พระเจ้าเฮนรีที่ 1[1] แห่งอังกฤษ (อังกฤษ: Henry I of England) (ราว ค.ศ. 1068/ค.ศ. 1069 – 1 ธันวาคม ค.ศ. 1135) เป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษและเป็นกษัตริย์องค์ที่ 3 ของราชวงศ์นอร์มันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 จนกระทั่งสวรรคตในปี ค.ศ. 1135 พระองค์เป็นโอรสองค์ที่สี่ของพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษหรือพระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิต โดยพระองค์ได้รับการศึกษาภาษาละตินและศิลปศาสตร์ ในการสวรรคตของพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 ในปี ค.ศ. 1087 พระเชษฐาของเจ้าชายเฮนรีสององค์คือรอเบิร์ตที่ 2 ดยุกแห่งนอร์มังดีและวิลเลียม รูฟัสสืบทอดดัชชีนอร์ม็องดีและอังกฤษตามลำดับ แต่เจ้าชายเฮนรีไม่ได้รับที่ดิน พระองค์ซื้อเคาน์ตีโคเทนตินทางตะวันตกของนอร์มังดีจากรอเบิร์ต แต่พระเชษฐาองค์นี้ถูกปลดเสียก่อนในปี ค.ศ. 1091 พระองค์ค่อย ๆ สร้างฐานอำนาจของพระองค์ขึ้นใหม่ในโคเทนตินและร่วมมือกับวิลเลียม รูฟัสหรือพระเจ้าวิลเลียมที่ 2 แห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นพระเชษฐาอีกองค์หนึ่งต่อสู้กับรอเบิร์ต
พระองค์อยู่ในสถานที่ที่พระเชษฐาของพระองค์คือ พระเจ้าวิลเลียมที่ 2 สวรรคตอย่างกะทันหันเนื่องจากการถูกยิงด้วยธนูระหว่างการล่าสัตว์ในอุทยานหลวงในปี ค.ศ. 1100 และเนื่องจากพระเจ้าวิลเลียมที่ 2 สวรรคตโดยไม่มีรัชทายาท เจ้าชายเฮนรีจึงเข้ายึดราชบัลลังก์อังกฤษโดยให้คำมั่นในพิธีราชาภิเษกของพระองค์ว่าจะแก้ไขนโยบายที่ไม่เป็นที่นิยมของพระเจ้าวิลเลียมที่ 2 ให้ดีขึ้น พระองค์อภิเษกสมรสกับมาทิลดาแห่งสกอตแลนด์ และทั้งสองพระองค์มีพระราชบุตรที่เจริญพระชนม์ 2 พระองค์ได้แก่ จักรพรรดินีมาทิลดา และเจ้าชายวิลเลียม อเดลิน พระองค์มีพระราชบุตรนอกสมรสหลายคนจากพระสนมลับหลายคน เจ้าชายโรเบิร์ต พระเชษฐาของพระองค์เสด็จจากนอร์มังดีในปี ค.ศ. 1101 เพื่อโต้แย้งการปกครองอังกฤษของพระเจ้าเฮนรี การรบครั้งนี้จบลงด้วยการเจรจาข้อตกลงที่ยืนยันว่าพระเจ้าเฮนรีเป็นกษัตริย์ ความสงบสุขเกิดขึ้นได้ไม่นาน เมื่อพระเจ้าเฮนรีนำกองทัพบุกยึดครองดัชชีนอร์ม็องดีในปี ค.ศ. 1105 และ ค.ศ. 1106 ในที่สุดพระองค์ก็เอาชนะดยุคโรเบิร์ตได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในยุทธการที่แต็งเชอเบรย์พระเจ้าเฮนรีปลดดยุครอเบิร์ตและจำคุกตลอดพระชนม์ชีพ การปกครองนอร์ม็องดีของพระเจ้าเฮนรีถูกท้าทายโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศส เคานต์บอลด์วินที่ 7 แห่งแฟลนเดอร์ส และฟุลค์ที่ 5 แห่งอองฌู ผู้สนับสนุนการอ้างสิทธิ์ของวิลเลียม คลิโต พระโอรสของดยุคโรเบิร์ต และสนับสนุนการก่อกบฏครั้งใหญ่ในดัชชีระหว่างปี ค.ศ. 1116 ถึง ค.ศ. 1119 หลังจากชัยชนะของพระเจ้าเฮนรีในยุทธการที่เบรมิวเล พระองค์ได้ลงพระนามในข้อตกลงสันติภาพซึ่งตกลงกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 6 ในปี ค.ศ. 1120
พระเจ้าเฮนรีถือได้ว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉียบขาดและมีพระปรีชาสามารถ สามารถจัดการกับเหล่าบารอนในอังกฤษและนอร์มังดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในอังกฤษ พระองค์ใช้ระบบยุติธรรม รัฐบาลท้องถิ่น และการจัดเก็บภาษีของแองโกล-แซกซอนที่มีอยู่ แต่เสริมความแข็งแกร่งด้วยกรมสรรพากรและกรมราชทัณฑ์ ขณะที่นอร์มังดีถูกปกครองโดยระบบยุติธรรมและการจัดเก็บภาษีที่กำลังเจริญเติบโต ข้าราชการหลายคนภายใต้การปกครองของพระเจ้าเฮนรีเป็น "คนใหม่" ที่มีภูมิหลังที่คลุมเครือ มากกว่าจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะสูงส่ง พระเจ้าเฮนรีสนับสนุนการปฏิรูปคณะสงฆ์ แต่พระองค์ก็เข้าไปพัวพันกับข้อพิพาทร้ายแรงในปี ค.ศ. 1101 กับอาร์ชบิชอปแอนเซล์มแห่งแคนเทอร์เบอรี ซึ่งจบลงด้วยการประนีประนอมในปี ค.ศ. 1105 พระองค์สนับสนุนการปฏิรูปคลูนีแอกและมีบทบาทสำคัญในการเลือกนักบวชอาวุโสในอังกฤษและนอร์มังดี
เจ้าชายวิลเลียม อาเดลิน พระราชโอรสโดยชอบธรรมเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้าเฮนรีสวรรคตเนื่องจากจมน้ำในหายนะเรือสีขาวในปี ค.ศ. 1120 ทำให้การสืบราชบัลลังก์เกิดความสงสัย พระเจ้าเฮนรีอภิเษกสมรสกับพระมเหสีองค์ที่ 2 คือ อเดลีซาแห่งลูแว็ง โดยหวังว่าจะมีพระราชโอรสอีกองค์หนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่มีพระราชโอรส เพื่อตอบสนองต่อเรื่องนี้ พระองค์ประกาศว่าพระราชธิดาโดยชอบธรรมเพียงองค์เดียวของพระองค์คือมาทิลดาพระเชษฐภคินีของเจ้าชายวิลเลียมได้เป็นรัชทายาทและอภิเษกกับเจฟฟรีย์แห่งอองฌู ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าเฮนรีกับทั้งคู่เริ่มตึงเครียด และการต่อสู้ก็ปะทุขึ้นตามแนวชายแดนของอองฌู พระเจ้าเฮนรีสวรรคตเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1135 หลังจากประชวรอยู่หนึ่งสัปดาห์ แม้จะมีแผนการสำหรับมาทิลดาแต่พระเจ้าเฮนรีก็ถูกสืบทอดราชบัลลังก์อังกฤษโดยสตีเฟนแห่งบลัวพระราชนัดดาของพระองค์ซึ่งส่งผลให้เกิดสงครามกลางเมืองที่เรียกว่าดิแอนะคี
เฮนรีเสด็จพระราชสมภพในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1068 ถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1069 อาจจะในเซลบี ยอร์กเชอร์[2] ในตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ พระมารดาของพระองค์ พระราชินีมาทิลดา สืบเชื้อสายมาจากอัลเฟรดมหาราช (แต่ไม่ได้ผ่านทางสายหลักของราชวงศ์เวสเซ็กซ์) พระราชินีมาทิลดาตั้งชื่อทารกน้อยว่าเจ้าชายเฮนรีตามชื่อของพระปิตุลา อองรี (Henry) ที่ 1 แห่งฝรั่งเศส[3] ในฐานะลูกชายคนสุดท้องของครอบครัว พระองค์ถูกคาดหมายให้เป็นบิชอปและได้รับการศึกษามากกว่าขุนนางส่วนใหญ่ในตอนนั้น นักพงศาวดาร วิลเลียมแห่งมัล์มสบรี อ้างว่าเฮนรีเคยให้ความเห็นว่ากษัตริย์ที่ไม่รู้หนังสือคือคนโง่ที่ได้สวมมงกุฎ พระองค์ยังเป็นผู้ปกครองชาวนอร์มันคนแรกที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง
พระโอรสคนที่สามของวิลเลียมที่ 1 สิ้นพระชนม์ก่อนพระบิดาด้วยอุบัติเหตุในระหว่างการล่าสัตว์ในนิวฟอเรสต์ หลังการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ในปี ค.ศ. 1087 วิลเลียมจึงยกดินแดนที่ตนครอบครองให้พระโอรสสามคนที่ยังมีชีวิตอยู่[4] ดังนี้
นักพงศาวดาร ออร์เดริค วิทาลิส บันทึกว่ากษัตริย์เฒ่าชี้แจงกับเฮนรีว่า "เมื่อถึงเวลาเจ้าจะได้ดินแดนทั้งหมดที่ข้าเคยได้มา และจะยิ่งใหญ่กว่าพี่ชายทั้งสองของเจ้าในด้านความมั่งคั่งและอำนาจ"
เฮนรีพยายามปั่นหัวให้พระเชษฐาทั้งสองผิดใจกัน แต่ท้ายที่สุดด้วยความระวังตัวต่อแผนการที่ตลบแตลงของพระองค์ ทั้งคู่ร่วมมือกันลงนามในสนธิสัญญาที่กันเจ้าชายเฮนรีออกจากบัลลังก์ทั้งสองด้วยการกำหนดเงื่อนไขว่าหากพระเจ้าวิลเลียมหรือดยุคโรเบิร์ตสิ้นพระชนม์โดยไร้ทายาท ดินแดนทั้งสองของพระบิดาจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งภายใต้อีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1100 ตอนที่วิลเลียมที่ 2 ถูกสังหารโดยลูกธนูในอุบัติเหตุระหว่างการล่าสัตว์อีกครั้งหนึ่งในนิวฟอเรสต์[5] ดยุคโรเบิร์ตยังไม่กลับมาจากครูเสดครั้งที่ 1 การไม่อยู่ของพระองค์กับชื่อเสียงที่ย่ำแย่ในหมู่ขุนนางชาวนอร์มันทำให้เจ้าชายเฮนรียึดพระคลังหลวงที่วินเชสเตอร์ แฮมป์เชอร์[6] ที่พระองค์ฝังพระเชษฐาที่สิ้นพระชนม์มาได้ เฮนรีได้รับการยอมรับเป็นกษัตริย์นำโดยเหล่าบารอนและได้รับการสวมมงกุฎสามวันต่อมาในวันที่ 5 สิงหาคม ที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ทรงรักษาตำแหน่งของตนในหมู่ขุนนางไว้ได้ด้วยการเอาอกเอาใจในทางการเมือง ทรงออกกฎบัตรแห่งเสรีภาพที่ถูกมองว่าเป็นรุ่นบุกเบิกของแมกนาคาร์ตา กฎบัตรสัญญาว่ากษัตริย์จะระงับการยึดทรัพย์สินที่ดินของโบสถ์และการเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1100 เฮนรีแต่งงานกับอีดิธ พระธิดาของพระเจ้ามัลคอล์มที่ 3 แห่งสกอตแลนด์[7] อีดิธยังเป็นพระนัดดาหญิง (หลานสาว) ของเอ็ดการ์อาเธลิงและพระปนัดดาหญิง (เหลนสาว) ของพี่น้องร่วมพ่อของเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพ เอ็ดมุนด์ผู้ทนทาน การอภิเษกสมรสนี้ทำให้ราชวงศ์นอร์มันเป็นดองกับราชวงศ์เวสเซกซ์ ซึ่งเคยปกครองอังกฤษมาก่อนการพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มันที่นำโดยพระบิดาของเฮนรี่พระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิต การแต่งงานไม่เป็นที่พอใจอย่างมากของบารอนชาวนอร์มัน ทว่าเพื่ออ่อนข้อให้กับความอ่อนไหวนี้ อีดิธเปลี่ยนพระนามเป็นมาทิลดาหลังขึ้นเป็นพระราชินี ซึ่งทำให้ได้รับการยอมรับมากขึ้นไปอีกในหมู่ประชาชนชาวแองโกลแซ็กซัน
นักพงศาวดาร วิลเลียมแห่งมัล์มสบรี บรยายถึงเฮนรีว่า "ทรงมีรูปร่างปานกลาง ตัวไม่เล็ก แต่ก็ไม่ถึงขั้นสูงมาก ผมของพระองค์สีดำและถอยร่นไปจากหน้าผาก ดวงตาของพระองค์เปล่งประกายอ่อนๆ อกของพระองค์กำยำ ร่างกายของพระองค์เจ้าเนื้อ"
ในปีต่อมา ปี ค.ศ. 1101 โรเบิร์ตเคอร์โธสพยายามยึดราชบัลลังก์ด้วยการบุกอังกฤษ ในสนธิสัญญาอัลทอน เคอร์โธสยอมรับพระอนุชา เฮนรี เป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษและกลับไปนอร์ม็องดีอย่างสันติ หลังได้รับเงินรายปี 2,000 มาร์คที่เฮนรีจ่ายให้
ในปี ค.ศ. 1105 เพื่อกำจัดการคุกคามต่อเนื่องจากโรเบิร์ตเคอร์โธสและหยุดการเสียเงินไปกับการจ่ายค่ารายปี เฮนรีนำกองทัพออกเดินทางข้ามช่องแคบอังกฤษ
เช้าของวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1106 40 ปีหลังวิลเลียมขึ้นฝั่งในอังกฤษ สงครามชี้ขาดระหว่างพระโอรสทั้งสองของพระองค์ โรเบิร์ตเคอร์โธสกับเฮนรีโบเคลิร์ก เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ ของแต็งเชอเบรย์ การประจันหน้ากันครั้งนี้เหนือความคาดหมายและไม่ได้เตรียมการไว้ เฮนรีกับกองทัพของพระองค์เดินทัพลงใต้มาจากบาร์เฟลอร์ กำลังเดินทางไปดมฟรงต์ ส่วนเคอร์โธสกำลังเดินทัพพร้อมกับกองทัพมาจากแฟเลส กำลังเดินทางไปมอร์แต็ง ทั้งคู่เจอกันที่ทางแยกที่แต็งเชอเบรย์และทำสมรภูมิที่แผ่ขยายไปหลายกิโลเมตร จุดที่การต่อสู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นคือหมู่บ้านที่ทุกวันนี้เป็นทุ่งโล่ง จนตกเย็น เคอร์โธสเหนื่อยจนล่าถอยไปแต่ถูกจับตัวได้โดยคนของเฮนรีที่สามกิโลเมตรทางเหนือของแต็งเชอเบรย์ ที่ฟาร์มที่ชื่อพริสซึ่งอยู่มาจนถึงทุกวันนี้บนถนนดี 22 ป้ายหินหลุมฝังศพของสามอัศวินอยู่ใกล้ๆ กันบนถนนเส้นเดียวกัน
หลังเฮนรีปราบกองทัพนอร์มันของพระเชษฐาที่แต็งเชอเบรย์ ทรงจำคุกเคอร์โธส ตอนแรกที่หอคอยแห่งลอนดอน ต่อมาที่ปราสาทเดไวเซส และสุดท้ายที่คาร์ดิฟฟ์ วันหนึ่งขณะกำลังขี่ม้า เคอร์โธสพยายามหนีจากคาร์ดิฟฟ์แต่ม้าของพระองค์ตกใจบึงและทรงถูกจับตัวได้อีกครั้ง เพื่อยับยั้งการหนีในอนาคต เฮนรีได้เผาดวงตาของโรเบิร์ตเคอร์โธส เฮนรีแต่งตั้งดัชชีนอร์ม็องดีเป็นดินแดนในครอบครองของราชอาณาจักรอังกฤษและรวมดินแดนของพระบิดาเข้าด้วยกันอีกครั้ง
ในปี ค.ศ. 1113 พระองค์พยายามลดความยากลำบากในนอร์ม็องดีด้วยการหมั้นหมายพระโอรสคนโต วิลเลียมอาเดลิน กับลูกสาวของฟุลค์แห่งเยรูซาเล็ม (หรือฟุลค์ที่ 5) เคานต์แห่งอ็องฌู ที่ตอนนั้นเป็นศัตรูคนสำคัญ ทั้งคู่แต่งงานกันในปี ค.ศ. 1119 แปดปีต่อมา หลังการสิ้นพระชนม์ของวิลเลียม การแต่งงานที่สำคัญกว่ามากเกิดขึ้นระหว่างพระธิดาของวิลเลียม (อดีตจักรพรรดินี) มาทิลดา กับลูกชายของฟุลค์ จอฟเฟรย์แพลนทาเจเนต ที่ผลลัพธ์สุดท้ายคือการเป็นหนึ่งเดียวกันของสองอาณาจักรภายใต้กษัตริย์แพลนทาเจเนต
ความจำเป็นในการใช้เงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตำแหน่งของตนของเฮนรีนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่เพิ่มมากขึ้นในการบริหารปกครองแบบรวมศูนย์ ในฐานะกษัตริย์ เฮนรีปฏิรูปทางสังคมและระบบยุติธรรม ประกอบด้วย
ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1103 ถึง 1107 เฮนรีขัดแย้งกับอันเซล์ม อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์บรี และพระสันตะปาปาปาสคาลที่ 2 ในการโต้เถียงครั้งใหญ่เรื่องการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ซึ่งได้ข้อสรุปในข้อตกลงลอนดอนในปี ค.ศ. 1107 ด้วยการประนีประนอม เฮนรียอมสละสิทธิ์ในการแต่งตั้งบิชอปกับพระอธิการ แต่เก็บธรรมเนียมที่ผู้ได้รับการแต่งตั้งต้องถวายความเคารพต่อเจ้าของทรัพย์สินที่ดินในทางโลกไว้ ให้บิชอปถวายความเคารพและถวายตัวเป็นข้าราชบริพารตามระบอบศักดินาในพิธีการที่เรียกกันว่า คอมเมนดาติโอ พิธียกย่องสรรเสริญ เหมือนกับข้าราชบริพารในทางโลก การโต้เถียงครั้งรุนแรงที่คล้ายกันว่าใครมีอำนาจในการแต่งตั้งบาทหลวงชั้นสูงและตำแหน่งอื่นๆ ทางโบสถ์เกิดขึ้นระหว่างพระสันตะปาปากับกษัตริย์หลายคนตลอดช่วงยุคนี้ กษัตริย์ขายการแต่งตั้ง เนื่องจากหลายตำแหน่งทำเงินให้มากมาย การปฏิรูปเกรกอเรียนเกิดขึ้นเพื่อยับยั้งการขายตำแหน่งทางศาสนา และเพื่อลดการแทรกแซงกิจการของโบสถ์
เฮนรียังเป็นที่รู้จักในด้านความโหดเหี้ยม พระองค์เคยโยนชาวเมืองที่ทรยศชื่อโคนัน พิลาตุสลงมาจากหอคอยแห่งรูอ็อง หอคอยที่ตั้งแต่นั้นมารู้จักกันในชื่อ "การกระโดดของโคนัน" อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1119 ลูกเขยของเฮนรี ยูซตาสแห่งแปซีกับราล์ฟ ฮาร์เนค ขุนวังแห่งอิฟรี แลกลูกให้เป็นตัวประกันของกันและกัน เมื่อยูซตาสทำลูกชายของฮาร์เนคตาบอด ฮาร์เนคต้องการล้างแค้น พระเจ้าเฮนรีอนุญาตให้ฮาร์เนคทำให้ลูกสาวสองคนของยูซตาส ซึ่งเป็นหลานสาวของเฮนรีเอง ตาบอดและพิการ ยูซตาสกับภรรยา จูเลียง ตะลึงและขู่ว่าจะก่อกบฏ เฮนรีจัดแจงจนได้เจรจาข้อพิพาทกับลูกสาวที่เบรอเตยล์ จูเลียงดึงหน้าไม้และพยายามลอบสังหารพ่อของตน ทำให้เธอถูกจับกุมและกักบริเวณในปราสาท แต่หนีออกมาได้ด้วยการกระโดดจากหน้าต่างลงมาในคูข้างล่าง หลายปีต่อมา เฮนรีคืนดีกับลูกสาวและลูกเขย
พระองค์มีพระโอรสธิดาสามคนกับมาทิลดา (อีดิธ) ที่สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1118
หายนะโจมตีเมื่อวิลเลียม พระโอรสในสมรสคนเดียว สิ้นพระชนม์ในการอับปางของเรือขาวเมื่อ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1120 นอกชายฝั่งนอร์ม็องดี ในกลุ่มผู้เสียชีวิตยังมีลูกนอกสมรสของเฮนรีอีกสองคน รวมถึงหลานสาว ลูเซีย-มาเฮาต์ เดอ บลัวส์ ความเศร้าของเฮนรีนั้นรุนแรงมาก และการสืบทอดบัลลังก์ตกอยู่ในวิกฤต
เมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1121 เฮนรีแต่งงานกับอาเดลิซา ลูกสาวของก็อดเฟรย์ที่ 1 แห่งเลิฟเวน ดยุคแห่งโลธาริงเกียล่างและแลนด์เกรฟแห่งบราบ็องต์ แต่ไม่มีลูกที่เกิดจากการแต่งงานครั้งนี้ ไม่มีทายาทชายทิ้งไว้ เฮนรีเดินหน้าครั้งประวัติการณ์ด้วยการให้เหล่าบารอนของตนสาบานว่าจะยอมรับพระธิดาของพระองค์ จักรพรรดินีมาทิลดา พระมเหสีม่ายของเฮนรีที่ 5 จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นทายาทของพระองค์
เฮนรีไปเยือนนอร์ม็องดีในปี ค.ศ. 1135 เพื่อพบพระนัดดาชาย (หลานชาย) ลูกของมาทิลดากับจอฟเฟรย์ ทรงปลื้มปิติอย่างยิ่งกับพระนัดดา แต่ไม่นานก็ทะเลาะกับพระธิดาและพระชามาดา (ลูกเขย) และการขัดแย้งครั้งนี้นำพระองค์ไปสู่การพักแรมในนอร์ม็องดีนานกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกมาก
เฮนรีสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1135 ด้วยอาหารเป็นพิษจากการกิน "ปลาแลมเพรย์ (ที่ทรงโปรดปรานมาก) ปริมาณมากเกินไป" ที่แซ็งต์-เดอนีส์-ซ็อง-ลียงส์ (ปัจจุบันคือลียงส์-ลา-ฟอเรต์) ในนอร์ม็องดี ศพของพระองค์ถูกเย็บเก็บไว้ในหนังวัวเพื่อรักษาสภาพระหว่างเดินทาง แล้วนำกลับไปอังกฤษและฝังที่เรดิงแอบบีย์[8] ที่พระองค์ก่อตั้งเมื่อสิบสี่ปีก่อน แอบบีย์ถูกทำลายในช่วงการปฏิรูปและไม่มีร่องรอยของสุสานของพระองค์ที่เหลือรอด ที่ตั้งที่เป็นไปได้ถูกคลุมทับโดยโรงเรียนเซนต์เจมส์ มีแผ่นจารึกเล็กๆ อยู่ใกล้ๆ กับกางเขนรำลึกขนาดใหญ่ในส่วนที่อยู่ติดกับสวนสาธารณะฟอร์บรี
แม้บารอนของเฮนรีจะเคยสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อพระธิดาของพระองค์ในฐานะราชินีของพวกตน แต่เพศและการแต่งงานใหม่เข้าตระกูลอ็องฌู ศัตรูของชาวนอร์มัน ทำให้พระนัดดาชาย (หลานชาย) ของเฮนรี สตีเฟนแห่งบลัวส์ มาที่อังกฤษเพื่ออ้างสิทธิ์ในบัลลังก์พร้อมกับการสนับสนุนในวงกว้าง
ความขัดแย้งระหว่างอดีตจักรพรรดินีกับสตีเฟนได้ผลลัพธ์เป็นสงครามกลางเมืองอันยาวนานที่รู้จักกันในชื่อดิแอนะคี ความขัดแย้งท้ายที่สุดแล้วลงเอยด้วยการที่สตีเฟนประกาศให้ลูกชายของมาทิลดา เฮนรีแพลนทาเจเนต เป็นทายาทของพระองค์ในปี ค.ศ. 1153
บางครั้งมรดกที่สำคัญที่สุดของเฮนรีถูกมองว่าเป็นการทำลายกำแพงระหว่างชาวนอร์มันกับชาวแองโกลแซ็กซัน กับความยินดีที่จะยอมรับสิทธิของไพร่ฟ้าประชาชนของตน
พระเจ้าเฮนรีมีชื่อเสียงจากการครองสถิติเป็นกษัตริย์อังกฤษที่มีลูกนอกสมรสที่เป็นที่รู้จำนวนมากที่สุด ด้วยจำนวนราว 20 หรือ 25 คน ทรงมีภรรยาลับมากมาย และการระบุว่าภรรยาลับคนใดเป็นแม่ของลูกคนใดเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เลือดเนื้อเชื้อไขนอกสมรสของพระองค์ที่มีหลักฐานทางเอกสาร มีดังนี้
อัลสฟริดจ์เกิดในปี ค.ศ. 1070 เธอเป็นภรรยาของอันสกิลล์แห่งซีคอร์ต ที่ไวแธมในบาร์กเชอร์ (ปัจจุบันคืออ็อกฟอร์ดเชอร์)
เลดี้ซีบิล คอร์เบต์แห่งอัล์ซสเตอร์เกิดในปี ค.ศ. 1077 ในอัล์ซสเตอร์ในวอริคเชอร์ เธอแต่งงานกับแอร์แบร์ต์ ฟิตซ์แอร์แบร์ต์ ลูกชายของแอร์แบร์ต์ (มหาดเล็ก) แห่งวินเชสเตอร์กับเอ็มมา เดอ บลัวส์ เธอตายหลังปี ค.ศ. 1157 และเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคืออาเดลา (หรือลูเซีย) คอร์เบต์ ซีบิลเป็นแม่ของซีบิลกับเรจินัลด์ อาจจะวิลเลียมกับโรเอสด้วย บางแหล่งข้อมูลสันนิษฐานว่ายังมีลูกสาวอีกคนที่เกิดจากความสัมพันธ์ครั้งนี้ กุนด์เรด เพราะเธอเป็นพี่น้องหญิงของเรจินัลด์ เดอ ดันสต็องวีลล์ แต่ว่ามีอีกคนที่ชื่อนี้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวนี้
เนสต์ แฟร์ช ไรซ์เกิดราวปี ค.ศ. 1073 ที่ปราสาทดีเนอเฟวร์ คาร์มาร์เธนเชอร์ ลูกสาวของเจ้าชายไรซ์ แอป ทิวเดวร์แห่งเดอฮิวบาร์ธกับภรรยา เกวลาเดิส แฟร์ช ไรวัลลอน เธอแต่งงานในปี ค.ศ. 1095 กับเจอรัลด์ เดอ วินด์เซอร์ (หรือเจรัลดุส ฟิตซ์วอลแตร์) ลูกชายของวอลแตร์ ฟิตซ์อาเธอร์ ขุนวังแห่งปราสาทวินด์เซอร์ เธอมีคนที่คนหาด้วยหลายคน หนึ่งในนั้นคือสตีเฟนแห่งคาร์ดิกัน ขุนวังแห่งคาร์ดิกัน (ปี ค.ศ. 1136) และตามมาด้วยลูกนอกสมรสหลายคน วันตายของเธอไม่เป็นที่รู้
อิซาเบล (อลิซาเบธ) เดอ บูมงต์ (หลังปี ค.ศ. 1102 – หลังปี ค.ศ. 1172) ลูกสาวของโรเบิร์ต เดอ บูมงต์ พี่น้องหญิงของโรเบิร์ต เดอ บูมงต์ เอิร์ลที่ 2 แห่งเลสเตอร์ เธอแต่งงานกับจิลแบร์ต์ เดอ แคลร์ เอิร์ลที่ 1 แห่งเพมโบรก ในปี ค.ศ. 1130 เธอเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคืออิซาเบลลา เดอ มูล็อง
บทความชีวประวัตินี้ยังเป็นโครง คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูล