กรดลิโนเลนิกอัลฟา
บทความนี้เกี่ยวกับกรดลิโนเลนิกอัลฟา สำหรับกรดลิโนเลนิก ดูที่
กรดลิโนเลนิก
กรดลิโนเลนิกอัลฟา (α-Linolenic acid)
ชื่อ
Preferred IUPAC name
(9
Z ,12
Z ,15
Z )-Octadeca-9,12,15-trienoic acid
[ 1]
ชื่ออื่น
ALA; LNA; กรดลิโนเลนิก; cis ,cis ,cis -9,12,15-Octadecatrienoic acid; (9Z ,12Z ,15Z )-9,12,15-Octadecatrienoic acid; Industrene 120
เลขทะเบียน
ChEBI
ChEMBL
เคมสไปเดอร์
ดรักแบงก์
ECHA InfoCard
100.006.669
UNII
InChI=1S/C18H30O2/c1-2-3-4-5-6-7-8-9-10-11-12-13-14-15-16-17-18(19)20/h3-4,6-7,9-10H,2,5,8,11-17H2,1H3,(H,19,20)/b4-3-,7-6-,10-9-
Y Key: DTOSIQBPPRVQHS-PDBXOOCHSA-N
Y InChI=1/C18H30O2/c1-2-3-4-5-6-7-8-9-10-11-12-13-14-15-16-17-18(19)20/h3-4,6-7,9-10H,2,5,8,11-17H2,1H3,(H,19,20)/b4-3-,7-6-,10-9-
Key: DTOSIQBPPRVQHS-PDBXOOCHBH
O=C(O)CCCCCCC\C=C/C\C=C/C\C=C/CC
CC/C=C\C/C=C\C/C=C\CCCCCCCC(=O)O
คุณสมบัติ
C 18 H 30 O 2
มวลโมเลกุล
278.436 g·mol−1
ความหนาแน่น
0.9164 ก/ซม3
Chemical compound
กรดลิโนเลนิกอัลฟา (อังกฤษ : α-Linolenic acid, alpha-Linolenic acid ตัวย่อ ALA) เป็นกรดไขมัน แบบ n −3
เป็นกรดไขมันจำเป็น (essential fatty acid) หนึ่งในสองอย่างโดยอีกอย่างก็คือกรดลิโนเลอิก ชื่อแสดงว่ามันจำเป็นต่อสุขภาพ เพราะร่างกายมนุษย์ ไม่สามารถผลิตได้
จึงต้องได้จากอาหาร
เป็นกรดไขมันโอเมกา-3 ที่พบในเมล็ด (ชีอา แฟลกซ์ กัญชง ดูเพิ่มในตาราง ) ถั่ว (เด่นที่สุดคือวอลนัต ) และในน้ำมันพืช สามัญหลายอย่าง
โครงสร้างของมันทำให้ได้ชื่อ IUPAC เป็น all -cis -9,12,15-octadecatrienoic acid[ 2]
ในบทความทางสรีรวิทยา อาจถูกระบุโดยหมายเลขลิพิด คือ 18:3 และ (n −3)
ไอโซเมอร์ ของมันเป็นกรดลิโนเลนิกแกมมา GLA (gamma linolenic acid) ระบุโดย 18:3 และ (n −6)
กรดเป็นกรดคาร์บอกซิลิก อย่างหนึ่ง มีโซ่เป็นคาร์บอน 18 อะตอม มีพันธะคู่ แบบ ซิส 3 คู่
พันธะคู่แรกอยู่ที่คาร์บอนที่สามนับจากปลายโซ่กรดไขมันหมู่ methyl ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าปลาย n
ดังนั้น กรดจึงเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่ แบบ n −3 (โอเมกา-3)
เป็นไอโซเมอร์ของกรดลิโนเลนิกแกมมา (GLA) ซึ่งก็เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่แบบ n −6 (โอเมกา-6)
ประวัติ
กรดลิโนเลนิกอัลฟาแยกออกเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2452[ 3]
ซึ่งงานปี พ.ศ. 2478[ 4]
และ พ.ศ. 2485 ได้อ้างอิง[ 5]
ในปี พ.ศ. 2538 จึงสังเคราะห์ได้เป็นครั้งแรกจาก C6 homologating agent
โดยปฏิกิริยา Wittig reaction ของ [(Z-Z )-nona-3,6-dien-1-yl]triphenylphosphonium bromide ในรูปแบบเกลือฟอสโฟเนียม (phosphonium salt) กับ methyl 9-oxononanoate แล้วตามด้วยกระบวนการเปลี่ยนเป็นสบู่ (saponification) จะทำให้การสังเคราะห์เสร็จบริบูรณ์[ 6]
แหล่งของกรดลิโนเลนิกอัลฟาในอาหาร
สูตรโครงสร้างกรดลิโนเลนิกอัลฟา
น้ำมันจากเมล็ดเป็นแหล่งกรดลิโนเลนิกอัลฟาที่สมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะจากกัญชง ชีอา เพริลลา (perilla) แฟลกซ์ (ที่ให้น้ำมันแฟลกซ์ )
แต่ก็อาจได้จากเยื่อหุ้มไทลาคอยด์ (thylakoid membrane) จากใบถั่วลันเตา (Pisum sativum )[ 7]
คลอโรพลาสต์ ของพืชที่มีเยื่อหุ้มไทลาคอยด์ซึ่งมีหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง ยืดหยุ่นได้ดีมากเพราะมีกรดลิโนเลนิกในระดับสูง[ 8]
งานศึกษาบางงานระบุว่า ALA จะเสถียรเมื่อสกัดจากเมล็ดหรือเมื่อประกอบอาหาร[ 9]
แต่งานอื่น ๆ ก็ระบุว่า อาจไม่เหมาะใช้อบอาหาร เพราะจะทำพอลิเมอไรเซชัน กับตัวเอง เป็นคุณลักษณะที่สามารถใช้ทำสีโดยมีตัวเร่งปฏิกิริยา เป็นโลหะทรานซิชัน
ALA บางส่วนอาจออกซิไดซ์เมื่ออบ[ 10]
เปอร์เซ็นต์ของ ALA ในตารางต่อไปนี้หมายถึงน้ำมันที่สกัดได้จากพืชผลแต่ละอย่าง
ชื่อสามัญ
ชื่ออื่น
ชื่อสปีชีส์
% ALA† (ในน้ำมัน)
อ้างอิง
ชีอา
chia sage
Salvia hispanica
64%
[ 11]
เมล็ดกีวี
Chinese gooseberry
Actinidia chinensis
62%
[ 11]
เพริลลา
shiso
Perilla frutescens
58%
[ 11]
แฟลกซ์
linseed
Linum usitatissimum
55%
[ 11]
Lingonberry
cowberry
Vaccinium vitis-idaea
49%
[ 11]
Camelina
camelina
Camelina sativa
35-45%
ผักเบี้ยใหญ่
portulaca
Portulaca oleracea
35%
[ 11]
Sea buckthorn
seaberry
Hippophae rhamnoides L.
32%
[ 12]
กัญชง
cannabis
Cannabis sativa
20%
[ 11]
วอลนัต
English walnut / Persian walnut
Juglans regia
10.4%
[ 13]
ผักกาดก้านขาว
canola
Brassica napus
10%
[ 2]
ถั่วเหลือง
soya
Glycine max
8%
[ 2]
† ค่าเฉลี่ย
ผลต่อสุขภาพ
แฟลกซ์เป็นแหล่งกรดลิโนเลนิกอัลฟาที่ดี
แม้เมล็ดพืชจะเป็นแหล่งของ ALA ซึ่งดีที่สุด แต่เมล็ดและน้ำมันเมล็ดโดยมากก็มีกรดลิโนเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันแบบ n −6 มากกว่า
ข้อยกเว้นก็คือเมล็ดแฟลกซ์ (แต่ต้องบดเพื่อให้ดูดซึมได้ดี) และเมล็ดชีอา
กรดลิโนเลอิกเป็นกรดไขมันจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่เป็นกรดไขมัน n −6 ซึ่งแข่งกับกรดไขมัน n −3 เพื่อจองตำแหน่งต่าง ๆ ในเยื่อหุ้มเซลล์ และมีผลต่อสุขภาพมนุษย์ที่ต่างกัน
อันตรกิริยา ระหว่างกรดไขมันจำเป็นทั้งสองนี้เป็นเรื่องซับซ้อน
มนุษย์ได้กรดลิโนเลนิกอัลฟาจากอาหารเท่านั้นเพราะไม่มีเอนไซม์ 12-desaturase และ 15-desaturase ทำให้ไม่สามารถสังเคราะห์จากกรดสเตียริก (stearic acid) ได้
ส่วนกรด eicosapentaenoic acid (EPA; 20:5, n −3) และ docosahexaenoic acid (DHA; 22:6, n −3)
แม้เป็นของจำเป็นต่อต่อกระบวนการเมแทบอลิซึม มากมาย แต่ปกติก็จะได้จากน้ำมันปลา และน้ำมันสาหร่าย
เพราะแม้มนุษย์จะสังเคราะห์ได้จากกรดลิโนเลนิกอัลฟา แต่ก็มีประสิทธิภาพ เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ [ 14]
เพราะประสิทธิภาพการสังเคราะห์กรดไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่ซึ่งมีโซ่ยาว LC-PUFA (long-chain polyunsaturated fatty acid) แบบ n −3 จะลดลงตามลำดับ cascade ของการแปรรูปกรดลิโนเลนิกอัลฟา ดังนั้น การสังเคราะห์ DHA (docosahexaenoic acid) ก็จะยิ่งจำกัดกว่าการสังเคราะห์ EPA (eicosapentaenoic acid)[ 15] [ 16]
การแปลง ALA เป็น DHA ในหญิงจะสูงกว่าในชาย[ 17]
งานศึกษาหลายงาน[ 18] [ 19]
แสดงว่า ALA สัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก ที่สูงขึ้น
โดยไม่แตกต่างเพราะแหล่งอาหาร (ไม่ว่าจะได้จากเนื้อหรือน้ำมันพืช)[ 20]
แต่งานศึกษาขนาดใหญ่ปี พ.ศ. 2549 ก็ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการทาน ALA ทั้งหมดกับความเสี่ยงโดยทั่วไปของมะเร็งต่อมลูกหมาก[ 21]
และงานวิเคราะห์อภิมาน ปี พ.ศ. 2552 ก็พบหลักฐานว่ามีความเอนเอียงในการตีพิมพ์ ในงานศึกษาก่อน ๆ แล้วสรุปว่า ถ้า ALA เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากโดยประการทั้งปวง ก็เพิ่มแต่เพียงเล็กน้อย[ 22]
เสถียรภาพและการเติมไฮโดรเจน (ไฮโดรจีเนชัน)
ALA ค่อนข้างออกซิไดซ์ได้ง่ายและเหม็นหืนได้เร็วกว่าน้ำมันอื่น ๆ
ความไร้เสถียรภาพของกรดเป็นเหตุหนึ่งที่ผู้ผลิตเลือกเติมไฮโดรเจนเป็นบางส่วน (partial hydrogenation) แก่น้ำมันที่มี ALA เช่น น้ำมันถั่วเหลือง [ 23]
ถั่วเหลือง เป็นแหล่งน้ำมันรับประทานใหญ่ที่สุดในสหรัฐ งานศึกษาในปี พ.ศ. 2550 พบว่า น้ำมันถั่วเหลืองในสหรัฐ 40% เติมไฮโดรเจนเป็นบางส่วน (partially hydrogenated)[ 24]
แต่เมื่อเติมไฮโดรเจนเป็นบางส่วน กรดไขมันไม่อิ่มตัวบางส่วนจะกลายเป็นไขมันทรานส์ ที่ไม่ถูกสุขภาพ
ทั้งผู้บริโภคก็เริ่มเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันทรานส์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และรัฐบาลต่าง ๆ ก็เริ่มห้ามใช้ไขมันทรานส์ในผลิตภัณฑ์อาหาร
การควบคุมของรัฐและความกดดันทางตลาดเช่นนี้ได้กระตุ้นให้พัฒนาถั่วเหลืองที่มีกรดลิโนเลนิกอัลฟาต่ำ
พันธุ์ใหม่เช่นนี้ให้น้ำมันที่เสถียรกว่าสำหรับการต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเติมไฮโดรเจน จึงให้ผลิตภัณฑ์ที่ไร้ไขมันทรานส์ เช่น น้ำมันสำหรับทอด[ 25]
กลุ่มบริษัทหลายกลุ่มกำลังนำถั่วเหลืองที่มี ALA ต่ำมาวางขายในตลาด
บริษัทดูพอนต์ (DuPont) ได้ใช้วิธี gene silencing (ควบคุมไม่ให้ยีนหนึ่ง ๆ ในเซลล์แสดงออก) กับยีน FAD2 ที่เข้ารหัสเอนไซม์ Δ6 -desaturase ซึ่งให้ผลเป็นน้ำมันถั่วเหลืองที่มีทั้งกรดลิโนเลนิกอัลฟาและกรดลิโนเลอิกน้อย[ 26]
หัวใจและหลอดเลือด
มีหลักฐานบ้างว่า การบริโภค ALA อาจป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด บ้างเล็กน้อย[ 27]
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถและอ้างอิง
↑ Loreau, O; Maret, A; Poullain, D; Chardigny, JM; Sébédio, JL; Beaufrère, B; Noël, JP (2000). "Large-scale preparation of (9Z,12E)-1-(13)C-octadeca-9,12-dienoic acid, (9Z,12Z,15E)-1-(13)C-octadeca-9,12,15-trienoic acid and their 1-(13)C all-cis isomers". Chemistry and Physics of Lipids . 106 (1): 65–78. doi :10.1016/S0009-3084(00)00137-7 . PMID 10878236 .
↑ 2.0 2.1 2.2 Beare-Rogers (2001). "IUPAC Lexicon of Lipid Nutrition" (PDF) . เก็บ (PDF) จากแหล่งเดิมเมื่อ 12 February 2006. สืบค้นเมื่อ 22 February 2006 .
↑ Rollett, A. (1909). "Zur kenntnis der linolensäure und des leinöls". Z. Physiol. Chem . 62 (5–6): 422–431. doi :10.1515/bchm2.1909.62.5-6.422 .
↑ Green, TG; Hilditch, TP (1935). "The identification of linoleic and linolenic acids" . Biochem. J . 29 (7): 1552–63. PMC 1266662 . PMID 16745822 .
↑ McCutcheon, JW (1955). "Linolenic acid" . Organic Syntheses . ; Collective Volume , vol. 3, p. 351
↑ Sandri, J.; Viala, J. (1995). "Direct preparation of (Z,Z)-1,4-dienic units with a new C6 homologating agent: synthesis of alpha-linolenic acid" . Synthesis . 3 (3): 271–275. doi :10.1055/s-1995-3906 .
↑ Chapman, David J.; De-Felice, John; Barber, James (May 1983). "Growth temperature effects on thylakoid membrane lipid and protein content of pea chloroplasts 1" . Plant Physiol . 72 (1): 225–228. doi :10.1104/pp.72.1.225 . PMC 1066200 . PMID 16662966 .
↑ YashRoy, R.C. (1987). "13-C NMR studies of lipid fatty acyl chains of chloroplast membranes" . Indian Journal of Biochemistry and Biophysics . 24 (6): 177–178.
↑ "Processing and cooking effects on lipid content and stability of alpha-linolenic acid in spaghetti containing ground flaxseed". J. Agric. Food Chem . 50 : 1668–71. 2002. doi :10.1021/jf011147s . PMID 11879055 .
↑ "OXIDATIVE STABILITY OF FLAXSEED LIPIDS DURING BAKING" .
↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 11.6 "The database "Seed Oil Fatty Acids" " . Max Rubner Institute. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-11-09. สืบค้นเมื่อ 2019-02-13 .
↑ Li, Thomas S. C. (1999). "Sea buckthorn: New crop opportunity" . Perspectives on new crops and new uses . Alexandria, VA: ASHS Press . pp. 335–337. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 September 2006. สืบค้นเมื่อ 2006-10-28 .
↑ "Omega-3 fatty acids" . University of Maryland Medical Center.
↑ Anderson, Breanne M; Ma, David WL (2009). "Are all n-3 polyunsaturated fatty acids created equal?". Lipids in Health and Disease . 8 (33): 33. doi :10.1186/1476-511X-8-33 .
↑
Innis, Shiels M (2007). "Fatty acids and early human development". Early Human Development . 83 (12): 761–766. doi :10.1016/j.earlhumdev.2007.09.004 . PMID 17920214 .
↑
Burdge, GC; Calder, PC (2005). "Conversion of alpha-linolenic acid to longer-chain polyunsaturated fatty acids in human adults" (PDF) . Reproduction, nutrition, development . 45 (5): 581–97. doi :10.1051/rnd:2005047 . PMID 16188209 .
↑ Burdge, Graham C.; Calder, Philip C. (2005). "Conversion of $\alpha$-linolenic acid to longer-chain polyunsaturated fatty acids in human adults" . Reproduction, Nutrition, Development . 45 (5): 581–597. doi :10.1051/rnd:2005047 . PMID 16188209 . เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 16 December 2018. สืบค้นเมื่อ 17 June 2015 .
↑
Ramon, JM; Bou, R; Romea, S; Alkiza, ME; Jacas, M; Ribes, J; Oromi, J (2000). "Dietary fat intake and prostate cancer risk: a case-control study in Spain". Cancer causes & control : CCC . 11 (8): 679–85. doi :10.1023/A:1008924116552 . PMID 11065004 .
↑
Brouwer, IA; Katan, MB; Zock, PL (2004). "Dietary alpha-linolenic acid is associated with reduced risk of fatal coronary heart disease, but increased prostate cancer risk: a meta-analysis". The Journal of Nutrition . 134 (4): 919–22. PMID 15051847 .
↑ De Stéfani, E; Deneo-Pellegrini, H; Boffetta, P; Ronco, A; Mendilaharsu, M (2000). "Alpha-linolenic acid and risk of prostate cancer: a case-control study in Uruguay". Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention . 9 (3): 335–8. PMID 10750674 .
↑ Koralek, DO; Peters, U; Andriole, G; และคณะ (2006). "A prospective study of dietary α-linolenic acid and the risk of prostate cancer (United States)". Cancer Causes & Control . 17 (6): 783–791. doi :10.1007/s10552-006-0014-x . PMID 16783606 .
↑ Simon, JA; Chen, YH; Bent, S (May 2009). "The relation of alpha-linolenic acid to the risk of prostate cancer" . American Journal of Clinical Nutrition . 89 (5): 1558S–1564S. doi :10.3945/ajcn.2009.26736E . PMID 19321563 .
↑ Kinney, Tony. "Metabolism in plants to produce healthier food oils (slide #4)" (PDF) . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 29 September 2006. สืบค้นเมื่อ 2007-01-11 .
↑ Fitzgerald, Anne; Brasher, Philip. "Ban on trans fat could benefit Iowa" . Truth About Trade and Technology . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 27 September 2007. สืบค้นเมื่อ 2007-01-03 .
↑ Monsanto. "ADM to process Monsanto's Vistive low linolenic soybeans at Indiana facility" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 11 December 2006. สืบค้นเมื่อ 2007-01-06 .
↑ Kinney, Tony. "Metabolism in plants to produce healthier food oils" (PDF) . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 29 September 2006. สืบค้นเมื่อ 2007-01-11 .
↑ Pan, A; Chen, M; Chowdhury, R; และคณะ (December 2012). "α-Linolenic acid and risk of cardiovascular disease: a systematic review and meta-analysis" . Am. J. Clin. Nutr. (Systematic review). 96 (6): 1262–73. doi :10.3945/ajcn.112.044040 . PMC 3497923 . PMID 23076616 .
แหล่งข้อมูลอื่น