อาหารจีนแบบญี่ปุ่น

โชยุราเม็ง
เกี๊ยวซ่า
ชาฮัง
คาราอาเงะ
เท็นชินดง

อาหารจีนแบบญี่ปุ่น (日本式中華料理)[1][2] เป็นรูปแบบของอาหารที่ถูกคิดค้นขึ้นใหม่ในประเทศญี่ปุ่น จากการปรับอาหารจีนให้เข้ากับวัฒนธรรมญี่ปุ่น และรสนิยมของคนญี่ปุ่น

ในภาษาญี่ปุ่น คำว่า "จูกะ" (中華) บางครั้งใช้เพื่อหมายถึงอาหารจีนหรือร้านอาหารที่ให้บริการอาหารจีน[3] และถูกใช้ในชื่ออาหารญี่ปุ่นแบบจีนหลายชนิด เช่น จูกาดง (中華丼), ฮิยาชิจูกะ (冷やし中華) เป็นต้น ประวัติความเป็นมาของอาหารจีนแบบญี่ปุ่นอาจกล่าวได้ว่าเป็นผลผลิตของการแลกเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นและจีน

ประวัติศาสตร์

การนำอาหารจีนเข้าสู่ญี่ปุ่นมีมาตั้งแต่ยุคยาโยอิ อย่างเช่นนาเรซูชินั้นถูกสร้างขึ้นในช่วงการเพาะปลูกข้าวเริ่มขึ้นในญี่ปุ่น[4][5] และสันนิษฐานว่าวิธีการรับประทานปลาในจีนและอุษาคเนย์ ได้ถูกนำมาใช้ในญี่ปุ่นในขณะนั้น

ในสมัยราชวงศ์ถัง และ ซ่ง เมื่อการค้าขายระหว่างจีนและญี่ปุ่นดำเนินไป อาหารจีนจำนวนมากได้ถูกนำมาสู่ญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น ในกรณีของ อุด้ง ซึ่งเป็นตัวแทนของอาหารญี่ปุ่น มีทฤษฎีที่นักเรียนชาวญี่ปุ่นส่งไปเป็นทูตของราชวงศ์ถัง ได้นำเทคนิคการทำบะหมี่จากถังกลับมา โทโกโรเต็ง ยังเป็นอาหารที่ได้รับการนำมาจากประเทศจีนในยุคนาระ[6] อีกทฤษฎีหนึ่งก็คือพระเอ็นนิซึ่งกลับมาจากจีนในปี 1241 ได้นำเทคโนโลยีการโม่แป้ง และเผยแพร่วัฒนธรรมการกินอาหารทำจากแป้งไปยังญี่ปุ่น[7] อาหารญี่ปุ่นอื่น ๆ เช่น โซเม็ง[8] มิโสะ[9][10] และ นัตโต[11][12] ก็เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน

ในช่วงยุคเอโดะ ญี่ปุ่นทำการปิดประเทศ (ซาโกกุ) แต่การค้าขายกับราชวงศ์ชิงยังคงดำเนินไปผ่านทางนางาซากิ และปลิงทะเลแห้งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นแหล่งรายได้[13] ในช่วงกลางยุคเอโดะ อาหารชิปโปกุ ที่ทำจากอาหารจีนถือกำเนิดขึ้นที่นางาซากิ[13] และได้รับความนิยมในเอโดะในช่วงปลายยุคเอโดะด้วย[13] อย่างไรก็ตามอาหารชิปโปกุไม่ได้ใช้เนื้อสัตว์ และอาหารจีนต้นตำรับต้องรอจนถึง ยุคเมจิ เมื่อการห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ถูกยกเลิก[13]

ใน ปี 1883 ชิบุซาวะ เออิจิ เป็นผู้นำในการก่อตั้งร้านอาหารที่ให้บริการอาหารจีนต้นตำรับขึ้นในญี่ปุ่น[13] อย่างไรก็ตามราคาถือว่าสูงเมื่อเทียบกับเงินเดือนของคนทั่วไปในปลายยุคเมจิ จึงถือเป็นอาหารชั้นสูงที่คนทั่วไปเข้าถึงไม่ได้[13]

ใน ปี 1910 ร้านอาหารจีนไรไรเก็ง ได้เปิดทำการในอาซากุสะ[13] หลังจากนั้นร้านอาหารชื่อดังหลายแห่งก็เปิดตั้งแต่ยุคเมจิถึงยุคไทโช และในยุคโชวะ ร้านค้าเหล่านี้ก็เนืองแน่นไปด้วยครอบครัวและงานสังสรรค์[13] นอกจากนี้ ตั้งแต่ปลายยุคไทโชจนถึงยุคโชวะ นิตยสารผู้หญิงได้รับความนิยมอย่างมาก และนิตยสารผู้หญิง เล่มก็มีหน้าการทำอาหารเป็นหนึ่งในบทความเด่น และอาหารจีนก็ถูกนำเสนอจากมุมต่าง ๆ[13]

ตลอดระยะเวลากว่า 80 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1868 ถึง 1930 อาหารจีนที่เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นสามารถจำแนกได้ดังนี้

เมื่อรสชาติและส่วนผสมของอาหารจีนแผ่นดินใหญ่ถูกแนะนำในญี่ปุ่น รสชาติและส่วนผสมอาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ตัวอย่างทั่วไป ได้แก่ อาหารเสฉวน เช่น หมาผัวโต้วฟู กุ้งผัดพริก และ หมาผัวเฉียจึ ซึ่งได้รับการปรุงเพื่อลดความเผ็ดของอาหารเสฉวนให้เหมาะกับรสนิยมของคนญี่ปุ่น

ตัวอย่างอาหารจีนแบบญี่ปุ่น

ส่วนประกอบอย่างเช่นซุปเปรี้ยวเผ็ดได้ถูกนำมาใช้ในอาหารจีนหลายชนิด แต่ไม่ค่อยมีการนำมาทำบะหมี่ แต่ในญี่ปุ่นได้มีการนำมากินกับราเม็ง เกิดเป็นเมนูราเม็งซุปเปรี้ยวเผ็ดขึ้นมา[19]

ราเม็ง

ราเม็งเป็นอาหารจีนแบบญี่ปุ่นที่มีที่มาจากลาเมี่ยนของจีน ในประเทศจีนนั้น ลาเมี่ยนหลานโจว เป็นที่นิยม แต่ก็ไม่ได้มีความหลากหลายมากนัก[19]

ในขณะที่ในญี่ปุ่น มีราเม็งหลากหลายชนิดมาก มีความแตกต่างกันไปตามส่วนประกอบ เช่นใช้เครื่องปรุงที่ต่าง เช่นโชยุ, มิโสะ, เกลือ เป็นต้น[19]

เกี๊ยวซ่า

ในญี่ปุ่น เกี๊ยวซ่า ซึ่งเป็นเกี๊ยวที่ทำโดยการทอดเป็นที่นิยม แต่ในจีนเกี๊ยวน้ำเป็นที่นิยมกว่า[19] นอกจากนี้ประเภทของส่วนผสมที่ใช้ในประเทศจีนก็มีมากกว่า[19]

ชาฮัง

ชาฮังคือข้าวผัดแบบญี่ปุ่น แม้ว่าข้าวผัดจีนและญี่ปุ่นจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ข้าวผัดจีนมีความมันมากกว่าข้าวผัดญี่ปุ่น และไม่มีเนื้อสัมผัสกรุบกรอบเหมือนอย่างข้าวผัดญี่ปุ่น[19]

ตัวอย่างอาหารที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งไม่พบในประเทศจีน

ปฏิกิริยาในประเทศจีน

จากการสัมภาษณ์โดยยู ฮานาโซโนะ บล็อกเกอร์ที่อาศัยอยู่ใน เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ไม่พบความคิดเห็นจากชาวจีนที่มองว่าอาหารจีนแบบญี่ปุ่นเป็นปัญหาแต่อย่างใด[20]

อาหารจีนนั้นมีความแตกต่างกันไปในด้านเครื่องปรุงรสและส่วนผสมขึ้นอยู่กับภูมิภาค และได้รับการออกแบบให้เหมาะกับภูมิภาค จึงเป็นเรื่องปกติที่คนญี่ปุ่นในญี่ปุ่นจะเปลี่ยนอาหารให้เหมาะกับรสนิยมของคนญี่ปุ่น[20]

แม้กระทั่งการเรียกอาหารที่คนญี่ปุ่นคิดค้นขึ้นว่า "อาหารจีน" ก็ได้รับการมองว่าเป็นการแสดงถึงความเคารพต่ออาหารจีน โดยไม่ได้อ้างว่าเป็นอาหารของประเทศตัวเอง[20]

อ้างอิง

  1. "TOPICS ~in 海外~" (PDF). 北海道銀行. 2018-12-04. สืบค้นเมื่อ 2024-02-28.
  2. "日本式中華料理が中国進出 「中国人の胃袋」をつかむ勝利の法則". www.afpbb.com (ภาษาญี่ปุ่น). 2022-03-20. สืบค้นเมื่อ 2024-02-07.
  3. "Chuka: Japan's Unique and Tasty Take on Chinese Cuisine". gurunavi.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-03.
  4. Lee, Cherl-Ho; Steinkraus, Keith H.; Reilly, P. J. Alan. Fish Fermentation Technology. p. 15–16. ISBN 9788970530031.
  5. Hiroto Takamiya (2001). "Introductory Routes of Rice to Japan: An Examination of the Southern Route Hypothesis" (PDF). Asian Perspectives. University of Hawaii Press. 40 (2): 209–226. doi:10.1353/asi.2001.0026. hdl:10125/17154.
  6. Shimamura 2010.
  7. "うどん・そばも饅頭も | 博多の魅力". 博多の魅力 | きっとあなたも博多を好きになる 博多の情報発信サイト (ภาษาญี่ปุ่น). 2016-01-31. สืบค้นเมื่อ 2024-02-03.
  8. "そうめん". そばの散歩道. 日本麺類業団体連合会 / 全国麺類生活衛生同業組合連合会. สืบค้นเมื่อ 2018-08-02.
  9. "Open innovation of Marukome and Panasonic in order to create "New Miso Life"". Panasonic.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). Naoaki Yamamoto. 2018-03-07. สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
  10. "The origin of miso". Abokichi.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). Yumi Miyamoto. 2017-03-02. สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
  11. "History of Natto and Its Relatives (1405-2012) - SoyInfo Center". www.soyinfocenter.com. สืบค้นเมื่อ 2019-11-16.
  12. "History of Soy Nuggets (Shih or Chi, Douchi, Hamanatto) - Page 1". www.soyinfocenter.com. สืบค้นเมื่อ 2019-12-14.
  13. 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 13.5 13.6 13.7 13.8 福地享子 (2021-01-13). "中国料理はいつから日本にあった? 江戸〜昭和のグルメ本から読み解く中国料理". 料理王国. สืบค้นเมื่อ 2024-04-13.
  14. Okuyama, Tadamasa (2003). 文化麺類学・ラーメン篇 (ภาษาญี่ปุ่น). Akashi Shoten. ISBN 978-4750317922.
  15. Kosuge, Keiko (1998). [Japanese Ramen Story] (ภาษาญี่ปุ่น). Kodansha. ISBN 978-4062563024 https://books.google.com/books?id=b1mbAAAACAAJ. {{cite book}}: |trans-title= ต้องการ |title= หรือ |script-title= (help); |url= missing title (help)
  16. "中華麺の歴史". 東京都中華麺製造業協同組合. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-07. สืบค้นเมื่อ 2014-07-07.
  17. Ono, T.; Salat, H. (2013). Japanese Soul Cooking: Ramen, Tonkatsu, Tempura, and More from the Streets and Kitchens of Tokyo and Beyond. Potter/TenSpeed/Harmony. p. 397–398. ISBN 978-1-60774-353-8.
  18. "Japan's History of Fried Food". TalentHub Blog | Live and work in Japan (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2017-10-24. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-05-31. สืบค้นเมื่อ 2019-05-31.
  19. 19.0 19.1 19.2 19.3 19.4 19.5 花園祐 (2018-02-28). "日本にしかない「中華料理」、中国人はどう思う?". JBpress. p. 1. สืบค้นเมื่อ 2018-02-28.
  20. 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 20.5 花園祐 (2018-02-28). "日本にしかない「中華料理」、中国人はどう思う?". JBpress. p. 3. สืบค้นเมื่อ 2018-02-28.

Strategi Solo vs Squad di Free Fire: Cara Menang Mudah!