สงครามพม่า-สยามใน พ.ศ. 2106 - 2107 หรือ สงครามช้างเผือก เป็นสงครามระหว่างราชวงศ์ตองอู แห่งประเทศพม่า กับอาณาจักรอยุธยา แห่งประเทศสยาม เป็นสงครามที่สองในช่วง 20 ปี ที่พม่ากับสยามสู้รบกับจนถึงศตวรรษที่ 19 สาเหตุของสงครามมาจากพระเจ้าบุเรงนอง บังคับให้อาณาจักรอยุธยาสวามิภักดิ์ต่อการปกครองของพระองค์ ในแผนที่จะสร้างจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังพระเจ้าบุเรงนองครองราชย์ 13 ปี จึงมีการโจมตีสยามครั้งที่สอง โดยครั้งแรกทำสำเร็จหลังการล้อมเมืองพระนครศรีอยุธยา สยามกลายเป็นรัฐบริวารของราชวงศ์ตองอูจนถึงการก่อกบฎ พ.ศ. 2111 ที่อยุธยาได้รับเอกราชในช่วงสั้น ๆ[ 4]
บทนำ
หลังจากก่อสงคราม กับราชวงศ์ตองอู สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงรับสั่งสร้างป้อมที่เมืองหลวงเพื่อรับการโจมตีจากพม่าในภายหลัง สงครามพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้สิ้นสุดลงที่สยามชนะในด้านการป้องกันและยังคงความเป็นเอกราช อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานในเรื่องดินแดนของพระเจ้าบุเรงนองกระตุ้นให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเตรียมตัวสำหรับศึกครั้งถัดไป ได้แก่ เกณฑ์ผู้ชายทุกคนไปรบ เตรียมกำลังและทรัพยากรไว้สำหรับสงครามขนาดใหญ่ และ ช้างเผือก 7 เชือกเพื่อความเป็นสิริมงคล
ในขณะเดียวกัน การโจมตีที่เมืองเชียงใหม่ กับอาณาจักรล้านนา ในบริเวณใกล้เคียงของพระเจ้าบุเรงนองประสบความสำเร็จใน พ.ศ. 2099 ทำให้พระองค์ได้สมญานามว่า "ผู้ชนะสิบทิศ" และทำให้อาณาจักรของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเผชิญกับดินแดนศัตรูในทิศเหนือและตะวันตก[ 5]
ความขัดแย้ง
การโจมตีภายใน
ด้วยอำนาจและอิทธิพลของพระเจ้าบุเรงนองที่สูงขึ้น พระองค์จึงสั่งช้างเผือก 2 เชือกจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิไปเป็นบรรณาการของราชวงศ์ตองอู แต่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิปฏิเสธ ทำให้พระองค์นำทัพมาโจมตีอาณาอยุธยาครั้งที่สอง พระเจ้าบุเรงนองทรงคุ้นเคยพื้นที่สยามดีเพราะเคยนำทัพไปพร้อมกับพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ เข้าประเทศสยามผ่านบริเวณด่านเจดีย์สามองค์ ในจังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบัน ส่วนกองทัพแยกเข้าทางด่านแม่ละเมาในจังหวัดตาก ปัจจุบัน
กองทัพของพระเจ้าบุเรงนองมีชาย 60,000 คน, ม้า 2400 ตัว, ช้าง 360 เชือก และกองทัพจากล้านนา[ 2] กองทัพเหล่านี้เดินขบวนไปที่เมืองหลวงอยุธยา แต่เดินทางถึงเมืองพิษณุโลก ก่อน สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ผู้ครองเมืองพิษณุโลก เผชิญกับกองทัพขนาดใหญ่ เป็นต้นเหตุทรยศสยามและลงนามสันถวไมตรีกับพระเจ้าบุเรงนอง ทำให้กองทัพของพระองค์ใหญ่กว่าเดิม
ต่อมา กองทัพพม่าเดินทางไปถึงอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งอยู่ในช่วงเสื่อมโทรม อยู่ภายใต้อำนาจของอยุธยาในฐานะรัฐบริวารเป็นเวลากว่า 200 ปี พวกเขารู้ว่าไม่มีหวังในการปกป้องอาณาจักรของตน จึงแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าบุเรงนองแทนใน พ.ศ. 2106
กองทัพของพระเจ้าบุเรงนองสามารถยึดอำเภอสวรรคโลก และจังหวัดพิจิตร ได้โดยไม่มีความลำบาก แล้วเดินทางไปยังอยุธยาอย่างเต็มตัว
การล้อมอยุธยาและสงบศึก
กองทัพพระเจ้าบุเรงนองเดินทัพมาที่อยุธยา โดยพวกเขารอที่ป้อมสยามริมอ่าวเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ได้รับอนุเคาระห์จากเรือรบ 3 ลำกับกองปืนใหญ่โปรตุเกสที่ท่าเรือ ฝ่ายรุกจึงยึดเรือและกองปืนใหญ่ของโปรตุเกส และทำลายป้อมสยามในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2107[ 6]
ด้วยกองทัพใหม่ 60,000 คนรวมกับทหารจากพิษณุโลก พระเจ้าบุเรงนองเดินทางถึงกำแพงเมืองอยุธยา ใช้ปืนใหญ่ยิงกระหน่ำ แต่กำแพงไม่พังทลาย ทำให้ฝ่ายพม่าไม่สามารถยึดเมืองอยุธยาได้ แต่สั่งให้กษัตริย์สยามออกมาจากเมืองพร้อมธงขาว เพื่อเจรจาสันติภาพ เมื่อเห็นว่าราษฎรของพระองค์ไม่สามารถต้านทางได้นานกว่านี้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงเจรจาสันติภาพ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าอย่างมาก
ในข้อแลกเปลี่ยนสำหรับล่าถอยของกองทัพพม่า พระเจ้าบุเรงนองนำตัวเจ้าชายราเมศวร (พระราชโอรสในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ), พระยาจักรี และพระยาสุนทรสงครามกลับพม่าในฐานะเชลย และช้างเผือกสยาม 4 เชือก ถึงแม้ว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ผู้ทรยศ ถูกปล่อยไว้ในฐานะผู้ปกครองพิษณุโลกและอุปราชสยาม อาณาจักรอยุธยาตกเป็นประเทศราชของราชวงศ์ตองอู โดยต้องส่งช้าง 20 เชือก และเงิน 300 ชั่งให้พม่าทุกปี ฝ่ายพม่าได้เข้าถึงท่าเรือเพื่อเก็บภาษีที่มะริด และสยาม ความต้องการช้างสองเชือกของพระเจ้าบุเรงนองเพิ่มขึ้นเป็น 4 เชือก ท้ายที่สุด จึงมีการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพที่วัดหน้าพระเมรุ ทำให้เกิดความสงบเป็นเวลา 4 ปี[ 7]
หลักฐานพม่ากล่าวว่า พระเจ้าบุเรงนองกลับไปยังพะโคพร้อมกับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิในฐานะเชลย ก่อนแต่งตั้งสมเด็จพระมหินทราธิราช พระราชโอรสของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในฐานะกษัตริย์ประเทศราชอยุธยา และปล่อยกองทหารรักษาการณ์ 3,000 นาย หลักฐานพม่ายังกล่าวอีกว่า หลังถูกส่งไปที่พะโคมาหลายปี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิกลายเป็นพระและพระเจ้าบุเรงนองอนุญาตให้พระองค์กลับไปยังอยุธยา[ 8] อย่างไรก็ตาม หลักฐานไทยไม่ค่อยกล่าวว่าสมเด็จพระมหินทราธิราช พระโอรสองค์ที่สองของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ขึ้นครองราชย์เพราะพระราชบิดาของพระองค์สละราชสมบัติและกลายเป็นพระหลังสงครามนี้[ 8]
ผลที่ตามมา
การสงบศึกอยู่ได้ไม่นาน ใน พ.ศ. 2111 ฝ่ายอยุธยาก่อกบฎต่อผู้นำพม่า หลังคำแนะนำของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชอ่อนแอเกินกว่าที่จะหยุดกบฎ พระเจ้าบุเรงนองจึงต้องนำทัพมาที่อยุธยาอีกครั้ง ก่อให้เกิดสงครามกับสยามอีกครั้ง
ดูเพิ่ม
อ้างอิง