เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย บุณยรัตพันธุ์)

เจ้าพระยาอภัยภูธร
(น้อย)
สมุหนายก
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2356 - 2370
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก่อนหน้าเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (กุน รัตนกุล)
ถัดไปเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
เสนาบดีกรมพระนครบาล
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2352 - 2356
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ก่อนหน้าพระยายมราช (บุญมา)
ถัดไปเจ้าพระยายมราช (น้อย)
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
น้อย

พ.ศ. 2303
เสียชีวิตพ.ศ. 2370 (67 ปี)
ตำบลพานพร้าว จังหวัดหนองคาย  ไทย
สาเหตุการเสียชีวิตไข้ป่วง
ศาสนาพุทธ
บุตรเจ้าจอมเครือวัลย์ ในรัชกาลที่ 3
เจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์)
บุพการี
ครอบครัวบุณยรัตพันธุ์

เจ้าพระยาอภัยภูธร (พ.ศ. 2303- พ.ศ. 2370) นามเดิม น้อย ดำรงตำแหน่งเป็นสมุหนายกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) เป็นบุตรของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด) ซึ่งเป็นต้นสกุล"บุณยรัตพันธุ์" เป็นเสนาบดีกรมวังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) มีพี่น้องได้แก่ เจ้าจอมมารดาสี ในรัชกาลที่ 2 หรือ"เจ้าคุณพี" เจ้าจอมมารดาแก้ว ในรัชกาลที่ 3 และพระอนุชิตชาญไชย (ขุนทอง)[1] เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ปรากฏครั้งแรกว่ารับราชการเป็นพระอนุชิตราชา[2] จางวางกรมพระตำรวจขวาในรัชกาลที่ 1

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯเสด็จสวรรคต ในพ.ศ. 2352 พระอนุชิตราชา (น้อย) เก็บบัตรสนเท่ห์[3]ได้ที่ใต้ต้นแจงที่ลานพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ใจความของบัตรสนเท่ห์นั้นแจ้งว่าเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิตพระโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงร่วมกับขุนนางจำนวนหนึ่งเตรียมก่อการกบฏ[3] นำไปสู่การสำเร็จโทษกรมขุนกษัตรานุชิตและขุนนางเหล่านั้น จากนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งตั้งพระอนุชิตราชา (น้อย) ขึ้นเป็นเจ้าพระยายมราช เสนาบดีกรมนครบาล

ในปีเดียวกันพ.ศ. 2352 สงครามพม่าตีเมืองถลาง พระเจ้าปดุงส่งกองทัพเรือพม่าเข้ารุกรานเมืองถลางเกาะภูเก็ต พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงมีพระราชโองการให้เจ้าพระยายมราช (น้อย) ยกทัพจากกรุงเทพฯลงไปสมทบกับเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ที่เมืองนครศรีธรรมราชเพื่อยกทัพเข้าป้องกันเมืองถลาง แต่เมื่อเจ้าพระยายมราช (น้อย) และเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ยกทัพไปถึงเมืองตรังแล้วประสบปัญหาขาดแคลนเรือ[3]ต้องต่อเรือใหม่ ทัพพม่าจึงสามารถเข้ายึดเมืองถลางได้ จนกระทั่งในภายหลังเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ส่งพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ยกทัพเรือไปยึดเมืองถลางคืนมาได้สำเร็จ

ในพ.ศ. 2354 พระมหาอุปโยราชนักองค์สงวนซึ่งฝักใฝ่สยามก่อการกบฏขึ้นต่อสมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จันกษัตริย์กัมพูชาซึ่งฝักใฝ่ญวน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชโองการให้เจ้าพระยายมราช (น้อย) ยกทัพไปยังกัมพูชาเพื่อไกล่เกลี่ยการวิวาทระหว่างนักองค์จันและนักองค์สงวน เจ้าพระยายมราช (น้อย) ยกทัพไปยังเมืองพระตะบองในพ.ศ. 2355 และตั้งมั่นอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์ ส่งสาส์นถึงพระอุไทยราชานักองค์จันขอให้ยุติการวิวาท[3] แต่พระอุไทยราชานักองค์จันทร์ไม่ตอบ เจ้าพระยายมราช (น้อย) จึงนำนักองค์สงวนยกทัพเข้าโจมตีเมืองอุดง นำไปสู่ความขัดแย้งในกัมพูชา พ.ศ. 2354 พระอุไทยราชานักองค์จันทร์กษัตริย์กัมพูชาหลบหนีไปยังเมืองไซ่ง่อนอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของ"องต๋ากุน"เลวันเสวียต (Lê Văn Duyệt) ข้าหลวงญวนประจำเวียดนามภาคใต้ นักองค์อิ่มและนักองค์ด้วง อนุชาอีกสององค์ของพระอุไทยราชานักองค์จันเข้าร่วมกับฝ่ายสยาม เจ้าพระยายมราช (น้อย) มีสาส์นถึงองต๋ากุนแจ้งว่าการยกทัพมาครั้งมีจุดประสงค์เพื่อมาไกล่เกลี่ยเท่านั้น[3] แต่ทั้งนักองค์จันและองต๋ากุนไม่ตอบ ทัพของเจ้าพระยายมราช (น้อย) ที่ตั้งอยู่ที่เมืองอุดงนั้นขาดเสบียงอาหาร[3]จึงถอยทัพกลับพร้อมทั้งนำเจ้าชายเขมรทั้งสามได้แก่นักองค์สงวน นักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วงกลับมาที่กรุงเทพฯด้วย เมื่อทัพฝ่ายสยามถอนกลับไปแล้ว องต๋ากุนเลวันเสวียตจึงนำพระอุไทยราชานักองค์จันมาครองราชสมบัติดังเดิมที่เมืองพนมเปญ

หลังจากเสร็จสิ้นศึกสงครามกัมพูชาแล้ว หลังจากที่เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (กุน รัตนกุล) ถึงแก่อสัญกรรม[2] พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งตั้งให้เจ้าพระยายมราช (น้อย) ขึ้นเป็นเจ้าพระยาอภัยภูธรที่สมุหนายก ในพ.ศ. 2356 โปรดฯให้เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) เป็นแม่กองคุมการสร้างทำนบกั้นลำน้ำที่เมืองอ่างทอง[3]

เมื่อพ.ศ. 2368 นายเฮนรี เบอร์นี (Henry Burney) เดินทางมาถึงกรุงเทพฯในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นายเฮนรี เบอร์นี ได้เข้าพบกับ"เจ้าพระยาจักรี" หรือเจ้าพระยาอภัยภูธรที่สมุหนายก ดังปรากฏในเอกสารของเฮนรีเบอร์นี "On the evening of this day I paid my first visit to Chou Pya Chakri, who is generally considered the First Minister of Siam-"[4] ซึ่งเฮนรีเบอร์นีได้บรรยายลักษณะของเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ไว้ว่าอายุประมาณหกสิบปี เคยรบมีชัยชนะในกัมพูชา เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากกว่าเสนาบดีคนอื่นใดของสยาม[4]

พ.ศ. 2369 กบฏเจ้าอนุวงศ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ยกทัพไปทางเพชรบูรณ์เพื่อเข้าโจมตีทัพของเจ้าราชวงศ์ (เหง้า) บุตรของเจ้าอนุวงศ์ซึ่งตั้งทัพอยู่ที่หล่มสัก ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2370 เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ร่วมกับพระยาเพ็ชรพิชัย[5]เข้าโจมตีกระหนาบทัพของเจ้าราชวงศ์ (เหง้า) สองด้าน ทัพของเจ้าราชวงศ์ (เหง้า) แตกพ่ายไป จากนั้นเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) จึงยกทัพไปตั้งอยู่ที่พานพร้าวริมฝั่งแม่น้ำโขง (ปัจจุบันคือตำบลพานพร้าว อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย) ตามเสด็จกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ ในขณะนั้นเกิดไข้ป่วงระบาดขึ้นในค่ายพานพร้าว เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ล้มป่วยถึงแก่อสัญกรรม กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์จึงมีพระราชบัณฑูร[5]ให้ญาติพี่น้องของเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) นำศพของเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) กลับลงมายังกรุงเทพฯ

เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) มีบุตรธิดาดังต่อไปนี้[1]

  • เจ้าจอมเครือวัลย์ ในรัชกาลที่ 3
  • เจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์)
  • พระยากลาโหมราชเสนา (กรับ)
  • พระยาสุรินทรราชเสนี (เมฆ)
  • พระยารามกำแหง (สิงห์)
  • จมื่นทิพเสนา (เผือก)
  • จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ (สวัสดิ์)
  • หลวงอนุชิตพิทักษ์ (วงศ์)
  • หลวงจรเณนทร์ (เนียม)
  • หลวงปัถพีจร (ทองสุก)
  • ธิดาชื่อเพียน เป็นเถ้าแก่ในรัชกาลที่ 4
  • ธิดาชื่อส้มจีน
  • ท้าวมอญ
  • ธิดาชื่อลูกอิน
  • ธิดาชื่อลูกจันทร์

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 รัตนกุลอดุลยภักดี, พระยา. ลำดับสกุลเก่าบางสกุล ภาคที่ ๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2463.
  2. 2.0 2.1 สมมตอมรพันธุ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. เรื่องตั้งเจ้าพระยาในกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ : กรมศิลปากร, 2545.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมพระยา. พระราชพงษาวดาร กรุงรัตนโกสินทร รัชกาลที่ ๒.
  4. 4.0 4.1 Committee of the Vajirañāṇa National Library. The Burney Papers. 1910"
  5. 5.0 5.1 ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓.


Strategi Solo vs Squad di Free Fire: Cara Menang Mudah!