เจมส์ แรมซีย์ แมกดอนัลด์ (อังกฤษ : James Ramsay MacDonald; 12 ตุลาคม พ.ศ. 2409 - 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480) เป็นนักการเมืองชาวสกอตและเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรคนแรกจากพรรคแรงงาน (Labour Party) สองสมัยคือ ใน พ.ศ. 2467 และระหว่าง พ.ศ. 2472 - พ.ศ. 2474 ทั้งยังเป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลแห่งชาติระหว่าง พ.ศ. 2474 - 2478 เขาเป็นผู้ผลักดันสำคัญที่ทำให้พรรคแรงงานกลายเป็นพรรคสำคัญอันดับสองในอังกฤษแทนที่พรรคเสรีนิยม
ประวัติ
เกิดในหมู่บ้านชาวประมงที่ลอซีเมาท์ (Lossiemouth) ในมณฑลมอรีเซียร์ (Morayshire) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสกอตแลนด์ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2409 มารดาชื่อแอนน์ แรมซีย์ เป็นสาวรับใช้และแรงงานรับจ้างในไร่.[1]ซึ่งไม่ได้ผ่านการสมรสแต่เชื่อกันว่าบิดาของเขาคือชาวนารับจ้างชื่อ จอห์น แมกดอนัลด์ เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำหมู่บ้านที่เดรนี (Drainie) และจบการศึกษาขั้นต้นเมื่ออายุ 12 ปี แต่เขาก็ยังคงอยู่ที่โรงเรียนต่อไปอีก 6 ปี โดยทำหน้าที่ผู้ช่วยสอน (Pupil Teacher)
ใน พ.ศ. 2428 เขาเดินทางไปบริสทัลเพื่อหางานทำ ณ ที่นี้เขาได้พบเห็นกิจกรรมของสหพันธ์สังคมประชาธิปไตย (Social Democratic Federation) จึงทำให้เขาเริ่มซึมซับความคิดแบบฝ่ายซ้าย ในปีต่อมาเขาได้เดินทางเข้ากรุงลอนดอนและสมัครเป็นสมาชิกของสมาคมเฟเบียน ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มปัญญาชนสังคมนิยมแนวหลักของอังกฤษ เขามีหน้าที่เป็นเสมียนทั่วไปในสำนักงานเฟเบียน และเขาก็เข้าเรียนในหลักสูตรปริญญาด้านวิทยาศาสตร์ภาคค่ำไปด้วย
ชีวิตการเมือง
ใน พ.ศ. 2437 เขาทำงานเป็นผู้สื่อข่าว และได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคแรงงานอิสระ (Independent Labour Party) ซึ่งเพิ่งจัดตั้งได้ไม่นาน โดยสมัครที่เมืองเซาท์แทมป์ตัน ในปีต่อมาเขาก็ลงสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาสามัญในสังกัดพรรคนี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ต่อมาใน พ.ศ. 2443 เขาได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคคนแรกของคณะกรรมาธิการผู้แทนชนชั้นแรงงาน หรือ LRC (Labour Representtation Committee) ซึ่งเป็นสหพันธ์ขององค์กรสังคมนิยมต่างๆ และเป็นองค์กรนำร่องของพรรคแรงงานที่จะเริ่มปรากฏอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา
ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2449 เขาเป็นผู้สมัครจาก LRC ที่ได้รับเลือกเข้าสภาสามัญจากจำนวนสมาชิกของ LRC ที่ได้รับเลือกทั้งสิ้น 29 คน หลังจากประสบความสำเร็จ LRC ก็ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อพรรคเป็นพรรคแรงงานอย่างเป็นทางการ
ห้าปีต่อมาเขาได้ทำหน้าที่แทนแคร์ ฮาร์ดี ผู้นำพรรคแรงงานคนแรกในสภาสามัญ แต่ต่อมาเขาก็ถูกบังคับให้ลาออกเพื่อหลีกทางให้อาเทอร์ เฮนเดอร์สัน และด้วยความที่เขามีทัศนะทางการเมืองแตกต่างจากนโยบายของอังกฤษในขณะนั้น ทำให้เขาไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภามนการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลงในปลายปี พ.ศ. 2461
อย่างไรก็ดีเขาก็สามารถกลับเข้าไปนั่งในสภาสามัญได้ใหม่ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2352 นอกจากนี้เขายังได้รับเลือกให้เป็นผู้นำสมาชิกสภาของพรรคแรงงานซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านอีกด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2466 ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่เนื่องจากแอนดรู โบนาร์ ลอว์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสแตนลี บอลด์วินเข้ารับตำแหน่งแทน แต่ต่อมาก็ไม่สามารถบริหารงานได้อย่างสะดวกเนื่องจากสมาชิกสภาจากพรรคอื่นๆ ไม่สนับสนุน จนต้องจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่อีกครั้ง ผลปรากฏว่าพรรคอนุรักษนิยมยังได้รับชัยชนะเหนือพรรคอื่นๆ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่จำนวนเสียงของพรรคอนุรักษนิยมที่ได้ยังน้อยกว่าจำนวนเสียงรวมกันของพรรคแรงงาน และพรรคเสรีนิยม เฮอร์เบิร์ต เฮนรี แอสควิท อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำพรรคเสรีนิยมจึงได้เสนอเข้าร่วมสนับสนุนพรรคแรงงาน ดังนั้น ในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2467 เขาจึงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากพรรคแรงงาน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะเดียวกันด้วย
นายกรัฐมนตรีสมัยแรก
ในการบริหารประเทศครั้งแรก เขาสนใจด้านต่างประเทศมากกว่าเรื่องภายในประเทศ โดยเฉพาะการประสบความสำเร็จในการช่วยคลี่คลายวิกฤตการณ์ที่ฝรั่งเศสและเบลเยียมเข้ายึดแคว้นรูห์ของเยอรมนี รัฐบาลของเขาได้โน้มน้าวให้ฝรั่งเศสตกลงยอมรับแผนการดอวส์[2] นอกจากนี้ รัฐบาลของเขายังริเริ่มการจัดทำพิธีสารเจนีวาว่าด้วยความมั่นคงและการลดอาวุธต่อที่ประชุมใหญ่ของสันนิบาตชาติ[3] ผลงานที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสามารถยับยั้งการเกิดเหตุการณ์รุนแรงในไอร์แลนด์ได้สำเร็จ โดยการตกลงยกเลิกหนี้สินที่เสรีรัฐไอร์แลนด์มีอยู่กับอังกฤษ แลกกับการที่เสรีรัฐไอร์แลนด์ยอมยุติการเรียกร้องให้ 6 มณฑลทางเหนือที่รวมเรียกว่า เขตอัลสเตอร์ กลับคืนไปรวมกันดังที่เคยเป็นมาก่อน
อย่างไรก็ดี การที่รัฐบาลของเขาให้การรับรองสหภาพโซเวียตที่สถาปนาขึ้นภายหลังการปฏิวัติในรัสเซีย การทำสนธิสัญญาการค้าและการที่รัฐบาลอังกฤษจะให้สหภาพโซเวียตกู้เงิน[4] ทำให้นักการเมืองพรรคอนุรักษนิยมและพรรคเสรีนิยมต่างก็ไม่เห็นด้วยกับท่าทีนี้ของรัฐบาล พรรคเสรีนิยมที่เคยสนับสนุนรัฐบาลของเขาจึงถอนตัวออก ยิ่งเมื่อรัฐบาลของเขาล้มเหลวในการดำเนินคดีกับ เจ อาร์ แคมเบลล์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับเรื่อง “จดหมายซีโนเวียฟ” ทำให้เกิดความหวั่นระแวงของประชาชนว่ารัฐบาลของเขาฝักใฝ่สหภาพโซเวียตก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปปลาย พ.ศ. 2467 พรรคอนุรักษนิยมได้เสียงข้างมากในสภา จำนวน 415 เสียง ขณะที่พรรคแรงงานได้ 152 เสียง และพรรคเสรีนิยมได้ 42 เสียง เขาจึงลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ในการบริหารประเทศครั้งแรกไม่ถึง 10 เดือน สแตนลีย์ บอลด์วิน จากพรรคอนุรักษนิยมได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 2
อ้างอิง
- ↑ Marquand, David: Ramsay MacDonald, London, 1977, หน้า. 4, 5
- ↑ Marks, Sally "The Myths of Reparations" หน้า 231-255 จาก Central European History, Volume 11, Issue # 3, กันยายน พ.ศ. 2521 หน้า248.
- ↑ Limam: The First Labour Government, 1924, หน้า. 173
- ↑ Hansard (1924), vol. 169, cols. 768-9