แมนจู (แมนจู :ᠮᠠᠨᠵᡠ ; จีนตัวย่อ : 满族 ; จีนตัวเต็ม : 滿族 ; พินอิน : Mǎnzú ; เวด-ไจลส์ : Man3 -tsu2 หม่านจู๋ ) เป็นชนกลุ่มน้อยเผ่าหนึ่งในประเทศจีน และผู้คนจากดินแดนแมนจูเรีย ได้ใช้ชื่อดินแดนเป็นชื่อเรียกชนเผ่าของตนเอง[ 8]
ชาวแมนจูเป็นกลุ่มสาขาที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มชาวตุงกูซ ที่ใช้ภาษากลุ่มตุงกูซิก และได้อาศัยกระจัดกระจายทั่วประเทศจีน ถือเป็นชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศจีน[ 2] ชาวแมนจูได้อาศัยและพบได้ใน 31 จังหวัดของจีน โดยเฉพาะในดินแดนแมนจูเรีย
เหลียวหนิง ถือได้ว่าเป็นดินแดนที่มีประชากรแมนจูมากที่สุด ส่วนเหอเป่ย์ , เฮย์หลงเจียง , จี๋หลิน , มองโกเลียใน และปักกิ่ง มีประชากรแมนจูประมาณ 100,000 คนอาศัยอยู่ โดยครึ่งของประชากรอาศัยอยู่ในเหลียวหนิงและ 1 ใน 5 อยู่ที่เหอเป่ย์ นอกจากนี้ยังมีชาวแมนจูอาศัยอยู่ในประเทศรัสเซีย อันได้แก่ ดินแดนปรีมอร์สกี บางส่วนของดินแดนฮาบารอฟสค์ และแคว้นอามูร์
ประวัติโดยสังเขปของชาวแมนจูนั้น ในทัศนคติของชาวฮั่น ถือได้ว่าเป็นชนกลุ่มน้อยเร่ร่อนหรือคนป่าเถื่อน ชาวแมนจูได้สืบเชื้อสายมาจากชาวหนวี่เจิน (Jurchen; 女真) ที่ซึ่งได้สถาปนาราชวงศ์จินตอนแรก ขึ้นทางตอนเหนือของจีน ในช่วง ค.ศ. 1115–1234 ชาวแมนจูนั้นต่อมาได้ตั้งอาณาจักรของตนขึ้นทางตอนเหนือของจีนอีกครั้ง คือ ราชวงศ์จินตอนหลัง เป็นราชวงศ์แรกของชาวแมนจูที่อาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน มีผู้นำคือจักรพรรดินู่เอ๋อร์ฮาชื่อ เป็นจักรพรรดิองค์แรก และจักรพรรดิหฺวัง ไถจี๋ จักรพรรดิองค์ที่สอง ได้ทรงเปลี่ยนชื่อชาวแมนจูจาก "หนวี่เจิน" (女真) เป็น "หม่านจู๋" หรือ แมนจู (滿族)[ 9]
และในสมัยจักรพรรดิซุ่นจื้อ ได้นำกองทัพแมนจูยึดกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์หมิง ได้สำเร็จในปีค.ศ. 1644 และได้เปลี่ยนชื่อจากแมนจูเป็นชิงและสถาปนาราชวงศ์ชิง ขึ้นในปีเดียวกันนั่นเอง ราชวงศ์นี้ปกครองจีนเป็นระยะเวลานาน 268 ปี มีจักรพรรดิปกครองทั้งสิ้น 12 พระองค์ ราชวงศ์ชิงถือได้ว่าเป็นราชวงศ์ที่ปกครองประเทศจีนเป็นราชวงศ์สุดท้ายจนถึงปี ค.ศ. 1912 ก่อนจะถูกล้มล้างโดยการปฏิวัติซินไฮ่
นิรุกติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์
จิ่ว หมั่นโจว ดาง เป็นเอกสารบันทึกที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้คำว่า "แมนจู" เป็นครั้งแรก[ 10] อย่างไรก็ตาม ความหมายของชื่อแมนจูยังเป็นที่ถกเถียงกัน[ 11] ตามบันทึกประวัติศาสตร์โดยราชสำนักสมัยราชวงศ์ชิง มีการอ้างไว้ว่าชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์มาจาก มัญชุศรี [ 12] หรือพระโพธิสัตว์
ในความเชื่อของทิเบต มีนัยทางการเมืองแอบแฝงว่าชาวแมนจูเป็นชนชาติศักดิ์สิทธิ์ ในขณะนั้นทิเบตอยู่ภายใต้อาณัติของราชวงศ์ชิง โดยจักรพรรดิเฉียนหลง แห่งราชวงศ์ชิงได้ทรงสนับสนุนความเชื่อดังกล่าวและได้เขียนบทกลอนกวีโดยมีเนื่อหาเช่นเดียวกันเป็นจำนวนมาก[ 13]
เม็ง เซน บัณฑิตโด่งดังสมัยราชวงศ์ชิงตอนปลายก็มีความเห็นโดยเขาเชื่อว่า คำว่า "แมนจู" ยังเกี่ยวข้องกับ "หลี่ หมั่นโจว" (李滿住) หัวหน้าเผ่าของหนวี่เจินในเจี้ยนโจว[ 14] [ 15]
ส่วนบัณฑิตอีกคน จาง ซาน คิดว่า แมนจู เป็นคำประสม มาจากคำว่า "แมน" (หมัน) มาจากคำว่า "มางกา"
(ᠮᠠᠩᡤᠠ ) ในภาษาแมนจู แปลว่า แข็งแรง, เข้มแข็ง และ "จู" (ᠵᡠ ) มาจาก ธนู ดังนั้น แมนจู จึงแปลว่า ธนูอันแกร่ง[ 16]
ถิ่นฐาน
ชาวแมนจูหรือชื่อเดิมว่า หนวี่เจินนั้นมีอารยธรรมเกิดขึ้นมาควบคู่กับอารยธรรมฮั่น โดยมีมาตุภูมิ (Homeland) อยู่แถบบริเวณลุ่มแม่น้ำ แม่น้ำอามูร์ หรือ "แม่น้ำมังกรดำ" ของมณฑลเฮย์หลงเจียง ถือเป็นต้นกำเนิดชาวแมนจู แม่น้ำมังกรดำ เป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับ 10 ของโลก อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปเอเชีย แม่น้ำมีความยาว 2,824 กม.เป็นเส้นเขตแดนระหว่างมณฑลเฮย์หลงเจียงของประเทศจีนกับประเทศรัสเซีย
ชาวหนวี่เจินเป็นชนชาติที่มีประวัติอันยาวนานชนชาติหนึ่ง สืบย้อนหลังไปได้ถึง 2,000 กว่าปีก่อน บรรพบุรุษของชนชาติแมนจูดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่กว้างใหญ่ บริเวณที่ลุ่มตอนกลางและตอนต้นของแม่น้ำอามูร์ และลุ่มแม่น้ำอูซูหลี่เจียงซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของภูเขาฉางไป๋ซาน ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนมาโดยตลอด
วัฒนธรรม
ทรงผม
ทรงผมตามประเพณีของชาวแมนจู คือ โกนครึ่งหัวด้านหน้าและไว้ผมแบบหางเปีย ข้างหลังรวบเป็นเส้นเดียวและยาว เรียกว่า "เปี้ยนจึ" (辮子 ; biànzi ) หรือ "ซอนโกโฮ" ในภาษาแมนจู ต้นกำเนิดของทรงผมนี้คาดว่าน่าจะมาจากข้อสันนิษฐานว่าชาวแมนจูนิยมใช้ม้า ทรงผมนี้ช่วยในการเคลื่อนไหวบนหลังม้าและเวลายิงธนู เส้นผมจะไม่ปกหน้า
การถักเปียเมื่อนำมาพันลำคอสามารถให้ความอบอุ่นกับคอ ส่วนการโกนด้านหน้ามีสองทฤษฎี คือไม่ให้ปลิวมาปิดตา หรือทำให้ใส่หมวกเหล็กสะดวก (แบบทรงผมซามูไร )
องค์ชาย
ไจ้เต้า แห่งราชวงศ์ชิงไว้ผมเปียตามแบบชาวแมนจู
การไว้ผมเปียรูปแบบต่าง ๆ ของชาวแมนจู
หางเปียของชาวแมนจู (สังเกตจากด้านหลัง)
การโกนครึ่งหัวด้านหน้า
ส่วนสตรีชาวแมนจูจะไว้ทรงผมที่แตกต่างออกไปที่เรียกว่า "เหลียง ปาโตว" สตรีชาวแมนจูนิยมผมทรงสูง ๆ ใหญ่ ๆ ใส่ดอกไม้ดอกโต ทรงผมของหญิงชาวแมนจูแบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1.ทรงสองแกละ 2.ทรงหมวกปีกกว้าง ทรงสองแกละนั้นเริ่มจากการหวีผมไปไว้ด้านหลัง จากนั้นแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนล่างถึงลำคอ แล้วแบ่งผมออกเป็นสองช่อยกสูง ตอนที่พับนั้นชโลมน้ำยาจัดทรงผมพร้อมกับจัดให้เรียบ ยกสูงขึ้นเล็กน้อย แล้วพับ จากนั้นรวมกันเป็นช่อเดียว แล้วย้อนกลับไปด้านหน้า ใช้เชือกมัดให้แน่นจากโคนผมจากนั้นสอดแถบเหล็กสำหรับจัดทรง แล้วนำเส้นผมพันรอบแถบเหล็กนั้นไว้ ให้เป็นรูปตัว T แล้วค่อยประดับด้วยดอกไม้ ลูกปัด และพู่ห้อยหรือตุ้งติ้ง ภายหลังในสมัยจักรพรรดิเสียนเฟิง (ก่อนสมัยซูสีไทเฮา ) ผมทรงนี้ก็ค่อย ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น แกละ ทั้งสองข้างก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จึงนำแถบรูปพัดสีดำมาประดับให้ปีกผมทั้งสองข้างกว้างขึ้น แล้วเรียกว่า ฉีโถว หรือ กวนจวง ซึ่งเรารู้จักกันในนาม ต้าลาเช่อ
วันหยุดทางประเพณี
ชาวแมนจูมีวันหยุดทางประเพณีหลายวัน บ้างได้รับอิทธิพลจากชาวฮั่น เช่น ตรุษจีน [ 17] และ เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง [ 18] บ้างก็เป็นวันหยุดของแมนจูแท้ ๆ เช่น เทศกาลปานจิน (ᠪᠠᠨᠵᡳᠨ ᡳᠨᡝᠩᡤᡳ , Banjin Inenggi, 頒金節) ซึ่งจัดทุกวันที่ 13 ของเดือนสิบในปฏิทินจันทรคติ เป็นวันฉลองครบรอบการตั้งชื่อคำว่า "หม่านจู๋" (แมนจู)[ 11] โดยในปี ค.ศ. 1635 จักรพรรดิหฺวัง ไถจี๋ ได้ทรงเปลี่ยนชื่อชาวแมนจูจาก "หนวี่เจิน" (女真) เป็น "หม่านจู๋" (滿族)[ 19] วันเจว๋เหลียง (絕糧日) หรือ วันกำจัดอาหาร ซึ่งจัดทุกวันที่ 26 ของเดือนแปดของในปฏิทินจันทรคติ เป็นวันหยุดอีกวันหนึ่ง ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องเล่าของจักรพรรดินู่เอ๋อร์ฮาชื่อ และกองทัพของพระองค์ ซึ่งกำลังทำศึกกับศัตรูกระทั่งเกือบไม่มีอาหารเหลือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้สนามรบ ได้ยินว่าเสบียงอาหารใกล้หมด จึงมาช่วยจักรพรรดิและกองทัพ ขณะนั้นสนามรบไม่มีภาชนะที่ใช้ในการรับประทานอาหาร จึงต้องใช้ใบจี่ซู (紫蘇) ห่อข้าว จากนั้นกองทัพก็ได้ชัยชนะ คนรุ่นหลังจึงระลึกถึงความลำบากนี้ โดยจักรพรรดินู่เอ๋อร์ฮาชื่อทรงสถาปนาวันนี้ให้เป็นวันเจว๋เหลียง ตามประเพณีแล้ว ชาวแมนจูมักกินใบจี่ซูหรือใบผักกาดห่อด้วยข้าวสวย ไข่คน เนื้อวัว หรือเนื้อหมู[ 20]
อ้างอิง
↑ "Ethnic Groups - china.org.cn - The Manchu ethnic minority" (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2008-09-26 .
↑ 2.0 2.1 《中国2010年人口普查资料(上中下)》(the Data of 2010 China Population Census) . China Statistics Press. 2012. ISBN 9787503765070 .
↑ 中華民國滿族協會 . www.manchusoc.org . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-06-27. สืบค้นเมื่อ 2018-12-12 .
↑ "Research". Ethnicity Research (《民族研究》) (ภาษาจีนตัวย่อ) (1–12): 21. 1997.
↑ Sate Nationalities Affairs Commission (2005). Zhang Yongfa and Fang Yongming (บ.ก.). Selected pictures of Chinese ethnic groups (ภาษาอังกฤษ) (First ed.). China Pictorial Publishing House. p. 48. ISBN 7-80024-956-5 .
↑ Wang Can; Wang Pingxing (2004). Ethnic groups in China (ภาษาอังกฤษ). China Intercontinental Press. ISBN 7-5085-0490-9 .
↑ the gospel need of Manchu people(Chinese traditional) [ลิงก์เสีย ]
↑ Merriam-Webster, Inc 2003 , p. 754 harvnb error: no target: CITEREFMerriam-Webster,_Inc2003 (help )
↑ "the Origin of Banjin Inenggi (simplified Chinese)" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-02-26. สืบค้นเมื่อ 2017-03-13 .
↑ Endymion Porter Wilkinson (2000). Chinese History: A Manual . Harvard Univ Asia Center. pp. 728–. ISBN 978-0-674-00249-4 .
↑ 11.0 11.1 Yan 2008 , p. 49 harvnb error: no target: CITEREFYan2008 (help )
↑ Agui 1988 , p. 2 harvnb error: no target: CITEREFAgui1988 (help )
↑ Meng 2006 , p. 6 harvnb error: no target: CITEREFMeng2006 (help )
↑ Meng 2006 , pp. 4–5 harvnb error: no target: CITEREFMeng2006 (help )
↑ Meng 2006 , p. 5 harvnb error: no target: CITEREFMeng2006 (help )
↑ 《族称Manju词源探析》,长山,刊载于《满语研究》2009年第01期 (Changshan (2009), The Research of Ethnic Name "Manju"'s Origin , Manchu Language Research, the 1st edition)
↑ "Manchu Spring Festival" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2017-09-17. สืบค้นเมื่อ 2017-03-13 .
↑ "Manchu Duanwu Festival" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-03-29. สืบค้นเมื่อ 2017-03-13 .
↑ "the Origin of Banjin Inenggi (simplified Chinese)" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-02-26. สืบค้นเมื่อ 2017-03-13 .
↑ "The Day of Running Out of Food (simplified Chinese)" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2016-03-06. สืบค้นเมื่อ 2017-03-13 .
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิพจนานุกรม