แปเตอร์ แช็ค (เช็ก: Petr Čech, เสียงอ่านภาษาเช็ก: [ˈpɛtr̩ ˈtʃɛx] ( ฟังเสียง)) เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวเช็กเกียตำแหน่งผู้รักษาประตู สโมสรสุดท้ายที่เล่นให้คือเชลซี
ในพรีเมียร์ลีก ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของเชลซีในพรีเมียร์ลีก
แปเตอร์ แช็ค เป็นผู้รักษาประตูที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ เมื่อลงเล่นจะสวมหมวกป้องกันศีรษะกระแทก ซึ่งเป็นผลมาจากการลงเล่นให้กับเชลซีพบกับเรดิง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 2006 ที่ถูกเข่าของสตีเวน ฮันต์ ผู้เล่นในตำแหน่งปีกซ้ายของเรดิง กระแทกเข้าที่ศีรษะอย่างรุนแรงจนถูกหามออกจากสนามทันที[2]
ประวัติ
แปเตอร์ แช็ค เป็นลูกชายของนักกีฬาทศกรีฑาระดับทีมชาติ สมัยเด็ก ๆ แช็คต้องเปลี่ยนใจหันมาเล่นฟุตบอลเพราะอุปกรณ์ฮอกกี้ซึ่งเป็นกีฬาที่แช็คชอบนั้นมีราคาแพงเกินไป ด้วยความสูงของเขาจึงถูกเพื่อน ๆ ให้เล่นตำแหน่งผู้รักษาประตู ซึ่งแช็คก็สามารถทำได้ดี ปัจจุบันแปเตอร์ เช็กสูง 7 ฟุต
แปเตอร์ แช็ค ได้เปิดเผยในภายหลังว่าตำแหน่งแรกเมื่อได้เล่นฟุตบอลครั้งแรกเมื่ออายุ 10 ขวบ คือ ปีกซ้าย แต่เปลี่ยนมาเป็นผู้รักษาประตู เนื่องจากผู้รักษาประตูขาดแคลน แต่ก่อนหน้านั้นก็เคยเป็นผู้รักษาประตูมาก่อนแต่เป็นกีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง[3]
1999–2001
แช็คเริ่มต้นชีวิตการเล่นฟุตบอลกับสโมสรท้องถิ่น วิกโตเรียเปิลแซ็ญ ก่อนจะได้รับโอกาสเทิร์นโปรกับชเมล บลาซานี่ สโมสรระดับดิวิชัน 1 ของสาธารณรัฐเช็ก และลงเล่นทั้งหมด 27 เกมจาก 2 ฤดูกาล พออายุ 19 ปี เช็ก ถูกขายให้สปาร์ตาปราฮา ด้วยค่าตัว 400,000 ปอนด์
2001–2002
ลงเล่นกับสปาร์ตาปราฮา 27 เกม แช็คได้สร้างสถิติไม่เสียประตูยาวนานที่สุดของประเทศ ด้วยเวลา 904 นาที ทำให้อีก 1 ปีให้หลัง แรน สโมสรระดับกลางของแดนน้ำหอมยอมควักเงิน 3 ล้านปอนด์แลกตัวเขาเข้ามาสู่ทีม
2002–2004
จากนั้นแช็คเริ่มฉายแววยอดนายทวารออกมาจนเป็นที่จับตาของวงการลูกหนังยุโรป เริ่มจากการพาทีมชาติชุดยู-21 คว้าแชมป์ยุโรปอายุต่ำกว่า 21 ปี ในเดือนพฤษภาคม ปี 2002 โดยรับบทฮีโร่เซฟจุดโทษในรอบชิงชนะเลิศ และเขาได้มีโอกาสสัมผัสเกมทีมชาติชุดใหญ่กับฮังการี ในเดือนกุมภาพันธ์
ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยม ทำให้แปเตอร์ แช็ค ต้องเก็บข้าวของอีกครั้งเพื่อย้ายสู่สโมสรใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมอย่างเชลซี
2004–2005
แช็คได้เซ็นสัญญากับสโมสรเชลซี 5 ปี ด้วยค่าตัว 7.1 ล้านปอนด์ และสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมกับต้นสังกัด จนสามารถพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และแชมป์คาร์ลิงคัพในฤดูกาล 2004 - 2005
2009–2010
แช็คเริ่มต้นฤดูกาล 2009-2010 ด้วยการคว้าชัยกับเชลซีในการชนะเหนือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในเกมคอมมิวนิตีชีลด์ รอบชิงชนะเลิศที่เวมบลีย์ ด้วยการเซฟการยิงจุดโทษของไรอัน กิกส์ และปาทริส เอวรา จากที่เสมอกันในเวลาปกติ 2-2 และในเกมพรีเมียร์ลีกนัดสุดท้าย แช็คพาเชลซี ถล่มวีแกน แอทเลติก ไป 8-0 ทำให้เชลซีคว้าแชมป์เหนือแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาได้สำเร็จ ด้วยผลต่าง 1 แต้ม ซ้ำยังเซฟจุดโทษในเกมพบกับพอร์ทสมัท ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ได้อย่างสวยงาม ทำให้เชลซีคว้าดับเบิลแชมป์เป็นปีแรกได้สำเร็จ ทำให้รางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมจึงตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
2010–2011
วันอังคารที่ 8 มีนาคม 2011 ลงเล่นให้กับเชลซี เป็นเกมที่ 300 ในเกมเยือนพบกับ แบล็กพูล ที่สนาม บลูมฟิลด์ โร้ด แล้วสามารถเก็บชัยชนะออกมาได้
2011–2012
วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม 2012 แช็คช่วยให้เชลซี คว้าแชมป์เอฟเอคัพ สมัยที่ 7 ได้สำเร็จโดยเอาชนะ ลิเวอร์พูล 2 - 1
วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม 2012 แช็คมีส่วนสำคัญในการพาเชลซีคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้เป็นสมัยแรก โดยการเซฟลูกจุดโทษสำคัญของ อาร์เยิน โรบเบิน ในนาทีที่ 96 ทำให้เชลซีรอดพ้นจากการถูกขึ้นนำ ทำให้เสมอกันในเวลา 1-1 ต้องชี้ขาดในการดวลจุดโทษ เชลซีสามารถเอาชนะได้ด้วยสกอร์ 4-3 ซึ่งเป็นแชมป์ที่สองของเชลซีในฤดูกาล 2011-2012
และในฤดูกาลนั้นแช็คได้รับรางวัลโกลเดนบอล ของประเทศสาธารณรัฐเช็ก
2015–2016
ในฤดูกาล 2014–15 แช็คต้องตกเป็นตัวสำรองของตีโบ กูร์ตัว มาตลอดทั้งฤดูกาล ดังนั้นเมื่อจบฤดูกาล ถึงแม้ว่าเชลซีจะสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ก็ตาม แต่แช็คซึ่งต้องการลงสนามเป็นตัวจริง ได้ตัดสินใจย้ายไปอาร์เซนอล แม้จะมีวัยถึง 33 ปีแล้วก็ตาม ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ และสัญญา 4 ปี ทั้งที่มีหลายสโมสรต้องการตัว แต่ทว่าแช็คต้องการที่จะอยู่ในกรุงลอนดอนต่อไป เพราะครอบครัวได้ปักหลักลง ณ ที่นี่แล้ว [4]
ซึ่งในเรื่องนี้ ทำให้ผู้สนับสนุนเชลซีจำนวนหนึ่งไม่พอใจ และได้เผาเสื้อที่มีชื่อของแช็คในเชลซี เนื่องจากอาร์เซนอลเป็นสโมสรคู่แข่งร่วมเมืองที่สำคัญ[5]
กับอาร์เซนอล แช็คได้สวมเสื้อหมายเลข 33 ซึ่งตรงกับอายุของเจ้าตัว อีกทั้งยังเป็นการฉลองครบการเล่นในพรีเมียร์ลีกมาทั้งหมด 333 นัดอีกด้วย [6]
โดยก่อนเปิดฤดูกาล ในการแข่งขันรายการพิเศษทุกรายการของอาร์เซนอล แปเตอร์ แช็คได้ลงเล่นเป็นตัวจริงทุกนัด โดยเสียไปเพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น จากลูกยิงของรอสส์ บาร์กลีย์ ของเอฟเวอร์ตัน ในรายการพรีเมียร์ลีกเอเชียโทรฟี ฤดูกาล 2015[7] และทำให้อาร์เซนอลได้แชมป์ทุกรายการ รวมเป็นทั้งหมด 3 รายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2015 ที่แช็คต้องพบกับเชลซีต้นสังกัดเก่าด้วย แต่ทว่าแช็คก็ถือว่าเป็นผู้เล่นที่มีส่วนอย่างมากที่ทำให้อาร์เซนอลเอาชนะไปได้ [8]
แต่ในการแข่งขันจริงในพรีเมียร์ลีกนัดแรก ที่อาร์เซนอลพบกับ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม ที่อาร์เซนอลสามารถเอาชนะมาได้ตลอดในระยะหลังนั้น ปรากฏว่าอาร์เซนอลเป็นฝ่ายแพ้ไปถึง 0-2 ประตู โดยเฉพาะลูกแรกนั้นแช็คมีส่วนผิดพลาดจนทำให้สโมสรต้องเสียประตู เมื่อเป็นฝ่ายออกไปตัดลูกฟรีคิกของเวสต์แฮมยูไนเต็ดช้ากว่าชิคู คูยาเต ผู้เล่นของเวสต์แฮมยูไนเต็ด ที่สอดเข้ามาโหม่งเป็นประตูไปในช่วงท้ายของครึ่งแรก[9]
ในการแข่งขันนัดที่ 3 ของฤดูกาล อาร์เซนอล พบกับ ลิเวอร์พูล ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม ซึ่งผลการแข่งขันเสมอกัน 0-0 ประตู แปเตอร์ แช็คกลับเล่นได้อย่างโดดเด่น สามารถป้องกันลูกยิงของผู้เล่นลิเวอร์พูลได้หลายต่อหลายครั้ง [10]
จนถึงวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2015 ที่การซื้อขายผู้เล่นในทวีปยุโรปจบลง อาร์เซนอลถือเป็นสโมสรเดียวในอังกฤษและทวีปยุโรปที่มีการซื้อตัวผู้เล่นมาเพียงคนเดียว และเป็นตำแหน่งที่มิใช่ผู้เล่นตัวรุกด้วย คือ แปเตอร์ แช็ค[11]
ในการแข่งขันนัดที่ 8 ของฤดูกาล อาร์เซนอล พบกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม แช็คเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถป้องกันลูกยิงอันตรายหลายครั้งของผู้เล่นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ ทำให้อาร์เซนอลชนะไป 3-0 ประตู และแซงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดขึ้นไปเป็นทีมรองในอันดับตารางคะแนน โดยมีแต้มห่างจากทีมนำ คือ แมนเชสเตอร์ซิตี แค่ 2 แต้มเท่านั้น[12]
ในการแข่งขันนัดที่ 19 ของฤดูกาล อาร์เซนอล พบกับ บอร์นมัท ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม อาร์เซนอลชนะไป 2-0 ประตู ทำให้ขึ้นนำเป็นที่หนึ่งในตารางคะแนน ซึ่งเป็นช่วงครึ่งฤดูกาลพอดี และทำให้แช็คได้ทำสถิติใหม่ คือ เป็นผู้รักษาประตูที่ไม่เสียประตูเลยรวมทั้งสิ้น 170 นัด มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก จากการลงเล่น 352 นัด แซงหน้าเดวิด เจมส์ ที่ทำไว้ 169 ประตู จากการลงเล่น 572 นัด[13]
2016–17
ก่อนเริ่มฤดูกาล ในระดับทีมชาติ แช็คประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติสาธารณรัฐเช็ก หลังจากฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ที่ฝรั่งเศส ซึ่งสาธารณรัฐเช็กตกรอบแรก หลังจากติดทีมชาติมาตั้งแต่ปี 2002 รวมเป็นการลงเล่นทั้งหมด 124 นัด[14]
ในนัดที่ 4 ของฤดูกาล ที่อาร์เซนอลพบกับเซาแทมป์ตัน ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียม แช็คทำลูกเข้าประตูตัวเองในนาทีที่ 18 จากลูกฟรีคิกของดูซาน ทาดิช แช็คปัดลูกไปชนคานบนแล้ว แต่ทว่าลูกกลับปะทะกับหลังของแช็คเข้าประตูไป ทำให้เซาแทมป์ตันออกนำไปก่อน 0-1[15]
เกียรติประวัติ
- เชลซี
- แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2004-2005, 2005-2006, 2009-2010, 2014–15
- แชมป์เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2007, 2009, 2010, 2012
- แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2005, 2007, 2015
- แชมป์เอฟเอคอมมิวนิตี้ชิลด์ ฤดูกาล 2005, 2009
- แชมป์สโมสรยุโรป หรือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2011-2012
- อาร์เซนอล
- นานาชาติ
- แชมป์ฟุตบอลแห่งชาติยุโรป ชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี ในปี 2002 กับทีมชาติสาธารณรัฐเช็ก
- 2002 ยูฟ่า ยู21 แชมเปียนส์ชิป
- รางวัลส่วนบุคคล
- ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมลีกเอิงประจำปี 2003-2004
- พีเอฟเอ ทีม ออฟ เดอะ เยียร์ 2005
- ผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2005
- รางวัลถุงมือทอง บาร์เคลย์ ปี 2004-2005, 2009-2010
- ผู้เล่นประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก ธันวาคม 2005, มีนาคม 2007
- นักฟุตบอลชาวเช็กประจำปี 2005, 2008, 2009, 2010
- ลูกฟุตบอลทองคำ (เช็ก) 2005-2008, 2010, 2012
- ยูฟ่า ผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในยุโรป 2005, 2007, 2008
- ยูฟ่า ผู้รักษาที่ดีที่สุดประจำทีม 2003, 2005, 2007, 2008
- อีเอสเอ็ม ทีมประจำปี 2004-2005, 2005-2006, 2006-2007, 2007-2008
- เวิร์ลด์ ฟุตบอล ชาลเล้นจ์ 2009
- ผู้เล่นประจำปีของเชลซี : รางวัลพิเศษมอบให้ แช็ค เนื่องจาก อาการบาดเจ็บขั้นรุนแรงที่ปะทะกับ สตีเฟ่น ฮันท์ ในปี 2006
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น