การประกวดเพลงยูโรวิชันปี 2024 (อังกฤษ: Eurovision Song Contest 2024, ฝรั่งเศส: Concours Eurovision de la chanson 2024) เป็นการประกวดเพลงซึ่งจัดขึ้นที่เมืองมัลเมอ ประเทศสวีเดน ดำเนินการโดยสหภาพการแพร่สัญญาณวิทยุและโทรทัศน์แห่งยุโรป และมีสถานีโทรทัศน์แห่งชาติสวีเดนเป็นเจ้าภาพ โดยมีประเทศที่เข้าร่วมทั้งหมด 37 ประเทศ แข่งขันรอบคัดเลือกในวันที่ 7 และ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 และรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 โดยเป็นการจัดประกวดครั้งที่เจ็ดของสวีเดน และเป็นการจัดประกวดครั้งที่สามในเมืองมัลเมอต่อจากการประกวดในปี 1992 และ 2013[1][2]
การตัดสินผู้ชนะในปีนี้ ใช้คะแนนโหวตจากผู้ชมทั้งหมดในรอบคัดเลือก และคะแนนโหวตจากคณะกรรมการกับจากผู้ชมในรอบชิงชนะเลิศ อีกทั้งผู้ชมจากประเทศที่ไม่ได้เข้าร่วมประกวดสามารถโหวตได้ทางออนไลน์ในทุกรอบ โดยคะแนนจะรวมเข้าในกลุ่ม "ส่วนอื่นของโลก" เช่นเดียวกับการประกวดในปีก่อนหน้า[3] แต่มีข้อแตกต่างคือ ผู้ชมจาก "ส่วนอื่นของโลก" จะสามารถโหวตได้ตั้งแต่ 24 ชั่วโมงก่อนการแข่งขันจนถึง 25 นาที หลังการแสดงของผู้เข้าประกวดประเทศสุดท้ายเสร็จสิ้น และในรอบชิงชนะเลิศ ประเทศที่เข้าร่วมประกวดจะสามารถโหวตได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มการแสดงของประเทศแรก ซึ่งต่างจากปีก่อนหน้าที่จะโหวตได้ก็ต่อเมื่อการแสดงของผู้เข้าประกวดประเทศสุดท้ายเสร็จสิ้น แต่ระยะเวลาการโหวตอย่างหลังนี้ยังใช้ในรอบคัดเลือกเช่นเดิม[4] นอกจากนี้ แม้ประเทศเจ้าภาพและบิ๊กไฟว์ (สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สเปน และ อิตาลี) จะได้เข้ารอบชิงชนะเลิศโดยอัตโนมัติก็ตาม แต่ก็ต้องทำการแสดงสดในรอบคัดเลือกด้วย[4]
การรักษาความปลอดภัยในการประกวดครั้งนี้เป็นไปอย่างเข้มงวด อันเนื่องมาจากผลกระทบของสงครามอิสราเอล–ฮะมาส ซึ่งอิสราเอลก็เข้าร่วมประกวดครั้งนี้[5] มีการชุมนุมทั้งเพื่อสนับสนุนและประท้วงการเข้าร่วมของอิสราเอล[6][7][8] อนึ่ง ในเดือนสิงหาคมปีก่อนหน้า ทางการสวีเดนได้ยกระดับการรักษาความปลอดภัยจากระดับ 3 เป็นระดับ 4 จากทั้งหมด 5 ระดับ เพื่อตอบสนองเหตุการณ์สงครามอิสราเอล–ฮะมาส และเหตุเผาคัมภีร์อัลกุรอานในประเทศ[9] และเทศบาลเมืองมัลเมอได้เตรียมพื้นที่โรงเรียนและศูนย์กีฬาไว้สำหรับรองรับเหตุฉุกเฉินด้วย[10][11]
ผู้ชนะในการประกวดครั้งนี้คือ เนโม เมทแทลร์ จากสวิตเซอร์แลนด์ โดยเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกของประเทศในรอบ 36 ปี นับตั้งแต่เซลีน ดิออน ในปี 1988 โดยก่อนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ โยสต์ ไคลน์ ตัวแทนจากเนเธอร์แลนด์ถูกตัดสิทธิ์จากการประกวด อีบียูประกาศว่าการตัดสิทธิ์นี้เนื่องจากพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่อช่างภาพหญิงซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานโปรดักชันของประเทศเจ้าภาพ ทั้งนี้ ผู้เสียหายได้มีการแจ้งความกับตำรวจสวีเดนแล้ว และอยู่ระหว่างการสอบสวน[12] แต่สถานีโทรทัศน์สาธารณะของเนเธอร์แลนด์ผู้ส่งตัวแทนเข้าประกวด ซึ่งได้หารือกับทางอีบียูก่อนการตัดสิทธิ์นั้น[13] แถลงในภายหลังว่าการลงโทษดังกล่าว "ไม่เหมาะสม" และ "เป็นเรื่องน่าตกใจ"[14] ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ยูโรวิชันที่ผู้เข้าประกวดซึ่งผ่านรอบคัดเลือก ถูกตัดสิทธิ์ก่อนการประกวดรอบชิงชนะเลิศ[15]
อนึ่ง เจ้าหญิงวิกตอเรีย มกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดน เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการประกวดรอบชิงชนะเลิศด้วยพระองค์เอง อีกทั้งทรงกล่าวต้อนรับผู้เข้าประกวดและผู้ชมทั่วโลกผ่านวิดีโอที่บันทึกไว้ล่วงหน้าในช่วงแรกของการถ่ายทอดสดดังกล่าวด้วย[16]
สถานีโทรทัศน์ระดับชาติที่เป็นสมาชิกอีบียูจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการประกวดเพลงยูโรวิชัน และสามารถรับสัญญาณภาพการประกวดผ่านทางเครือข่ายยูโรวิชัน และถ่ายทอดสดทั่วประเทศได้ อีบียูจะออกคำเชิญเข้าร่วมการประกวดให้แก่สมาชิกปัจจุบันทั้งหมด ประเทศที่เป็นส่วนหนึ่งของ "บื๊กไฟว์" และสวีเดนเจ้าภาพ จะได้รับสิทธิ์เข้ารอบชิงชนะเลิศโดยอัตโนมัติ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ทั้งหมดจะถูกจัดให้ประกวดกันในหนึ่งในสองรอบรองชนะเลิศ
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2023 อีบียูได้ทำประกาศว่าได้มี 37 ประเทศจะเข้าร่วมการประกวดในปี 2024 โดยมีลักเซมเบิร์กซึ่งได้กลับมาเข้าร่วมการแข่งขันอีกครั้งในรอบ 31 ปีหลังจากเข้าร่วมครั้งสุดท้ายในการประกวดปี 1993 และโรมาเนียซึ่งเข้าร่วมการประกวดครั้งสุดท้ายในการประกวดปี 2023 ได้ประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมการประกวดปี 2024[17][18] ซึ่งได้รับการยืนยันเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2024[19][20]
ในการประกวดปีนี้มีศิลปินที่กลับมาเข้าร่วมการประกวดอีกครั้งสองคน ซึ่งคือนาตาลีอา บาร์บู ตัวแทนจากประเทศมอลโดวาซึ่งเคยเข้าร่วมการประกวดปี 2007 และเฮรา ปีเยิร์ก ตัวแทนจากประเทศไอซ์แลนด์ที่เคยเข้าร่วมการประกวดปี 2010[21][22]
สมาชิกอีบียูปัจจุบันในอันดอร์รา[62] บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา[63] โมนาโก[64] และสโลวาเกีย[65] ได้ยืนยันจะไม่เข้าร่วมการประกวดอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่การประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมของอีบียู ทีวีอาร์ สถานีโทรทัศน์แห่งชาติโรมาเนียที่เข้าร่วมยังคงเจรจากับอีบียูจนถึงวันที่ 25 มกราคม 2024 แต่ตัดสินใจไม่เข้าร่วมด้วยเหตุผลทางการเงิน[17][20]