมะซึ่งได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะใช้ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรรีวกีวกับจักรวรรดิจีนเป็นสะพานเชื่อมในการทำการค้ากับจีน รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะได้ใช้นโยบายปิดประเทศของที่ห้ามการค้าขายกับต่างประเทศอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะยุโรป ยกเว้นดัตช์ อาจเรียกได้ว่าการที่แคว้นซัตสึมะใช้วิธีนี้ในการติดต่อกับต่างประเทศในช่วงปิดประเทศ เป็นช่องโหว่สำคัญที่ทำให้รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะถูกโค่นล้มไปในที่สุดในคริสต์ทศวรรษที่ 1860
หลังการได้รับอิสรภาพคืนจนถึงการยึดครองหมู่เกาะอย่างสมบูรณ์ในค.ศ. 1879 อาณาจักรรีวกีวกลายเป็นประเทศราชในปกครองของไดเมียวแห่งแคว้นซัตสึมะ แต่ไม่ได้มีฐานะเป็นแคว้น (ฮัน) หนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งก็ถือว่ายังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่น และชาวรีวกีวอันก็ยังไม่นับว่าเป็นชาวญี่ปุ่นด้วย อาณาจักรรีวกีวยังคงมีเอกราชของตนเองอยู่ แต่ต้องคอยรับใช้แคว้นซัตสึมะและรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะในด้านการค้ากับจีนตามคำร้องขออยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็เป็นรัฐบรรณาการของจักรวรรดิจีนด้วยเช่นกัน อีกทั้งญี่ปุ่นไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนอย่างเป็นทางการ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องไม่ให้ทางปักกิ่ง รู้ว่าอาณาจักรรีวกีวถูกญี่ปุ่นควบคุมอยู่ ดังนั้น ญี่ปุ่นจำเป็นต้องวางมาตรการเสมือนวางเฉยต่ออาณาจักรรีวกีว การกระทำเช่นนี้ส่งผลดีทั้งต่อทั้ง 3 ฝ่าย คือ อาณาจักรรีวกีว ไดเมียวแคว้นซัตสึมะ และรัฐบาลโชกุน ที่ต้องทำให้รีวกีวอันเหมือนต่างชาติและแตกต่างจากชาวญี่ปุ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชาวญี่ปุ่นห้ามเดินทางไปอาณาจักรรีวกีวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโชกุน และชาวรีวกีวอันก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อภาษาญี่ปุ่น ใส่เสื้อผ้าแบบญี่ปุ่น และปฏิบัติตามวัฒนธรรมญี่ปุ่น ห้ามแม้กระทั่งเมื่อชาวรีวกีวจะอันเดินทางไปกรุงเอโดะพร้อมกับไดเมียวแห่งแคว้นซัตสึมะ ก็ห้ามเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นแม้แต่น้อย ตระกูลชิมาซุผู้เป็นไดเมียวแห่งแคว้นซัตสึมะได้รับสิทธิพิเศษให้นำกษัตริย์แห่งอาณาจักรรีวกีวไปอยู่ในขบวนอิสริยยศเมื่อเดินทางไปกรุงเอโดะอย่างเป็นทางการ ในฐานะที่เป็นแคว้น (ฮัน) เดียวที่มีอาณาจักรเป็นเมืองขึ้น ชาวรีวกีวอันทำให้ขบวนแคว้นซัตสึมะดูแปลกและโดดเด่น และมองดูแล้วเหมือนกับไม่ได้มาจากญี่ปุ่นเอง
เมื่อพลเรือจัตวาแมทธิว แคลเบรธ เพร์รี (อังกฤษ : Commodore Matthew Calbraith Perry ) เดินเรือถึงญี่ปุ่น เพื่อบีบบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา ในคริสต์ทศวรรษที่ 1850 เขาได้หยุดพักที่หมู่เกาะรีวกีว เป็นที่แรกเช่นเดียวกับนักเดินเรือตะวันตกหลายคนก่อนหน้านี้ เขาได้บีบบังคับให้อาณาจักรรีวกีวยอมเซ็นสัญญาเสียเปรียบทางการค้าเพื่อที่จะให้สหรัฐอเมริกาเปิดการค้ากับอาณาจักรรีวกีวได้ และจุดหมายต่อไปของเขาก็คือเอโดะ
ระหว่างการปฏิรูปเมจิ (ญี่ปุ่น : 明治維新 ; โรมาจิ : Meiji Ishin ) รัฐบาลโตเกียวในสมัยนั้นได้ล้มล้างอาณาจักรรีวกีวลง โดยถือเป็นการยึดครองหมู่เกาะรีวกีวของจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยสมบูรณ์ และเปลี่ยนเป็นจังหวัดโอกินาวะ ในค.ศ. 1879 ส่วนหมู่เกาะอามามิที่ถูกแคว้นซัตสึมะยึดครองไปก่อนหน้านี้ ก็เปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดคาโงชิมะ พระเจ้าโช ไท (ญี่ปุ่น : 尚泰 ; โรมาจิ : Shō Tai ) กษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรรีวกีว ถูกให้ย้ายไปประทับที่กรุงโตเกียว พร้อมกับได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ (ญี่ปุ่น : 華族 ; โรมาจิ : Kazoku ) ให้เป็นเจ้าขุนนางชั้นโคชากุ (ญี่ปุ่น : 侯爵 ; โรมาจิ : kōshaku ) (เทียบเท่ากับเจ้าพระยาของไทย) และได้รับการยกย่องดั่งเช่นตระกูลขุนนางชั้นสูง พระเจ้าโช ไทสวรรคตในค.ศ. 1901 ในช่วงที่อาณาจักรรีวกีวถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นนี้ มีการปราบปรามผู้เรียกร้องอิสรภาพของอาณาจักรรีวกีวจากญี่ปุ่นหรือแคว้นซัตสึมะอยู่หลายครั้ง นอกจากนี้ จักรวรรดิจีนยังได้ทำหนังสือทางการทูตประท้วงรัฐบาลเมจิเช่นกัน
รายการอ้างอิง
↑ สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน? . กรุงเทพฯ:มติชน. 2548, หน้า 192
↑ สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน? . กรุงเทพฯ:มติชน. 2548, หน้า 199
Kang, David C. (2010). East Asia Before the West: Five Centuries of Trade and Tribute. New York : Columbia University Press. 13-ISBN 978-0-231-15318-8 /10-ISBN 0-231-15318-X ; 13-ISBN 978-0-231-52674-6 /10-ISBN 0-231-52674-1 ; OCLC 562768984
Kerr, George H. (1965). Okinawa, the History of an Island People. Rutland, Vermont: C.E. Tuttle Co. OCLC 39242121
Matsuda, Mitsugu (2001) The Government of the Kingdom of Ryukyu, 1609–1872: a dissertation submitted to the Graduate School of the University of Hawaii in partial fulfillment of the requirements for the degree of Doctor of Philosophy, January 1967 , Gushikawa : Yui Pub., 283 p., ISBN 4-946539-16-6
Nussbaum, Louis-Frédéric. (2002). Japan Encyclopedia. Cambridge: Harvard University Press . 10-ISBN 0-674-01753-6 ; 13-ISBN 978-0-674-01753-5 ; OCLC 48943301
Smits, Gregory (1999) Visions of Ryukyu: identity and ideology in early-modern thought and politics , Honolulu : University of Hawaii Press , 213 p., ISBN 0-8248-2037-1
แหล่งข้อมูลอื่น