พืชที่ให้เส้นใย
ปอแก้ว (ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hibiscus cannabinus ; อังกฤษ : Kenaf )[ 2] เป็นพืชในวงศ์ชบา (Malvaceae) มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษอื่น ๆ เช่น Deccan hemp, Java jute เป็นต้น โดย H. cannabinus อยู่ในสกุล Hibiscus มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้ แม้ว่าจะไม่ทราบที่มาที่แน่นอน คำว่า Kenaf ถูกใช้กับเส้นใยที่ได้จากพืชชนิดนี้ เป็นหนึ่งในเส้นใย ที่ใช้ร่วมกับปอกระเจา ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
ชื่อสามัญ
ปอแก้วมีชื่อสามัญในภาษาต่าง ๆ มากกว่า 129 ชื่อ[ 3] ตัวอย่างเช่น
ฝรั่งเศส : chanvre de Bombay, chanvre de roselle, jute de Java, jute de Siam ; เยอรมัน : Javajute, Kenaf, Rosellahanf, Roselle, Siamjute ; โปรตุเกส : cânhamo rosella, juta-de-java, juta-do-sião, quenafe ; สเปน : cáñamo Rosella, pavona encendida, yute de Java, yute de Siam
มราฐี : अंबाडी , อักษรโรมัน: Ambaadi ; เตลูกู : గోంగూర , อักษรโรมัน: Gongura ;[ 4] เปอร์เซีย : کنف , อักษรโรมัน: Kanaf ; จีน : 红麻 ; พินอิน : hóng má (เปลี่ยนอย่างเป็นทางการจาก 洋麻; yáng má ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม )
ลักษณะ
ต้นปอแก้วที่ตากแห้งแล้ว
เป็นไม้ล้มลุก อายุปีเดียวหรือสองปี (ส่วนน้อยเป็นไม้ยืนต้น อายุสั้น) สูง 1.5–3.5 เมตร โคนต้นมีเนื้อไม้ ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1–2 เซนติเมตร มักไม่แตกแขนง ใบมีความยาว 10–15 เซนติเมตร มีรูปร่างหลายแบบ โดยใบใกล้โคนก้านจะเว้าลึกเป็น 3–7 แฉก ส่วนใบใกล้ยอดลำต้นจะเป็นรูปใบหอกตื้นหรือไม่มีแฉก ดอก มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8–15 เซนติเมตร สีขาว, สีเหลือง หรือสีม่วง โดยดอกที่มีสีขาวหรือสีเหลืองตรงกลางจะเป็นสีม่วงเข้ม ผลเป็นกระเปาะเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร ภายในมีหลายเมล็ด
เส้นใย
เส้นใยในปอแก้วพบในเปลือก (bast) และแก่น (เนื้อไม้) ส่วนเปลือกคิดเป็น 40% ของต้น "เส้นใยดิบ" ที่แยกจากเปลือกเป็นแบบหลายเซลล์ ประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ติดกัน[ 5] เซลล์เส้นใยแต่ละเซลล์มีรูปร่างเรียวความยาวประมาณ 2–6 มิลลิเมตร ผนังเซลล์ หนา (6.3 ไมโครเมตร) แก่นคิดเป็นประมาณ 60% ของต้น และมีเซลล์เส้นใยหนา (ประมาณ 38 ไมโครเมตร) แต่สั้น (0.5 มิลลิเมตร) และผนังเซลล์บาง (3 ไมโครเมตร)[ 6] เยื่อกระดาษ ผลิตจากทั้งก้าน จึงมีเส้นใยสองประเภท ทั้งจากเปลือกและแก่น คุณภาพของเยื่อจะใกล้เคียงกับของไม้เนื้อแข็ง
การใช้ประโยชน์
การเก็บเกี่ยวปอแก้ว
ปอแก้วปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวเส้นใยในประเทศอินเดีย , บังกลาเทศ , สหรัฐ , อินโดนีเซีย , มาเลเซีย , แอฟริกาใต้ , เวียดนาม , ไทย , บางส่วนของแอฟริกา และมีพื้นที่ปลูกเล็กน้อยทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป ลำต้นผลิตเส้นใยสองประเภท: เส้นใยหยาบบริเวณเปลือกนอก (bast) และเส้นใยที่ละเอียดกว่าในแกนกลาง เส้นใยส่วนเปลือกใช้ทำเชือก ต้นปอแก้วครบกำหนดเก็บเกี่ยวใน 100 ถึง 200 วัน มีการปลูกเป็นครั้งแรกในอียิปต์ เมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว ใบของต้นปอแก้วเป็นส่วนประกอบของอาหารทั้งของมนุษย์และสัตว์ ในขณะที่เส้นใยส่วนเปลือกใช้ทำกระสอบ , เชือก และใบเรือสำหรับเรือใบอียิปต์ พืชไร่ชนิดนี้ถูกนำเข้าสู่ยุโรปตอนใต้ไม่เร็วกว่าช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1900 ทุกวันนี้พื้นที่เพาะปลูกหลักคือประเทศจีน และอินเดีย และยีงพบการปลูกในสหรัฐ, เม็กซิโก และเซเนกัล
เส้นใยจากปอแก้วใช้ทำเชือก, ผ้าดิบ (คล้ายกับปอกระเจา ) และกระดาษ ในรัฐมิสซิสซิปปี , ลุยเซียนา , เท็กซัส และแคลิฟอร์เนีย มีการปลูกปอแก้วรวม 12,000 เอเคอร์ (48.5 ตารางกิโลเมตร)[ 7] ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เป็นอาหารและปูรองนอนสำหรับปศุสัตว์
เส้นใยปอแก้วใช้ทำไม้เทียม , ฉนวนกันความร้อน , ผ้าแบบสำหรับตัดเสื้อ, ส่วนผสมของภาชนะปลูกแบบไม่ใช้ดิน, ที่นอนสัตว์, บรรจุภัณฑ์ และวัสดุที่ใช้ดูดซับน้ำมันและของเหลว นอกจากนี้ยังใช้ประโยชนโดยการตัดเส้นใยส่วนเปลือกผสมกับเรซิน ในการทำพลาสติก คอมโพสิต , เป็นสารป้องกันการสูญเสียน้ำโคลนขุดเจาะ สำหรับการขุดเจาะน้ำมัน และส่วนผสมในสารสำหรับการควบคุมการกัดเซาะหน้าดินแบบมีเมล็ดพืชคลุมดิน (hydromulch ) ปอแก้วสามารถทำเป็นวัสดุปูพื้นเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้หลายประเภท เช่น แผ่นปูหญ้าที่มีเมล็ดพันธุ์สำหรับสนามหญ้าสำเร็จรูป และแผ่นขึ้นรูปสำหรับชิ้นส่วนการผลิตและบรรจุภัณฑ์ บริษัทพานาโซนิก ได้จัดตั้งโรงงานในประเทศมาเลเซีย เพื่อผลิตแผ่นกระดานที่ใช้เส้นใยปอแก้วและส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น
ฟอร์ด และบีเอ็มดับเบิลยู กำลังพัฒนาวัสดุสำหรับตัวถังรถจากเส้นใยปอแก้ว โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการทำให้ยานพาหนะมีความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกในรถยนต์ฟอร์ดรุ่น Escape (2013)[ 8] ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู i3 ใช้เส้นใยปอแก้วในคิ้วสีดำรอบคัน[ 9]
การใช้ปอแก้วคาดว่าจะสามารถชดเชยวัสดุเรซินที่ผลิตจากปิโตรเลียม คิดเป็นน้ำหนัก 300,000 ปอนด์ต่อปี สำหรับโรงงานผลิตในทวีปอเมริกาเหนือ และควรลดน้ำหนักของวัสดุหุ้มประตูรถลงร้อยละ 25
รายงานในปี ค.ศ. 2021 บริษัท Kenaf Ventures ซึ่งเป็นบริษัทของอิสราเอล กำลังพัฒนาและผลิตวัตถุดิบที่ยั่งยืนซึ่งทำจากปอแก้ว ด้วยความพยายามที่จะลดการปล่อยคาร์บอน ในภาคการก่อสร้างโดยไม่ลดคุณภาพของผลิตภัณฑ์[ 10]
น้ำมันเมล็ดปอแก้ว
เมล็ดปอแก้วให้ผลผลิตน้ำมันพืช ที่รับประทานได้ น้ำมันยังใช้สำหรับทำเครื่องสำอาง , สารหล่อลื่นสำหรับอุตสาหกรรม และการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ น้ำมันปอแก้วมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (PUFAs) สูง ประกอบด้วยกรดลิโนเลอิก (โอเมก้า-6) เป็นส่วนใหญ่ โดยรวมประกอบด้วยกรดลิโนเลอิก (C18:2) ตามด้วยกรดโอเลอิก (C18:1) และกรดลิโนเลนิกอัลฟา (C18:3) มีปริมาณร้อยละ 2 ถึง 4
น้ำมันเมล็ดปอแก้วมีน้ำหนัก 20.4% ของน้ำหนักเมล็ดทั้งหมด ประกอบด้วย:
อุตสาหกรรมกระดาษ
กระบวนการทั่วไปในการทำกระดาษ จากเส้นใยปอแก้วคือการต้มเยื่อโดยวิธีโซดาก่อนแปรรูปในเครื่องทำกระดาษ
การใช้เส้นใยปอแก้วในการผลิตกระดาษมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการผลิตกระดาษจากต้นไม้ ปี ค.ศ. 1960 กระทรวงเกษตรสหรัฐ ได้สำรวจพืชมากกว่า 500 ชนิด และเลือกปอแก้วเป็นวัตถุดิบที่มีแนวโน้มมากที่สุดสำหรับการผลิตกระดาษหนังสือพิมพ์ โดยไม่ใช้ต้นไม้ ในปี ค.ศ. 1970 กระดาษหนังสือพิมพ์จากใยปอแก้วได้รับการนำไปใช้กับหนังสือพิมพ์ 6 ฉบับของสหรัฐ และอีกครั้งในปี ค.ศ. 1987 โรงงานกระดาษในแคนาดา ได้ผลิตกระดาษหนังสือพิมพ์จากใยปอแก้ว 13 ม้วน ให้กับหนังสือพิมพ์สี่ฉบับของสหรัฐใช้ในการทดลองพิมพ์[ 11] พวกเขาพบว่ากระดาษจากใบปอแก้ว มีความแข็งแรงกว่า, สว่างกว่า และสะอาดกว่ากระดาษจากเยื่อต้นสน มาตรฐาน รวมทั้งทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า ส่วนหนึ่งเนื่องจากเส้นใยของปอแก้วมีสีขาวตามธรรมชาติมากกว่าเนื้อไม้ จึงต้องใช้การฟอกสีน้อยลงในการสร้างแผ่นกระดาษที่สว่างขึ้น ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ ซึ่งเป็นสารฟอกขาว ที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมไม่สร้างสารไดออกซิน ถูกนำมาใช้เป็นหลักในการฟอกสีเส้นใยปอแก้ว
รายงานหลายฉบับแนะนำว่าความต้องการพลังงานในการผลิตเยื่อกระดาษจากใยปอแก้วนั้นน้อยกว่าข้อกำหนดสำหรับเยื่อไม้ประมาณร้อยละ 20 ส่วนใหญ่เนื่องมาจากปริมาณลิกนิน ในปอแก้วที่ต่ำกว่า
พื้นที่ปลูกปอแก้ว 1 เอเคอร์ (4,000 ตารางเมตร) ให้ผลผลิต 5 ถึง 8 ตัน สำหรับเส้นใยทั้งสองชนิดของปอแก้วในหนึ่งฤดูปลูก ในทางตรงกันข้าม ป่าไม้สน (Southern pine ) ขนาด 1 เอเคอร์ ในสหรัฐ ผลิตเส้นใยได้ประมาณ 1.5 ถึง 3.5 ตันต่อปี ประมาณการว่าการปลูกปอแก้วบนพื้นที่ 5,000 เอเคอร์ (20 ตารางกิโลเมตร) สามารถผลิตเยื่อกระดาษได้เพียงพอต่อการป้อนโรงงานกระดาษที่มีกำลังการผลิต 200 ตันต่อวัน ในเวลา 20 ปี พื้นที่เพาะปลูก 1 เอเคอร์ จะสามารถผลิตเส้นใยได้ 10 ถึง 20 เท่าของปริมาณเส้นใยที่สามารถผลิตได้จากต้นสนในพื้นที่เท่ากัน[ 12]
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเส้นใยธรรมชาติ ที่สำคัญของโลก ปอแก้วจึงถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของการประกาศปีสากลแห่งเส้นใยธรรมชาติ 2009
อ้างอิง
↑ "The Plant List: A Working List of All Plant Species" . สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2015 .
↑ Philip Babcock Gove, บ.ก. (มกราคม 1993). Webster's Third New International Dictionary, Unabridged . Merriam-Webster. ISBN 978-0-8777-9201-7 .
↑ Miyake, B.; Suzuta, I. (1937). "[On the term of Hibiscus Cannabinus L.]" . 臺灣農事報 (ภาษาญี่ปุ่น). 370 : 71, 76. สืบค้นเมื่อ 11 มิถุนายน 2022 .
↑ "Scientific Name: Hibiscus cannabinus" . gardentia.net . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2010.
↑ Paridah Md. Tahir; Amel B. Ahmed; Syeed O. A. SaifulAzry; Zakiah Ahmed (2011). "Retting Process Of Some Bast Plant Fibres And Its Effect On Fibre Quality: A Review" (PDF) . BioResources . 6 (4): 5260–5281.
↑ Nanko, Hirko; Button, Allan; Hillman, Dave (2005). The World of Market Pulp . Appleton, WI, USA: WOMP, LLC. p. 258. ISBN 0-615-13013-5 .
↑ "New Uses for Kenaf" . AgResearch Magazine . United States Department of Agriculture.
↑ "Ford Uses Kenaf Plant Inside Doors in the All-New Escape, Saving Weight and Energy" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 29 กันยายน 2012.
↑ "BMW's i3: A New Kind of Electric Vehicle" .
↑ "A botanical cure for construction's heavy carbon emissions" . 31 มีนาคม 2021.
↑ Justin Thomas (21 สิงหาคม 2006). "The Optimal Material to Make Paper: Kenaf" . treehugger.com . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 มีนาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 24 มิถุนายน 2022 . {{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ Mahbubul Islam (2019). "Kenaf (Hibiscus cannabinus L., Malvaceae) Research and Development Advances in Bangladesh: A Review" (PDF) . Journal of Nutrition and Food Processing . 2 (1). doi :10.31579/2637-8914/010 .
แหล่งข้อมูลอื่น