พระวิหารในเยรูซาเล็มในกลุ่มศาสนาอับราฮัม
พระวิหารของซาโลมอน (อังกฤษ : Solomon's Temple ) หรือ พระวิหารแรก (อังกฤษ : First Temple ; ฮีบรู : בֵּית-הַמִּקְדָּשׁ הָרִאשׁוֹן , Bēṯ hamMīqdāš hāRīʾšōn , แปลว่า 'พระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์แห่งแรก' ) เป็นพระวิหารในเยรูซาเล็ม ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเชื่อว่าคงอยู่ในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 10 ถึง 6 ก่อนคริสตกาล คำบรรยายส่วนใหญ่เกี่ยวกับพระวิหารอิงตามเรื่องเล่าในคัมภีร์ฮีบรู ซึ่งโปรดให้สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ซาโลมอน ก่อนจะถูกทำลายระหว่างการล้อมเยรูซาเล็ม โดยพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ เมื่อ 587 ปีก่อนคริสตกาล[ 1] แม้ว่าไม่เคยค้นพบซากของพระวิหารเลย แต่นักวิชาการสมัยใหม่เห็นพ้องกันว่าพระวิหารแรกเคยมีอยู่จริงบนเนินพระวิหาร ในเยรูซาเล็ม ในช่วงเวลาที่ถูกปิดล้อมโดยชาวบาบิโลน แม้ว่ายังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับที่วันที่สร้างและตัวตนของผู้สร้างก็ตาม
ในคัมภีร์ฮีบรูโดยเฉพาะในหนังสือพงศ์กษัตริย์ มีคำบรรยายโดยละเอียดเกี่ยวกับพระบัญชาในการก่อสร้างพระวิหารโดยซาโลมอน กษัตริย์ลำดับก่อนสุดท้ายของสหราชอาณาจักรอิสราเอล นอกจากนี้ยังระบุว่าซาโลมอนเป็นผู้วางหีบแห่งพันธสัญญา ในอภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นห้องศักดิ์สิทธิ์ด้านในพระวิหารที่ไร้หน้าต่าง การเข้าสู่อภิสุทธิสถานถูกจำกัดอย่างเข้มงวด มหาปุโรหิตแห่งอิสราเอล เป็นผู้มีอำนาจเพียงผู้เดียวที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตศักดิ์สิทธิ์ และทำได้เฉพาะวันลบมลทิน โดยนำเลือดของลูกแกะที่เป็นสัตวบูชาเข้าไปและเผาเครื่องหอมถวาย พระวิหารนอกจากจะทำหน้าที่เป็นอาคารทางศาสนาสำหรับการสักการะแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นสถานที่ชุมนุมชนของชาวอิสราเอล ด้วย การทำลายพระวิหารแรกและการไปเป็นเชลยในบาบิโลนที่เกิดขึ้นในลำดับถัดมาล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ถูกมองว่าเป็นการทำให้พระวจนะในคัมภีร์ไบเบิลกลายเป็นความจริงและส่งผลต่อความเชื่อของศาสนายูดาห์ ทำให้ชาวอิสราเอลเปลี่ยนจากพหุเทวนิยม หรือ monolatrism (มีพระเจ้าหลายองค์แต่บูชาพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว) ตามที่ปรากฏในศาสนายาห์เวห์ มาเป็นเอกเทวนิยม ในศาสนายูดาห์ อย่างมั่นคง
ก่อนหน้านี้ นักวิชาการหลายคนยอมรับเรื่องเล่าในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับการก่อสร้างพระวิหารแรกโดยซาโลมอนว่าเชื่อถือได้ อย่างไรก็ตามในช่วงทศวรรษ 1980 ความกังขาต่อความในคัมภีร์ไบเบิลรวมถึงบันทึกทางโบราณคดีทำให้นักวิชาการบางคนสงสัยว่ามีพระวิหารในเยรูซาเล็มใด ๆ ที่ก่อสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลเป็นอย่างน้อยหรือไม่ นักวิชาการบางคนให้ความเห็นว่าโครงสร้างดั้งเดิมที่สร้างโดยซาโลมอนนั่นค่อนข้างเรียบง่าย และภายหลังเมื่อสร้างขึ้นใหม่จึงทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น[ 5] ไม่มีการค้นพบหลักฐานโดยตรงของการมีอยู่ของพระวิหารของซาโลมอน แม้ว่ายังไม่มีการขุดค้นทางโบราณคดีบนเนินพระวิหารเนื่องจากสถานที่ดังกล่าวมีความอ่อนไหวทางศาสนาและการเมืองอย่างมาก การขุดค้นบริเวณโดยรอบเนินพระวิหารเมื่อศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ระบุว่าไม่มี "แม้แต่ร่องรอย" ของอาคาร[ 8]
สถานที่ตั้ง
ในคัมภีร์ไบเบิล พระวิหารของซาโลมอนสร้างขึ้นบนภูเขาโมริยาห์ ในเยรูซาเล็ม ที่ซึ่งทูตสวรรค์ของพระเจ้าปรากฏแก่ดาวิด (2 พงศาวดาร 3:1) เดิมสถานที่นี้เป็นลานนวดข้าว ที่ดาวิดซื้อมาจากอาราวนาห์ ชาวเยบุส (2 ซามูเอล 24:18–25; 2 พงศาวดาร 3:1)
Schmid และ Rupprecht มีความเห็นว่าที่ตั้งของพระวิหารเคยเป็นปูชนียสถานของชาวเยบุสที่ซาโลมอนเลือก หวังจะรวบรวมชาวเยบุสและชาวอิสราเอลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน[ 9]
ไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอนของพระวิหาร เชื่อว่าตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งกลายเป็นที่ตั้งของพระวิหารที่สอง และปัจจุบันคือเนินพระวิหาร ซึ่งเป็นที่ตั้งของโดมแห่งศิลา [ 10]
เรื่องเล่าในคัมภีร์ไบเบิล
การก่อสร้าง
เยรูซาเล็มในรัชสมัยของซาโลมอน (ศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาล) ที่จำลองขึ้นใหม่ในยุคปัจจุบัน จากอุทยานแห่งชาติกำแพงเยรูซาเล็ม พระวิหารตั้งอยู่บนภูขาโมริยาห์
แบบจำลองของพระวิหารแรก อยู่ในคู่มือคัมภีร์ไบเบิลสำหรับอาจารย์ (ค.ศ. 1922)
ตามที่ระบุในหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 การวางรากฐานของพระวิหารเริ่มในเดือนศิฟ เดือนที่ 2 ของปีที่ 4 ในรัชสมัยของซาโลมอน และการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนบูล เดือน 8 ของปีที่ 11 ในรัชสมัยของซาโลมอน ดังนั้นจึงใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 7 ปี
คัมภีร์ฮีบรูบันทึกว่าชาวไทระ มีบทบาทนำในการก่อสร้างพระวิหาร หนังสือซามูเอล ฉบับที่ 2 เล่าถึงเรื่องที่ดาวิดและฮีราม เป็นพันธมิตรกัน มิตรภาพนี้ดำเนินต่อไปหลังซาโลมอนได้สืบราชบัลลังก์ถัดจากดาวิด ทั้งสองพระองค์ต่างทรงเรียกกันและกันว่าเป็นพี่น้องกัน เรื่องราวทางวรรณกรรมที่ฮีรามช่วยซาโลมอนในการก่อสร้างพระวิหารปรากฏใน 1 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 5–9) และ 2 พงศาวดาร (บทที่ 2–7)[ 13] ฮีรามตอบรับคำขอของซาโลมอนที่ให้ฮีรามจัดหาไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบ สำหรับก่อสร้างพระวิหาร ฮีรามตรัสกับซาโลมอนว่าพระองค์จะส่งไม้มาทางทะเล "ข้าพเจ้าจะผูกแพล่องมาตามทะเลถึงที่ที่ท่านจะกำหนดให้ และข้าพเจ้าจะให้พวกเขาแก้แพที่นั่น ขอท่านมารับเอา" ซาโลมอนทรงส่งข้าวสาลีและน้ำมันให้ฮีรามเพื่อตอบแทนเรื่องไม้ที่ส่งมา ซาโลมอนยังนำช่างฝีมือผู้ชำนาญจากไทระ ซึ่งก็มีชื่อว่าฮีราม (หรือฮูรามอับบี[ 15] ) เข้ามากำกับดูแลการก่อสร้างพระวิหาร ช่างหินจากเกบาล (บิบลอส ) ทำหน้าที่ตัดหินสำหรับสร้างพระวิหาร[ 16]
หลังพระวิหารและพระราชวัง (ใช้เวลาสร้างเพิ่มเติม 13 ปี) สร้างเสร็จสมบูรณ์ ซาโลมอน ประทานเมืองมากกว่า 20 เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของกาลิลี ใกล้กับไทระ เป็นการตอบแทนแก่ฮีราม[ 17] ฮีรามไม่พอพระทัยกับของประทานนี้ แต่ก็ตรัสถามว่า "น้องเอ๋ย เมืองที่ท่านให้เรานั้นเป็นเมืองอะไรอย่างนี้?" จากนั้นฮีรามจึงเรียกเมืองเหล่านั้นว่า "แผ่นดินคาบูล " และผู้เขียนของ 1 พงศ์กษัตริย์ 9 บอกว่าเมืองเหล่านั้นถูกเรียกด้วยชื่อนี้ "จนทุกวันนี้"[ 17] อย่างไรก็ตามฮีรามยังคงเป็นมิตรกับซาโลมอน
หนังสือพงศาวดาร ฉบับที่ 2 เพิ่มเติมบางรายละเอียดของการก่อสร้างที่ไม่ได้บรรยายไว้ในหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 1 โดยระบุว่าต้นไม้ที่ถูกส่งมาในรูปแพนั้นถูกส่งไปยังเมืองยัฟฟา บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และโซโลมอนยังทรงส่งเหล้าองุ่นไปให้ฮีรามตอบแทนไม้ที่ส่งมา นอกเหนือไปจากแป้งสาลีและน้ำมันที่พระองค์ส่งให้ฮีรามเช่นกัน
การย้ายหีบแห่งพันธสัญญา
1 พงศ์กษัตริย์ 8:1–9 และ 2 พงศาวดาร 5:2-10 บันทึกว่าในเดือน 7 ของปี ที่งานเลี้ยงแห่งพลับพลา[ 20] ปุโรหิตและชาวเลวี นำหีบแห่งพันธสัญญา จากนครดาวิด มาตั้งอยู่ภายในอภิสุทธิสถาน ของพระวิหาร
การถวาย
1 พงศ์กษัตริย์ 8:10-66 และ 2 พงศาวดาร 6:1–42 เล่าถึงเหตุการณ์การถวายพระวิหาร เมื่อเหล่าปุโรหิตออกจากวิสุทธิสถานหลังการวางหีบแห่งพันธสัญญาไว้ที่นั่น พระวิหารก็เต็มไปด้วยเมฆอันเปี่ยมพระเกียรติสิริซึ่งทำให้พิธีการถวายหยุดชะงัก[ 21] "จนพวกปุโรหิตไม่อาจยืนปรนนิบัติอยู่ได้เพราะเมฆนั้น เพราะพระสิริของพระยาห์เวห์เต็มพระนิเวศของพระยาห์เวห์" (1 พงศ์กษัตริย์ 8:10–11; 2 พงศาวดาร 5:13, 14) ซาโลมอนตีความว่าเมฆเป็น "[หลักฐาน]ว่างานแห่งศรัทธาของพระองค์ได้รับการทรงยอมรับ":[ 21]
"พระยาห์เวห์ตรัสว่า พระองค์จะประทับในความมืดทึบ แท้จริง ข้าพระองค์ได้สร้างพระนิเวศที่โอ่อ่าตระการตาสำหรับพระองค์ เป็นสถานที่เพื่อพระองค์จะสถิตอยู่เป็นนิตย์"
— 1 พงศ์กษัตริย์ 8:12–13
สะท้อนถึงเรื่องราวในเลวีนิติ 16:2 [ 22]
พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส ว่า "เจ้าจงบอกอาโรน พี่ชายว่า อย่าเข้าไปในอภิสุทธิสถาน ตามใจชอบ คือเข้าไปในม่านหน้าพระที่นั่งกรุณา ซึ่งอยู่บนหลังหีบ เพื่อเขาจะไม่ตาย เพราะว่าเราจะปรากฏในเมฆเหนือพระที่นั่งกรุณา
หนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิล The Pulpit Commentary ระบุว่า "ซาโลมอนทรงมีหมายทุกอย่างที่จะเชื่อมโยงการสำแดงพระองค์ของพระเจ้าเข้ากับเมฆดำหนาทึบ"[ 21]
กษัตริย์ซาโลมอนถวายพระวิหารที่เยรูซาเล็ม ภาพจิตรกรรมโดย James Tissot หรือลูกศิษย์ (ราว ค.ศ. 1896–1902)
จากนั้นซาโลมอนทรงนำชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวงในการอธิษฐาน กล่าวว่าการก่อสร้างพระวิหารเป็นการแสดงถึงว่าพระสัญญาของพระเจ้าต่อดาวิด ได้ปรากฏเป็นความจริง โดยถวายพระวิหารให้เป็นสถานที่แห่งการอธิษฐานและการกลับใจสำหรับประชาชนอิสราเอลและคนต่างด้าวที่อาศัยในอิสราเอล เน้นย้ำถึงปฏิทรรศน์ ที่แท้จริงแล้วพระเจ้าผู้ทรงสถิตบนฟ้าสวรรค์ไม่อาจประทับภายในอาคารหลังเดียว การถวายพระวิหารปิดท้ายด้วยการเฉลิมฉลองด้วยดนตรีและการถวายเครื่องบูชา ตามความที่กล่าวว่าประกอบด้วย "วัว 22,000 ตัว และแกะ 120,000 ตัว"[ 23] การถวายเครื่องบูชาเหล่านี้กระทำภายนอกพระวิหารใน "ส่วนกลางของลาน ซึ่งอยู่หน้าพระนิเวศของพระยาห์เวห์" เพราะแท่นบูชาที่อยู่ในพระวิหารแม้จะมีขนาดใหญ่[ 24] แต่ก็ไม่ใหญ่พอสำหรับเครื่องบูชาทั้งหมดที่ถวายในวันนั้น[ 25] [ 26] การเฉลิมฉลองดำเนินไปเป็นเวลา 8 วันและเข้าร่วมโดย "ชุมนุมชนยิ่งใหญ่มาก ตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัท จนถึงลำธารแห่งอียิปต์ "[ 27] งานเลี้ยงพลับพลาที่เกิดขึ้นในลำดับถัดมาขยายเวลาเฉลิมฉลองเป็น 14 วัน[ 28] ก่อนที่จะให้ประชาชน "กลับบ้านของตน"[ 29]
ภายหลังการถวายพระวิหาร ซาโลมอนได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระสุบิน พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ได้ทรงฟังคำอธิษฐานของซาโลมอนแล้วและจะทรงฟังคำอธิษฐานของประชาชนแห่งอิสราเอลต่อไปตราบที่พวกเขารับนำสี่วิถีทางมาใช้เพื่อให้พระเจ้าทรงตอบรับคำอธิษฐาน ได้แก่ การถ่อมใจ การอธิษฐาน การแสวงหาพระองค์ และการหันออกจากทางชั่ว[ 30] ในทางกลับกัน หากพวกเขาหันเหและละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้าไปนับถือพระอื่น พระเจ้าจะละทิ้งพระวิหาร: "เราจะเหวี่ยงนิเวศซึ่งเราทำให้บริสุทธิ์เพื่อนามของเราไปจากสายตาของเรา"[ 31]
การถูกริบทรัพย์สิน
ตามเรื่องเล่าในคัมภีร์ไบเบิล พระวิหารของซาโลมอนถูกริบทรัพย์สินหลายครั้ง ในปีที่ 5 ของรัชสมัยเรโหโบอัม (โดยทั่วไปเชื่อว่าอยู่ในช่วง 926 ปีก่อนคริสตกาล) ชิชัก ฟาโรห์ แห่งอียิปต์ (ซึ่งระบุได้ว่าเป็นพระองค์เดียวกับฟาโรห์โชเชงค์ที่ 1 ) ทรงนำทรัพย์สินในพระวิหารและในพระราชวังของกษัตริย์ รวมถึงโล่ทองคำที่ซาโลมอนทรงสร้างไว้ไปด้วย เรโหโบอัมนำโล่ทองสัมฤทธิ์ไปไว้แทนที่โล่ทองคำ (1 พงศ์กษัตริย์ 14:25; 2 พงศาวดาร 12:1–12) อีกหนึ่งศตวรรษต่อมา เยโฮอาช กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอิสราเอลเหนือ ยกทัพบุกเยรูซาเล็ม พังกำแพงส่วนหนึ่งลง และริบเอาทรัพย์สินของพระวิหารและพระราชวัง (2 พงศ์กษัตริย์ 14:13-14) ภายหลังเมื่ออาหัส แห่งยูดาห์ทรงถูกคุกคามโดยเรซีน แห่งอารัม-ดามัสกัส และเปคาห์ แห่งอิสราเอล พระองค์จึงทรงขอความช่วยเหลือจากทิกลัทปิเลเสอร์ที่ 4 กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และเพื่อจะโน้มน้าวทิกลัทปิเลเสอร์ อาหัสจึง "ทรงนำเงินและทองคำซึ่งพบในพระนิเวศแห่งพระยาห์เวห์ และในคลังสำนักพระราชวัง และส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการแก่พระราชาแห่งอัสซีเรีย" (2 พงศ์กษัตริย์ 16:8) ในอีกหนึ่งวิกฤติการณ์สำคัญ เฮเซคียาห์ ทรงลอกทองคำจากประตูและเสาประตูของพระวิหารซึ่งพระองค์เองทรงบุไว้ และทรงมอบให้แก่เซนนาเคอริบ กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย (2 พงศ์กษัตริย์ 18:15–16)
การบูรณะโดยโยอาช
2 พงศ์กษัตริย์ 12:1-17 และ 2 พงศาวดาร 24:1-14 เล่าเรื่องที่กษัตริย์โยอาช และปุโรหิตแห่งพระวิหารดำเนินแผนงานบูรณะพระวิหารโดยการระดมทุนจากเงินบริจาคของประชาชน พระวิหารได้รับการบูรณะให้อยู่ในสภาพดังเดิมและได้รับการเสริมให้แข็งแรงขึ้น[ 32]
การถูกทำลายโดยชาวบาบิโลน
ชาวเคลเดียทำลายอ่างสาคร ภาพจิตรกรรมโดย James Tissot (ราว ค.ศ. 1900)
ตามคัมภีร์ไบเบิล พระวิหารถูกริบทรัพย์สินโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ เมื่อทัพบาบิโลนโจมตีเยรูซาเล็ม ในช่วงรัชสมัยสั้น ๆ ของเยโฮยาคีน เมื่อราว 598 ปีก่อนคริสตกาล (2 พงศ์กษัตริย์ 24:13)
หนึ่งทศวรรษถัดมา เนบูคัดเนสซาร์เข้าปิดล้อมเยรูซาเล็ม อีกครั้ง และหลังจากนั้น 30 เดือน ในที่สุดก็ตีเมืองแตกเมื่อ 587/6 ปีก่อนคริสตกาล เมืองตกเป็นของทัพเนบูคัดเนสซาร์ในเดือนกรฏาคม 586/5 ปีก่อนคริสตกาล หนึ่งเดือนถัดมา เนบูซาระดาน ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ของเนบูคัดเนสซาร์ถูกส่งไปเผาและทำลายเมือง ในคัมภีร์ไบเบิลระบุว่า "ท่านได้เผาพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พระราชวัง และบ้านเรือนทั้งหมดของเยรูซาเล็ม ท่านเผาบ้านใหญ่ทุกหลังลงหมดด้วยไฟ" (2 พงศ์กษัตริย์ 25:9) จากนั้นทุกสิ่งที่มีค่าก็ถูกริบนำไปบาบิโลน (2 พงศ์กษัตริย์ 25:13–17)
ตามความเชื่อของศาสนายูดาห์ถือว่าพระวิหารถูกทำลายในวัน Tisha B'Av คือวันที่ 9 ของเดือนอาฟ (ปฏิทินฮีบรู)[ 33] วันเดียวกันกับการถูกทำลายของพระวิหารที่สอง วรรณกรรมรับบีระบุว่าพระวิหารแรกคงอยู่เป็นเวลา 410 ปี และหากอิงตามอิงตาม Seder Olam Rabbah งานเขียนในศตวรรษที่ 2 พระวิหารก่อสร้างเมื่อ 832 ปีก่อนคริสตกาลและถูกทำลายเมื่อ 422 ปีก่อนคริสตกาล (3338 AM ) ซึ่งช้ากว่าการประมาณการทางโลก 165 ปี[ 34] [ 35] โยเซพุส นักประวัติศาสตร์ชาวยิวกล่าวว่า "พระวิหารถูกเผาเมื่อสีร้อยเจ็ดสิบปี หกเดือน และสิบวันหลังถูกสร้าง"[ 36]
ต่อมาพระวิหารของซาโลมอนถูกแทนที่ด้วยพระวิหารที่สอง เมื่อ 516 ปีก่อนคริสตกาล
อ้างอิง
↑ Temple of Jerusalem : totally destroyed the building in 587/586
↑ David Ussishkin In: A.G. Vaughn and A.E. Killebrew (eds.), Solomon's Jerusalem: The Text and the Facts on the Ground. Jerusalem in Bible and Archaeology ; The First Temple Period , Atlanta, 2003, pp. 103–115
↑ Finkelstein & Silberman 2002 , p. 128
↑ Clifford Mark McCormick (2002). Palace and Temple: A Study of Architectural and Verbal Icons . Walter de Gruyter. pp. 31–. ISBN 978-3-11-017277-5 .
↑ Israel Finkelstein Jerusalem in Biblical Times...1350–100 B.C.E. – Israel Finkelstein ที่ยูทูบ Institute for Advanced Study, Princeton, New Jersey
↑ Dever 2005 , p. 97; Mendels 1987 , p. 131; Brand & Mitchell 2015 , p. 1538
↑ Brand & Mitchell 2015 , p. 1538.
↑ Brand & Mitchell 2015 , p. 622.
↑ 17.0 17.1 1 พงศ์กษัตริย์ 9:13
↑ Barnes, W. E. (1899), Cambridge Bible for Schools and Colleges on 2 Chronicles 5, accessed 17 April 2020
↑ 21.0 21.1 21.2 Pulpit Commentary on 1 Kings 8 , accessed 2 October 2017
↑ Lumby, J. R. (1886), Cambridge Bible for Schools and Colleges on 1 Kings 8, accessed 18 April 2020, although the reference quoted here is Leviticus 16:3
↑ 1 พงศ์กษัตริย์ 8:63; 2 พงศาวดาร7:5
↑ 2 พงศาวดาร 7:7: ขนาดของแท่นบูชาไม่ได้กล่าวถึงใน 1 พงศ์กษัตริย์
↑ 1 พงศ์กษัตริย์ 8:64; 2 พงศาวดาร 7:7
↑ Pulpit Commentary on 2 Chronicles 4 , accessed 19 April 2020
↑ 1 พงศ์กษัตริย์ 8:65; 2 พงศาวดาร 7:8
↑ Barnes, A., Barnes' Notes on 2 Chronicles 7, accessed 19 April 2020
↑ 2 พงศาวดาร 7:8
↑ Mathys, H. P., 1 and 2 Chronicles in Barton, J. and Muddiman, J. (2001), The Oxford Bible Commentary เก็บถาวร 22 พฤศจิกายน 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , p. 287
↑ 1 พงศ์กษัตริย์ 9:7; 2 พงศาวดาร 7:20
↑ 2 พงศาวดาร 24:13
↑ Singer, Isidore; et al., eds. (1901–1906). "Ab, Ninth Day of". The Jewish Encyclopedia. New York: Funk & Wagnalls. Retrieved 15 July 2013.
↑ "Temple In Rabbinical Literature" . JewishEncyclopedia.com. สืบค้นเมื่อ 20 May 2015 .
↑ Yeisen, Yosef (2004), Miraculous journey: a complete history of the Jewish people from creation to the present , Targum Press, p. 56, ISBN 978-1-56871-323-6
↑ Josephus, Jew. Ant. 10.8.5
บรรณานุกรม
หนังสือ
Alter, Robert (2018). The Hebrew Bible: A Translation with Commentary (Vol. Three-Volume Set) . W. W. Norton. pp. 1087–. ISBN 978-0-393-29250-3 .
Boardman, John; Edwards, I. E. S.; Sollberger, E. (1992). The Cambridge Ancient History . Cambridge University Press. pp. 400–. ISBN 978-0-521-22717-9 .
Brand, Chad; Mitchell, Eric (2015). Holman Illustrated Bible Dictionary . B&H Publishing Group. pp. 622–. ISBN 978-0-8054-9935-3 .
De Vaux, Roland (1961). John McHugh (บ.ก.). Ancient Israel: Its Life and Institutions . NY: McGraw-Hill.
Dever, William G. (2005). Did God Have a Wife?: Archaeology and Folk Religion in Ancient Israel . Wm. B. Eerdmans . ISBN 978-0-8028-2852-1 . สืบค้นเมื่อ 7 February 2016 .
Dever, William G. (2001). What Did the Biblical Writers Know and When Did They Know It?: What Archeology Can Tell Us About the Reality of Ancient Israel . Wm. B. Eerdmans Publishing. ISBN 978-0-8028-2126-3 .
Finkelstein, Israel; Silberman, Neil Asher (2002). The Bible Unearthed: Archaeology's New Vision of Ancient Israel and the Origin of Sacred Texts . Simon and Schuster. ISBN 978-0-7432-2338-6 .
Hackett, Jo Ann (2001). " 'There Was No King In Israel': The Era of the Judges" . ใน Coogan, Michael David (บ.ก.). The Oxford History of the Biblical World . Oxford University Press. ISBN 978-0-19-513937-2 .
Kalimi, I. (2018). Writing and Rewriting the Story of Solomon in Ancient Israel . Cambridge University Press. ISBN 978-1-108-47126-8 . สืบค้นเมื่อ 7 December 2020 .
King, Philip J.; Stager, Lawrence E. (2001). Life in Biblical Israel . Westminster John Knox Press. ISBN 978-0-664-22148-5 .
Lundquist, John M. (2008). The Temple of Jerusalem: Past, Present, and Future . Greenwood Publishing Group. pp. 45–. ISBN 978-0-275-98339-0 .
Mendels, D. (1987). The Land of Israel as a Political Concept in Hasmonean Literature: Recourse to History in Second Century B.C. Claims to the Holy Land . Texte und Studien zum antiken Judentum. J.C.B. Mohr. ISBN 978-3-16-145147-8 . สืบค้นเมื่อ 7 December 2020 .
Smith, Mark S. (2002). The Early History of God: Yahweh and the Other Deities in Ancient Israel (2nd ed.). Eerdmans. ISBN 978-0-8028-3972-5 .
Stavrakopoulou, Francesca (2021). God: An Anatomy . Picador. ISBN 978-1-5098-6734-9 .
Tetley, M. Christine (2005). The Reconstructed Chronology of the Divided Kingdom . Eisenbrauns. pp. 105–. ISBN 978-1-57506-072-9 .
Van Keulen, P. S. F. (2005). Two Versions Of The Solomon Narrative: An Inquiry Into The Relationship Between MT 1kgs. 2-11 And LXX 3 Reg. 2-11 . Brill. pp. 183–. ISBN 90-04-13895-1 .
บทความวรสาร
อื่น ๆ
Draper, Robert (Dec 2010). "Kings of Controversy" . National Geographic : 66–91. ISSN 0027-9358 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 7 February 2018. สืบค้นเมื่อ 18 December 2010 .
Finkelstein, Israel; Neil Asher Silberman (2006). David and Solomon: In Search of the Bible's Sacred Kings and the Roots of the Western Tradition . Free Press. ISBN 978-0-7432-4362-9 .
Finkelstein, Israel; Neil Asher Silberman (2001). The Bible Unearthed: Archaeology's New Vision . Free Press.
Glueck, Nelson (Feb 1944). "On the Trail of King Solomon's Mines". National Geographic . 85 (2): 233–56. ISSN 0027-9358 .
Goldman, Bernard (1966). The Sacred Portal: a primary symbol in ancient Judaic art . Detroit: Wayne State University Press. It has a detailed account and treatment of Solomon's Temple and its significance.
Hamblin, William ; David Seely (2007). Solomon's Temple: Myth and History . Thames and Hudson. ISBN 978-0-500-25133-1 .
Mazar, Benjamin (1975). The Mountain of the Lord . NY: Doubleday. ISBN 978-0-385-04843-9 .
Young, Mike. "Temple Measurements and Photo recreations" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 7 August 2010. สืบค้นเมื่อ 6 August 2010 .
Stefon, Matt (30 April 2020). "Solomon" . Encyclopedia Britannica . สืบค้นเมื่อ 29 November 2020 .
"Holy of Holies" . Encyclopedia Britannica . สืบค้นเมื่อ 29 November 2020 .
"Temple of Jerusalem" . Encyclopedia Britannica . 17 September 2020. สืบค้นเมื่อ 29 November 2020 .
Pruitt, Sarah (10 January 2014). "Fate of the Lost Ark Revealed?" . HISTORY . สืบค้นเมื่อ 29 November 2020 .
Lovett, Richard A.; Hoffman, Scot (21 January 2017). "Ark of the Covenant" . National Geographic . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 29 March 2020. สืบค้นเมื่อ 29 November 2020 .
Shabi, Rachel (20 January 2005). "Faking it" . the Guardian . สืบค้นเมื่อ 29 November 2020 .
อ่านเพิ่มเติม
21st century resources
Barker, Margaret (2004), Temple Theology, an introduction , London: The Society For Promoting Christian Knowledge, ISBN 978-0-281-05634-7 .
Vaughn, Andrew G.; Killebrew, Ann E., บ.ก. (2003), Jerusalem in Bible and Archaeology: The First Temple Period , Society of Biblical Literature, ISBN 978-1-58983-066-0 .
Stevens, Marty E. (2006), Temples, tithes, and taxes: the temple and the economic life of ancient Israel , Hendrickson Publishers, ISBN 978-1-56563-934-8 .
Jones, Floyd Nolen (1993–2004), The Chronology Of The Old Testament , New Leaf Publishing Group, ISBN 978-0-89051-416-0 .
แหล่งข้อมูลอื่น
บท ในคัมภีร์ไบเบิล สถานที่ บุคคล
ผู้ปกครองของอิสราเอล/ยูดาห์ ผู้ปกครองนอกอิสราเอล/ยูดาห์ ผู้เผยพระวจนะ บุคคลอื่น ๆ
วลี/เหตุการณ์