การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2567
← พ.ศ. 2563
5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
พ.ศ. 2571 →
สมาชิกคณะผู้เลือกตั้ง 538 คน ต้องการ 270 เสียงจึงชนะผู้ใช้สิทธิ TBD กำลังรายงาน ณ เวลา 18:34, 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2024 EST
แผนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2567 คาดการณ์จากแผนที่ใน พ.ศ. 2563
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2567 เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ 60 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะถูกจัดขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567[ 1] การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการจัดสรรคะแนนเสียงเลือกตั้งใหม่ตามการสำมะโนประชากร เมื่อ พ.ศ. 2563 โจ ไบเดิน ประธานาธิบดี คนปัจจุบัน เคยประกาศเจตนารมณ์ในการลงสมัครเป็นสมัยที่ 2[ 2] แต่ได้ถอนตัวในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2567 เนื่องจากปัญหาทางสุขภาพประกอบกับกระแสความนิยมที่ลดลง และสนับสนุนให้กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามพรรคเดโมแครตแทน[ 3] โดยนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีถอนตัวจากการชิงตำแหน่งในสมัยที่ 2 นับตั้งแต่การถอนตัวของลินดอน บี. จอห์นสัน ในปี 2511 ส่วนดอนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ก็ลงสมัครเช่นกัน หลังพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2563 [ 4] ที่ประชุมใหญ่พรรครีพับลิกันเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 รับรองทรัมป์ให้ลงชิงตำแหน่งในนามพรรค[ 5] โดยหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เขาจะกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่สองต่อจาก โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ที่ดำรงตำแหน่งสองสมัยแบบไม่ต่อเนื่องกัน
ในสหรัฐ การเลือกตั้งทั่วไปจะถูกจัดขึ้นหลังจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ทำการประชุมลับ และเลือกผู้สมัครรอบแรก เพื่อเสนอชื่อเป็นประธานาธิบดี การเลือกตั้งมีกำหนดจัดขึ้นในวันเดียวกับการเลือกตั้งวุฒิสภา , การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร และการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น พ.ศ. 2567 ผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้จะเข้าสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568 ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 47
ศาลสูงสุดแห่งรัฐโคโลราโด และ เลขาธิการแห่งรัฐเมน มีมติตัดสิทธิทรัมป์จากการลงสมัครรับเลือกตั้งขั้นต้น โดยวินิจฉัยว่าทรัมป์ขาดคุณสมบัติในการรับตำแหน่งในรัฐบาลกลางสหรัฐ จากการมีส่วนเกี่ยวข้องกับความพยายามก่อความไม่สงบ รวมถึงการขัดขวางกระบวนการรับรองไบเดนซึ่งเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง พ.ศ. 2563 นำสู่เหตุจลาจลในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564 คำตัดสินดังกล่าวอยู่ระหว่างการอุทธรณ์[ 6] [ 7] เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ทรัมป์รอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหาร ขณะปราศรัยหาเสียง ณ เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย
การเลือกตั้งครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกภายหลังศาลสูงสุดหรือศาลฎีกา พิพากษายกเลิกคำตัดสินคดี Roe v Wade ที่เคยพิพากษาเมื่อ พ.ศ. 2516 ว่าการทำแท้งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ ขบวนการเรียกร้องสิทธิการทำแท้ง , การประกันสุขภาพ,[ 8] การศึกษา,[ 9] เศรษฐกิจ,[ 10] นโยบายด้านการต่างประเทศ,[ 11] นโยบายด้านผู้ลี้ภัยและการข้ามชายแดน, สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ,[ 12] และ ประชาธิปไตย [ 13] ล้วนแต่ได้รับการคาดหมายให้เป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียงครั้งนี้[ 14]
การเลือกตั้ง
กระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดี
มาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุไว้ว่า บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้นั้น จะต้องเป็นพลเมืองโดยกำเนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี และเป็นผู้พำนักในสหรัฐมาอย่างน้อย 14 ปี
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม นั่นคือ ในขั้นแรก ประชาชนจะเลือกผู้แทนเข้าไปทำหน้าที่ในคณะผู้เลือกตั้ง จากนั้น คณะผู้เลือกตั้งเหล่านี้จะเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีโดยตรง[ 15] ผู้สมัครประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 270 เสียง จึงจะถือว่าชนะการเลือกตั้ง
หากไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนครบ 270 เสียง จะมีการเลือกประธานาธิบดีในรัฐสภา แทน โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จะทำการเลือกประธานาธิบดีจากผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด 3 คน ส่วนวุฒิสภา จะทำหน้าที่เลือกรองประธานาธิบดีจากผู้สมัครที่ได้รับคะแนนรวมสูงสุด 2 คน การเลือกตั้งประธานาธิบดีจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันกับการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งวุฒิสภา รวมทั้งการเลือกตั้งระดับรัฐและระดับท้องถิ่น
การแทรกแซงการเลือกตั้ง
ดอนัลด์ ทรัมป์ประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งปี 2563 ซึ่งตนแพ้นายโจ ไบเดิน โดยอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งอย่างกว้างขวาง และยังคงปฏิเสธการยอมรับผลการเลือกตั้งถึงปัจจุบัน[ 16] [ 17] ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านแสดงข้อกังวลว่า เจ้าหน้าที่รัฐซึ่งปฏิเสธผลการเลือกตั้งในครั้งที่แล้ว อาจพยายามขัดขวางกระบวนการลงคะแนน หรือปฏิเสธการยอมรับผลการเลือกตั้งในครั้งนี้[ 18]
การสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้งชี้ให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อสถานะความเป็นประชาธิปไตยของชาวอเมริกัน [ 19] กลุ่มเสรีนิยม (ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต) มีความเชื่อว่าพรรคอนุรักษนิยม และกลุ่มอนุรักษนิยมมีแนวโน้มคุกคามการเลือกตั้งด้วยวิธีแบบเผด็จการ รวมถึงความพยายามที่จะพลิกผลการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2563[ 20] ในขณะที่ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามพยายามขัดขวางการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของทรัมป์ด้วยวิธีต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการกล่าวโทษ และการฟ้องร้องต่อเจ้าหน้าที่รัฐในข้อหาต่าง ๆ[ 21]
แผนที่การเลือกตั้ง
แผนที่สหรัฐ แสดงที่ตั้งของรัฐต่าง ๆ รวมถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงซึ่งแสดงความนิยมของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละพื้นที่ในการเลือกตั้งปี 2559 และ 2563 โดยแบ่งตามสีแดงและน้ำเงิน ในขณะที่สีเทาแสดงถึงรัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งในปี 2563
ในการเลือกตั้งนับตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา การแข่งขันในรัฐส่วนใหญ่ไม่สูสีเท่าที่ควร เนื่องจากความชัดเจนในทัศนคติของประชากร และสภาพสังคม โดยรัฐทางภูมิภาคตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ เช่น เท็กซัส , ลุยเซียนา , เคนทักกี , เนแบรสกา และ โอคลาโฮมา ล้วนแต่มีความเป็นอนุรักษนิยมอย่างชัดเจน ในขณะที่รัฐขนาดใหญ่ทางภูมิภาคตะวันออกและตะวันตก มีแนวโน้มความเป็นเสรีนิยม สูง เช่น แคลิฟอร์เนีย , นิวยอร์ก และ แมสซาชูเซตส์ จากการมีผู้อพยพพลัดถิ่น และคนรุ่นใหม่จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม มีหลายรัฐที่คะแนนนิยมของผู้สมัครและผลคะแนนค่อนข้างสูสี เช่น มิชิแกน , เพนซิลวาเนีย , จอร์เจีย , เนวาดา , แอริโซนา , โอไฮโอ และ วิสคอนซิน รัฐเหล่านี้ล้วนได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดผลการเลือกตั้ง[ 22]
รัฐนอร์ทแคโรไลนา ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นอีกหนึ่งสมรภูมิสำคัญ เนื่องจากผลการเลือกตั้งครั้งก่อนที่เป็นไปอย่างสูสีซึ่งทรัมป์เอาชนะไบเดินไปด้วยความห่างเพียง 1.34%[ 23] ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า รัฐสำคัญอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไอโอวา และ ฟลอริดา มีแนวโน้มสูงที่จะสนับสนุนพรรครีพับลิกัน ในขณะที่รัฐโคโลราโด , นิวเม็กซิโก และเวอร์จิเนีย สนับสนุนพรรคเดโมแครต[ 24] [ 25]
นับเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ ที่พรรคเดโมแครตสามารถรักษาฐานเสียงได้ดีในกลุ่มประชากรผิวสี, ผู้อพยพเข้าเมือง และพลเมืองอเมริกันที่สืบเชื้อสายจากภูมิภาคอื่น ๆ เช่น อเมริกาใต้ , แอฟริกัน และเอเชีย (โดยเฉพาะจีน อินเดีย และ ชาวมุสลิม ) รวมถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นนักศึกษา, ผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก, ประชากรวัยทำงานที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง และประชากรในเขตเมือง[ 26] ในขณะที่ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ก็คือประชากรผิวขาว, ผู้มีรายได้สูง รวมถึงในเขตชนบท และ ผู้สูงอายุ[ 27] นอกจากนี้ ชนชั้นกลาง มีแนวโน้มสนับสนุนพรรครีพับลิกันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ความนิยมดังกล่าวได้รับผลกระทบในหลายพื้นที่ อันเนื่องมาจากการถือกำเนิดขึ้นของกลุ่มขบวนการการเมืองใหม่ในชื่อ "Tea Party" หรือ “กลุ่มน้ำชา” ซึ่งเป็นกลุ่มอนุรักษนิยมเชิงเสรีนิยม แนวคิดดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่ดินแดนของสหรัฐยังอยู่ใต้อาณานิคมของสหราชอาณาจักร เมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้ว การเติบโตของกลุ่มดังกล่าวนับว่าเป็นผลดีต่อผู้สมัครจากเดโมแครต เช่น ฮิลลารี คลินตัน และประธานาธิบดีคนล่าสุดอย่างไบเดิน โดยคะแนนนิยมของทรัมป์ในย่านชานเมืองน้อยลงจากผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันคนอื่น ๆ
การหาเสียง
อดีตประธานาธิบดี ดอนัลด์ ทรัมป์ ขณะหาเสียงในรัฐนิวแฮมป์เชอร์ ปี 2566
ประเด็นสำคัญ
การเรียกร้องประชาธิปไตย
การเลือกตั้งครั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดินถูกคาดหวังให้ตีกรอบและกำหนดแนวทางการเลือกตั้งว่าเป็น "การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย" ซึ่งคล้ายกับการวางกรอบภูมิรัฐศาสตร์ร่วมสมัย โดยเปรียบเสมือนการต่อสู้ระหว่างขั้วประชาธิปไตยและเผด็จการ ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง ไบเดินกล่าวสุนทรพจน์สำคัญหลายครั้งเพื่ออ้างถึงหลักประชาธิปไตยในประเทศ และเปรียบเทียบการเลือกตั้งว่าเป็น "การต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณของพลเมืองอเมริกัน และประเทศชาติ" ถือเป็นข้อความสำคัญในการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2563 และใช้เป็นประโยคประจำตัวในการกล่าวสุนทรพจน์ของเขานับตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา[ 28]
ในทางกลับกัน การรณรงค์หาเสียงของทรัมป์นับตั้งแต่ปี 2559 ถูกวิจารณ์เชิงลบโดยเฉพาะการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและนโยบายที่สุดโต่ง[ 29] ทรัมป์ปฏิเสธการยอมรับผลการเลือกตั้งปี 2563 และมีการเสนอข่าวว่าเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อ "พลิกผลการเลือกตั้ง" รวมถึงกระแสที่ว่าเขาต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญ รวมถึงการใช้กระทรวงยุติธรรม เป็นเครื่องมือทางกฎหมายเพื่อพลิกผลการเลือกตั้ง คำกล่าวอ้างของทรัมป์กรณีการโกงเลือกตั้งปี 2563 ก่อให้เกิดข้อกังวลต่อสถานะความเป็นประชาธิปไตยในประเทศ[ 30] [ 31]
ประชาธิปไตยมีแนวโน้มจะเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงรวมถึงการดีเบตในปี 2567 ผลสำรวจโดย AP-NORC ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 4 ธันวาคม 2566 ระบุว่า 62% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความเห็นว่าสถานะความเป็นประชาธิปไตยของสหรัฐยังไม่แน่นอน โดยขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งปี 2567
เศรษฐกิจ
นิกกี เฮลีย์ ณ รัฐไอโอวา เดือนมกราคมปี 2567
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่เห็นว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในประเด็นหลักในการหาเสียงครั้งนี้ การระบาดทั่วของโควิด-19 ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ลงอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะยังไม่คลี่คลายลงในปี 2567[ 32] ช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงเริ่มต้นในปี 2564 ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมถึงโรคระบาดและวิกฤตห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งต่อมาทวีความรุนแรงมากขึ้นโดยเป็นผลจากการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย พ.ศ. 2565 [ 33] [ 34]
นับตั้งแต่ปี 2564 ผลสำรวจแสดงถึงความคิดเห็นในเชิงลบที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไบเดิน[ 35] ประชากรหญิงจำนวนมากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจตั้งแต่มีการระบาดของไวรัสโคโรนา เนื่องจากต้องลาออกจากงานเพื่อดูแลบุตร[ 36] รัฐบาลกลางมีมาตรการเยียวยาปัญหาดังกล่าวด้วยการเสนอมาตรการดูแลเด็ก รวมถึงการขยายเครดิตภาษีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ American Rescue Plan โดยเป็นมาตรการที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของผู้ปกครอง แต่มาตรการดังกล่าวกำลังจะสิ้นสุดก่อนการเลือกตั้งปี 2567[ 37] ในระหว่างดำรงตำแหน่ง ทรัมป์และไบเดินลงนามในกฎหมายสำคัญหลายฉบับเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ[ 38] [ 39] [ 40]
การศึกษา
ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง ไบเดินมีนโยบายผ่อนปรนการชำระเงินกู้ให้แก่นักศึกษาเป็นจำนวนเงิน 1.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[ 41] ความช่วยเหลือดังกล่าวยังรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ และบุคคลทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากการค้างชำระหนี้เป็นเวลานาน ในเดือนสิงหาคมปี 2565 ไบเดินประกาศว่าเขาจะลงนามในคำสั่งที่จะยกหนี้ให้แก่นักศึกษาจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงหนี้จากการกู้เงินจำนวนรวม 10,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาที่เป็นโสดซึ่งมีรายได้น้อยกว่า 125,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือคู่สมรสที่มีรายได้น้อยกว่า 250,000 ดอลลาร์ และ 20,000 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลาง (Pell Grant) ที่มอบให้กับนักเรียนที่ต้องการใช้จ่ายเงินเพื่อเข้าเรียนในวิทยาลัย[ 42] [ 43] อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวถูกยกเลิกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 จากคำตัดสินของศาลฎีกาในคดี Biden v. Nebraska ซึ่งถูกท้าทายโดยผู้แทนจากหลายรัฐ[ 44] [ 45] นโยบายดังกล่าวถูกวิจารณ์จากสมาชิกพรรครีพับลิกันส่วนมาก เนื่องจากเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ
ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันหลายรายมองว่านโยบายทางการศึกษาจะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งถัดไป รัฐหลายแห่งในสหรัฐออกกฎหมายปกป้องการวิจารณ์เชื้อชาติ ซึ่งทำให้นักศึกษาได้รับเสรีภาพทางความคิดกรณีความแตกต่างทางเชื้อชาติมากขึ้น ผู้สนับสนุนกฎหมายดังกล่าวมีความเห็นว่าการสนทนาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติ ไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปในสถานศึกษา[ 46] [ 47]
นโยบายการต่างประเทศ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดิน และ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ถ่ายเมื่อเดือนตุลาคมปี 2566
เหตุการณ์สำคัญในปัจจุบันอย่างสงครามอิสราเอล–ฮะมาส พ.ศ. 2566 และ การรุกรานยูเครน มีแนวโน้มเป็นประเด็นหลักในการเลือกตั้ง สหรัฐให้ความช่วยเหลือทางการทหารและมนุษยธรรมแก่ยูเครนอย่างเปิดเผยตลอดช่วงการรุกรานโดยรัสเซีย[ 48] [ 49] นักการเมืองจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจำนวนมากสนับสนุนแผนนี้ โดยอ้างว่าสหรัฐมีบทบาทสำคัญใน "การปกป้องประชาธิปไตยและต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซีย" [ 50] ในขณะที่ผู้แทนจากรีพับลิกันบางราย เช่น ทรัมป์ และ เดอซานติสมองว่าการแทรกแซงดังกล่าวและการแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซียไม่ควรเป็นผลประโยชน์ที่สำคัญของสหรัฐ และแผนดังกล่าวควรมีข้อจำกัดมากขึ้น[ 51]
วิเวก รามสวามี จากพรรครีพับลิกันแสดงจุดยืนต่อต้านการให้ความช่วยเหลือยูเครน และควรยอมรับการรุกรานของรัสเซีย[ 52] ในช่วงสงครามอิสราเอล-ฮะมาส ไบเดินได้ให้การสนับสนุนทางทหารต่ออิสราเอลอย่าง "เปิดเผย" และประณามการกระทำของฮะมาสและกลุ่มติดอาวุธ ปาเลสไตน์อื่น ๆ ว่าเป็นการก่อการร้าย [ 53] ไบเดินร้องขอต่อที่ประชุมในสภาคองเกรสให้ช่วยเหลืออิสราเอลเป็นจำนวนเงิน 10.6 พันล้านดอลลาร์[ 54] การสนับสนุนดังกล่าวทำให้ไบเดินถูกวิจารณ์โดยผู้นำกลุ่มมุสลิมหัวก้าวหน้าหลายราย โดยพวกเขาขู่ว่าจะไม่ลงคะแนนให้ไบเดิน[ 55] ในขณะที่ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนอิสราเอล และควบคุมอำนาจของอิหร่าน ในขณะเดียวกันก็วิจารณ์นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู และยกย่องกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ [ 56]
การประกันสุขภาพ
ในวาระดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ยกเลิกรัฐบัญญัติคุ้มครองผู้ป่วยและการบริบาลที่เสียได้ หรือที่รู้จักในชื่อ โอบามาแคร์ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประเด็นนโยบายด้านสุขภาพและยารักษาโรค รวมถึงการตั้งคำถามในกรณีที่สหรัฐควรเปลี่ยนมาใช้ระบบการรักษาพยาบาลแบบสากล รวมถึงแนวโน้มการกลับมาระบาดของโควิด-19 จะเป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียงครั้งนี้เช่นกัน[ 57]
สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักการเมืองสายอนุรักษนิยมจำนวนหนึ่งในสภานิติบัญญัติได้ออกร่างกฎหมายที่จำกัดสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะคนข้ามเพศ ไบเดินรับรองกฎหมายการสมรสของเพศเดียวกัน และสนับสนุนกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ นอกจากนี้ เขาได้รับรองพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งขยายพระราชบัญญัติสิทธิพลเมือง พ.ศ. 2507 เพื่อให้การคุ้มครองบนพื้นฐานของอัตลักษณ์ทางเพศและรสนิยมทางเพศในบริบทต่าง ๆ เช่น ในสถานที่ทำงาน ที่อยู่อาศัย และการดูแลสุขภาพ ต่อมา ในปี 2566 ไบเดินมีคำสั่งให้รัฐบาลกลางวางแผนเชิงกลยุทธ์แก่รัฐต่าง ๆ เกี่ยวกับวิธีการเพิ่มการเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านการรักษาพยาบาล และการป้องกันการฆ่าตัวตาย สำหรับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ
ในระหว่างการหาเสียงของทรัมป์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2566 เขากล่าวว่าหากได้รับการเลือกตั้งอีกครั้ง เขาจะเสนอกฎหมายในนามรัฐบาลกลางเพื่อให้การรับรองบุคคลเพียงสองเพศเท่านั้น และยังกล่าวว่าการเป็นคนข้ามเพศถือเป็นแนวคิดที่ถูกสร้างขึ้นโดย "กลุ่มซ้ายจัด" ในขณะเดียวกัน อดีตผู้สมัครอย่างรอน เดอซานติส ลงนามในกฎหมายหลายฉบับในฐานะผู้ว่าการรัฐฟลอริดา เพื่อต่อต้านความคุ้มครองกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงพระราชบัญญัติสิทธิผู้ปกครองในด้านการศึกษาแห่งฟลอริดา ซึ่งนักวิจารณ์เรียกกันว่ากฎหมาย "ห้ามพูดคำว่าเกย์" ซึ่งห้ามไม่ให้มีการพูดถึงรสนิยมทางเพศ และอัตลักษณ์ทางเพศในที่สาธารณะในสถานศึกษาในรัฐฟลอริดา[ 58]
ความมั่นคงชายแดน และการอพยพเข้าเมือง
ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่านโยบายด้านชายแดนและการอพยพเข้าเมือง เป็นประเด็นที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสนใจ[ 59] ช่วงระหว่างปี 2566 และ 2567 มีรายงานว่าจำนวนผู้อพยพเข้าเมืองผ่านชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก[ 60] เพื่อตอบสนองต่อการเพิ่มจำนวนของผู้อพยพ รัฐที่เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรครีพับลิกัน เช่น เท็กซัส และฟลอริดา ได้ส่งตัวผู้อพยพไปยังเมืองใหญ่อื่น ๆ ซึ่งถูกควบคุมโดยพรรคเดโมแครต เช่น นิวยอร์ก และชิคาโก [ 61]
ดอนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอย่างชัดเจนว่าหากเขาได้รับการเลือกตั้งอีกครั้ง เขาจะเพิ่มความเข้มงวดในมาตรการการตรวจคนเข้าเมือง และปราบปรามผู้อพยพข้ามชายแดน รวมถึงการเพิ่มจำนวนทหารเพื่อรักษาความเรียบร้อยบริเวณชายแดน และมอบหมายให้รัฐที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นจำกัดจำนวนผู้อพยพ รวมถึงการเพิ่มงบประมาณด้านศุลกากรและการตระเวนชายแดน และการสร้างกำแพงในภูมิภาคตอนใต้ของประเทศ ในขณะที่ฝ่ายบริหารของไบเดินมีนโยบายคุ้มครองผู้อพยพจากประเทศอื่นโดยเฉพาะเม็กซิโกและประเทศใกลเคียง เช่น เวเนซูเอลา และ คิวบา รวมถึงประเทศที่ตั้งอยู่ไกลออกไปอย่างยูเครนซึ่งได้รับผลกระทบจากการรุกรานโดยรัสเซีย
ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2567 ไบเดินและผู้แทนของรัฐสภาบรรลุข้อตกลงร่วมกัน เกี่ยวกับร่างกฎหมายเพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดน แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกคัดค้านโดยทรัมป์ ไบเดินตอบโต้พรรครีพับลิกันว่าเขาสามารถรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนได้ โดยไม่ต้องพึ่งการอนุมัติจากสภาคองเกรส ผู้สมัครอิสระอย่าง โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์ ให้การสนับสนุนมาตรการการเพิ่มความปลอดภัยทางชายแดนโดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบ หรือการดำเนินการโดยรัฐบาลกลาง[ 62]
ผู้สมัคร
พรรคเดโมแครต
ผู้สมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2567 ในนามพรรคเดโมแครต
ชื่อ
สถานที่เกิด
ประสบการณ์
ภูมิลำเนา
การประกาศแคมเปญ
รัฐที่ชนะการหยั่งเสีย
Delegates won
Total popular vote[ 63]
ผู้สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดี
อ้างอิง
โจ ไบเดิน
000000002485-11-20-0000 20 พฤศจิกายน 2485 สแครนตัน , เพนซิลเวเนีย
ประธานาธิบดีสหรัฐ (2564–ปัจจุบัน), รองประธานาธิบดีสหรัฐ (2552–2560), สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ จาก รัฐเดลาแวร์ (2516–2552)
เดลาแวร์
Campaign
000000002566-04-25-0000 25 เมษายน 2566 FEC filing[ 64] Website
4 (NH , SC , NV , DE )
91
205,450 (85.7%)
Kamala Harris [ 65]
[ 66]
ดีน ฟิลลิปส์
000000002512-01-20-0000 20 มกราคม 2512 เซนต์ พอล, มินนิโซตา
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ (2562–ปัจจุบัน), กรรมการบริหาร
Phillips Distilling Company (2543–2555)
มินนิโซตา
Campaign
000000002566-10-26-0000 26 ตุลาคม 2566 FEC filing[ 67] Website เก็บถาวร 2024-05-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
None
0
26,616 (11.1%)
None
[ 68]
ในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2566 โจ ไบเดิน ประกาศลงสมัครเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง โดยรองประธานาธิบดีอย่าง กมลา แฮร์ริส จะยังเป็นตัวแทนลงแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งอีกครั้ง[ 69] [ 70] ส่งผลให้พรรครีพับลิกันวิจารณ์แฮร์ริสในประเด็นต่าง ๆ รุนแรงขึ้น[ 71] นับตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นต้นมา คะแนนนิยมของไบเดินต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ชาวอเมริกันจำนวนมากวิจารณ์ถึงความล้มเหลวของไบเดินในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แม้จะมีอัตราจ้างงานสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเคยมีการคาดเดาว่าเขาอาจตัดสินใจไม่ลงสมัครเป็นครั้งที่สอง[ 72] สมาชิกพรรค และนักการเมืองที่มีชื่อเสียงจากเดโมแครตหลายคน เช่น แคโรลีน บี. มาโลนีย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมถึง ทิม ไรอัน สมาชิกจากรัฐโอไฮโอ ตอบสนองต่อข้อกังวลดังกล่าว และพยายามโน้มน้าวให้ไบเดินล้มเลิกความตั้งใจในการลงสมัคร[ 73] [ 74] [ 75] ไบเดินยังได้รับการวิจารณ์ในกรณีอายุและสุขภาพของเขา โดยหากเขาชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาจะมีอายุครบ 82 ปี และจะมีครบ 86 ปีเมื่อดำรงตำแหน่งครบวาระ[ 76] จากผลสำรวจโดยเอ็นบีซี ระบุว่า ชาวอเมริกันกว่า 70% ซึ่งในที่นี้รวมถึง 51% ที่สนับสนุนพรรคเดโมแครต มีความเห็นว่าไบเดินไม่ควรลงสมัครในครั้งนี้ กว่าครึ่งหนึ่งแสดงความกังวลเกี่ยวกับอายุของเขา[ 77]
มาเรียนน์ วิลเลียมสัน นักเขียนชื่อดังจากรัฐเท็กซัส ประกาศลงสมัครในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2566 ไม่นานก่อนการประกาศของไบเดิน ต่อมา ในเดือนเมษายน โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์ หลานชายของอดีตประธานาธิบดีชื่อดัง จอห์น เอฟ. เคนเนดี ประกาศลงชิงตำแหน่ง[ 78] [ 79] [ 80] อย่างไรก็ตาม เขาได้รับการวิจารณ์ในกรณีรณรงค์ต่อต้านการฉีดวัคซีน ต่อมาในเดือนตุลาคม เขาถอนตัวจากการสมัครในฐานะพรรคเดโมแครต และหันไปลงสมัครในนามอิสระ
พรรครีพับลิกัน
ดอนัลด์ ทรัมป์ แพ้การเลือกตั้งในปี 2563 ส่งผลให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 5 ที่มีสิทธิลงสมัครในวาระที่สองแบบไม่ต่อเนื่องกัน และหากชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ต่อจาก โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในปี 2434 ที่ดำรงตำแหน่งสองวาระแบบไม่ต่อเนื่องกัน[ 88] ทรัมป์เปิดตัวแคมเปญอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565[ 89] เขาประกาศว่าหากเขาชนะการหยั่งเสียงเพื่อเป็นตัวแทนพรรค เขาจะไม่เสนอชื่อ ไมก์ เพนซ์ เป็นรองประธานาธิบดีอีก ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดนับตั้งแต่สิ้นสุดการเลือกตั้งปี 2563 ทรัมป์ตกเป็นประเด็นทางสังคมอีกครั้งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 เมื่อเขาถูกกกล่าวหาว่าจ่ายเงินปิดปาก สตอร์มมี แดเนียลส์ นักแสดงหนังผู้ใหญ่ เพื่อให้เธอปกปิดการให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอและทรัมป์[ 90] เขาถูกฟ้องร้องอีกครั้งในเดือนมิถุนายน ในข้อหาการจัดการเอกสารราชการ อย่างลับ ๆ ซึ่งมีผลต่อความมั่นคงแห่งชาติ ทรัมป์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา[ 91] [ 92] ศาลสูงสุดแห่งรัฐโคโลราโด วินิจฉัยว่าทรัมป์ขาดคุณสมบัติในการรับตำแหน่งในรัฐบาลกลางสหรัฐ ในความผิดฐานปลุกระดมให้ผู้สนับสนุนก่อความไม่สงบ รวมถึงการขัดขวางกระบวนการรับรองนายไบเดินภายหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2563 ตามด้วยเหตุจลาจลในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564
รอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2567 ก่อนจะถอนตัวในเดือนมกราคม 2567 และหันไปสนับสนุนดอนัลด์ ทรัมป์
รอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของทรัมป์ เขาได้รับคะแนนนิยมและเสียงตอบรับอย่างดีในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และมีคะแนนนิยมสูงกว่าทรัมป์ในช่วงปลายปี[ 93] [ 94] [ 95] ในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เดอซานติส เผยแพร่บทสนทนาระหว่างเขาและอีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง ซีอีโอ และหัวหน้าวิศวกร ของสเปซเอ็กซ์ ใจความว่า "ความเสื่อมถอยของสหรัฐมิใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากแต่เป็นทางเลือก...ผมลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อเป็นผู้นำในการนำความยิ่งใหญ่คืนสู่ประเทศอีกครั้ง"[ 96] เขาให้สัมภาษณ์กับรายการทอล์กโชว์ชื่อดังอย่าง Fox & Friends ว่าจะทำลายกลุ่มคนฝ่ายซ้าย ในสหรัฐ[ 97] อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 ชี้ให้เห็นว่าทรัมป์กลับมามีคะแนนนิยมเหนือผู้สมัครคนอื่น[ 98]
นิกกี เฮลีย์ อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และ ผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา ถือเป็นผู้สมัครที่มีคะแนนนิมยมเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566[ 99] ต่อมา ในเดือนมกราคมปี 2567 เดอซานติสประกาศถอนตัว และหันไปให้การสนับสนุนทรัมป์แทน
อ้างอิง
↑ "Election Planning Calendar" (PDF) . essex-virginia.org . Essex County, Virginia . เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ February 7, 2016. สืบค้นเมื่อ February 6, 2016 .
↑ Din, Benjamin (March 25, 2021). "Biden: 'My plan is to run for reelection' in 2024" . Politico (ภาษาอังกฤษ). เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ July 28, 2021. สืบค้นเมื่อ July 19, 2021 .
↑ "Harris says she'll 'earn' nomination as Biden steps aside" . The Washington Post. สืบค้นเมื่อ July 21, 2024 .
↑ Singman, Brooke (November 7, 2022). "Donald Trump announces 2024 re-election run for president" . Fox News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ November 16, 2022. สืบค้นเมื่อ November 16, 2022 .
↑ Gold, Michael; Nehamas, Nicholas (March 13, 2024). "Donald Trump and Joe Biden Clinch Their Party Nominations" . The New York Times . ISSN 0362-4331 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ March 13, 2024. สืบค้นเมื่อ March 13, 2024 .
↑ "Trump back on ballot in Colorado while state Republicans appeal ban to Supreme Court - CBS News" . www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2023-12-28.
↑ Freiman, Jordan; Kaufman, Katrina; Kazarian, Grace (2023-12-29). "Maine secretary of state disqualifies Trump from primary ballot - CBS News" . www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ "Trump says he will renew efforts to replace 'Obamacare' if he wins a second term" . AP News (ภาษาอังกฤษ). 2023-11-27.
↑ Manchester, Julia (2023-01-29). "Republicans see education as winning issue in 2024" . The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ "Will 2024 Be About the Economy, or the Candidates?" . Cook Political Report (ภาษาอังกฤษ). 2023-03-02.
↑ Ward, Alexander; Berg, Matt (2023-10-20). "2024: The foreign policy election?" . POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
↑ News, A. B. C. "Here's where the 2024 presidential candidates stand on LGBTQ+ issues" . ABC News (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Trump's 'dictator' remark puts 2024 campaign right where Biden wants it" . POLITICO (ภาษาอังกฤษ). 2023-12-07.
↑ "Americans agree that the 2024 election will be pivotal for democracy, but for different reasons" . AP News (ภาษาอังกฤษ). 2023-12-15.
↑ "US Election guide: how does the election work?" . The Daily Telegraph . November 6, 2012. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ November 10, 2015. สืบค้นเมื่อ October 29, 2015 .
↑ Samuels, Brett (2022-06-13). "Trump releases 12-page response to Jan. 6 hearing" . The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ "Trump demands 'new election immediately' in bizarre post on Truth Social" . The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2022-08-29.
↑ 264. "How Bad Could the 2024 Election Be? | Brennan Center for Justice" . www.brennancenter.org (ภาษาอังกฤษ). {{cite web }}
: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์ )
↑ Gambino, Lauren (2023-11-05). "With the US election a year away, most Americans don't want Biden or Trump" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ "Republicans switched gears to focus on issues such as inflation and crime that poll highest among voter concerns" . NBC News (ภาษาอังกฤษ). 2022-11-07.
↑ "Is Our Democracy Under Threat?" . www.rutgers.edu (ภาษาอังกฤษ).
↑ Dorman, John L. "Six battleground states will hold the key to the White House in 2024" . Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ "North Carolina may be the hottest political battleground of 2024" . The Economist . ISSN 0013-0613 . สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ "Biden wins Minnesota, continuing decades-long Democratic streak" . MinnPost (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2020-11-04.
↑ Smith, David (2021-03-08). " 'We're making our way': how Virginia became the most progressive southern state" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ "The Rise of College-Educated Democrats" . Manhattan Institute (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Who Votes Republican? | RealClearPolitics" . www.realclearpolitics.com .
↑ "Trump's 'dictator' remark puts 2024 campaign right where Biden wants it" . POLITICO (ภาษาอังกฤษ). 2023-12-07.
↑ Stone, Peter (2023-11-22). " 'Openly authoritarian campaign': Trump's threats of revenge fuel alarm" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ Mizelle, Shawna (2023-02-22). "Lawmakers in 32 states have introduced bills to restrict voting so far this legislative session | CNN Politics" . CNN (ภาษาอังกฤษ).
↑ Skelley, Geoffrey (2021-05-17). "How The Republican Push To Restrict Voting Could Affect Our Elections" . FiveThirtyEight (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ Siders, David (2020-04-02). "How the coronavirus is shaping the 2024 presidential race" . POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Global surge in inflation" . Deloitte Insights (ภาษาอังกฤษ).
↑ "The chief economist at Moody's thinks that Russia's invasion of Ukraine accounts for over a third of U.S. inflation – and that COVID stimulus had almost no impact" . Fortune (ภาษาอังกฤษ).
↑ Enten, Harry (2021-12-21). "Biden's economic ratings are worse than Carter's | CNN Politics" . CNN (ภาษาอังกฤษ).
↑ Panetta, Grace (2023-04-25). "Biden's reelection could hinge on how much women voters trust him on the economy" . The 19th (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ Panetta, Grace (2023-05-08). "Why child care can't be overlooked as an issue in 2024" . The 19th (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ "Trump signs tax cut bill, first big legislative win" . NBC News (ภาษาอังกฤษ). 2017-12-22.
↑ Ewing, Giselle Ruhiyyih (2023-06-03). "Biden signs debt ceiling bill" . POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
↑ Hagen, Lydia Wheeler and Lisa (2017-01-30). "Trump signs '2-for-1' order to reduce regulations" . The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ Minsky, Adam S. "$132 Billion In Student Loan Forgiveness Approved: Who Qualifies, And What's Next" . Forbes (ภาษาอังกฤษ).
↑ House, The White (2022-08-24). "FACT SHEET: President Biden Announces Student Loan Relief for Borrowers Who Need It Most" . The White House (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ "Biden moves quickly in effort to reassure young voters on student loans" . NBC News (ภาษาอังกฤษ). 2023-06-30.
↑ "The Supreme Court rejects Biden's plan to wipe away $400 billion in student loan debt" . AP News (ภาษาอังกฤษ). 2023-06-30.
↑ Potts, Monica (2023-06-30). "The Supreme Court Killed Biden's Student Loan Forgiveness Plan. What Does That Mean For 2024?" . FiveThirtyEight (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ Wilson, Reid (2021-06-23). "GOP sees critical race theory battle as potent midterm weapon" . The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ Asmelash, Leah (2021-05-05). "A school district tried to address racism, a group of parents fought back" . CNN (ภาษาอังกฤษ).
↑ Ellyatt, Amanda Macias,Holly (2023-09-06). "Blinken announces $1 billion Ukraine aid package during surprise visit" . CNBC (ภาษาอังกฤษ).
↑ Liptak, Kevin (2023-02-20). "Biden makes surprise visit to Ukraine for first time since full-scale war began | CNN Politics" . CNN (ภาษาอังกฤษ).
↑ Lukpat, Alyssa. "Biden, Trump and the 2024 Election: What to Know" . WSJ (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ Brownstein, Ronald (2023-03-28). "In 2024, Republicans may complete a historic foreign policy reversal | CNN Politics" . CNN (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Vivek Ramaswamy Proposes 'Major Concessions to Russia' in Contentious Interview With ABC's Martha Raddatz" . Mediaite (ภาษาอังกฤษ). 2023-06-04.
↑ Baker, Peter (2023-10-10). "In Unforgiving Terms, Biden Condemns 'Evil' and 'Abhorrent' Attack on Israel" . The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331 . สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ Shear, Michael D.; Demirjian, Karoun (2023-10-20). "Biden Requests $105 Billion Aid Package for Israel, Ukraine and Other Crises" . The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331 . สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ DeChalus, Camila (2024-01-27). "Biden's Gaza problems are deeper than just being interrupted in public | CNN Politics" . CNN (ภาษาอังกฤษ).
↑ Samuels, Brett (2023-11-28). "Trump gives mixed messages on how he'd handle Israel-Hamas war" . The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ Bradner, Eric (2023-09-12). "2024 GOP contenders clash over Covid-19 records as they warn against future mandates | CNN Politics" . CNN (ภาษาอังกฤษ).
↑ Nehamas, Nicholas; Mazzei, Patricia (2023-05-17). "DeSantis Signs Tall Stack of Right-Wing Bills as 2024 Entrance Nears" . The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331 . สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ Leonhardt, David (2024-01-17). "A 2024 Vulnerability" . The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331 . สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ "America's immigration policies are failing" . The Economist . ISSN 0013-0613 . สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ Ebrahimji, Alisha (2023-12-30). "Texas is sending asylum seekers to major cities by bus with little notice. A coalition of mayors implement new rules to slow the surge" . CNN (ภาษาอังกฤษ).
↑ "MSN" . www.msn.com .
↑ "The Green Papers 2024 Presidential Primaries" . The Green Papers .
↑ "Statement of Candidacy" (PDF) . docquery.fec.gov . April 25, 2023. เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ April 25, 2023. สืบค้นเมื่อ April 25, 2023 .
↑ Frazier, Kierra (September 13, 2023). "Columnists call for Biden to drop Harris, pick new running mate" . POLITICO (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ January 24, 2024 .
↑ Gittleson, Ben; Nagle, Molly (April 25, 2023). "Joe Biden announces he is running for president again, setting up possible Trump rematch" . ABC News . สืบค้นเมื่อ April 25, 2023 .
↑ "Statement of Candidacy" . docquery.fec.gov . October 26, 2023. สืบค้นเมื่อ October 26, 2023 .
↑ Lebowitz, Megan (October 26, 2023). "Democratic Rep. Dean Phillips launches a White House bid, challenging Biden" . NBC News (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ October 27, 2023 .
↑ "President Joe Biden launches 2024 re-election campaign" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2023-04-25. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ Rafford, Claire (2022-01-19). "Biden commits to Harris as his running mate for 2024" . POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
↑ Garrison, Joey. "VP Kamala Harris becomes Republicans' go-to target after Biden launches 2024 reelection bid" . USA TODAY (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ Gangitano, Alex (2021-11-18). "Harris says 2024 is 'absolutely not' being discussed yet with Biden" . The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ Watson, Kathryn (2022-08-15). "Rep. Carolyn Maloney says "off the record," Biden is "not running again" - CBS News" . www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ Vakil, Caroline (2022-06-23). "SC Democratic governor candidate says Biden shouldn't run in 2024 due to age" . The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ Reimann, Nicholas. "Rep. Tim Ryan Suggests Biden Shouldn't Run In 2024—Joining These Other Democrats" . Forbes (ภาษาอังกฤษ).
↑ News, A. B. C. "Biden tells ABC's David Muir 'yes' he'll run again, Trump rematch would 'increase the prospect' " . ABC News (ภาษาอังกฤษ).
↑ Silver, Nate (2021-01-28). "How Popular Is Joe Biden?" . FiveThirtyEight (ภาษาอังกฤษ).
↑ Brooks, Rebecca Klar, Emily (2023-07-20). "RFK Jr. hearing puts censorship, misinformation fights at center stage" . The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ News, A. B. C. "Robert F. Kennedy Jr. launches long shot presidential bid as a Democrat" . ABC News (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Auschwitz Memorial says RFK Jr. speech at anti-vaccine rally exploits Holocaust tragedy | TheHill" . web.archive.org . 2022-01-24. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-24. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .{{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ "The Green Papers 2024 Presidential Primaries" . The Green Papers .
↑ "Statement of Candidacy" (PDF) . docquery.fec.gov . November 15, 2022. เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ November 20, 2022. สืบค้นเมื่อ December 6, 2022 .
↑ "Statement of Candidacy" (PDF) . docquery.fec.gov . December 8, 2022. เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ February 14, 2023. สืบค้นเมื่อ February 14, 2023 .
↑ "Statement of Candidacy" (PDF) . docquery.fec.gov . December 11, 2023. สืบค้นเมื่อ January 12, 2023 .
↑ Singman, Brooke (November 15, 2022). "Donald Trump announces 2024 re-election run for president" . Fox News . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ November 16, 2022. สืบค้นเมื่อ November 15, 2022 .
↑ "Statement of Candidacy" (PDF) . docquery.fec.gov . February 14, 2023. เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ February 16, 2023. สืบค้นเมื่อ February 16, 2023 .
↑ Burlij, Terence; Sullivan, Kate (February 14, 2023). "Nikki Haley announces 2024 White House bid" . CNN . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ February 14, 2023. สืบค้นเมื่อ February 14, 2023 .
↑ Zeitz, Joshua (2022-11-15). "4 Ex-Presidents Who Ran Again — And What They Mean for Trump" . POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
↑ Bravender, Robin. "A top campaign strategist for Ted Cruz and Glenn Youngkin says 'if Trump runs, Trump will be the nominee' in 2024" . Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
↑ Mangan, Dan (2023-03-30). "Trump indicted by New York grand jury, and he's due in court Tuesday" . CNBC (ภาษาอังกฤษ).
↑ CNN, By <a href="/profiles/aditi-sandal">Aditi Sangal</a>, Mike Hayes, <a href="/profiles/tori-powell">Tori B. Powell</a>, <a href="/profiles/maureen-chowdhury">Maureen Chowdhury</a>, <a href="/profiles/elise-hammond">Elise Hammond</a>, <a href="/profiles/adrienne-vogt">Adrienne Vogt</a> and <a href="/profiles/tori-powell">Tori B. Powell</a> (2023-06-13). "June 13, 2023 Trump pleads not guilty in historic federal indictment" . CNN (ภาษาอังกฤษ).
↑ Leary, Aaron Zitner and Alex. "Trump Faces 2024 Split Screen of Campaign and Criminal Trials" . WSJ (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ "Trump Fundraising Slows For First Time In 18 Months, Trails DeSantis" . HuffPost (ภาษาอังกฤษ). 2022-07-16.
↑ Pengelly, Martin (2022-12-14). "Trump 'is in trouble', says insider after DeSantis surges in 2024 polls" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ "DeSantis builds his conservative resume as Trump flounders" . POLITICO (ภาษาอังกฤษ). 2022-12-15.
↑ "DeSantis launches GOP presidential campaign in Twitter announcement plagued by glitches" . AP News (ภาษาอังกฤษ). 2023-05-25.
↑ Pengelly, Martin (2023-05-30). "Ron DeSantis says he will 'destroy leftism' in US if elected president" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2024-02-08 .
↑ Wiederkehr, Ryan Best, Aaron Bycoffe, Ritchie King, Dhrumil Mehta and Anna (2018-06-28). "National : President: Republican primary : 2024 Polls" . FiveThirtyEight (ภาษาอังกฤษ).
↑ Kashinsky, Lisa (2023-11-10). "Chris Sununu: Vivek Ramaswamy 'would be a poor choice' for president" . POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/>
ที่สอดคล้องกัน