เยือร์เกิน นอร์แบร์ท คล็อพ (เยอรมัน : Jürgen Norbert Klopp ; เกิดเมื่อ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1967) เป็นผู้จัดการทีม และผู้บริหารสโมสรฟุตบอลชาวเยอรมัน และเป็นอดีตนักฟุตบอล ผลงานล่าสุดคือการเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดในปัจจุบัน[ 2] [ 3] [ 4] [ 5] คล็อพดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายฟุตบอลมหภาคให้แก่สโมสรในเครือเรดบูล ตั้งแต่ 1 มกราคม ค.ศ. 2025
คล็อพเคยเล่นให้กับไมนทซ์ 05 เป็นระยะเวลา 12 ปี โดยรับบทผู้เล่นกองหน้าก่อนที่จะย้ายมาเล่นกองหลัง หลังจากประกาศเลิกเล่นในปี 2001 ก็ผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมโดยได้รับแต่งตั้งใน ค.ศ. 2004 เพื่อนำสโมสรเลื่อนขั้นสู่บุนเดิสลีกา ในปี 2004 แต่หลังจากทีมตกชั้นในฤดูกาล 2006–07 คล็อพจึงลาออกใน ค.ศ. 2008 ถือเป็นผู้จัดการทีมที่คุมทีมนานที่สุดของสโมสร จากนั้นเขาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ และนำทีมได้แชมป์ลีกในฤดูกาล 2010–11 ก่อนที่จะนำดอร์ทมุนท์ชนะถ้วยรางวัลในประเทศสองรายการในฤดูกาล 2011–12 และนำทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2012–13 ก่อนจะออกจากสโมสรในปี 2015 และถือเป็นผู้จัดการทีมที่คุมทีมนานที่สุดของสโมสรอีกเช่นกัน
คล็อพได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลใน ค.ศ. 2015 นำทีมสู่นัดชิงชนะเลิศของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาล 2018 และ 2019 โดยในครั้งหลังทำให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ได้เป็นครั้งที่ 6 ของสโมสร และถือเป็นครั้งแรกในฐานะผู้จัดการทีมของเขา และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งในฤดูกาล 2021–22 คล็อพพาทีมได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19 ด้วยคะแนนสูงถึง 97 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่มากที่สุดสำหรับทีมรองแชมป์ ในฤดูกาลถัดมา เขาพาทีมชนะเลิศยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 เป็นสมัยแรกของสโมสร และนำทีมไม่แพ้ติดต่อกันถึง 44 นัดในลีกซึ่งยาวนานเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ก่อนจะพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกโดยทำไปถึง 99 คะแนน และทำลายสถิติอีกหลายรายการในประเทศ จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้คล็อพชนะรางวัลผู้ฝึกสอนฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า สองสมัยติดต่อกันในปี 2019 และ 2020 ต่อมาใน ค.ศ. 2022 คล็อพพาทีมชนะเลิศฟุตบอลถ้วยสองรายการ ได้แก่ อีเอฟแอลคัพ และ เอฟเอคัพ ถือเป็นการคว้าแชมป์ภายในประเทศครบทุกรายการตั้งแต่คุมทีม เขาประกาศอำลาทีมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2023–24 โดยพาทีมคว้าแชมป์อีเอฟแอลคัพ สมัยที่ 10
คล็อพมีชื่อเสียงจากการคุมทีมด้วยสไตล์การเล่นแบบเกเกนเพรสซิง (Gegenpressing ) หรือการแย่งลูกบอลกลับมาโดยเร็วที่สุดหลังจากสูญเสียการครองบอล และจะเน้นการเปิดเกมรุกใส่คู่ต่อสู้ คล็อพเคยอธิบายว่าสไตล์ดังกล่าวเป็นเหมือนการเล่นแบบเฮฟวีเมทัล โดยมีความดุดันเร้าใจ เน้นให้ผู้เล่นเติมเกมบุกรวมทั้งการดันไลน์กองหลังขึ้นสูงแม้จะเสี่ยงต่อการเสียประตูเมื่อถูกสวนกลับซึ่งเป็นแผนการเล่นที่อดีตผู้จัดการทีมอย่างอาร์ริโก ซาคคี และ ว็อล์ฟกัง ฟรังค์ เคยใช้ คล็อพยังขึ้นชื่อในการมีอารมณ์ร่วมในการแข่งขันสูง โดยมักปรากฏภาพเขาฉลองการทำประตูของทีมอย่างเต็มที่บริเวณข้างสนาม
ชีวิตในช่วงแรก
เยือร์เกิน นอร์แบร์ท คล็อพ เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1967[ 6] ในเมืองชตุทการ์ท เมืองหลักและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค มารดาของเขามีชื่อว่าเอลิซาเบธ ส่วนบิดามีชื่อว่านอร์แบร์ทเป็นอดีตผู้รักษาประตูอาชีพ[ 7] [ 8] คล็อพเติบโตในหมู่บ้านแถบชานเมืองไม่ไกลจากป่าดำ เขามีพี่สาวสองคน[ 9]
คล็อพเริ่มอาชีพนักฟุตด้วยการเป็นผู้เล่นเยาวชนให้แก่สโมสรท้องถิ่นซึ่งก็คือ SV Glatten ตามด้วยการฝึกกับสามสโมสรในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต [ 10] เขาได้รับการปลูกฝังให้มีใจรักฟุตบอลตามอย่างบิดา ในวัยเด็กคล็อพเคยใฝ่ฝันอยากเป็นแพทย์แต่ได้ล้มเลิกความคิดเนื่องจากไม่เชื่อว่าตนเองมีความสามารถพอ[ 11] เมื่อครั้งเป็นนักฟุตบอลระดับเยาวชน คล็อพเคยหารายได้พิเศษด้วยการทำงานเสริมหลายแห่ง เช่น ลูกจ้างร้านเช่าวิดีโอ ต่อมาใน ค.ศ. 1988 ในขณะที่เขาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเกอเทอแห่งแฟรงก์เฟิร์ต ควบคู่ไปกับการเป็นนักฟุตบอลทีมสำรองให้แก่แฟรงก์เฟิร์ต เขารับหน้าที่พิเศษในการเป็นผู้ฝึกสอนทีมเยาวชนรุ่นเล็กที่สุดของสโมสร[ 12] ต่อมาในฤดูร้อน ค.ศ. 1990 คล็อพเซ็นสัญญาอาชีพกับสโมสรไมทซ์ 05 เขาใช้เวลาสิบปีในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่นั่น และจากทัศนคติที่ดีกอปรกับการวางตัวและบุคลิกภาพที่นอบน้อบ ทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนฟุตบอล[ 13] ในช่วงแรก คล็อพเล่นในตำแหน่งกองหน้าแต่เปลี่ยนมาเป็นกองหลังประมาณ ค.ศ. 1995[ 14] ในปีเดียวกันนั้นเอง คล็อพได้รับประกาศนียบัตรด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาจากมหาวิทยาลัยเกอเทอแห่งแฟรงก์เฟิร์ต (หลักสูตรเทียบเท่าปริญญาโท) โดยทำวิทยานิพนธ์ หัวข้อ "การเดิน"[ 15]
คล็อพเกษียณตนเองจากการเป็นนักฟุตบอลใน ค.ศ. 2001 ด้วยการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรจำนวน 56 ประตู ซึ่งจาก 52 ประตูเป็นการทำประตูในลีก คล็อพกล่าวว่าตลอดเวลาที่เป็นนักฟุตบอล ตนรู้สึกอยากเป็นผู้จัดการทีมอาชีพมากกว่า[ 16] คล็อปป์กล่าวถึงการทดลองเล่นที่ไอน์ทรัค แฟรงก์เฟิร์ตซึ่งเขาเล่นร่วมกับอันเดรียส โมลเลอร์ โดยเล่าว่าโมลเลอร์มีศักยภาพการเป็นนักฟุตบอลระดับโลกในขณะที่เขาไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ[ 17] ในฐานะผู้เล่น คล็อพติดตามวิธีการคุมทีมของผู้จัดการทีมในสนามฝึกซ้อมอย่างใกล้ชิด และเดินทางไปโคโลญ ทุกสัปดาห์เพื่อศึกษาการทำทีมกับเอริช รูท์เมิลเลอร์
อาชีพผู้จัดการทีม
ไมนทซ์ 05
ภายหลังเกษียณตนเองจากการเป็นนักฟุตบอลให้สโมสรไมนทซ์ 05 คล็อพได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2001 แทนที่เอ็คฮาร์ด เคราท์ซูน ที่โดนปลด[ 18] การคุมทีมนัดแรกของเขาจบลงด้วยชัยชนะต่อเอ็มเอสเฟา ดุ๊ยส์บวร์ก 1– 0[ 19] เขาพาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้ง โดยชนะได้ถึงหกจากเจ็ดนัดแรก และท้ายที่สุดจบในอันดับ 14 รอดพ้นการตกชั้นทั้งที่ยังไม่จบฤดูกาล[ 20] ในการคุมทีมเต็มฤดูกาลครั้งแรกในปี 2001– 02 เขาพาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่องโดยจบอันดับสี่ และได้รับเสียงชื่นชมในด้านการวางแท็คติกและการครองบอลเหนือคู่ต่อสู้ และจบอันดับสี่อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา แต่พลาดการแข่งเพลย์ออกเพื่อเลื่อนชั้นอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากผลประตูได้เสียที่เป็นรองทีมอันดับสาม[ 21] หลังจากผิดหวังมาสองฤดูกาล คล็อพพาทีมจบอันดับสามในปีต่อมา เลื่อนชั้นได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร[ 22]
แม้จะคุมทีมด้วยงบประมาณทำทีมจำกัด และยังมีสนามขนาดเล็กหากเทียบกับทีมอื่นในลีกสูงสุด ไมนทซ์ยังจบในอันดับ 11 สองปีติดต่อกัน และได้สิทธิ์แข่งรอบคัดเลือกยูฟาคัพ 2005–06 แม้จะตกรอบแรกโดยแพ้ทีมแชมป์ในปีนั้นซึ่งก็คือเซบิยา แต่ทีมก็ต้องตกชั้นในฤดูกาลต่อมา และแม้คล็อพจะอยู่คุมทีมต่อ แต่จากการไม่ประสบความสำเร็จในการเลื่อนชั้น เขาจึงตัดสินใจลาออกเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2007–08[ 23] ผลงานการคุมทีมโดยรวมคือชนะ 109 นัด, เสมอ 78 นัด และแพ้ 83 นัด
โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์
คล็อพให้สัมภาษณ์สื่อภายหลังพาดอร์ทมุนท์คว้าแชมป์บุนเดิสลีกา ฤดูกาล 2010–11
2008–2013: แชมป์บุนเดิสลีกาสองสมัย และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
คล็อพได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมดอร์ทมุนท์ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 แม้จะได้รับการทามทามจากไบเอิร์นมิวนิก โดยเซ็นสัญญาสองปี หลังจากสโมสรมีผลงานย่ำแย่จบอันดับ 13 ภายใต้การคุมทีมของโทมัส ดอลล์ [ 24] การคุมทีมนัดแรกของเขาคือการเอาชนะร็อต-ไวส์ เอสเซ่น 3–1 ในเดเอ็ฟเบ-โพคาล [ 25] คล็อพพาทีมชนะถ้วยรางวัลแรกด้วยการเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกในเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 2–1[ 26] และพาทีมจบอันดับหก[ 27] ตามด้วยการจบอันดับห้าในฤดูกาล 2009–10 แม้จะมีอายุเฉลี่ยผู้เล่นที่น้อยที่สุดทีมหนึ่งในลีก[ 28]
แม้จะเริ่มต้นฤดูกาล 2010–11 ด้วยความพ่ายแพ้ต่อไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซิน ด้วยผลประตู 0–2 คล็อพพาทีมชนะได้ถึง 14 จาก 15 นัดต่อมา และขึ้นเป็นทีมนำในช่วงวันปีใหม่ ก่อนจะประสบความสำเร็จคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาเป็นสมัยที่ 7 ของสโมสร แม้จะเหลือการแข่งขันอีกสองนัด โดยคว้าแชมป์อย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 จากการเปิดบ้านเอาชนะแอร์สเทอ เอ็ฟเซ เนือร์นแบร์ค [ 29] และทีมดอร์ทมุนท์ชุดนั้นยังทำสถิติเป็นทีมแชมป์ที่มีอายุเฉลี่ยของผู้เล่นน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน และยังป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาลถัดมาโดยทำไปถึง 81 คะแนน[ 30] [ 31] ทำสถิติเก็บคะแนนมากที่สุดในบุนเดิสลิกา และทำคะแนนในครึ่งฤดูกาลหลังได้มากที่สุดจำนวน 47 คะแนน[ 32] นอกจากนี้ ชัยชนะ 25 นัด จาก 34 นัด ถือเป็นสถิติเท่ากับไบเอิร์นมิวนิก ต่อมา พวกเขาแพ้คู่อริอย่างชัลเคอ 04 ในเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 2011 จากการดวลลูกโทษ[ 33] แต่ยังคว้าแชมป์เดเอ็ฟเบโพคาล โดยเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกในรอบชิงชนะเลิศ 5–2 เป็นครั้งแรกที่คล็อพชนะเลิศสองถ้วยรางวัลในประเทศภายในฤดูกาลเดียวกัน[ 34]
ดอร์ทมุนท์มีผลงานในลีกไม่สู้ดีนักในฤดูกาล 2012–13 แต่คล็อพยังให้สัมภาษณ์ว่าทีมต้องการเน้นไปที่การทำผลงานในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกซึ่งเขายังไม่เคยพาทีมชนะเลิศ แม้ดอร์ทมุนท์จะถูกจับอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมใหญ่อย่างเรอัลมาดริด , แมนเชสเตอร์ซิตี และ อาเอฟเซ อายักซ์ พวกเขาจบด้วยการเป็นอันดับหนึ่งโดยไม่แพ้ทีมใด[ 35] ดอร์ทมุนท์เข้าไปพบเรอัลมาดริดด้วยการคุมทีมของโชเซ มูรีนโย อีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ ดอร์ทมุนท์เอาชนะในบ้านนัดแรกด้วยผลประตู 4–1 และแม้จะบุกไปแพ้ที่สเปน 0–2 ทีมยังเข้าชิงชนะเลิศได้[ 36] ต่อมา ในดือนเมษายน ค.ศ. 2013 มารีโอ เกิทเซอ ประกาศว่าจะย้ายไปร่วมทีมคู่แข่งอย่างไบเอิร์นมิวนิกในฤดูกาลหน้า[ 37] ซึ่งการประกาศดังกล่าวสร้างความผิดหวังให้แก่คล็อพอย่างมาก เขากล่าวว่าสโมสรไม่มีแม้แต่โอกาสในการ "เจรจาเพื่อรั้งตัวนักเตะ"[ 38] ดอร์ทมุนท์แพ้ไบเอิร์นมิวนอก 1–2 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ จากประตูของอาร์เยิน โรบเบิน ในนาทีที่ 89[ 39] และจบอันดับสองในบุนเดิสลีกา[ 40] รวมทั้งแพ้ต่อไบเอิร์นมิวนิกอีกครั้งในเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ ด้วยผลประตู 1–2 ตามด้วยการตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเดเอ็ฟเบ-โพคาลในฤดูกาลต่อมา[ 41]
2013–2015: อำลาทีม
คล็อพในการคุมทีมดอร์ทมุนท์ฤดูกาลสุดท้าย ค.ศ. 2015
ก่อนเปิดฤดูกาลบุนเดิสลีกา ฤดูกาล 2013–14 คล็อพขยายสัญญากับสโมสรออกไปอีกสี่ปีสิ้นสุดใน ค.ศ. 2018 ในวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2014 คล็อพถูกปรับเป็นเงินจำนวน 10,000 ยูโรจากการโดนไล่ออกในเกมลีกที่พบกับโบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค [ 42] จากการใช้คำพูดไม่สุภาพต่อผู้ตัดสิน[ 43] ดอร์ทมุนท์จบฤดูกาลด้วยรองแชมป์[ 44] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 มีการประกาศว่ากองหน้าคนสำคัญอย่างรอแบร์ต แลวันดอฟสกี ปฏิเสธการต่อสัญญากับสโมสร และจะย้ายร่วมทีมไบเอิร์นมิวนิกโดยไม่มีค่าตัวในฤดูกาลหน้า[ 45] ดอร์ทมุนท์ชนะเลิศเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 2013 จากการชนะไบเอิร์นมิวนิก 4–2[ 46] แต่ตกรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยฝีมือของทีมแชมป์ในปีนั้นซึ่งก็คือเรอัลมาดริด[ 47]
เข้าสู่ฤดูกาล 2014–15 คล็อพพาทีมคว้าถ้วยรางวัลได้อีกครั้งในรายการเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 2014 เอาชนะไบเอิร์นมิวนิกไปอีกครั้งด้วยผลประตู 2–0[ 48] อย่างไรก็ตาม ดอร์ทมุนท์มีผลงานย่ำแย่ในฤดูกาลนี้ โดยตกไปอยู่กลางตารางและท้ายตารางเป็นส่วนมาก ส่งผลให้คล็อพประกาศว่าเขาจะอำลาทีมเมื่อจบฤดูกาล โดยเป็นที่เข้าใจกันว่าหนึ่งในสาเหตุหลักคือการไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารในการทุ่มเงินซื้อตัวผู้เล่นมาทดแทนผู้เล่นคนสำคัญที่ย้ายออกจากสโมสรตลอดสองฤดูกาลหลังสุด[ 49] การคุมทีมนัดสุดท้ายของคล็อพคือนัดชิงชนะเลิศเดเอ็ฟเบ-โพคาล ซึ่งดอร์ทมุนท์แพ้ต่อเฟาเอ็ฟเอ็ล ว็อลฟส์บวร์ค 1–3[ 50] และดอร์ทมุนท์จบฤดูกาลด้วยอันดับ 7 ในตาราง และตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกโดยแพ้ยูเวนตุส[ 51] ผลงานโดยรวมตลอดการคุมทีมของคล็อพคือการชนะ 180 นัด, เสมอ 69 นัด และแพ้ 70 นัด[ 52]
ลิเวอร์พูล
2015–2019: รองแชมป์สามรายการ และ แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
คล็อพในนัดที่ลิเวอร์พูลเอาชนะมิดเดิลส์เบรอในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017
คล็อพเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2015 โดยเซ็นสัญญาสามปี มาแทนที่เบรนดัน ร็อดเจอส์ คล็อพให้สัมภาษณ์ว่านี่คือก้าวที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพผู้จัดการทีมของเขา หลังจากมีช่วงเวลาที่ดีในบุนเดิสลีกา และให้คำมั่นแก่แฟนบอลว่าจะพาลิเวอร์พูลคว้าถ้วยรางวัลใหญ่ให้ได้ภายในสี่ปี่[ 53] คล็อพยังตั้งฉายาตนเองอย่างติดตลกว่าจากนี้ตนจะเป็น "The Normal one" เพื่อสอดคล้องกับฉายา "Special One" ของมูรีนโยตั้งแต่ปี 2004[ 54] การคุมทีมนัดแรกของเขาคือการบุกไปเสมอทอตนัมฮอตสเปอร์ 0–0 วันที่ 17 ตุลาคม[ 55] สัปดาห์ถัดมา คล็อพคว้าชัยชนะนัดแรกกับทีมในฟุตบอลลีกคัพโดยเอาชนะบอร์นมัท 1–0[ 56] ตามด้วยการเอาชนะเชลซี 3–1 ในพรีเมียร์ลีกอีกสามวันถัดมา[ 57] คล็อพพาทีมคว้าชัยชนะนัดแรกในยูโรปาลีก 1–0 เหนือรูบินคาซัน ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ลิเวอร์พูลแพ้แมนเชสเตอร์ซิตีในฟุตบอลลีกคัพนัดชิงชนะเลิศ จากการดวลลูกโทษ[ 58] แต่คล็อพพาทีมเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ด้วยผลประตูรวม 3–1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายรายการยูโรปาลีกได้[ 59] และในรอบต่อมา ในการแข่งขันนัดที่สอง ลิเวอร์พูลเอาชนะดอร์ทมุนท์สโมสรเก่าของคล็อพแม้จะตามหลังไปก่อน 1–3 แต่สามารถแซงกลับมาชนะ 4–3 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวม 5–4[ 60] และพาทีมผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบเก้าปีโดยเอาชนะบิยาร์เรอัล แต่พวกเขาแพ้เซบิยาในนัดชิงชนะเลิศ 1–3[ 61] และจบอันดับ 8 ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16 [ 62] ถัดมา ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2022 คล็อพและทีมงานผู้ฝึกสอนทุกคนขยายสัญญากับสโมสรออกไปจนถึงปี 2022[ 63]
ลิเวอร์พูลทำอันดับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบสองฤดูกาลในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2017 จากการเปิดบ้านเอาชนะมิดเดิลส์เบรอ 3–0 จบอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2016–17 [ 64] ตามด้วยอันดับ 4 อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา ผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน[ 65] ในช่วงเวลาดังกล่าว คล็อพเริ่มสร้างทีมตามแบบฉบับตนเองด้วยผู้เล่นดาวรุ่งชื่อดังชาวอังกฤษ ผสานกับผู้เล่นต่างชาติ เช่น แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สองผู้เล่นซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นฟูลแบคตัวหลักในเวลาอันสั้น พร้อมด้วยสองผู้เล่นกองหลังตัวกลางก็คือเฟอร์จิล ฟัน ไดก์ ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของโลกถึงปัจจุบัน และ เดยัน ลอวเร็น ทำให้ลิเวอร์พูลมีเกมรับที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา[ 66] [ 67] [ 68] คล็อพพาทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี หลังเอาชนะคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ซิตีในรอบก่อนรองชนะเลิศขาดลอยด้วยผลประตูรวม 5–1[ 69] ตามด้วยการชนะโรมาด้วยผลรวม 7–6 แต่ไปแพ้เรอัลมาดริดในนัดชิงชนะเลิศ 2018 ด้วยผลประตู 1–3[ 70] นี่ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งที่หกจากเจ็ดครั้งในการคุมทีมในนัดชิงชนะเลิศการแข่งขันรายการใหญ่ของเขา[ 71] ส่งผลให้ทีมลงทุนในตลาดซื้อขายอีกครั้งด้วยการเซ็นสัญญากับผู้เล่นหลายราย ไม่ว่าจะเป็น นาบี เกอีตา , ฟาบิญญู , แจร์ดัน ชาชีรี และ อาลีซง แบเกร์ [ 72] [ 73] [ 74] [ 75]
คล็อพฉลองแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2019 โดยเป็นแชมป์สมัยที่หกของลิเวอร์พูล
ในฤดูกาล 2018–19 ลิเวอร์พูลทำผลงานในช่วงต้นฤดูกาลได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ด้วยผลงานของผู้เล่นตัวหลักหน้าใหม่หลายราย พวกเขาเอาชนะในหกนัดแรก[ 76] ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2018 คล็อพถูกปรับเงินจากการวิ่งลงไปในสนามเพื่อฉลองประตูชัย 1–0 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขันซึ่งทีมเอาชนะคู่ปรับอย่างเอฟเวอร์ตัน[ 77] จากประตูของดีว็อก โอรีกี และหลังจากชัยชนะ 2–0 เหนือวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมนำในช่วงวันหยุดคริสต์มาส และมีคะแนนเหนือทีมอันดับสอง 4 คะแนน[ 78] ตามด้วยการเอาชนะนิวคาสเซิล 4–0 เพิ่มระยะห่างเป็น 6 คะแนน ถือเป็นชัยชนะนัดที่ 100 จากจำนวน 181 นัดของคล็อพในการคุมทีมลิเวอร์พูล[ 79] ทีมยังมีเกมรับที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องโดยเสียไปเพียงเจ็ดประตูใน 19 นัดแรกและไม่เสียประตูถึง 12 นัด[ 80] ในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะอาร์เซนอลไปด้วยผลประตู 5–1 ทำสถิติไม่แพ้ทีมใดในบ้าน 31 นัดติดต่อกัน และเพิ่มระยะห่างในตารางคะแนนเป็น 9 คะแนน และยังชนะรวด 8 นัดรวมทุกรายการในเดือนธันวาคม[ 81] ส่งผลให้เขาคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน[ 82]
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลทำได้เพียงรองแชมป์โดยมีคะแนนน้อยกว่าแมนเชสเตอร์ซิตีเพียงคะแนนเดียว ซึ่งทีมของเขาแพ้ซิตีเพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาลรวมทั้งชนะ 9 นัดติดต่อกันในช่วงสุดท้ายของการลุ้นแชมป์ คล็อพพาทีมทำคะแนนไปถึง 97 คะแนน เป็นสถิติสูงสุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ และเป็นคะแนนที่มากที่สุดสำหรับทีมรองแชมป์ และชัยชนะจำนวน 30 นัดในฤดูกาลนี้ถือเป็นสถิติร่วมที่พวกเขาเคยทำได้[ 83] [ 84] ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2018 ลิเวอร์พูลตกรอบลีกคัพโดยแพ้เชลซี 1–2[ 85] ตามด้วยการตกรอบที่สามเอฟเอคัพด้วยการแพ้วุลเวอร์แฮมป์ตัน[ 86] แม้จะล้มเหลวในฟุตบอลถ้วยในประเทศ แต่ในปีนี้พวกเขามีช่วงเวลาที่ดีในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พวกเขาเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกด้วยผลประตูรวม 3–1[ 87] และเอาชนะปอร์ตูด้วยผลประตูรวม 6–1[ 88] เข้าไปพบบาร์เซโลนา ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายบุกไปแพ้ก่อนในเกมแรก 0–3 แต่พวกเขาสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการกลับมาชนะ 4–0 แม้จะขาดสองผู้เล่นตัวหลักในแนวรุกทั้งมุฮัมมัด เศาะลาห์ และ โรแบร์ตู ฟีร์มีนู ในนัดนี้ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในการกลับมาชนะอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รายการนี้[ 89] [ 90] ในนัดชิงชนะเลิศ ณ เอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน (มาดริด) ลิเวอร์พูลเอาชนะสเปอร์สทีมจากพรีเมียร์ลีก 2–0 แม้จะครองบอลไปเพียง 39% ถือเป็นถ้วยรางวัลแรกของคล็อพกับสโมสร และเป็นถ้วยยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 6 ของทีม[ 91]
2019–2020: แชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก
คล็อพฉลองชัยชนะหลังพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019
เข้าสู่ฤดูกาล 2019–20 ลิเวอร์พูลประเดิมด้วยการแพ้จุดโทษแมนเชสเตอร์ซิตีในเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2019 [ 92] พวกเขาคว้าถ้วยใบแรกในฤดูกาลจากการเอาชนะจุดโทษเชลซีในยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 หลังจากเสมอกันในเวลาปกติ 2–2 เป็นถ้วยรางวัลใบที่สองของคล็อพกับสโมสร และเป็นแชมป์สมัยที่ 4 ของสโมสร เป็นรองเพียงเอซีมิลาน และบาร์เซโลนา[ 93] ในส่วนของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 คล็อพพาทีมชนะรวดในหกนัดแรกได้เป็นครั้งที่สองตั้งแต่คุมสโมสรมา ขึ้นเป็นทีมนำในตารางโดยมีคะแนนมากกว่าอันดับสอง 5 คะแนน คล็อพยังได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคม[ 94] จากการบุกไปชนะเชลซี 2–1 สโมสรสร้างสถิติใหม่ในการชนะเกมเยือนในพรีเมียร์ลีก 7 นัดติดต่อกัน และเป็นทีมแรกในยุคพรีเมียร์ลีกที่ชนะการแข่งขัน 6 นัดแรกของฤดูกาลสองปีติดต่อกัน[ 95] ในวันที่ 23 กันยายน คล็อพได้รับรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมของฟีฟ่าประจำปี 2019 มีคะแนนโหวตเหนือคู่แข่งอย่างแป็ป กวาร์ดิออลา [ 96] ตามด้วยการชนะรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกเป็นเดือนที่สองติตด่อกัน[ 97]
ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 หลังจากเอาชนะไบรตัน 2–1 ลิเวอร์พูลทาบสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกัน 31 นัดที่ตนเองเคยทำไว้ตั้งแต่ปี 1988[ 98] และทำลายสถิติได้ในสัปดาห์ต่อมาด้วยการเอาชนะเอฟเวอร์ตัน 5–2[ 99] และยังผ่านเข้ารอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฐานะแชมป์กลุ่มด้วยการเอาชนะซัลทซ์บวร์ค [ 100] คล็อพขยายสัญญากับทีมออกไปจนถึง ค.ศ. 2024[ 101] ในเดือนธันวาคม คล็อพชนะรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนเป็นครั้งที่สามตั้งแต่เปิดฤดูกาล หลังพาทีมเอาชนะรวดในเดือนนี้[ 102] ตามด้วยการพาทีมชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก สมัยแรก จากการชนะฟลาเม็งกู จากบราซิล 1–0 ในช่วงต่อเวลา[ 103] ลิเวอร์พูลทำสถิติเป็นสโมสรแรกในสหราชอาณาจักร ที่ชนะเลิศการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกภายในปีเดียวกัน[ 104] [ 105] ลิเวอร์พูลยังทำสถิติไม่แพ้ในบ้านจำนวน 50 นัดติดต่อกัน และขึ้นเป็นทีมนำด้วยคะแนนห่างจากอันดับสองถึง 13 คะแนน[ 106] คล็อพคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนเป็นครั้งที่ 4[ 107] จากการบุกไปชนะสเปอร์สในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2020 ลิเวอร์พูลขยายสถิติไม่แพ้ในลีกเพิ่มเป็น 38 เกม ทำคะแนนได้ถึง 61 คะแนนจากการแข่งขันเพียง 21 นัด เป็นสถิติมากที่สุดตลอดการในการแข่งขันห้าลีกใหญ่ของทวีปยุโรป[ 108] ต่อมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ลิเวอร์พูลชนะเซาท์แธมป์ตัน 4–0 เพิ่มระยะห่างเป็น 22 คะแนน ตามด้วยรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่ 5 ของคล็อพในฤดูกาลนี้ ทำสถิติคว้ารางวัลมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล แม้จะเหลือการแข่งขันถึง 4 เดือน[ 109]
ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ลิเวอร์พูลเอาชนะเวสต์แฮมยูไนเต็ด 3–2 ทำสถิติชนะรวดในลีก 18 นัด และชนะรวดในบ้าน 21 นัด[ 110] และชัยชนะต่อบอร์นมัธในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2020 เป็นสถิติใหม่ในลีกสูงสุดของอังกฤษในการชนะในบ้าน 22 นัดติดต่อกัน[ 111] ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นสมัยแรกในวันที่ 25 มิถุนายน ทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันถึง 7 นัด และเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 19 และทำลายสถิติหลายรายการในฤดูกาลนี้ ได้แก่ การชนะในบ้านมากที่สุด (23), การทำคะแนนเหนือทีมอันดับสองประจำสัปดาห์มากที่สุด (22)[ 112] , คว้าแชมป์เร็วที่สุด (เหลือการแข่งขัน 7 นัด) และเป็นทีมเดียวที่คว้าแชมป์ในเดือนมิถุนายน[ 113] [ 114] พวกเขายังไม่แพ้ทีมใดติดต่อกัน 44 นัดนับตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาล ก่อนที่สถิติจะจบลงด้วยการแพ้ต่อวอตฟอร์ด [ 115] คล็อพยังได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก[ 116]
2020–2022: คว้าแชมป์ครบทุกรายการในอังกฤษ
ในฤดูกาล 2020–21 สโมสรพบความยากลำบากอย่างเห็นได้ชัดและมีผลงานตกลงไป รวมถึงแพ้ต่อแอสตันวิลลา ขาดลอยถึง 2–7 เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเสียถึง 7 ประตูนับตั้งแต่ ค.ศ. 1963[ 117] ลิเวอร์พูลยังต้องสูญเสียกองหลังคนสำคัญอย่างฟัน ไดก์ ที่ได้รับบาดเจ็บพักทั้งฤดูกาลในนัดที่เสมอเอฟเวอร์ตัน และพวกเขาเอาชนะอตาลันตา ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 5–0[ 118] ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2020 คล็อพทำลายสถิติในการพาลิเวอร์พูลไม่แพ้ในบ้านติดต่อกัน 64 นัด ทำลายสถิติเดิมของบ็อบ เพสลีย์ ระหว่างปี 1978 ถึง 1981[ 119] ถัดมา ในเดือนธันวาคม คล็อพชนะรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมประจำปีของฟีฟ่าสองสมัยติดต่อกัน จากผลงานพาทีมชนะเลิศฟุตบอลลีกสูงสุดในรอบ 30 ปี ตามด้วยรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมจากบีบีซี[ 120] ทว่าลิเวอร์พูลยังมีผลงานไม่ดีในช่วงต้นปี 2021 โดยปราศจากผู้เล่นกองหลังตัวหลักถึงสามคนจนถึงช่วงท้ายฤดูกาล พวกเขาตกลงไปอยู่อันดับ 8 ในเดือนมีนาคม และแม้จะกลับมาทำผลงานดีขึ้นโดยไม่แพ้ทีมใดในช่วง 10 นัดสุดท้าย แต่ทำได้เพียงจบอันดับสาม[ 121] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 ลิเวอร์พูลบุกไปชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ถึงโอลด์แทรฟฟอร์ด เป็นครั้งแรกในยุคของคล็อพด้วยผลประตู 4–2 ทั้งนี้ การปราศจากกองหลังคนสำคัญ ทำให้คล็อพต้องดันผู้เล่นสำรองอย่างนาธาเนียล ฟิลลิปส์ และ รีส วิลเลียมส์ ลงเล่นในช่วงท้ายฤดูกาลซึ่งทั้งคู่ไม่เคยลงเล่นในพรีเมียร์ลีกมาก่อน จากผลงานชนะ 5 นัดในเดือนพฤษภาคม ทำให้คล็อพได้รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนเป็นครั้งที่ 9 ลิเวอร์พูลไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลถ้วยทุกรายการ โดยแพ้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเอฟเอคัพ 2–3 และแพ้อาร์เซนอลในการดวลจุดโทษอีเอฟแอลคัพ รวมทั้งแพ้เรอัลมาดริดในรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยผลรวมสองนัด 1–3
คล็อพในการฉลองแชมป์เอฟเอคัพ และ อีเอฟแอลคัพ ค.ศ. 2022
ลิเวอร์พูลฤดูกาล 2021–22 พวกเขาเริ่มต้นด้วยการชนะ 5 นัดและเสมอ 3 นัดใน 8 นัดแรก ต่อมาในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2021 ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะยูไนเต็ด 5–0[ 122] เป็นชัยชนะนัดที่ 200 จากจำนวน 331 นัดในการคุมทีมลิเวอร์พูล ทำให้คล็อพเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสรที่ทำสถิตินี้ได้เร็วที่สุด[ 123] และในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2021 หลังจากชนะเอฟเวอร์ตัน 4–1 ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ทำอย่างน้อยสองประตูในการแข่งขัน 18 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ[ 124] ถัดมา ลิเวอร์พูลบุกไปชนะเอซี มิลาน 2–1 ทำสถิติเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ชนะครบทั้ง 6 นัดในรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[ 125] ต่อมา ในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2021 คล็อพกลายเป็นผู้จัดการทีมที่ชนะครบ 150 นัดในลีกได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากเปิดบ้านชนะนิวคาสเซิล 3–1 และเป็นการชนะในฟุตบอลลีกสูงสุดครบ 2,000 นัดของสโมสร[ 126]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 คล็อพพาทีมชนะเลิศฟุตบอลถ้วยในประเทศได้เป็นครั้งแรกในรอบหกปี เอาชนะจุดโทษเชลซีในอีเอฟแอลคัพ 2022 นัดชิงชนะเลิศ หลังเสมอกัน 0–0[ 127] ทำสถิติคว้าแชมป์สมัยที่ 9 และถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 2012[ 128] หลังจากชอน ไดช์ ถูกปลดจากการเป็นผู้จัดการทีมเบิร์นลีย์ วันที่ 15 เมษายน ส่งผลให้คล็อพเป็นผู้จัดการทีมปัจจุบันที่คุมทีมในพรีเมียร์ลีกยาวนานที่สุด[ 129] เขาขยายสัญญากับสโมสรออกไปอีกสองปีจนสิ้นสุดในปี 2026[ 130] [ 131] ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์รายการที่สองจากการเอาชนะจุดโทษเชลซีอีกครั้งในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2022 และทั้งสองทีมเสมอกัน 0–0 เช่นเดียวกับรอบชิงชนะเลิศอีเอฟแอลคัพ ส่งผลให้คล็อพเป็นผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน คนแรกที่คว้าแชมป์เอฟเอคัพ[ 132] ในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลมีลุ้นแชมป์ถึง 4 รายการ แต่พวกเขาพลาดในพรีเมียร์ลีกด้วยการมีคะแนนน้อยกว่าแมนเชสเตอร์ซิตีเพียงคะแนนเดียว นับเป็นครั้งที่สองที่ทีมของคล็อพพลาดแชมป์โดยมีแต้มน้อยกว่าซิตีที่คุมทีมโดยกวาร์ดิออลาหนึ่งคะแนน และลิเวอร์พูลแพ้เรอัลมาดริด 0–1 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ [ 133]
2022–2024: ฤดูกาลสุดท้าย
เข้าสู่ฤดูกาล 2022–23 ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2022 เอาชนะแมนเชสเตอร์ซิตี 3–1 นับเป็นแชมป์ครั้งแรกในรายการนี้ของคล็อพ[ 134] ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2022 ลิเวอร์พูลเอาชนะบอร์นมัทไปถึง 9–0 เป็นสถิติร่วมในการชนะมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก[ 135] ในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2022 ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะเรนเจอส์ 7–1 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยมุฮัมมัด เศาะลาห์ ทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ยิงแฮตทริกได้เร็วที่สุดในรายการนี้ ต่อมา วันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2023 ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 7–0 เป็นสถิติชนะที่มากที่สุดที่มีต่อยูไนเต็ด[ 136] [ 137] จากการบาดเจ็บยาวของเตียโก อัลกันตารา ทำให้เป็นโอกาสของเคอร์ติส โจนส์ ในการก้าวขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่[ 138] [ 139] [ 140] ลิเวอร์พูลจบเพียงอันดับ 5 ทำมห้ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 2023–24 ในปีนี้ทีมประสบปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บหลายราย[ 141] โดยเชื่อว่าเป็นผลมาจากการลงเล่นครบทุกนัดทุกรายการในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งลิเวอร์พูลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยทุกรายการ และมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกถึงนัดสุดท้าย[ 142] [ 143] [ 144]
ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2024 คล็อพประกาศว่าเขาจะอำลาทีมเมื่อจบฤดูกาล 2023–24 โดยให้เหตุผลว่าตนเองหมดความท้าทาย และต้องการพักจากการคุมทีมโดยไม่มีกำหนด[ 145] คล็อพยังกล่าวว่าเขาจะไม่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมให้แก่สโมสรอื่นในอังกฤษนอกจากลิเวอร์พูล[ 146] ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 คล็อพพาทีมชนะเลิศอีเอฟแอลคัพ ฤดูกาล 2023–24 ด้วยการชนะเชลซี 1–0 เป็นแชมป์สมัยที่ 10 ของลิเวอร์พูล[ 147] ในสัปดาห์สุดท้ายก่อนการแข่งขันนัดปิดฤดูกาล สกาย สปอร์ตส ได้เผยแพร่วิดีโอที่อดีตผู้เล่นรวมทั้งผู้เล่นปัจจุบันของสโมสรกล่าวความรู้สึกที่มีต่อคล็อพ ตำนานอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด ยกย่องว่าคล็อพว่าสมควรได้รับเกียรติให้สร้างรูปปั้นของเขาหน้าสนามแข่ง[ 148] ในขณะที่เจมี คาร์เรเกอร์ ยกย่องว่าคล็อพเปรียบเสมือนบิลล์ แชงคลี ตำนานผู้จัดการทีมซึ่งประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง การคุมทีมนัดสุดท้ายของคล็อพเกิดขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 โดยลิเวอร์เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ 2–0 โดยลิเวอร์พูลจบอันดับสามในลีก[ 149] หลังจบการแข่งขัน จอห์น วิลเลียม เฮนรี เจ้าของสโมสรได้มอบรางวัลให้แก่คล็อพ, ทีมงานผู้ฝึกสอน รวมทั้งสองผู้เล่นอย่าง เตียโก อัลกันตารา และ ฌอแอล มาติป ซึ่งประกาศอำลาทีม คล็อพและทีมงานของเขาได้สวมเสื้อคลุมสีแดงพร้อมตัวอักษรว่า "I'll Never Walk Alone Again' ที่ด้านหลัง และ 'Thank You Luv' ที่ด้านหน้า ซึ่งเป็นวลีที่แสดงความผูกพันระหว่างเขาและเมืองลิเวอร์พูล[ 150] สโมสรได้จัดแสดงถ้วยรางวัลจำลองในการแข่งขันทุกรายการซึ่งคล็อพพาทีมชนะเลิศตลอดระยะเวลา 9 ปี ก่อนที่เขาจะกล่าวสุนทรพจน์อำลาแฟน ๆ คล็อพยังได้กระตุ้นให้แฟน ๆ สนับสนุนว่าที่ผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างอาร์เนอ สล็อต ซึ่งจะย้ายจากไฟเยอโนร์ด มาคุมทีมลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2024–25[ 151] ต่อมา นักฟุตบอลและผู้สนับสนุนร่วมกันร้องเพลงยูลล์เนฟเวอร์วอล์กอะโลน เพื่อเป็นเกียรติให้แก่คล็อพ[ 152] ในวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2024 คล็อพให้สัมภาษณ์กับอีเอสพีเอ็น ว่าตนเองตัดสินใจเกษียณตนเองจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และจะไม่รับงานคุมทีมใดอีก[ 153]
บทบาทหลังการเป็นผู้จัดการทีม
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2024 คล็อพตกลงรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายฟุตบอลให้แก่สโมสรในเครือเรดบูล กำหนดเริ่มงานวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2025 เซ็นสัญญาเป็นเวลาสี่ปี และมีรายงานว่าในสัญญาดังกล่าวยังระบุเงื่อนไขให้เขาสามารถลงจากตำแหน่ง เพื่อไปรับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนให้แก่ทีมชาติเยอรมนีหากผู้ฝึกสอนคนปัจจุบันอย่าง ยูลีอาน นาเกิลส์มัน อำลาทีม[ 154] การรับตำแหน่งดังกล่าวได้รับการวิจารณ์จากสื่อและกลุ่มผู้สนับสนุนบางส่วนในเยอรมนี เนื่องจากแนวทางการบริการของเครือเรดบูล แตกต่างจากทุกสโมสรในเยอรมนีซึ่งอยู่ภายใต้กฎ 50+1 กล่าวคือ บรรดาสมาชิกของสโมสรโดยเฉพาะแฟนบอลมีสิทธิ์ถือครองหุ้นส่วนใหญ่ในสโมสร รวมทั้งมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น
รูปแบบการเล่น
คล็อพได้รับการยอมรับในด้านการเล่นแบบเกเกนเพรสซิง (Gegenpressing ) หรือการแย่งลูกบอลกลับมาโดยเร็วที่สุดหลังจากสูญเสียการครองบอล แนวทางการเล่นดังกล่าวต้องอาศัยความเข้าใจในเกมและพละกำลังที่สูงตลอดการแข่งขัน คล็อพเคยกล่าวว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการแย่งลูกบอลกลับมาก็คือ "ทันทีที่คุณเพิ่งสูญเสียการครองบอล" เนื่องจากผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจะใช้เวลากับการครองบอลที่เพิ่งแย่งมาได้ และอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะส่งบอลไปทิศทางใดต่อ จึงเป็นโอกาสที่เราจะรบกวนสมาธิพวกเขาเพื่อแย่งบอลกลับมา[ 155] อย่างไรก็ตาม แท็คติกดังกล่าวมีข้อเสียคือต้องอาศัยพละกำลังในการวิ่งตลอด 90 นาทีและต้องมีความแข็งแกร่งทางสรีระในการเข้าปะทะ และต้องชำนาญในการเล่นเกมสวนกลับ[ 156] นอกจากนี้ ผู้เล่นของคล็อพยังต้องเข้าใจว่าเมื่อใดที่ควรหยุดการเพรสซิงเพื่อถนอมแรง และยังช่วยป้องกันการโดนจ่ายบอลยาวทะลุแนวกองหลังจนอาจเสียประตูได้เช่นกัน คล็อพยังขึ้นชื่อในปรัชญาฟุตบอลเกมรุกตั้งแต่ยังคุมทีมอยู่ในเยอรมนี โดยเน้นให้ทีมของเขาเปิดเกมบุกใส่คู่ต่อสู้และดันไลน์ขึ้นสูงถึงกลางสนามแทนที่จะส่งบอลคืนหลังเพื่อตั้งเกมขึ้นมาใหม่[ 157] [ 158]
คล็อพยังเป็นที่จดจำในฐานะผู้จัดการทีมที่มีอารมณ์ร่วมกับการแข่งขันตลอดเวลา มักปรากฏภาพเขาแสดงความดีใจเต็มที่บริเวณข้างสนามเมื่อนักฟุตบอลทำประตูได้ เขาเคยกล่าวว่า "แท็คติกเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขัน แต่อารมณ์ช่วยสร้างความแตกต่างให้ผลการแข่งขันได้" โดยหลายครั้งที่การแสดงออกดังกล่าวช่วยกระตุ้นและปลุกใจผู้เล่นของเขาให้ฮึกเหิม จากการตกเป็นรองก็สามารถกลับมาพลิกชนะได้[ 159] เช่น ในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายบุกไปแพ้บาร์เซโลนาก่อนถึง 0–3 แต่กลับมาเอาชนะคืนได้ 4–0 ที่บ้านตนเองแม้จะปราศจากผู้เล่นตัวหลักบางราย
ในสองฤดูกาลแรกที่คุมทีมลิเวอร์พูล คล็อพเน้นการวางระบบการเล่นแบบ 4–3–3 มีผู้เล่นตัวรีมเส้นอย่างซาดีโย มาเน และเศาะลาห์ และโรแบร์ตู ฟีร์มีนู เป็นผู้เล่นกองหน้าตัวหลอกหรือ False 9 และได้รับการสนับสนุนจากฟีลีปี โกชิญญู ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมเกมและพาบอลไปข้างหน้า ซึ่งทำให้เกมรุกของทีมมีประสิทธิภาพมาก แม้โกชิญญูจะอำลาทีมใน ค.ศ. 2018 แต่ด้วยผู้เล่นที่เข้าใจระบบการเล่น กอปรกับการเสริมตัวผู้เล่นใหม่ที่ปรับตัวเข้ากับระบบคล็อพได้ ลิเวอร์พูลจึงเป็นทีมที่มีเกมรุกที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในยุโรปมาถึงปัจจุบัน สองผู้เล่นคนสำคัญในเกมรุกอย่างมาเน และ เซาะลาห์คว้ารางวัลผู้ทำประตูสูงสุดประจำฤดูกาลสองปีติดต่อกันใน ค.ศ. 2018 และ 2019 ตามลำดับ[ 160] ถัดมา ในช่วงแรกของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19 คล็อพใช้แผนการเล่นแบบ 4–2–3–1 ซึ่งเคยประสบความสำเร็จกับดอร์ทมุนท์มาแล้ว และยังช่วยให้เศาะลาห์มีพื้นที่ในการเล่นอย่างเป็นอิสระมากขึ้น โดยในบางครั้งคล็อพอาจถอยฟีร์มีนูลงต่ำเพื่อเชื่อมเกมและแบ่งเบาภาระของสองผู้เล่นริมเส้น[ 161] ก่อนที่คล็อพจะกลับไปใช้ระบบการเล่น 4–3–3 ซึ่งพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งที่สองและคว้าแชมป์ได้[ 162]
สถิติการคุมทีม
ณ วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2024
ทีม
ตั้งแต่
ถึง
บันทึก
ไมนทซ์ 05
27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2001
30 มิถุนายน ค.ศ. 2008
270
109
78
83
0 40.37
โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์
1 กรกฎาคม ค.ศ. 2008
30 พฤษภาคม ค.ศ. 2015
319
180
69
70
0 56.43
ลิเวอร์พูล
8 ตุลาคม ค.ศ. 2015[ 163]
30 มิถุนายน ค.ศ. 2024
491
299
109
83
0 60.90
ทั้งหมด
1,080
588
256
236
0 54.4
เกียรติประวัติ
คล็อพ (ที่สองจากซ้าย) กับการฉลองแชมป์บุนเดิสลีกาของโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ฤดูกาล 2010–11
ผู้จัดการทีม
โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ [ 164]
ลิเวอร์พูล [ 172] [ 164]
ส่วนบุคคล
อ้างอิง
↑ "Jürgen Klopp" (ภาษาเยอรมัน). 1. FSV Mainz 05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 13 June 1998. สืบค้นเมื่อ 7 August 2022 .
↑ "Will Jurgen Klopp usurp Pep Guardiola as the world's best coach if he wins the 2022 Champions League?" . Eurosport (ภาษาอังกฤษ). April 26, 2022.
↑ " 'Klopp is now the best manager in football' - Liverpool boss has moved ahead of Guardiola, says Hamann | Goal.com UK" . www.goal.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). June 28, 2020.
↑ Nast, Condé (2020-01-24). "Jurgen Klopp has proven he's the best manager in the world" . British GQ (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
↑ McCambridge, Mark WhiteContributions from Ed; published, Conor Pope (October 18, 2022). "Ranked! The 50 best managers in the world" . fourfourtwo.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "League Managers Association - JÜRGEN KLOPP" . web.archive.org . August 17, 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 17, 2018. สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .{{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ Kramer, Jörg (April 10, 2011). "(S+) Das System Klopp" . Der Spiegel (ภาษาเยอรมัน). ISSN 2195-1349 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ "The making of Jurgen Klopp" . The Telegraph (ภาษาอังกฤษ). October 10, 2015.
↑ Gerber, Steffen (May 7, 2012). "Private Einblicke von Klopp - Vater wäre stolz auf BVB-Trainer gewesen" . www.waz.de (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Was Klopp mit Sindlingen verbindet | Höchster Kreisblatt" . web.archive.org . August 16, 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ August 16, 2016. สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ Hunter, Andy (November 25, 2015). "Jürgen Klopp: I wanted to be a doctor. I think I've still got 'helper syndrome' " . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ Das, Raj (September 27, 2020). "How Jurgen Klopp has carved out a niche for himself in club management" . www.sportskeeda.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
↑ "Jürgen Klopp - Spielerprofil" . DFB Datencenter (ภาษาเยอรมัน).
↑ published, Uli Hesse (March 22, 2018). "How Klopp's playing career shaped his coaching style" . fourfourtwo.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ Hartmann, Ulrich (July 11, 2012). "Kabarettist im Kapuzenpulli" . Süddeutsche.de (ภาษาเยอรมัน).
↑ Nalton, James (December 23, 2016). "Jurgen Klopp's football philosophy explained in 10 key quotes - Liverpool FC" . This Is Anfield (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
↑ "The Passion of Klopp" . www.goal.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Aktuelle Nachrichten | Rheinische Post Online" . rp-online.de .
↑ "Bundesliga" . web.archive.org . April 19, 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ April 19, 2001. สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ VAVEL.com (July 2, 2021). "From Mainz to Merseyside: What does the next chapter hold in the Jürgen Klopp story?" . VAVEL (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Klopp - the Black Forest boy who 'became a hero' " . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ UEFA.com (July 13, 2005). "Mainz take step into unknown | UEFA Europa League" . UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Fußball: Klopp nimmt tränenreichen Abschied von Mainz" . web.archive.org . March 1, 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 1, 2018. สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .{{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ "Absturz des BVB: Doll tritt in Dortmund zurück" . Der Spiegel (ภาษาเยอรมัน). May 19, 2008. ISSN 2195-1349 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Valdez vollendet Arbeitssieg" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Europe - ESPNFC" . web.archive.org . October 21, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ October 21, 2012. สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Bundesliga heute | Spielplan & Ergebnisse | 12. Spieltag | 2023/24" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Bundesliga heute | Spielplan & Ergebnisse | 12. Spieltag | 2023/24" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Bundesliga heute | Spielplan & Ergebnisse | 12. Spieltag | 2023/24" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ Allgemeine, Augsburger. "Borussia Dortmund feiert Deutsche Meisterschaft" . Augsburger Allgemeine (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Ronaldo's Hat Trick Restores Real's Lead; Dortmund Beats Bayern - Businessweek" . web.archive.org . April 17, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 17, 2012. สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .{{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ Penders, Peter; Dortmund (May 5, 2012). "4:0 gegen Freiburg: Dortmunder Rekord-Meister" . FAZ.NET (ภาษาเยอรมัน). ISSN 0174-4909 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Fährmann bringt BVB zur Verzweiflung" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Borussia Dortmund rout Bayern Munich to claim historic double - ESPN Soccernet" . web.archive.org . May 16, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ May 16, 2012. สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Dortmund ungeschlagen in der 'Todesgruppe': Klopp: 'Überragend, großartig, überraschend' " . web.archive.org . October 23, 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 23, 2016. สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .{{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ Association, Press (May 1, 2013). "Jürgen Klopp targets Champions League final glory for Dortmund" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Transfercoup: Götze wechselt für 37 Millionen zum FC Bayern - WELT" . DIE WELT (ภาษาเยอรมัน). October 6, 2015.
↑ "Soccer on ESPN - Scores, Stats and Highlights" . ESPN.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Robben setzt Bayern Europas Krone auf" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Bundesliga heute | Spielplan & Ergebnisse | 12. Spieltag | 2023/24" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ NACHRICHTEN, n-tv. "Bayern entthront Dortmund" . n-tv.de (ภาษาเยอรมัน).
↑ Zeitung, Süddeutsche (March 17, 2014). "Klopp muss 10.000 Euro Strafe zahlen" . Süddeutsche.de (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Another fine for Klopp – DW – 03/17/2014" . dw.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Bundesliga heute | Spielplan & Ergebnisse | 12. Spieltag | 2023/24" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Lewandowski agrees to Bayern move" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Dortmund win Supercup – DW – 07/27/2013" . dw.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Borussia Dortmund Spielplan 2013/14 | Alle Wettbewerbe" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Bayern in Dortmund's web – DW – 08/13/2014" . dw.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Klopp to leave Dortmund in summer" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Zweiter VfL-Titel: In 16 Minuten zerstört Wolfsburg Dortmunds Pokaltraum - WELT" . DIE WELT (ภาษาเยอรมัน). October 16, 2015.
↑ "Borussia Dortmund Spielplan 2014/15 | Alle Wettbewerbe" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ Bell, Graham (2023-01-21). "Jürgen Klopp's 1,000 Games: By the Numbers" . The Analyst (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Liverpool FC confirm Jürgen Klopp appointment" . Liverpool FC . October 8, 2015.
↑ Hunter, Andy (October 9, 2015). "Jürgen Klopp, the 'Normal One', takes over as new Liverpool manager" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Tottenham Hotspur 0-0 Liverpool" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool 1-0 Bournemouth" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Chelsea 1-3 Liverpool" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Manchester City win Capital One Cup: Willy Caballero the hero in shootout win over Liverpool" . Fox Sports (ภาษาอังกฤษ). February 28, 2016.
↑ "Manchester United 1-1 Liverpool (agg 1-3)" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool 4-3 Borussia Dortmund (agg: 5-4)" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ Bascombe, Chris (May 18, 2016). "Liverpool lose Europa League final: I don't think I'm unlucky, says Jurgen Klopp, after fifth final loss" . The Telegraph (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0307-1235 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Premier League Table, Form Guide & Season Archives" . www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Klopp signs six-year contract extension" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ Hunter, Andy (May 21, 2017). "Liverpool seal Champions League place with victory over Middlesbrough" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Premier League Table, Form Guide & Season Archives" . www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Reuters | Breaking International News & Views" . Reuters (ภาษาอังกฤษ). November 25, 2023.
↑ Hunter, Andy (April 9, 2018). "Virgil van Dijk brings calm and collective spirit to Liverpool's defence" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ Maddock, David (March 19, 2018). "How dominant Virgil van Dijk has redefined Liverpool's defence" . The Mirror (ภาษาอังกฤษ).
↑ UEFA.com. "Man City-Liverpool: UEFA Champions League 2017/18 Quarter-finals" . UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Real nightmare for Karius as Madrid retain their title" (ภาษาอังกฤษ). May 26, 2018.
↑ "Real Madrid 3-1 Liverpool" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Naby Keita to complete Liverpool transfer on July 1" . Liverpool FC . June 27, 2018.
↑ "Reds agree deal to sign Fabinho" . Liverpool FC . May 28, 2018.
↑ "Liverpool complete Xherdan Shaqiri transfer" . Liverpool FC . July 13, 2018.
↑ "Liverpool complete Alisson Becker transfer" . Liverpool FC . July 19, 2018.
↑ 161385360554578 (September 22, 2018). "The incredible Liverpool statistics which prove they should be seen as Premier League favourites" . talkSPORT (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). {{cite web }}
: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์ )
↑ "Klopp accepts charge over celebration" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Salah inspires Liverpool win at Wolves" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Reds thrash Newcastle to go six clear" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑
↑ "Liverpool thrash Arsenal to extend lead" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Klopp and Van Dijk claim 2018 December awards" . www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ Taylor, Daniel (May 12, 2019). "Sadio Mané double sinks Wolves but Liverpool's title wait goes on" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ O'Neill, Caoimhe (May 12, 2019). "Anfield's amazing response to Premier League disappointment" . Liverpool Echo (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Liverpool 1-2 Chelsea" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool replacements 'failed' Klopp" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ Taylor, Daniel (March 13, 2019). "Sadio Mané and Virgil van Dijk take Liverpool past Bayern Munich" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Easy Liverpool win sets up Barca semi" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ Taylor, Daniel (May 7, 2019). "Liverpool stage sensational comeback to beat Barcelona and reach final" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Tottenham or Liverpool for greatest comeback?" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ Doyle, Paul (June 1, 2019). "Liverpool win Champions League after beating Spurs 2-0 in final – as it happened" . the Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ Burt, Jason; Hurrey, Adam (August 5, 2018). "Sergio Aguero double seals Community Shield for Manchester City as sloppy Chelsea give Maurizio Sarri plenty to ponder" . The Telegraph (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0307-1235 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool beat Chelsea to win Super Cup" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Klopp earns August 2019 Barclays Manager of Month award" . www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ Burt, Jason; Goodwill, Jake (September 22, 2019). "Liverpool cling on to beat Chelsea as winning streak continues" . The Telegraph (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0307-1235 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool boss Jurgen Klopp wins Best FIFA men's coach award" . Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Aubameyang and Klopp win September awards" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool 2-1 Brighton: Five talking points" . Liverpool FC . December 1, 2019.
↑ Bascombe, Chris; Field, Pippa (December 4, 2019). "Liverpool put five past Everton for new unbeaten club record as Marco Silva teeters on the brink after derby defeat" . The Telegraph (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0307-1235 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool beat Salzburg to progress" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "FSG statement on Jürgen Klopp contract extension agreement" . Liverpool FC . December 13, 2019.
↑ "Jurgen Klopp named Premier League Manager of the Month for November - Liverpool - Sport.net" . web.archive.org . October 1, 2020. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ October 1, 2020. สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool clinch first Club World Cup" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ published, Matt Ladson (December 22, 2019). "What does Liverpool's Club World Cup victory mean for the rest of their season?" . fourfourtwo.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ Eriksen, Magnus (December 21, 2019). "Liverpool become first English club to win Champions League, Super Cup and Club World Cup treble" . CaughtOffside (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Liverpool beat Wolves to go 13 points clear" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Klopp equals record with Barclays Manager award" . www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ " 'Liverpool record doesn't feel special' " . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Klopp makes history with Barclays Manager award" . www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Liverpool come from behind to beat West Ham" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Salah and Milner reaction: 'We showed our mentality to win' " . Liverpool FC . March 7, 2020.
↑ "Liverpool open up record 22-point lead" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "How Klopp turned Liverpool into title winners" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Earliest Premier League champion: Is Liverpool fastest to clinch?" . NBC Sports (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). July 20, 2020.
↑ 161385360554578 (February 25, 2020). "The game Liverpool can win the Premier League as Klopp's men close in on glory" . talkSPORT (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). {{cite web }}
: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์ )
↑ "Klopp earns 2019/20 Barclays Manager of the Season award" . www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Aston Villa 7-2 Liverpool (4 Oct, 2020) Game Analysis - ESPN (IN)" . ESPN (ภาษาอังกฤษ).
↑ UEFA.com. "Atalanta-Liverpool: UEFA Champions League 2020/21 Group stage" . UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Liverpool set new record for unbeaten league games at Anfield" . Liverpool FC . November 22, 2020.
↑ "Klopp & Liverpool win Sports Personality awards" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Are Liverpool now top-four favourites?" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Man Utd thrashed at home by Liverpool" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Five 0-5 talking points: History made, stunning Salah stats and more" . Liverpool FC . October 25, 2021.
↑ "Mohamed Salah nets brace as Liverpool claim record-breaking defeat at Everton" . The Independent (ภาษาอังกฤษ). December 1, 2021.
↑ "Liverpool beat Milan for perfect group stage record" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ Hunter, Andy (December 16, 2021). "Liverpool fight back to beat Newcastle but Howe hits out at Dean over leveller" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ Hytner, David (February 27, 2022). "Liverpool win Carabao Cup final after beating Chelsea in penalty shootout" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool clinch record ninth Carabao Cup at Wembley - Liverpool FC" . www.liverpoolfc.com (ภาษาอังกฤษ). February 2022.
↑ Hunter, Andy (April 15, 2022). " 'I see a different person now': Jürgen Klopp on his long road at Liverpool" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ Go, LFCTV. "Home" . LFCTV Go .
↑ Go, LFCTV. "Home" . LFCTV Go .
↑ Hytner, David (May 14, 2022). "Liverpool win FA Cup after beating Chelsea again on penalties" . The Observer (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0029-7712 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ UEFA.com (May 28, 2022). "Official Champions League final PlayStation® Player of the Match: Thibaut Courtois | UEFA Champions League" . UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Community Shield: Liverpool 3-1 Man City - reaction" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). July 29, 2022. สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool hit nine past Cherries to equal record" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool smash seven past shambolic Man Utd" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Liverpool thrash Manchester United 7-0 in historic defeat" . Sky News (ภาษาอังกฤษ).
↑ Blokhin, Aleksei (April 30, 2023). " 'He really helps us': Fabinho piles praise on resurgent Curtis Jones" . Tribuna.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ Fisher, Ben (May 15, 2023). "Curtis Jones double for Liverpool damages Leicester's survival hopes" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-25 .
↑ "Curtis Jones: Team spirit and belief secured dramatic Tottenham win" . Liverpool FC . May 1, 2023.
↑ "Liverpool's Virgil van Dijk facing long spell on sidelines with hamstring injury | Liverpool | The Guardian" . amp.theguardian.com .
↑ "Virgil van Dijk: Liverpool defender looks well below his best but is he on the decline or simply out of form?" . Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Virgil van Dijk's form is seriously worrying for Liverpool - they must pray it's only a short-term blip | Goal.com UK" . www.goal.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). April 3, 2023.
↑ "Klopp only willing to sign 'right player' for Liverpool despite Thiago injury | Liverpool | The Guardian" . amp.theguardian.com .
↑ "Jürgen Klopp announces decision to step down as Liverpool manager at end of season - Liverpool FC" . www.liverpoolfc.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Klopp to leave Liverpool at end of season" . ESPN (ภาษาอังกฤษ). 2024-01-26.
↑ Hand, Kevin. "Chelsea vs Liverpool – EFL Cup final" . Al Jazeera (ภาษาอังกฤษ).
↑ Sky Sports Premier League (2024-05-17), "I hope there's a statue in the making" 🥺 | Jurgen Klopp watches emotional Liverpool tributes to him , สืบค้นเมื่อ 2024-05-20
↑ "Liverpool beat Wolves to end the Jürgen Klopp era with a win at Anfield - Liverpool FC" . www.liverpoolfc.com (ภาษาอังกฤษ). 2024-05-19.
↑ "Jurgen Klopp delivers epic farewell speech | 'It doesn't feel like the end' " . Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Jurgen Klopp asks Liverpool fans to embrace future under Arne Slot" . www.sportinglife.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
↑ "Jurgen Klopp: Anfield awash with emotion as manager bids farewell" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2024-05-19.
↑ "Klopp rules out return as England, USMNT coach" . ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2024-07-31.
↑ Brewin, John (2024-10-09). "Jürgen Klopp returning to football as Red Bull's 'head of global soccer' " . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2024-10-12 .
↑ "How the pressing game is powering the Premier League's top clubs" . Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
↑ díaz, rehaan (April 5, 2018). "What makes Liverpool's gegenpressing so good?" . www.sportskeeda.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
↑ Glendenning, Barry (October 26, 2015). "Football transfer rumours: Pep Guardiola to manage Chelsea?" . The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ "Jurgen Klopp's tactics: What Dortmund tells us about Liverpool" . Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Jürgen Klopp: How positive emotion can help us today" . Liverpool FC . December 16, 2018.
↑ "Aubameyang, Salah and Mane win 2018/19 Premier League Golden Boot" . www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ Squires, Theo (November 3, 2018). "The formation conundrum facing Jurgen Klopp and Liverpool" . Liverpool Echo (ภาษาอังกฤษ).
↑ Doyle, Paul (June 1, 2019). "Liverpool win Champions League after beating Spurs 2-0 in final – as it happened" . the Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077 . สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ Smith, Ben (8 October 2015). "Liverpool: Jurgen Klopp agrees three-year deal as manager" . BBC Sport . สืบค้นเมื่อ 8 October 2015 .
↑ 164.0 164.1 "MANAGERS - JÜRGEN KLOPP" . lfchistory.net . LFC History. สืบค้นเมื่อ 20 January 2020 .
↑ "Jürgen Klopp, Hansi Flick and Thomas Tuchel: German Champions League winners made in the Bundesliga" . bundesliga.com - the official Bundesliga website (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Aufstellung | Borussia Dortmund - Bayern München 5:2 | Finale in Berlin | DFB-Pokal 2011/12" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Aufstellung | Borussia Dortmund - Bayern München 0:2 | Finale in Berlin | DFB-Pokal 2013/14" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Aufstellung | Borussia Dortmund - VfL Wolfsburg 1:3 | Finale in Berlin | DFB-Pokal 2014/15" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Aufstellung | Borussia Dortmund - Bayern München 4:2 | Finale | Supercup 2013" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Aufstellung | Borussia Dortmund - Bayern München 2:0 | Finale in Dortmund | Supercup 2014" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "BBC Sport - Borussia Dortmund 1-2 Bayern Munich" . web.archive.org . November 8, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 8, 2013. สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .{{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ "Jürgen Klopp - Profile" . liverpoolfc.com . Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 20 January 2020 .
↑ "Jürgen Klopp Manager Profile, Record & Stats | Premier League" . www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Liverpool beat Chelsea in FA Cup final shootout" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ McNulty, Phil (27 February 2022). "Chelsea 0–0 Liverpool" . BBC Sport . สืบค้นเมื่อ 27 February 2022 .
↑ "Liverpool 1-1 Manchester City (pens 1-3)" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ "Nunez scores as Liverpool win Community Shield" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ "Liverpool beat Spurs to win Champions League" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ "Champions League agony for Liverpool as Real win" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ "Liverpool beat Chelsea to win Super Cup" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ "Liverpool clinch first Club World Cup" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ "Liverpool 1-3 Sevilla" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ 183.0 183.1 "Marco Reus ist Fußballer des Jahres" [Marco Reus is footballer of the year] (ภาษาเยอรมัน). kicker.de. 12 August 2012. สืบค้นเมื่อ 18 March 2015 .
↑ "Jürgen Klopp ist Trainer des Jahres 2019" . kicker (ภาษาเยอรมัน).
↑ "Messi, Rapinoe Crowned The Best in Milan" . FIFA.com . Fédération Internationale de Football Association. 23 September 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ December 21, 2019. สืบค้นเมื่อ 23 September 2019 .
↑ "Klopp named The Best FIFA Men's Coach for the second time as Liverpool boss beats Flick and Bielsa to award | Goal.com English Kuwait" . www.goal.com (ภาษาอังกฤษ). December 17, 2020.
↑ "IFFHS AWARD FOR MEN WORLD TEAM OF THE YEAR 2019 | IFFHS" . web.archive.org . December 2, 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 2, 2019. สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .{{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ )
↑ Soccer, World (December 27, 2019). "Lionel Messi Named World Player Of The Year In World Soccer Awards" . World Soccer (ภาษาอังกฤษ).
↑ "Numéro 327 : Onze d'Or 2019, Sadio Mané le tube de l'été ! – Onze Mondial / But Sainté – Le SHOP" (ภาษาฝรั่งเศส). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2019-06-07. สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ "Klopp named LMA manager of the year" . BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-11-26 .
↑ Doran, Mike (November 2, 2022). "Freedom of Liverpool for Jürgen Klopp" . Liverpool Express (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
แหล่งข้อมูลอื่น
รางวัล
ยูโรเปียนคัพ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ตำแหน่งผู้จัดการทีม
(a) ทำหน้าที่คุมทีมแทน; (c) ชั่วคราว
นานาชาติ ประจำชาติ ประชาชน อื่น ๆ