เมื่อเวลาประมาณ 00:20 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ของวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธโจมตีอาคารที่อยู่อาศัยและศูนย์นันทนาการในแซร์ฮียิวกา นิคมตากอากาศริมฝั่งทะเลดำในเทศบาลนิคมแซร์ฮียิวกา เขตบิลฮอรอด-ดนิสตรอว์สกึย แคว้นออแดซา ประเทศยูเครน[8][9] เหตุโจมตีครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 22 คน (รวมถึงเด็กอายุ 11 ปี) และกลายเป็นเหตุโจมตีที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในแคว้นออแดซานับตั้งแต่รัสเซียเริ่มรุกรานยูเครน[1]
นิคมตากอากาศริมฝั่งทะเลดำในแคว้นออแดซาอย่างซันฌีย์กา, ซาตอกา, แซร์ฮียิวกา และแลแบดิวกาเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในช่วงวันหยุดพักร้อนของชาวยูเครนจนกระทั่ง พ.ศ. 2565 เมื่อรัสเซียเข้ารุกรานยูเครน นับแต่นั้นมาชายฝั่งแคว้นออแดซาก็ถูกรัสเซียยิงโจมตีอย่างต่อเนื่อง[10]
ตามข้อมูลเบื้องต้น เครื่องบินตู-22เอม3 จำนวน 3 ลำของกองทัพอากาศรัสเซียบินออกจากแคว้นวอลโกกราดมายังไครเมีย[11] และหลังจากบินมาได้เป็นระยะ 1,200 กิโลเมตร (750 ไมล์) ก็ยิงขีปนาวุธประเภทคา-22 จำนวน 3 ลูกมาทางนิคมแซร์ฮียิวกาในเขตบิลฮอรอด-ดนิสตรอว์สกึย[10]
หลังเที่ยงคืนของวันที่ 1 กรกฎาคม ขีปนาวุธลูกแรกพุ่งเข้าใส่ร้านอุปกรณ์ช่างที่ชั้นล่างของอาคารอยู่อาศัย 9 ชั้น เลขที่ 23 ถนนบูจัก ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิต 15 คน[12] และห้องพักอาศัย 105 ห้องจากทั้งหมด 106 ห้องในอาคารนั้นได้รับความเสียหาย[10] หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ขีปนาวุธอีก 2 ลูกก็พุ่งเข้าใส่ศูนย์นันทนาการและโรงแรม "ฮอจี" ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง[10] ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิต 6 คน[12]
ผู้เสียชีวิตที่ศูนย์นันทนาการฮอจีรวมถึงนาดียา รุดนึตส์กึย ผู้จัดการศูนย์ฯ, ดมือตรอ รุดนึตส์กึย ลูกชายอายุ 11 ปีของเธอ และออแลกซันดร์ ชึชกอว์ ผู้ฝึกสอนฟุตบอลเยาวชนที่มีชื่อเสียงจากเมืองออแดซา[12] ในเวลานั้นชึชกอว์พักอยู่ที่ศูนย์ฯ ก่อนนัดการแข่งขันฟุตบอลล่วงหน้า 1 วัน[10] ส่วนที่อาคาร 9 ชั้นนั้น นอกจากจะมีคนเสียชีวิตแล้วยังมีสัตว์เลี้ยงที่ตายจากเหตุโจมตีครั้งนี้ด้วย[8]
อาคารอีกหลายหลังภายในรัศมี 2 กิโลเมตรจากพื้นที่เกิดเหตุยังได้รับผลกระทบจากคลื่นแรงระเบิด[10] อาคารศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพเด็กของรัฐบาลมอลโดวาในแซร์ฮียิวกาได้รับความเสียหายเล็กน้อย แต่มีเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บ 5 คน[13]
ทางการยูเครนประกาศให้วันที่ 2 กรกฎาคมเป็นวันไว้อาลัยในแคว้นออแดซา[14] ในขณะเดียวกันก็ดำเนินการสอบสวนเหตุโจมตีในฐานะอาชญากรรมสงครามที่เข้าข่ายการละเมิดกฎหมายและประเพณีสงครามร่วมกับฆาตกรรมโดยเจตนา[15]
กระทรวงการต่างประเทศมอลโดวาประณามเหตุโจมตีและเผยแพร่ข้อมูลความเสียหายที่เกิดขึ้นกับศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพเด็กของรัฐบาลมอลโดวา[13] กระทรวงสาธารณสุขมอลโดวากล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลเด็ก ๆ ในศูนย์ฯ อย่างทุ่มเท และแสดงความเสียใจกับครอบครัวของเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บและเสียชีวิต[16] โรมาเนียประณามเหตุโจมตีเช่นกัน และกล่าวว่าทางการโรมาเนียจะหารือกับทางการมอลโดวาเกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้นต่อไป[17]
ชเต็ฟเฟิน เฮเบิสไทรท์ โฆษกรัฐบาลเยอรมนี กล่าวว่า "เหตุการณ์นี้แสดงให้เราเห็นอีกครั้งว่าผู้รุกรานจากรัสเซียเพิกเฉยอย่างจงใจต่อการเสียชีวิตของพลเรือน ... การโจมตีพลเรือนถือเป็นอาชญากรรมสงคราม ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน และผู้มีส่วนร่วมก่อเหตุจะต้องรับผิดชอบ"[18]
วอลอดือมือร์ แซแลนสกึย ประธานาธิบดียูเครน กล่าวว่าเหตุโจมตีครั้งนี้ "เป็นการก่อการร้ายโดยเจตนาของรัสเซีย และไม่ใช่การโจมตีผิดพลาดใด ๆ"[19] เขาตั้งข้อสังเกตว่ากองทัพรัสเซียใช้อาวุธทรงพลังเพื่อโจมตีเป้าหมายพลเรือน "ขีปนาวุธคา-22 เหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำลายเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือรบขนาดใหญ่อื่น ๆ และกองทัพรัสเซียใช้มันเพื่อโจมตีอาคาร 9 ชั้นธรรมดาที่มีพลเรือนอาศัยอยู่"[20][21]
อีวัน บากานอว์ หัวหน้าหน่วยความมั่นคงยูเครน ระบุว่าการโจมตีเป้าหมายพลเรือนครั้งนี้เป็นการแก้แค้นของกองทัพรัสเซียที่จำต้องถอนกำลังออกจากเกาะงูในทะเลดำเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน (วันก่อนเกิดเหตุโจมตี)[22]
ดมีตรี เปสคอฟ โฆษกประจำทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย ปฏิเสธว่าฝ่ายตนไม่ได้โจมตีเป้าหมายพลเรือนในยูเครนและกล่าวว่าอาคารเป้าหมายเหล่านั้นถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร[20][21] อย่างไรก็ตาม องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุและศึกษาภาพถ่ายจากดาวเทียมแล้วไม่พบหลักฐานว่ามีทหารยูเครน อาวุธ เป้าหมายทางทหาร หรือกิจกรรมทางทหารใด ๆ ในพื้นที่ก่อนเกิดเหตุโจมตี[12][20]
{{cite web}}