35°30′N 98°00′W / 35.5°N 98°W / 35.5; -98
รัฐโอคลาโฮมา
สมญา: Sooner State
คำขวัญ: แผนที่สหรัฐเน้นรัฐโอคลาโฮมา
ประเทศ สหรัฐ เข้าร่วมสหรัฐ 16 พฤศจิกายน , ค.ศ. 1907 (46)เมืองหลวง โอคลาโฮมาซิตี เมืองใหญ่สุด โอคลาโฮมาซิตี มหานครใหญ่สุด โอคลาโฮมาซิตี การปกครอง • ผู้ว่าการ แบรด เฮนรี (D ) • รองผู้ว่าการ จารี อาซคินส์ (D )สมาชิกวุฒิสภา มาร์กเวย์น มัลลิน (R ) เจมส์ แลงก์ฟอร์ด (R )สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ริพับลิกัน 5 คน พื้นที่ • ทั้งหมด 69,898 ตร.ไมล์ (181,195 ตร.กม.) • พื้นดิน 68,735 ตร.ไมล์ (178,023 ตร.กม.) • พื้นน้ำ 1,259.3 ตร.ไมล์ (3,261.5 ตร.กม.) 1.8% อันดับพื้นที่ 20 ขนาด • ความยาว 298 ไมล์ (480 กิโลเมตร) • ความกว้าง 230 ไมล์ (370 กิโลเมตร) ความสูง 1,296 ฟุต (395 เมตร) ความสูงจุดสูงสุด (ภูเขาแบล็คเมซา ) 4,973 ฟุต (1,515 เมตร) ความสูงจุดต่ำสุด (แม่น้ำลิตเทิล ) 289 ฟุต (88 เมตร) ประชากร
• ทั้งหมด (2,551) 3,642,361[ 1] คน • อันดับ 28 • อันดับความหนาแน่น 36 • ค่ามัธยฐานรายได้ครัวเรือน 34,243 ดอลลาร์สหรัฐ • อันดับรายได้ 42 เดมะนิม โอคลาโฮมัน (Oklahoman) ภาษา • ภาษาทางการ ไม่มี เขตเวลา เขตเวลากลาง : UTC -6/-5 เขตเวลาภูเขา : UTC -7/-6 (เมืองเคนตัน ) อักษรย่อไปรษณีย์ OK รหัส ISO 3166 US-OK ละติจูด 33°35' เหนือ ถึง 37° เหนือ ลองจิจูด 94°29' ตะวันตก ถึง 103° ตะวันตก เว็บไซต์ www .ok .gov
รัฐโอคลาโฮมา (อังกฤษ : Oklahoma , เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /ˌoʊkləˈhoʊmə/ [ 2] โอวเคฺลอะโฮ้วเม่อะ ) เป็นรัฐ หนึ่งใน 50 รัฐของสหรัฐ มีประชากรประมาณ 3.64 ล้านคนในปี พ.ศ. 2551 มีพื้นที่ครอบคลุมประมาณ 177,847 ตารางกิโลเมตร (68,667 ตารางไมล์) [ 3] ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 28 ของประเทศ และมีพื้นที่เป็นอันดับ 20 ของประเทศ ชื่อของรัฐนี้มาจากภาษาชอคทอว์ คือ okla และ humma มีความหมายว่า Red People หรือ ชาวอเมริกันอินเดียน (อินเดียนแดง) [ 4] และมีชื่อเล่นที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ The Sooner State การก่อตั้งมาจากภูมิภาคอินเดียน ในวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) เป็นเป็นรัฐก่อตั้งลำดับที่ 46 ของประเทศสหรัฐ ประชาชนที่อาศัยในรัฐเรียกว่า ชาวโอคลาโฮมัน (Oklahomans) มีเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐคือ เมืองโอคลาโฮมาซิตี
รัฐโอคลาโฮมาเป็นรัฐผู้ผลิตแก๊สธรรมชาติ น้ำมันปิโตรเลียม และอาหาร รายใหญ่ มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในเรื่องการบิน พลังงาน โทรคมนาคม และเทคโนโลยีชีวภาพ [ 5] โอคลาโฮมาเป็นรัฐหนึ่งในประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง โดยระหว่างปี ค.ศ. 2005 ถึง 2006 เป็นรัฐที่มีการเจริญเติบโตของรายได้สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 3 และมีอัตราเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ สูงที่สุด
[ 6] [ 7] มีเมืองโอคลาโฮมาซิตีและทัลซา เป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญของรัฐ เกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งรัฐอาศัยอยู่ในเขตสองเมืองนี้[ 8] รัฐโอคลาโฮมามีแนวภูเขาขนาดเล็ก ทุ่งหญ้าแพร์รี่ และป่าไม้ทางตะวันออก พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐอยู่ในเกรตเพลนส์ (ที่ราบอันกว้างใหญ่) ซึ่งมักจะเกิดสภาพอากาศแปรปรวนอยู่เสมอ[ 9]
มรดกทางวัฒนธรรมของรัฐโอคลาโฮมา มีผลมาจากบรรพบุรุษที่เป็นชาวเยอรมัน ไอริช อังกฤษ และชาวพื้นเมืองอเมริกา ซึ่งรัฐนี้มีประชากรที่พูดภาษาพื้นเมืองอเมริกามากถึง 25 ภาษา ซึ่งมีมากกว่ารัฐอื่น ๆ ในประเทศ[ 10] ในอดีตพื้นที่ของรัฐเคยเป็นทางผ่านของขบวนปศุสัตว์ รัฐนี้เป็นที่สำหรับผู้อพยพย้ายถิ่นจากทางใต้ และมีการตั้งการปกครองส่วนภูมิภาคสำหรับชาวอเมริกันพื้นเมือง รัฐโอคลาโฮมาเป็นส่วนหนึ่งของไบเบิลเบลท์ ผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรแตสแตนท์ (นิกายย่อยอีแวนเกลิคัล ) รัฐนี้ยังเป็นรัฐอนุรักษนิยมในทางการเมือง และยังเป็นรัฐหัวคะแนนหลักของพรรคเดโมแครต อีกด้วย[ 11]
ชื่อ
คำว่า โอคลาโฮมา (Oklahoma) มาจากภาษาช็อคทอว์ แบ่งออกเป็นคำว่า okla ซึ่งแปลว่าประชาชน และ humma แปลว่าสีแดง[ 4] ซึ่งอัลเลน ไวร์ท ผู้นำเผ่าช็อคทอว์ได้ตั้งชื่อนี้ในปี ค.ศ. 1866 ระหว่างการเจรจาสนธิสัญญา กับสหพันธรัฐ อเมริกา เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของภูมิภาคอินเดียน ซึ่งคำว่า Okla humma มีความหมายเดียวกับคำในภาษาอังกฤษคือ ชาวอินเดียนแดง ซึ่งใช้บ่งบอกถึงชาวอเมริกันพื้นเมืองทั้งหมด ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1890 สองปีก่อนที่จะมีการเปิดพื้นที่สำหรับเข้ามาอยู่อาศัย[ 4] [ 12] [ 13]
ประวัติศาสตร์
บ่อน้ำมันแห่งหนึ่งในเมืองโอเคมาห์ ดึงดูดผู้คนมากมายมาที่รัฐโอคลาโฮมา
รัฐโอคลาโฮมาเป็นรัฐที่มีอายุก่อตั้งยาวนานน้อยกว่าหนึ่งศตวรรษ แต่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่านั้น มีการค้นพบหัวลูกศรของชาวโคลวิส ซึ่งเดินทางมาก่อตั้งถิ่นฐานบริเวณใกล้กับเมืองอนาดาร์โก ในปัจจุบัน ซึ่งหัวลูกศรนี้มีอายุประมาณ 11,000 ปี โดยบริเวณเนินสไปโร และเนินบิวท์เดอร์ เป็นที่ที่มีการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรแห่งแรกของรัฐโดยชาวอินเดียนแดง[ 14] ในปี ค.ศ. 1541 (พ.ศ. 2084) ฟรานซิสโก โครานาโด นักสำรวจ ชาวสเปน เดินทางผ่านโอคลาโฮมาในระหว่างค้นหาเมืองแห่งทองคำที่หายสาบสูญ [ 15] โดยระหว่างทศวรรษที่ 1830 ชนเผ่าผู้มีวัฒนธรรมทั้งห้า (ประกอบด้วยเผ่าเชโรกี ชิคาซอว์ ชอคทอว์ ครีค และเซมินโอเล ) ได้ย้ายถิ่นฐานจากตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐสู่ภูมิภาคอินเดียน (อินเดียนเทริทอร์รี) (ในปัจจุบันคือโอคลาโฮมา) ไปตามเส้นทางธารน้ำตา (Trail of Tears) [ 16]
ระหว่างสงครามกลางเมืองอเมริกา (ค.ศ. 1861 - 1865) เผ่าอินเดียนส่วนใหญ่เข้าข้างกับสหพันธรัฐอเมริกา และยอมรับการเป็นทาส พวกเขาเห็นด้วยกับความคิดของรัฐที่จะแยกตัวออกจากสหรัฐ แต่บางชนเผ่าก็ไม่ยินดีกับรัฐบาลสหพันธรัฐอเมริกาที่ไม่ทำในสิ่งที่พวกเขาเคยบอกว่าจะทำ ไม่ทุกชนเผ่าที่เข้าข้างกับสหพันธรัฐ บางเผ่าสร้างและควบคุมป้อมขนาดเล็กเพื่อป้องกันตัวเอง สาเหตุนี้มาจากที่ภูมิภาคอินเดียนอยู่ภายใต้การควบคุมของสหพันธรัฐ แต่รัฐโอคลาโฮมาไม่ได้เข้าร่วมในรัฐของสหพันธรัฐ และการโจมตีที่ฮันนีสปริงส์ ใกล้กับเมืองฟอร์ทกิบสัน ในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1863 ที่กำลังพลของสหรัฐประสบชัยชนะ และกลายเป็นจุดจบของการปกครองภูมิภาคอินเดียนของสหพันธรัฐอเมริกา[ 17]
ภูมิภาคอินเดียนและภูมิภาคโอคลาโฮมาในช่วงทศวรรษที่ 1890
วันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1890 ทางตะวันตกของรัฐเปิดให้ผู้คนกว่า 50,000 คนจากยุคตื่นแผ่นดินในโอคลาโฮมา (Oklahoma Land Run) และกลายเป็นต้นกำเนิดของชื่อเล่นของโอคลาโฮมาที่ว่า "The Sooner State" หรือ "รัฐแห่งความเร็ว" ซึ่งชื่อเล่นนี้มาจากผู้ที่อพยพซึ่งข้ามเขตภูมิภาคมาก่อนที่พื้นที่จะเปิดให้ประชาชนจับจองโดยรัฐ ปีต่อมา บริเวณตะวันตกของภูมิภาคได้เข้ารวมกับภูมิภาคโอคลาโฮมา ส่วนทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่อยู่อาศัยของ 5 ชนเผ่าศิวิไลซ์ และมีการควบคุมภายในเผ่าเอง[ 18] [ 19] ต่อมาในวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1907 ภูมิภาคตะวันตกและตะวันออกได้รวมเข้ากัน และกลายเป็นรัฐลำดับที่ 46 แห่งสหรัฐ[ 18]
ในระยะแรกหลังจากก่อตั้ง โอคลาโฮมากลายเป็นสถานที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมน้ำมัน แอ่งน้ำมันถูกพบในพื้นที่ทำให้มีประชากรในเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมืองทัลซารู้จักกันในชื่อ "Oil Capital of the World" (เมืองหลวงแห่งน้ำมันของโลก) ในช่วงศตวรรษที่ 20 เศรษฐกิจของรัฐช่วงแรกจึงมาจากน้ำมันเป็นส่วนใหญ่[ 20]
ในปี ค.ศ. 1927 ไซรัส เอวีรี นักธุรกิจ จากทัลซาที่รู้จักกันในชื่อ "Father of Route 66" เริ่มต้นการสร้างทางหลวงหมายเลข 66 (รูต 66) เขาได้ใช้ส่วนของทางหลวงที่สร้างระหว่างเมืองทัลซาและเมืองอมาริลโล รัฐเท็กซัส สร้างจุดเริ่มต้นของรูท 66 เขาเป็นบุคคลหลักที่รับผิดชอบในการก่อตั้งองค์กรทางหลวงหมายเลข 66 แห่งสหรัฐ (U.S. Highway 66 Association) สำหรับดูแลสิ่งก่อสร้างบนรูท 66[ 21]
ชาวไร่และลูกชายของเขาในระหว่างพายุฝุ่น ในซิมาร์รอนเคาน์ตี้ เมื่อ ค.ศ. 1936
ในระหว่างทศวรรษที่ 1930 ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโอคลาโฮมาเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า "Dust Bowl" พื้นที่ส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำฝน น้อยมากและมีอุณหภูมิสูง ทำให้ชาวนาชาวไร่มากกว่าพันคนเกิดความยากจนและย้ายถิ่นไปยังแห่งอื่นในสหรัฐ[ 22] ทำให้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ถึง 1950 รัฐโอคลาโฮมามีจำนวนประชากรที่อาศัยลดลงถึง 6.9 เปอร์เซ็นต์ ทางรัฐจึงสร้างอ่างเก็บน้ำกว่าร้อยแห่งและทะเลสาบ โดยในทศวรรษที่ 1960 มีทะเลสาบที่ขุดขึ้นมากกว่า 200 แห่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดในประเทศ[ 9] [ 23]
ในปี ค.ศ. 1943 ละครบรอดเวย์ เปิดการแสดงละครเพลง โอคลาโฮมา (Oklahoma!) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงและได้สร้างเป็นภาพยนตร์ ในปี ค.ศ. 1955 เนื้อเรื่องเริ่มต้นในภูมิภาคโอคลาโฮมาในปี ค.ศ. 1906 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐเพิ่งจะก่อตั้ง มีเพลงโอคลาโฮมา (Oklahoma!) ซึ่งเป็นเพลงที่ร้องเมื่อใกล้จบเรื่อง ได้กลายเป็นเพลงประจำรัฐโอคลาโฮมาในปี ค.ศ. 1953[ 24]
การระเบิดอาคารอัลเฟรด พี เมอร์ราห์ เฟเดอรัล ในโอคลาโฮมาซิตี เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ
วันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1995 อาคารอัลเฟรด พี เมอร์ราห์ เฟเดอรัล ในเมืองโอคลาโอมาซิตี ถูกระเบิดโดยทิโมธี แมคเวจ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 168 คน ซึ่งเป็นเหตุการณ์การก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุดของสหรัฐก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์วินาศกรรมอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 แมคเวจ์และผู้ร่วมมือของเขาที่ชื่อ เทอร์รี่ นิโคลส์ ทั้งสองถูกตัดสินว่ากระทำผิด แต่ผู้คนส่วนมากคิดว่ามีบุคคลอื่นเป็นขบวนการที่เกี่ยวข้องด้วย[ 25] แมคเวจ์ถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต โดยการฉีดสารพิษ และนิโคลถูกจำคุกโดยไม่มีการรอลงอาญา[ 26]
ภูมิศาสตร์
ภูมิประเทศ
แผนที่ทางธรณีวิทยารัฐโอคลาโฮมา
รัฐโอคลาโฮมาเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดันที่ 20 ของสหรัฐ ครอบคลุมพื้นที่แผ่นดิน 177,847 ตารางกิโลเมตร (68,667 ตารางไมล์) และผืนน้ำ 3,349 ตารางกิโลเมตร (1,293 ตารางไมล์) [ 27] รัฐโอคลาโฮมาเป็นรัฐหนึ่งใน 6 ของฟรอนเทียร์สตริป และเป็นส่วนหนึ่งของเกรตเพลนส์ มีอาณาเขตติดต่อกับมลรัฐอาร์คันซอ ทางทิศตะวันออก รัฐมิสซูรี ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ รัฐแคนซัส ทางทิศเหนือ รัฐโคโลราโด ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ รัฐนิวเม็กซิโก ทางทิศตะวันตก และรัฐเท็กซัส ทางทิศใต้
จุดที่สูงที่สุดของรัฐคือแบล็คเมซา ในโอคลาโฮมาแพนแฮนเดิล ซึ่งมีความสูง 3,349 เมตร (4,973 ฟุต) จุดที่ต่ำที่สุดคือแม่น้ำลิตเทิล ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองไอดาเบล ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐ ซึ่งมีความสูง 88 เมตร (289 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล และยังมีแนวเขา 4 แห่งในรัฐ ประกอบด้วยแนวเขาอัวชิตา อาร์บัคเคิล วิชิตา และเคียมิชิ แนวเขาทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐ มีพื้นที่ป่าไม้ครอบคลุมพื้นที่ 24 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด[ 28] และยังมีทะเลสาบจากฝีมือมนุษย์จำนวนมากกว่ารัฐอื่น ๆ ในประเทศ โดยพื้นที่รวมทั้งหมดของทะเลสาบมีมากกว่า 1,000,000 เอเคอร์ (404,686 เฮกตาร์ ) [ 29]
ภูมิอากาศ
พายุทอร์นาโดทางตอนกลางของโอคลาโฮมา
รัฐโอคลาโฮมาตั้งอยู่ในส่วนที่มีสภาพอากาศพอเหมาะของประเทศ แต่บางครั้งก็มีอุณหภูมิที่สูงมาก และมีฝนตกเป็นปกติในพื้นที่ที่ลักษณะเป็นภูมิอากาศภาคพื้นทวีป (continental climate) [ 30] พื้นที่ทั้งรัฐมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 38 องศาเซลเซียส (100 องศาฟาเรนไฮต์ ) ถึง -18 องศาเซลเซียส (0 องศาฟาเรนไฮต์) [ 30]
รัฐโอคลาโฮมามีหิมะ ตก โดยในเขตติดต่อรัฐโคโลราโดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะมีปริมาณหิมะประมาณ 30 นิ้ว (76 เซนติเมตร) ในฤดูหนาว และทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐจะมีปริมาณหิมะน้อยกว่า 5 เซนติเมตร (2 นิ้ว) [ 31]
พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐตั้งอยู่ในร่องทอร์นาโด (Tornado Alley) เพราะที่นั่นเป็นที่ปะทะกันระหว่างอากาศเย็นและอากาศอุ่นทำให้เกิดสภาพอากาศที่รุนแรง[ 31] โอคลาโฮมาจะมีพายุทอร์นาโด เฉลี่ยปีละ 54 ลูก ซึ่งเป็นที่หนึ่งที่มีอัตราการเกิดพายุสูงที่สุดในโลก[ 32] และเป็นที่ตั้งของศูนย์พยากรณ์ทอร์นาโดแห่งชาติ ของการบริการดินฟ้าอากาศแห่งชาติ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองนอร์มัน [ 33]
อุณหภูมิในเมืองใหญ่ต่าง ๆ ของรัฐโอคลาโฮมา
เมือง
ม.ค.
ก.พ.
มี.ค.
เม.ย.
พ.ค.
มิ.ย.
ก.ค.
ส.ค.
ก.ย.
ต.ค.
พ.ย.
ธ.ค.
โอคลาโฮมาซิตี
47/26
54/31
62/39
71/48
79/58
87/66
93/71
92/70
84/62
73/51
60/38
50/29
ทัลซา
46/26
53/31
62/40
72/50
80/59
88/68
94/73
93/71
84/63
74/51
60/39
50/30
ลอว์ตัน
50/26
56/31
65/40
73/49
82/59
90/68
96/73
95/41
86/63
76/51
62/39
52/30
อุณหภูมิเฉลี่ย สูง/ต่ำ (องศาฟาเรนไฮต์) [ 34] [ 35]
เมือง
เมืองโอคลาโฮมาซิตี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดตามจำนวนประชากรและพื้นที่
รัฐโอคลาโฮมามีแหล่งที่อยู่อาศัยทั้งหมด 549 แห่งใน ค.ศ. 2006 และมีเมือง 3 เมืองที่มีประชากรเกินกว่า 100,000 คนและ 40 เมืองที่มีประชากรมากกว่า 10,000 คน มีเมืองสองเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของสหรัฐ คือเมืองโอคลาโฮมาซิตี และ ทัลซา ประชากรมากกว่าครึ่ง (58 เปอร์เซ็นต์) อยู่ในสองเมืองนี้ [ 8] [ 36]
โอคลาโฮมาซิตีเป็นเมืองหลวงของรัฐและเมืองที่ใหญ่ที่สุด มีประชากร 1,269,907 คนอาศัยอยู่ภายในเขตปริมณฑล (ค.ศ. 2008) เมืองทัลซา เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสอง มีประชากร 905,755 คนในเขตปริมณฑล[ 37]
เมืองทัลซา เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของรัฐตามจำนวนประชากรและพื้นที่
ระหว่างปี ค.ศ. 2005 และ 2006 เมืองปริมณฑลของทัลซา ประกอบด้วย เมืองเจ๊คส์ บิกซ์บาย และโอวาสโซ เป็นเมืองที่มีการเติบโตของประชากรสูงที่สุดของรัฐ ประชากรในเมืองเจ๊คส์เพิ่มขึ้น 47.9% เมืองบิกซ์บายเพิ่มขึ้น 44.56% และเมืองโอวาสโซเพิ่มขึ้น 34.31%[ 38]
เมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐโอคลาโฮมาในปี ค.ศ. 2007 ประกอบด้วย โอคลาโฮมาซิตี (547,274 คน) ทัลซา (384,037 คน) นอร์แมน (106,707 คน) ลอว์ตัน (91,568 คน) โบรกเคนแอร์โรว์ (90,714 คน) เอ็ดมันด์ (78,226 คน) มิดเวสต์ซิตี (55,935 คน) และมัวร์ (51,106 คน) โดยมี 7 เมืองที่อยู่ในเขตปริมณฑลของโอคลาโฮมาซิตีและทัลซา มีเพียงลอว์ตันเท่านั้นที่มีปริมณฑลตั้งอยู่ด้วยตนเอง[ 38]
กฎหมาย ของโอคลาโฮมากำหนดให้พื้นที่ตั้งถิ่นฐานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ เมืองใหญ่ (Cities) ซึ่งมีประชากรมากกว่า 1,000 คน และเมืองเล็ก (Towns) มีประชากรน้อยกว่า 1,000 คน เมืองทั้งสองประเภทนี้มีอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ และพลังมวลชนภายในพื้นที่ของตัวเอง โดยเมืองใหญ่ (Cities) สามารถเลือก mayor-council, council-manager หรือ strong mayor จากการปกครอง ส่วนเมืองเล็ก (Towns) สามารถจัดการเลือกตั้ง ระบบเจ้าพนักงาน[ 39]
วัฒนธรรม
มีกีฬาไก่ชน โบราณของประจำรัฐ แต่ยกเลิกไปไปในปี พ.ศ. 2545 เนื่องจากความโหดร้ายทารุณ เพราะกีฬาดังกล่าวจะติดใบมีดโกนไว้ที่เดือยไก่ขณะทำการแข่งขัน [ 40]
มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา
บุคคลสำคัญจากรัฐ
อ้างอิง
↑ จำนวนประชากรรัฐโอคลาโฮมา คาดการณ์ปี 2008 เก็บถาวร 2007-08-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , จาก United States Department of Agriculture, สืบค้นวันที่ 15 ก.ค. 2552 (อังกฤษ)
↑ Oklahoma - Definitions from Dictionary.com จาก Dictionary.com, สืบค้นวันที่ 15 ส.ค. 2552
↑ Oklahoma QuickFacts from the US Census Bureau เก็บถาวร 2008-05-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , จาก U.S. Census Bureau, (1 ธ.ค. 2549), สืบค้นวันที่ 15 ส.ค. 2552
↑ 4.0 4.1 4.2 Chronicles of Oklahoma เก็บถาวร 2007-10-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , จาก Oklahoma State University, (มิ.ย. 1936), สืบค้นวันที่ 15 ส.ค. 2552
↑ "Oklahoma at a Glance" (PDF) . Oklahoma Department of Commerce. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf) เมื่อ 2007-08-08. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "State Personal Income 2006" . United States Department of Commerce. 2007-03-27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-06-22. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "Gross Domestic Product by State (2005-2006)" (PDF) . Oklahoma Department of Commerce. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf) เมื่อ 2007-08-08. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ 8.0 8.1 "Annual Estimates of the Population of Metropolitan and Micropolitan Statistical Areas: April 1, 2000 to July 1, 2006" (csv) . United States Census Bureau . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-01-15. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ 9.0 9.1 "Oklahoma, All Terrain Vacation" . TravelOK . TravelOK.com. 2006-01-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2006-07-09. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ Greymorning, Stephen. "Profiles of Native American Education Programs" . Southwest Educational Development Laboratory. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-08-16. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "Registration by Party as of January 15, 2007" (PDF) . Oklahoma State Election Board . Oklahoma State Election Board. 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf) เมื่อ 2007-06-14. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "Oklahoma State History and Information" . A Look at Oklahoma . Oklahoma Department of Tourism and Recreation. 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2006-07-16. สืบค้นเมื่อ 14 September 2008 .
↑ Merserve, John (1941). "Chief Allen Wright" . Chronicles of Oklahoma . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2006-05-07. สืบค้นเมื่อ 2008-08-10 .
↑ "Oklahoma History" . Ponca City Info . Ponca City Information.com. 2008-08-08.
↑ "THE WEST - Events from 1500 - 1650" . PBS . สืบค้นเมื่อ 2008-09-13 .
↑ "Trail of Tears" . ngeorgia.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-08-24. สืบค้นเมื่อ 2008-08-27 .
↑ "Oklahoma (Indian Territory)" . Civil War Traveler . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2014-12-02. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ 18.0 18.1 "History of Oklahoma" . The History Channel. สืบค้นเมื่อ 2008-08-28 .
↑ "Contributions of the Indian people" . Oklahoma State University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-10-13. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "Tulsa Area History" . Tulsa County Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-01-08. สืบค้นเมื่อ 2008-08-28 .
↑ "Tulsa, Oklahoma City History" . Bycitylights.com. สืบค้นเมื่อ 2008-09-13 .
↑ "1930s Dust Bowl" . Cimarron County Chamber of Commerce. 2005-08-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-07-07. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "History of the States: Oklahoma, The Sooner State" . The History Channel. 2007. สืบค้นเมื่อ 2008-08-29 .
↑ "Oklahoma Symbols, State Song: Oklahoma!" . State History Guide resources. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2011-06-10. สืบค้นเมื่อ 2008-09-10 .
↑ "The OKC Bombing" . The Sight. 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-11-21. สืบค้นเมื่อ 2008-09-10 .
↑ "Oklahoma City bombing" . Answers.com. 2008. สืบค้นเมื่อ 2008-08-29 .
↑ "Land and Water Area of States, 2000" . Information Please. 2000.
↑ "About Oklahoma" . Travel OK.com. 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-05-17. สืบค้นเมื่อ 2008-08-06 .
↑ "About Oklahoma" . Travel OK.com. 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2006-07-07. สืบค้นเมื่อ 2008-08-06 .
↑ 30.0 30.1 "Oklahoma's Climate: an Overview" (pdf) . University of Oklahoma. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ 31.0 31.1 Arndt, Derek (2003-01-01). "The Climate of Oklahoma" . Oklahoma Climatological Survey. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "Tornado Climatology" . NOAA National Climatic Data Center. สืบค้นเมื่อ 2008-08-06 .
↑ Novy, Chris. "SPC and its Products" . NOAA. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "Oklahoma Weather And Climate" . UStravelweather.com. 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-10-22. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "Weather Averages: Lawton, Oklahoma" . MSN Weather. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-06-18. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "State and County Quickfacts - Metropolitan Statistical Area" . United States Census Bureau. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2007-07-11. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ Morgan, Rhett (2008-03-27). "Stillwater's growth tops in Oklahoma" . Tulsa World. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2008-09-19. สืบค้นเมื่อ 2008-03-29 .
↑ 38.0 38.1 "Oklahoma Census Data Center News" (PDF) . Oklahoma Department of Commerce. July 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf) เมื่อ 2007-08-08. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "Oklahoma Municipal Government" (PDF) . Oklahoma Department of Libraries. 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf) เมื่อ 2007-08-08. สืบค้นเมื่อ 2008-09-15 .
↑ "วุฒิฯมะกันวอนสภา สวม "นวม" ให้ไก่ชน" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2012-11-07. สืบค้นเมื่อ 2007-06-23 .
แหล่งข้อมูลอื่น
สถานที่ใกล้เคียงกับรัฐโอคลาโฮมา