การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2567

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2567

← พ.ศ. 2563 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 พ.ศ. 2571 →

สมาชิกคณะผู้เลือกตั้ง 538 คน
ต้องการ 270 เสียงจึงชนะ
ผู้ใช้สิทธิTBD
กำลังรายงาน
99.1%
ณ เวลา 18:34, 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2024 EST
 
ผู้ได้รับเสนอชื่อ ดอนัลด์ ทรัมป์ กมลา แฮร์ริส
พรรค รีพับลิกัน เดโมแครต
รัฐเหย้า ฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย
คู่สมัคร เจดี แวนซ์ ทิม วอลซ์
คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 312 226
รัฐที่ชนะ 31+ ME-02 19+ DC + NE-02

แผนที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2567 คาดการณ์จากแผนที่ใน พ.ศ. 2563

ประธานาธิบดีก่อนการเลือกตั้ง

โจ ไบเดิน
พรรคเดโมแครต

ว่าที่ประธานาธิบดี

ดอนัลด์ ทรัมป์
พรรคริพับลิกัน

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2567 เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ 60 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะถูกจัดขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567[1] การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการจัดสรรคะแนนเสียงเลือกตั้งใหม่ตามการสำมะโนประชากรเมื่อ พ.ศ. 2563 โจ ไบเดิน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เคยประกาศเจตนารมณ์ในการลงสมัครเป็นสมัยที่ 2[2] แต่ได้ถอนตัวในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2567 เนื่องจากปัญหาทางสุขภาพประกอบกับกระแสความนิยมที่ลดลง และสนับสนุนให้กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามพรรคเดโมแครตแทน[3] โดยนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีถอนตัวจากการชิงตำแหน่งในสมัยที่ 2 นับตั้งแต่การถอนตัวของลินดอน บี. จอห์นสันในปี 2511 ส่วนดอนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ก็ลงสมัครเช่นกัน หลังพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2563[4] ที่ประชุมใหญ่พรรครีพับลิกันเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 รับรองทรัมป์ให้ลงชิงตำแหน่งในนามพรรค[5] โดยหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เขาจะกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่สองต่อจาก โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ที่ดำรงตำแหน่งสองสมัยแบบไม่ต่อเนื่องกัน

ในสหรัฐ การเลือกตั้งทั่วไปจะถูกจัดขึ้นหลังจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ทำการประชุมลับและเลือกผู้สมัครรอบแรกเพื่อเสนอชื่อเป็นประธานาธิบดี การเลือกตั้งมีกำหนดจัดขึ้นในวันเดียวกับการเลือกตั้งวุฒิสภา, การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร และการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น พ.ศ. 2567 ผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้จะเข้าสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568 ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 47

ศาลสูงสุดแห่งรัฐโคโลราโด และ เลขาธิการแห่งรัฐเมน มีมติตัดสิทธิทรัมป์จากการลงสมัครรับเลือกตั้งขั้นต้น โดยวินิจฉัยว่าทรัมป์ขาดคุณสมบัติในการรับตำแหน่งในรัฐบาลกลางสหรัฐ จากการมีส่วนเกี่ยวข้องกับความพยายามก่อความไม่สงบ รวมถึงการขัดขวางกระบวนการรับรองไบเดนซึ่งเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง พ.ศ. 2563 นำสู่เหตุจลาจลในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564 คำตัดสินดังกล่าวอยู่ระหว่างการอุทธรณ์[6][7] เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ทรัมป์รอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารขณะปราศรัยหาเสียง ณ เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย

การเลือกตั้งครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกภายหลังศาลสูงสุดหรือศาลฎีกา พิพากษายกเลิกคำตัดสินคดี Roe v Wade ที่เคยพิพากษาเมื่อ พ.ศ. 2516 ว่าการทำแท้งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ ขบวนการเรียกร้องสิทธิการทำแท้ง, การประกันสุขภาพ,[8] การศึกษา,[9] เศรษฐกิจ,[10] นโยบายด้านการต่างประเทศ,[11] นโยบายด้านผู้ลี้ภัยและการข้ามชายแดน, สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ,[12] และ ประชาธิปไตย[13] ล้วนแต่ได้รับการคาดหมายให้เป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียงครั้งนี้[14]

การเลือกตั้ง

กระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดี

มาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่า บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้นั้น จะต้องเป็นพลเมืองโดยกำเนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี และเป็นผู้พำนักในสหรัฐมาอย่างน้อย 14 ปี

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม นั่นคือ ในขั้นแรก ประชาชนจะเลือกผู้แทนเข้าไปทำหน้าที่ในคณะผู้เลือกตั้ง จากนั้น คณะผู้เลือกตั้งเหล่านี้จะเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีโดยตรง[15] ผู้สมัครประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 270 เสียง จึงจะถือว่าชนะการเลือกตั้ง

หากไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนครบ 270 เสียง จะมีการเลือกประธานาธิบดีในรัฐสภาแทน โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะทำการเลือกประธานาธิบดีจากผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด 3 คน ส่วนวุฒิสภาจะทำหน้าที่เลือกรองประธานาธิบดีจากผู้สมัครที่ได้รับคะแนนรวมสูงสุด 2 คน การเลือกตั้งประธานาธิบดีจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันกับการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งวุฒิสภา รวมทั้งการเลือกตั้งระดับรัฐและระดับท้องถิ่น

การแทรกแซงการเลือกตั้ง

ดอนัลด์ ทรัมป์ประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งปี 2563 ซึ่งตนแพ้นายโจ ไบเดิน โดยอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งอย่างกว้างขวาง และยังคงปฏิเสธการยอมรับผลการเลือกตั้งถึงปัจจุบัน[16][17] ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านแสดงข้อกังวลว่า เจ้าหน้าที่รัฐซึ่งปฏิเสธผลการเลือกตั้งในครั้งที่แล้ว อาจพยายามขัดขวางกระบวนการลงคะแนน หรือปฏิเสธการยอมรับผลการเลือกตั้งในครั้งนี้[18]

การสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้งชี้ให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อสถานะความเป็นประชาธิปไตยของชาวอเมริกัน[19] กลุ่มเสรีนิยม (ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต) มีความเชื่อว่าพรรคอนุรักษนิยม และกลุ่มอนุรักษนิยมมีแนวโน้มคุกคามการเลือกตั้งด้วยวิธีแบบเผด็จการ รวมถึงความพยายามที่จะพลิกผลการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2563[20] ในขณะที่ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามพยายามขัดขวางการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของทรัมป์ด้วยวิธีต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการกล่าวโทษ และการฟ้องร้องต่อเจ้าหน้าที่รัฐในข้อหาต่าง ๆ[21]

แผนที่การเลือกตั้ง

แผนที่สหรัฐ แสดงที่ตั้งของรัฐต่าง ๆ รวมถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงซึ่งแสดงความนิยมของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละพื้นที่ในการเลือกตั้งปี 2559 และ 2563 โดยแบ่งตามสีแดงและน้ำเงิน ในขณะที่สีเทาแสดงถึงรัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งในปี 2563

ในการเลือกตั้งนับตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา การแข่งขันในรัฐส่วนใหญ่ไม่สูสีเท่าที่ควร เนื่องจากความชัดเจนในทัศนคติของประชากร และสภาพสังคม โดยรัฐทางภูมิภาคตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ เช่น เท็กซัส, ลุยเซียนา, เคนทักกี, เนแบรสกา และ โอคลาโฮมา ล้วนแต่มีความเป็นอนุรักษนิยมอย่างชัดเจน ในขณะที่รัฐขนาดใหญ่ทางภูมิภาคตะวันออกและตะวันตก มีแนวโน้มความเป็นเสรีนิยมสูง เช่น แคลิฟอร์เนีย, นิวยอร์ก และ แมสซาชูเซตส์ จากการมีผู้อพยพพลัดถิ่น และคนรุ่นใหม่จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม มีหลายรัฐที่คะแนนนิยมของผู้สมัครและผลคะแนนค่อนข้างสูสี เช่น มิชิแกน, เพนซิลวาเนีย, จอร์เจีย, เนวาดา, แอริโซนา, โอไฮโอ และ วิสคอนซิน รัฐเหล่านี้ล้วนได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดผลการเลือกตั้ง[22]

รัฐนอร์ทแคโรไลนา ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นอีกหนึ่งสมรภูมิสำคัญ เนื่องจากผลการเลือกตั้งครั้งก่อนที่เป็นไปอย่างสูสีซึ่งทรัมป์เอาชนะไบเดินไปด้วยความห่างเพียง 1.34%[23] ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า รัฐสำคัญอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไอโอวา และ ฟลอริดา มีแนวโน้มสูงที่จะสนับสนุนพรรครีพับลิกัน ในขณะที่รัฐโคโลราโด, นิวเม็กซิโก และเวอร์จิเนีย สนับสนุนพรรคเดโมแครต[24][25]

นับเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ ที่พรรคเดโมแครตสามารถรักษาฐานเสียงได้ดีในกลุ่มประชากรผิวสี, ผู้อพยพเข้าเมือง และพลเมืองอเมริกันที่สืบเชื้อสายจากภูมิภาคอื่น ๆ เช่น อเมริกาใต้, แอฟริกัน และเอเชีย (โดยเฉพาะจีน อินเดีย และ ชาวมุสลิม) รวมถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นนักศึกษา, ผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก, ประชากรวัยทำงานที่มีรายได้ต่ำ-ปานกลาง และประชากรในเขตเมือง[26] ในขณะที่ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ก็คือประชากรผิวขาว, ผู้มีรายได้สูง รวมถึงในเขตชนบท และ ผู้สูงอายุ[27] นอกจากนี้ ชนชั้นกลางมีแนวโน้มสนับสนุนพรรครีพับลิกันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ความนิยมดังกล่าวได้รับผลกระทบในหลายพื้นที่ อันเนื่องมาจากการถือกำเนิดขึ้นของกลุ่มขบวนการการเมืองใหม่ในชื่อ "Tea Party" หรือ “กลุ่มน้ำชา” ซึ่งเป็นกลุ่มอนุรักษนิยมเชิงเสรีนิยม แนวคิดดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่ดินแดนของสหรัฐยังอยู่ใต้อาณานิคมของสหราชอาณาจักรเมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้ว การเติบโตของกลุ่มดังกล่าวนับว่าเป็นผลดีต่อผู้สมัครจากเดโมแครต เช่น ฮิลลารี คลินตัน และประธานาธิบดีคนล่าสุดอย่างไบเดิน โดยคะแนนนิยมของทรัมป์ในย่านชานเมืองน้อยลงจากผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันคนอื่น ๆ

การหาเสียง

อดีตประธานาธิบดี ดอนัลด์ ทรัมป์ ขณะหาเสียงในรัฐนิวแฮมป์เชอร์ ปี 2566

ประเด็นสำคัญ

การเรียกร้องประชาธิปไตย

การเลือกตั้งครั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดินถูกคาดหวังให้ตีกรอบและกำหนดแนวทางการเลือกตั้งว่าเป็น "การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย" ซึ่งคล้ายกับการวางกรอบภูมิรัฐศาสตร์ร่วมสมัย โดยเปรียบเสมือนการต่อสู้ระหว่างขั้วประชาธิปไตยและเผด็จการ ตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง ไบเดินกล่าวสุนทรพจน์สำคัญหลายครั้งเพื่ออ้างถึงหลักประชาธิปไตยในประเทศ และเปรียบเทียบการเลือกตั้งว่าเป็น "การต่อสู้เพื่อจิตวิญญาณของพลเมืองอเมริกัน และประเทศชาติ" ถือเป็นข้อความสำคัญในการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2563 และใช้เป็นประโยคประจำตัวในการกล่าวสุนทรพจน์ของเขานับตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา[28]

ในทางกลับกัน การรณรงค์หาเสียงของทรัมป์นับตั้งแต่ปี 2559 ถูกวิจารณ์เชิงลบโดยเฉพาะการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและนโยบายที่สุดโต่ง[29] ทรัมป์ปฏิเสธการยอมรับผลการเลือกตั้งปี 2563 และมีการเสนอข่าวว่าเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อ "พลิกผลการเลือกตั้ง" รวมถึงกระแสที่ว่าเขาต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญ รวมถึงการใช้กระทรวงยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางกฎหมายเพื่อพลิกผลการเลือกตั้ง คำกล่าวอ้างของทรัมป์กรณีการโกงเลือกตั้งปี 2563 ก่อให้เกิดข้อกังวลต่อสถานะความเป็นประชาธิปไตยในประเทศ[30][31]

ประชาธิปไตยมีแนวโน้มจะเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงรวมถึงการดีเบตในปี 2567 ผลสำรวจโดย AP-NORC ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 4 ธันวาคม 2566 ระบุว่า 62% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความเห็นว่าสถานะความเป็นประชาธิปไตยของสหรัฐยังไม่แน่นอน โดยขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งปี 2567

เศรษฐกิจ

นิกกี เฮลีย์รัฐไอโอวา เดือนมกราคมปี 2567

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่เห็นว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในประเด็นหลักในการหาเสียงครั้งนี้ การระบาดทั่วของโควิด-19 ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะยังไม่คลี่คลายลงในปี 2567[32] ช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงเริ่มต้นในปี 2564 ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมถึงโรคระบาดและวิกฤตห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งต่อมาทวีความรุนแรงมากขึ้นโดยเป็นผลจากการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย พ.ศ. 2565[33][34]

นับตั้งแต่ปี 2564 ผลสำรวจแสดงถึงความคิดเห็นในเชิงลบที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของไบเดิน[35] ประชากรหญิงจำนวนมากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจตั้งแต่มีการระบาดของไวรัสโคโรนา เนื่องจากต้องลาออกจากงานเพื่อดูแลบุตร[36] รัฐบาลกลางมีมาตรการเยียวยาปัญหาดังกล่าวด้วยการเสนอมาตรการดูแลเด็ก รวมถึงการขยายเครดิตภาษีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ American Rescue Plan โดยเป็นมาตรการที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของผู้ปกครอง แต่มาตรการดังกล่าวกำลังจะสิ้นสุดก่อนการเลือกตั้งปี 2567[37] ในระหว่างดำรงตำแหน่ง ทรัมป์และไบเดินลงนามในกฎหมายสำคัญหลายฉบับเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ[38][39][40]

การศึกษา

ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง ไบเดินมีนโยบายผ่อนปรนการชำระเงินกู้ให้แก่นักศึกษาเป็นจำนวนเงิน 1.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[41] ความช่วยเหลือดังกล่าวยังรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ และบุคคลทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากการค้างชำระหนี้เป็นเวลานาน ในเดือนสิงหาคมปี 2565 ไบเดินประกาศว่าเขาจะลงนามในคำสั่งที่จะยกหนี้ให้แก่นักศึกษาจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงหนี้จากการกู้เงินจำนวนรวม 10,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาที่เป็นโสดซึ่งมีรายได้น้อยกว่า 125,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือคู่สมรสที่มีรายได้น้อยกว่า 250,000 ดอลลาร์ และ 20,000 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลาง (Pell Grant) ที่มอบให้กับนักเรียนที่ต้องการใช้จ่ายเงินเพื่อเข้าเรียนในวิทยาลัย[42][43] อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวถูกยกเลิกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 จากคำตัดสินของศาลฎีกาในคดี Biden v. Nebraska ซึ่งถูกท้าทายโดยผู้แทนจากหลายรัฐ[44][45] นโยบายดังกล่าวถูกวิจารณ์จากสมาชิกพรรครีพับลิกันส่วนมาก เนื่องจากเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ

ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันหลายรายมองว่านโยบายทางการศึกษาจะนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งถัดไป รัฐหลายแห่งในสหรัฐออกกฎหมายปกป้องการวิจารณ์เชื้อชาติ ซึ่งทำให้นักศึกษาได้รับเสรีภาพทางความคิดกรณีความแตกต่างทางเชื้อชาติมากขึ้น ผู้สนับสนุนกฎหมายดังกล่าวมีความเห็นว่าการสนทนาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติ ไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปในสถานศึกษา[46][47]

นโยบายการต่างประเทศ

ประธานาธิบดีโจ ไบเดิน และ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ถ่ายเมื่อเดือนตุลาคมปี 2566

เหตุการณ์สำคัญในปัจจุบันอย่างสงครามอิสราเอล–ฮะมาส พ.ศ. 2566 และ การรุกรานยูเครน มีแนวโน้มเป็นประเด็นหลักในการเลือกตั้ง สหรัฐให้ความช่วยเหลือทางการทหารและมนุษยธรรมแก่ยูเครนอย่างเปิดเผยตลอดช่วงการรุกรานโดยรัสเซีย[48][49] นักการเมืองจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจำนวนมากสนับสนุนแผนนี้ โดยอ้างว่าสหรัฐมีบทบาทสำคัญใน "การปกป้องประชาธิปไตยและต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซีย"[50] ในขณะที่ผู้แทนจากรีพับลิกันบางราย เช่น ทรัมป์ และ เดอซานติสมองว่าการแทรกแซงดังกล่าวและการแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซียไม่ควรเป็นผลประโยชน์ที่สำคัญของสหรัฐ และแผนดังกล่าวควรมีข้อจำกัดมากขึ้น[51]

วิเวก รามสวามี จากพรรครีพับลิกันแสดงจุดยืนต่อต้านการให้ความช่วยเหลือยูเครน และควรยอมรับการรุกรานของรัสเซีย[52] ในช่วงสงครามอิสราเอล-ฮะมาส ไบเดินได้ให้การสนับสนุนทางทหารต่ออิสราเอลอย่าง "เปิดเผย" และประณามการกระทำของฮะมาสและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์อื่น ๆ ว่าเป็นการก่อการร้าย[53] ไบเดินร้องขอต่อที่ประชุมในสภาคองเกรสให้ช่วยเหลืออิสราเอลเป็นจำนวนเงิน 10.6 พันล้านดอลลาร์[54] การสนับสนุนดังกล่าวทำให้ไบเดินถูกวิจารณ์โดยผู้นำกลุ่มมุสลิมหัวก้าวหน้าหลายราย โดยพวกเขาขู่ว่าจะไม่ลงคะแนนให้ไบเดิน[55] ในขณะที่ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนอิสราเอล และควบคุมอำนาจของอิหร่าน ในขณะเดียวกันก็วิจารณ์นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู และยกย่องกลุ่มฮิซบุลลอฮ์[56]

การประกันสุขภาพ

ในวาระดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ยกเลิกรัฐบัญญัติคุ้มครองผู้ป่วยและการบริบาลที่เสียได้ หรือที่รู้จักในชื่อ โอบามาแคร์ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประเด็นนโยบายด้านสุขภาพและยารักษาโรค รวมถึงการตั้งคำถามในกรณีที่สหรัฐควรเปลี่ยนมาใช้ระบบการรักษาพยาบาลแบบสากล รวมถึงแนวโน้มการกลับมาระบาดของโควิด-19 จะเป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียงครั้งนี้เช่นกัน[57]

สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักการเมืองสายอนุรักษนิยมจำนวนหนึ่งในสภานิติบัญญัติได้ออกร่างกฎหมายที่จำกัดสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะคนข้ามเพศ ไบเดินรับรองกฎหมายการสมรสของเพศเดียวกัน และสนับสนุนกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ นอกจากนี้ เขาได้รับรองพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งขยายพระราชบัญญัติสิทธิพลเมือง พ.ศ. 2507 เพื่อให้การคุ้มครองบนพื้นฐานของอัตลักษณ์ทางเพศและรสนิยมทางเพศในบริบทต่าง ๆ เช่น ในสถานที่ทำงาน ที่อยู่อาศัย และการดูแลสุขภาพ ต่อมา ในปี 2566 ไบเดินมีคำสั่งให้รัฐบาลกลางวางแผนเชิงกลยุทธ์แก่รัฐต่าง ๆ เกี่ยวกับวิธีการเพิ่มการเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านการรักษาพยาบาล และการป้องกันการฆ่าตัวตายสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ

ในระหว่างการหาเสียงของทรัมป์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2566 เขากล่าวว่าหากได้รับการเลือกตั้งอีกครั้ง เขาจะเสนอกฎหมายในนามรัฐบาลกลางเพื่อให้การรับรองบุคคลเพียงสองเพศเท่านั้น และยังกล่าวว่าการเป็นคนข้ามเพศถือเป็นแนวคิดที่ถูกสร้างขึ้นโดย "กลุ่มซ้ายจัด" ในขณะเดียวกัน อดีตผู้สมัครอย่างรอน เดอซานติส ลงนามในกฎหมายหลายฉบับในฐานะผู้ว่าการรัฐฟลอริดา เพื่อต่อต้านความคุ้มครองกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงพระราชบัญญัติสิทธิผู้ปกครองในด้านการศึกษาแห่งฟลอริดา ซึ่งนักวิจารณ์เรียกกันว่ากฎหมาย "ห้ามพูดคำว่าเกย์" ซึ่งห้ามไม่ให้มีการพูดถึงรสนิยมทางเพศ และอัตลักษณ์ทางเพศในที่สาธารณะในสถานศึกษาในรัฐฟลอริดา[58]

ความมั่นคงชายแดน และการอพยพเข้าเมือง

ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่านโยบายด้านชายแดนและการอพยพเข้าเมือง เป็นประเด็นที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสนใจ[59] ช่วงระหว่างปี 2566 และ 2567 มีรายงานว่าจำนวนผู้อพยพเข้าเมืองผ่านชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโกเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก[60] เพื่อตอบสนองต่อการเพิ่มจำนวนของผู้อพยพ รัฐที่เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรครีพับลิกัน เช่น เท็กซัส และฟลอริดา ได้ส่งตัวผู้อพยพไปยังเมืองใหญ่อื่น ๆ ซึ่งถูกควบคุมโดยพรรคเดโมแครต เช่น นิวยอร์ก และชิคาโก[61]

ดอนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอย่างชัดเจนว่าหากเขาได้รับการเลือกตั้งอีกครั้ง เขาจะเพิ่มความเข้มงวดในมาตรการการตรวจคนเข้าเมือง และปราบปรามผู้อพยพข้ามชายแดน รวมถึงการเพิ่มจำนวนทหารเพื่อรักษาความเรียบร้อยบริเวณชายแดน และมอบหมายให้รัฐที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นจำกัดจำนวนผู้อพยพ รวมถึงการเพิ่มงบประมาณด้านศุลกากรและการตระเวนชายแดน และการสร้างกำแพงในภูมิภาคตอนใต้ของประเทศ ในขณะที่ฝ่ายบริหารของไบเดินมีนโยบายคุ้มครองผู้อพยพจากประเทศอื่นโดยเฉพาะเม็กซิโกและประเทศใกลเคียง เช่น เวเนซูเอลา และ คิวบา รวมถึงประเทศที่ตั้งอยู่ไกลออกไปอย่างยูเครนซึ่งได้รับผลกระทบจากการรุกรานโดยรัสเซีย

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2567 ไบเดินและผู้แทนของรัฐสภาบรรลุข้อตกลงร่วมกัน เกี่ยวกับร่างกฎหมายเพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดน แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกคัดค้านโดยทรัมป์ ไบเดินตอบโต้พรรครีพับลิกันว่าเขาสามารถรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนได้ โดยไม่ต้องพึ่งการอนุมัติจากสภาคองเกรส ผู้สมัครอิสระอย่าง โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์ ให้การสนับสนุนมาตรการการเพิ่มความปลอดภัยทางชายแดนโดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบ หรือการดำเนินการโดยรัฐบาลกลาง[62]

ผู้สมัคร

พรรคเดโมแครต

ผู้สมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2567 ในนามพรรคเดโมแครต
ชื่อ สถานที่เกิด ประสบการณ์ ภูมิลำเนา
การประกาศแคมเปญ
รัฐที่ชนะการหยั่งเสีย Delegates won Total popular vote[63] ผู้สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดี อ้างอิง

โจ ไบเดิน
20 พฤศจิกายน 2485
สแครนตัน, เพนซิลเวเนีย
ประธานาธิบดีสหรัฐ
(2564–ปัจจุบัน),

รองประธานาธิบดีสหรัฐ
(2552–2560),
สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐจาก รัฐเดลาแวร์
(2516–2552)
เดลาแวร์

Campaign

25 เมษายน 2566
FEC filing[64]
Website

4
(NH, SC, NV, DE)
91 205,450 (85.7%) Kamala Harris[65] [66]

ดีน ฟิลลิปส์
20 มกราคม 2512
เซนต์ พอล, มินนิโซตา
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
(2562–ปัจจุบัน),

กรรมการบริหาร

Phillips Distilling Company
(2543–2555)

มินนิโซตา

Campaign

26 ตุลาคม 2566
FEC filing[67]
Website เก็บถาวร 2024-05-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน

None 0 26,616 (11.1%) None [68]

ในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2566 โจ ไบเดิน ประกาศลงสมัครเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง โดยรองประธานาธิบดีอย่าง กมลา แฮร์ริส จะยังเป็นตัวแทนลงแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งอีกครั้ง[69][70] ส่งผลให้พรรครีพับลิกันวิจารณ์แฮร์ริสในประเด็นต่าง ๆ รุนแรงขึ้น[71] นับตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นต้นมา คะแนนนิยมของไบเดินต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ชาวอเมริกันจำนวนมากวิจารณ์ถึงความล้มเหลวของไบเดินในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แม้จะมีอัตราจ้างงานสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเคยมีการคาดเดาว่าเขาอาจตัดสินใจไม่ลงสมัครเป็นครั้งที่สอง[72] สมาชิกพรรค และนักการเมืองที่มีชื่อเสียงจากเดโมแครตหลายคน เช่น แคโรลีน บี. มาโลนีย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมถึง ทิม ไรอัน สมาชิกจากรัฐโอไฮโอ ตอบสนองต่อข้อกังวลดังกล่าว และพยายามโน้มน้าวให้ไบเดินล้มเลิกความตั้งใจในการลงสมัคร[73][74][75] ไบเดินยังได้รับการวิจารณ์ในกรณีอายุและสุขภาพของเขา โดยหากเขาชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ เขาจะมีอายุครบ 82 ปี และจะมีครบ 86 ปีเมื่อดำรงตำแหน่งครบวาระ[76] จากผลสำรวจโดยเอ็นบีซี ระบุว่า ชาวอเมริกันกว่า 70% ซึ่งในที่นี้รวมถึง 51% ที่สนับสนุนพรรคเดโมแครต มีความเห็นว่าไบเดินไม่ควรลงสมัครในครั้งนี้ กว่าครึ่งหนึ่งแสดงความกังวลเกี่ยวกับอายุของเขา[77]

มาเรียนน์ วิลเลียมสัน นักเขียนชื่อดังจากรัฐเท็กซัส ประกาศลงสมัครในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2566 ไม่นานก่อนการประกาศของไบเดิน ต่อมา ในเดือนเมษายน โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์ หลานชายของอดีตประธานาธิบดีชื่อดัง จอห์น เอฟ. เคนเนดี ประกาศลงชิงตำแหน่ง[78][79][80] อย่างไรก็ตาม เขาได้รับการวิจารณ์ในกรณีรณรงค์ต่อต้านการฉีดวัคซีน ต่อมาในเดือนตุลาคม เขาถอนตัวจากการสมัครในฐานะพรรคเดโมแครต และหันไปลงสมัครในนามอิสระ

พรรครีพับลิกัน

ผู้สมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2567 ในนามพรรครีพับลิกัน
ชื่อ สถานที่เกิด ประสบการณ์ ภูมิลำเนา การประกาศแคมเปญ Bound
delegates
รัฐที่ชนะการหยั่งเสียง Popular
vote [81]
อ้างอิง

ดอนัลด์ ทรัมป์
14 มิถุนายน 2489
ควีนส์, นิวยอร์ก
ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45
(2560–2564)

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ เดอะทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น
(2514–2560)
ฟลอริดา[a]

Campaign
15 พฤศจิกายน 2565
FEC filing[82][83][84]
Website
33
(53.2%)
2
(IA, NH)
232,634 (53.5%) [85]

นิกกี เฮลีย์
20 มกราคม 2515
แบมเบิร์ก, รัฐเซาท์แคโรไลนา
เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติคนที่ 29
(2560–2561)

ผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา
(2554–2560)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐเซาท์แคโรไลนา
(2548–2554)
เซาท์แคโรไลนา

Campaign
14 กุมภาพันธ์ 2566
FEC filing[86]
Website
17
(27.4%)
0 182,775 (37.1%) [87]

ดอนัลด์ ทรัมป์แพ้การเลือกตั้งในปี 2563 ส่งผลให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 5 ที่มีสิทธิลงสมัครในวาระที่สองแบบไม่ต่อเนื่องกัน และหากชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ต่อจาก โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในปี 2434 ที่ดำรงตำแหน่งสองวาระแบบไม่ต่อเนื่องกัน[88] ทรัมป์เปิดตัวแคมเปญอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565[89] เขาประกาศว่าหากเขาชนะการหยั่งเสียงเพื่อเป็นตัวแทนพรรค เขาจะไม่เสนอชื่อ ไมก์ เพนซ์ เป็นรองประธานาธิบดีอีก ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดนับตั้งแต่สิ้นสุดการเลือกตั้งปี 2563 ทรัมป์ตกเป็นประเด็นทางสังคมอีกครั้งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 เมื่อเขาถูกกกล่าวหาว่าจ่ายเงินปิดปาก สตอร์มมี แดเนียลส์ นักแสดงหนังผู้ใหญ่ เพื่อให้เธอปกปิดการให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอและทรัมป์[90] เขาถูกฟ้องร้องอีกครั้งในเดือนมิถุนายน ในข้อหาการจัดการเอกสารราชการอย่างลับ ๆ ซึ่งมีผลต่อความมั่นคงแห่งชาติ ทรัมป์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา[91][92] ศาลสูงสุดแห่งรัฐโคโลราโด วินิจฉัยว่าทรัมป์ขาดคุณสมบัติในการรับตำแหน่งในรัฐบาลกลางสหรัฐ ในความผิดฐานปลุกระดมให้ผู้สนับสนุนก่อความไม่สงบ รวมถึงการขัดขวางกระบวนการรับรองนายไบเดินภายหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2563 ตามด้วยเหตุจลาจลในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564

รอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2567 ก่อนจะถอนตัวในเดือนมกราคม 2567 และหันไปสนับสนุนดอนัลด์ ทรัมป์

รอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของทรัมป์ เขาได้รับคะแนนนิยมและเสียงตอบรับอย่างดีในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และมีคะแนนนิยมสูงกว่าทรัมป์ในช่วงปลายปี[93][94][95] ในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เดอซานติส เผยแพร่บทสนทนาระหว่างเขาและอีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง ซีอีโอ และหัวหน้าวิศวกร ของสเปซเอ็กซ์ ใจความว่า "ความเสื่อมถอยของสหรัฐมิใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากแต่เป็นทางเลือก...ผมลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อเป็นผู้นำในการนำความยิ่งใหญ่คืนสู่ประเทศอีกครั้ง"[96] เขาให้สัมภาษณ์กับรายการทอล์กโชว์ชื่อดังอย่าง Fox & Friends ว่าจะทำลายกลุ่มคนฝ่ายซ้ายในสหรัฐ[97] อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 ชี้ให้เห็นว่าทรัมป์กลับมามีคะแนนนิยมเหนือผู้สมัครคนอื่น[98]

นิกกี เฮลีย์ อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และ ผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา ถือเป็นผู้สมัครที่มีคะแนนนิมยมเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566[99] ต่อมา ในเดือนมกราคมปี 2567 เดอซานติสประกาศถอนตัว และหันไปให้การสนับสนุนทรัมป์แทน

อ้างอิง

  1. "Election Planning Calendar" (PDF). essex-virginia.org. Essex County, Virginia. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ February 7, 2016. สืบค้นเมื่อ February 6, 2016.
  2. Din, Benjamin (March 25, 2021). "Biden: 'My plan is to run for reelection' in 2024". Politico (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 28, 2021. สืบค้นเมื่อ July 19, 2021.
  3. "Harris says she'll 'earn' nomination as Biden steps aside". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ July 21, 2024.
  4. Singman, Brooke (November 7, 2022). "Donald Trump announces 2024 re-election run for president". Fox News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 16, 2022. สืบค้นเมื่อ November 16, 2022.
  5. Gold, Michael; Nehamas, Nicholas (March 13, 2024). "Donald Trump and Joe Biden Clinch Their Party Nominations". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 13, 2024. สืบค้นเมื่อ March 13, 2024.
  6. "Trump back on ballot in Colorado while state Republicans appeal ban to Supreme Court - CBS News". www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2023-12-28.
  7. Freiman, Jordan; Kaufman, Katrina; Kazarian, Grace (2023-12-29). "Maine secretary of state disqualifies Trump from primary ballot - CBS News". www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  8. "Trump says he will renew efforts to replace 'Obamacare' if he wins a second term". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2023-11-27.
  9. Manchester, Julia (2023-01-29). "Republicans see education as winning issue in 2024". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  10. "Will 2024 Be About the Economy, or the Candidates?". Cook Political Report (ภาษาอังกฤษ). 2023-03-02.
  11. Ward, Alexander; Berg, Matt (2023-10-20). "2024: The foreign policy election?". POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
  12. News, A. B. C. "Here's where the 2024 presidential candidates stand on LGBTQ+ issues". ABC News (ภาษาอังกฤษ). {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  13. "Trump's 'dictator' remark puts 2024 campaign right where Biden wants it". POLITICO (ภาษาอังกฤษ). 2023-12-07.
  14. "Americans agree that the 2024 election will be pivotal for democracy, but for different reasons". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2023-12-15.
  15. "US Election guide: how does the election work?". The Daily Telegraph. November 6, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 10, 2015. สืบค้นเมื่อ October 29, 2015.
  16. Samuels, Brett (2022-06-13). "Trump releases 12-page response to Jan. 6 hearing". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  17. "Trump demands 'new election immediately' in bizarre post on Truth Social". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2022-08-29.
  18. 264. "How Bad Could the 2024 Election Be? | Brennan Center for Justice". www.brennancenter.org (ภาษาอังกฤษ).{{cite web}}: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์)
  19. Gambino, Lauren (2023-11-05). "With the US election a year away, most Americans don't want Biden or Trump". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  20. "Republicans switched gears to focus on issues such as inflation and crime that poll highest among voter concerns". NBC News (ภาษาอังกฤษ). 2022-11-07.
  21. "Is Our Democracy Under Threat?". www.rutgers.edu (ภาษาอังกฤษ).
  22. Dorman, John L. "Six battleground states will hold the key to the White House in 2024". Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  23. "North Carolina may be the hottest political battleground of 2024". The Economist. ISSN 0013-0613. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  24. "Biden wins Minnesota, continuing decades-long Democratic streak". MinnPost (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2020-11-04.
  25. Smith, David (2021-03-08). "'We're making our way': how Virginia became the most progressive southern state". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  26. "The Rise of College-Educated Democrats". Manhattan Institute (ภาษาอังกฤษ).
  27. "Who Votes Republican? | RealClearPolitics". www.realclearpolitics.com.
  28. "Trump's 'dictator' remark puts 2024 campaign right where Biden wants it". POLITICO (ภาษาอังกฤษ). 2023-12-07.
  29. Stone, Peter (2023-11-22). "'Openly authoritarian campaign': Trump's threats of revenge fuel alarm". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  30. Mizelle, Shawna (2023-02-22). "Lawmakers in 32 states have introduced bills to restrict voting so far this legislative session | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  31. Skelley, Geoffrey (2021-05-17). "How The Republican Push To Restrict Voting Could Affect Our Elections". FiveThirtyEight (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  32. Siders, David (2020-04-02). "How the coronavirus is shaping the 2024 presidential race". POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
  33. "Global surge in inflation". Deloitte Insights (ภาษาอังกฤษ).
  34. "The chief economist at Moody's thinks that Russia's invasion of Ukraine accounts for over a third of U.S. inflation – and that COVID stimulus had almost no impact". Fortune (ภาษาอังกฤษ).
  35. Enten, Harry (2021-12-21). "Biden's economic ratings are worse than Carter's | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  36. Panetta, Grace (2023-04-25). "Biden's reelection could hinge on how much women voters trust him on the economy". The 19th (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  37. Panetta, Grace (2023-05-08). "Why child care can't be overlooked as an issue in 2024". The 19th (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  38. "Trump signs tax cut bill, first big legislative win". NBC News (ภาษาอังกฤษ). 2017-12-22.
  39. Ewing, Giselle Ruhiyyih (2023-06-03). "Biden signs debt ceiling bill". POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
  40. Hagen, Lydia Wheeler and Lisa (2017-01-30). "Trump signs '2-for-1' order to reduce regulations". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  41. Minsky, Adam S. "$132 Billion In Student Loan Forgiveness Approved: Who Qualifies, And What's Next". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
  42. House, The White (2022-08-24). "FACT SHEET: President Biden Announces Student Loan Relief for Borrowers Who Need It Most". The White House (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  43. "Biden moves quickly in effort to reassure young voters on student loans". NBC News (ภาษาอังกฤษ). 2023-06-30.
  44. "The Supreme Court rejects Biden's plan to wipe away $400 billion in student loan debt". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2023-06-30.
  45. Potts, Monica (2023-06-30). "The Supreme Court Killed Biden's Student Loan Forgiveness Plan. What Does That Mean For 2024?". FiveThirtyEight (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  46. Wilson, Reid (2021-06-23). "GOP sees critical race theory battle as potent midterm weapon". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  47. Asmelash, Leah (2021-05-05). "A school district tried to address racism, a group of parents fought back". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  48. Ellyatt, Amanda Macias,Holly (2023-09-06). "Blinken announces $1 billion Ukraine aid package during surprise visit". CNBC (ภาษาอังกฤษ).
  49. Liptak, Kevin (2023-02-20). "Biden makes surprise visit to Ukraine for first time since full-scale war began | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  50. Lukpat, Alyssa. "Biden, Trump and the 2024 Election: What to Know". WSJ (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  51. Brownstein, Ronald (2023-03-28). "In 2024, Republicans may complete a historic foreign policy reversal | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  52. "Vivek Ramaswamy Proposes 'Major Concessions to Russia' in Contentious Interview With ABC's Martha Raddatz". Mediaite (ภาษาอังกฤษ). 2023-06-04.
  53. Baker, Peter (2023-10-10). "In Unforgiving Terms, Biden Condemns 'Evil' and 'Abhorrent' Attack on Israel". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  54. Shear, Michael D.; Demirjian, Karoun (2023-10-20). "Biden Requests $105 Billion Aid Package for Israel, Ukraine and Other Crises". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  55. DeChalus, Camila (2024-01-27). "Biden's Gaza problems are deeper than just being interrupted in public | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  56. Samuels, Brett (2023-11-28). "Trump gives mixed messages on how he'd handle Israel-Hamas war". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  57. Bradner, Eric (2023-09-12). "2024 GOP contenders clash over Covid-19 records as they warn against future mandates | CNN Politics". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  58. Nehamas, Nicholas; Mazzei, Patricia (2023-05-17). "DeSantis Signs Tall Stack of Right-Wing Bills as 2024 Entrance Nears". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  59. Leonhardt, David (2024-01-17). "A 2024 Vulnerability". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  60. "America's immigration policies are failing". The Economist. ISSN 0013-0613. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  61. Ebrahimji, Alisha (2023-12-30). "Texas is sending asylum seekers to major cities by bus with little notice. A coalition of mayors implement new rules to slow the surge". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  62. "MSN". www.msn.com.
  63. "The Green Papers 2024 Presidential Primaries". The Green Papers.
  64. "Statement of Candidacy" (PDF). docquery.fec.gov. April 25, 2023. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ April 25, 2023. สืบค้นเมื่อ April 25, 2023.
  65. Frazier, Kierra (September 13, 2023). "Columnists call for Biden to drop Harris, pick new running mate". POLITICO (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ January 24, 2024.
  66. Gittleson, Ben; Nagle, Molly (April 25, 2023). "Joe Biden announces he is running for president again, setting up possible Trump rematch". ABC News. สืบค้นเมื่อ April 25, 2023.
  67. "Statement of Candidacy". docquery.fec.gov. October 26, 2023. สืบค้นเมื่อ October 26, 2023.
  68. Lebowitz, Megan (October 26, 2023). "Democratic Rep. Dean Phillips launches a White House bid, challenging Biden". NBC News (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ October 27, 2023.
  69. "President Joe Biden launches 2024 re-election campaign" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2023-04-25. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  70. Rafford, Claire (2022-01-19). "Biden commits to Harris as his running mate for 2024". POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
  71. Garrison, Joey. "VP Kamala Harris becomes Republicans' go-to target after Biden launches 2024 reelection bid". USA TODAY (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  72. Gangitano, Alex (2021-11-18). "Harris says 2024 is 'absolutely not' being discussed yet with Biden". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  73. Watson, Kathryn (2022-08-15). "Rep. Carolyn Maloney says "off the record," Biden is "not running again" - CBS News". www.cbsnews.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  74. Vakil, Caroline (2022-06-23). "SC Democratic governor candidate says Biden shouldn't run in 2024 due to age". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  75. Reimann, Nicholas. "Rep. Tim Ryan Suggests Biden Shouldn't Run In 2024—Joining These Other Democrats". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
  76. News, A. B. C. "Biden tells ABC's David Muir 'yes' he'll run again, Trump rematch would 'increase the prospect'". ABC News (ภาษาอังกฤษ). {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  77. Silver, Nate (2021-01-28). "How Popular Is Joe Biden?". FiveThirtyEight (ภาษาอังกฤษ).
  78. Brooks, Rebecca Klar, Emily (2023-07-20). "RFK Jr. hearing puts censorship, misinformation fights at center stage". The Hill (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  79. News, A. B. C. "Robert F. Kennedy Jr. launches long shot presidential bid as a Democrat". ABC News (ภาษาอังกฤษ). {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  80. "Auschwitz Memorial says RFK Jr. speech at anti-vaccine rally exploits Holocaust tragedy | TheHill". web.archive.org. 2022-01-24. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-24. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  81. "The Green Papers 2024 Presidential Primaries". The Green Papers.
  82. "Statement of Candidacy" (PDF). docquery.fec.gov. November 15, 2022. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ November 20, 2022. สืบค้นเมื่อ December 6, 2022.
  83. "Statement of Candidacy" (PDF). docquery.fec.gov. December 8, 2022. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ February 14, 2023. สืบค้นเมื่อ February 14, 2023.
  84. "Statement of Candidacy" (PDF). docquery.fec.gov. December 11, 2023. สืบค้นเมื่อ January 12, 2023.
  85. Singman, Brooke (November 15, 2022). "Donald Trump announces 2024 re-election run for president". Fox News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 16, 2022. สืบค้นเมื่อ November 15, 2022.
  86. "Statement of Candidacy" (PDF). docquery.fec.gov. February 14, 2023. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ February 16, 2023. สืบค้นเมื่อ February 16, 2023.
  87. Burlij, Terence; Sullivan, Kate (February 14, 2023). "Nikki Haley announces 2024 White House bid". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 14, 2023. สืบค้นเมื่อ February 14, 2023.
  88. Zeitz, Joshua (2022-11-15). "4 Ex-Presidents Who Ran Again — And What They Mean for Trump". POLITICO (ภาษาอังกฤษ).
  89. Bravender, Robin. "A top campaign strategist for Ted Cruz and Glenn Youngkin says 'if Trump runs, Trump will be the nominee' in 2024". Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  90. Mangan, Dan (2023-03-30). "Trump indicted by New York grand jury, and he's due in court Tuesday". CNBC (ภาษาอังกฤษ).
  91. CNN, By <a href="/profiles/aditi-sandal">Aditi Sangal</a>, Mike Hayes, <a href="/profiles/tori-powell">Tori B. Powell</a>, <a href="/profiles/maureen-chowdhury">Maureen Chowdhury</a>, <a href="/profiles/elise-hammond">Elise Hammond</a>, <a href="/profiles/adrienne-vogt">Adrienne Vogt</a> and <a href="/profiles/tori-powell">Tori B. Powell</a> (2023-06-13). "June 13, 2023 Trump pleads not guilty in historic federal indictment". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  92. Leary, Aaron Zitner and Alex. "Trump Faces 2024 Split Screen of Campaign and Criminal Trials". WSJ (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  93. "Trump Fundraising Slows For First Time In 18 Months, Trails DeSantis". HuffPost (ภาษาอังกฤษ). 2022-07-16.
  94. Pengelly, Martin (2022-12-14). "Trump 'is in trouble', says insider after DeSantis surges in 2024 polls". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  95. "DeSantis builds his conservative resume as Trump flounders". POLITICO (ภาษาอังกฤษ). 2022-12-15.
  96. "DeSantis launches GOP presidential campaign in Twitter announcement plagued by glitches". AP News (ภาษาอังกฤษ). 2023-05-25.
  97. Pengelly, Martin (2023-05-30). "Ron DeSantis says he will 'destroy leftism' in US if elected president". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2024-02-08.
  98. Wiederkehr, Ryan Best, Aaron Bycoffe, Ritchie King, Dhrumil Mehta and Anna (2018-06-28). "National : President: Republican primary : 2024 Polls". FiveThirtyEight (ภาษาอังกฤษ).
  99. Kashinsky, Lisa (2023-11-10). "Chris Sununu: Vivek Ramaswamy 'would be a poor choice' for president". POLITICO (ภาษาอังกฤษ).


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/> ที่สอดคล้องกัน

Strategi Solo vs Squad di Free Fire: Cara Menang Mudah!