คัต หรือ แกต (khat, qat[ 1] ; ชื่อวิทยาศาสตร์ : Catha edulis ) เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในจงอยแอฟริกา และคาบสมุทรอาหรับ พืชชนิดนี้มีความสำคัญในทางสังคมของบริเวณดังกล่าวมาหลายพันปี[ 2] ชาวแอฟริกาและชาวเยเมน นิยมนำใบมาเคี้ยว ในใบมีสารที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอนอย่างอ่อน ทำให้รู้สึกสนุกสนาน
การปลูกและใช้ประโยชน์
การปลูกคัตในเยเมนตะวันตกใกล้อัล ตาวืละห์
ต้นคัตในเยเมน
การเคี้ยวคัตในเยเมน
คัตเป็นพืชที่มีชื่อเรียกต่างๆกัน เช่น คัตและกัตในเยเมน คาตและญาดในโซมาเลีย และชัตในเอธิโอเปีย [ 2] ในภาษาโอโรโม เรียกว่าญิมา และภาษาลูกันดา เรียกว่ามายิรูงิ คัตถูกใช้เป็นพืชให้สารกระตุ้นในประเทศในแถบจงอยแอฟริกา และคาบสมุทรอาหรับ การเคี้ยวคัตเป็นเช่นเดียวกับการดื่มกาแฟ และใช้ในการติดต่อทางสังคม ในยูกันดา ใช้ปลูกทางภาคกลางและภาคตะวันตกของประเทศ [ 2] ในเคนยา ปลูกที่เขตเมรู
แม้ว่าการเคี้ยวคัตยังจำกัดเฉพาะบริเวณแหล่งการปลูกในแถบทะเลแดง [ 2] แต่ยังพบคัตในบริเวณแอฟริกาใต้ สวาซิแลนด์ โมซัมบิก และเขตร้อน [ 3] ใบสดและยอดอ่อนใช้เคี้ยว หรือทำให้แห้งและบริโภคเช่นเดียวกับใบชา เพื่อใช้เป็นยากระตุ้นประสาท ใบและลำต้นอ่อนใช้เคี้ยวกับกัมหรือถั่วลิสง ทอดเพื่อให้เคี้ยวง่าย ปัจจุบันมีการส่งออกไปยังอังกฤษ เวลส์ โรม อัมสเตอร์ดัม แคนาดา อิสราเอล ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ [ 4] และสหรัฐอเมริกา ในเยเมน การเคี้ยวคัตถือเป็นเรื่องปกติในการเข้าสังคมของผู้ชาย เ[ 5] และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทางธุรกิจในการสนับสนุนการตัดสินใจ หญิงชาวเยเมนบางส่วนอาจเข้าร่วมการเคี้ยวคัตกับสามีในวันหยุดได้ ในประเทศอื่น นอกเหนือจากพื้นที่ที่มีการบริโภคสูง การเคี้ยวคัตมีในงานเลี้ยงหรืองานสังคมเป็นครั้งคราว เกษตรกรและผู้ใช้แรงงานใช้ลดความเหนื่อยล้าจากการทำงาน คนขับรถและนักเรียนใช้บรรเทาความง่วง
ห่อใบคัต
คัตเป็นที่นิยมในเยเมน การปลูกคัตใช้ทรัพยากรทางการเกษตรส่วนใหญ่ของประเทศ น้ำราว 40% ของประเทศใช้ในการรดพืชชนิดนี้ [ 6] ด้วยผลผลิตที่เพิ่มขึ้นราว 10 - 15% ทุกปี ใบคัตหนึ่งถุงต่อวันต้องใช้น้ำราว 500 ลิตรในการผลิต [ 7] การใช้น้ำสูงมาก ระดับน้ำใต้ดินในซานาอา ลดลง ทำให้รัฐบาลต้องอพยพประชาชนในซานาอาไปยังชายฝั่งทะเลแดง [ 5]
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีการปลูกคัตในเยเมนอย่างกว้างขวางเพราะให้รายได้สูง ในปี พ.ศ. 2544 ประมาณว่ารายได้จากการปลูกคัตคิดเป็น 2.5 ล้านเรียลเยเมนต่อเฮกตาร์ ระหว่าง พ.ศ. 2513 – 2543 พื้นที่ปลูกคัตเพิ่มจาก 8,000 เป็น 103,000 เฮกตาร์[ 8]
ต้นคัตใช้เวลาถึง 8 ปีในการโตเต็มที่ นอกจากแสงสว่างและน้ำแล้ว คัตต้องการการดูแลน้อยมาก พืชชนิดนี้ต้องรดน้ำมากเดือนละครั้งก่อนการเก็บเกี่ยวเพื่อให้แตกยอดที่อ่อนนิ่ม ต้นคัตเก็บเกี่ยวได้ปีละสี่ครั้ง
ชายเคี้ยวใบคัตในซานาอา ประเทศเยเมน เมื่อ พ.ศ. 2552
ผลกระทบต่อสุขภาพ
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตเวช เคมี เภสัชวิทยา นิติเวช ระบาดวิทยา และทางตำรวจได้วิเคราะห์สารเสพติด 20 ชนิด คัตอยู่ในอันดับ 17 ในการทำให้ติด อันดับที่ 20 ในอันตรายต่อร่างกายและสังคม [ 9]
การบริโภคคัตทำให้เกิดความรู้สึกสบายและตื่นเต้น คล้ายกับกาแฟ เข้มข้น [ 2] ผลของการกินทางปากของแคทิโนน ออกฤทธิ์เร็วกว่าผลของเม็ดยาแอมเฟตามีน คือประมาณ 15 นาที เมื่อเทียบกับแอมเฟตามีนที่เป็น 30 นาที คัตสามารถชักนำให้เกิดพฤติกรรมคลั่งไคล้ได้เช่นเดียวกับแอมเฟตามีน [ 10] การใช้คัตทำให้เกิดอาการท้องผูก เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและความดันเลือด
อาการถอนยาของคัตได้แก่ภาวะซึมเศร้าและหงุดหงิด ฝันร้าย ร่างกายสั่นเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากการใช้คัตเป็นเวลานาน ส่งผลเสียต่อการทำงานของตับ ฟันดำ ความต้องการทางเพศลดลง ไม่มีหลักฐานว่าคัตส่งผลกระทบต่อจิตใจ[ 11]
ผลกระทบ: [ 12] : 6–13
ผลกระทบระยะสั้น:
เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ[ 2] [ 12] : 5
ระงับความอยากอาหาร[ 12] : 8
ผลกระทบระยะยาว:
เกิดภาพหลอนเป็นครั้งคราว[ 2] [ 12] : 10
ขาดการยับยั้งชั่งใจ (คล้ายแอลกอฮอล์)[ 12] : 10 [ 13]
โรคจิต โดยขึ้นกับพันธุกรรม [ 2] [ 12] : 11
ผลกระทบเฉียบพลัน:
เคมีและเภสัชวิทยา
โครงสร้างของแคทิโนน
ฤทธิ์การกระตุ้นของคัตเดิมเชื่อว่าเป็นผลมาจากสารที่เรียก กาติน (katin) แคทีน (cathine) ซึ่งเป็นสารประกอบฟีเนทิลเอมีนที่แยกได้จากพืช นอกจากนั้น สารสกัดจากใบสดของพืชยังมีสารประกอบอื่นๆ ที่ออกฤทธิ์ได้มากกว่าแคทีน ใน พ.ศ. 2518 ได้แยกอัลคาลอยด์ที่เรียกแคทิโนน ซึ่งไม่ได้คงตัวมากและสลายตัวกลายเป็นแคทีนและนอร์ฟีดรีน สารเคมีเหล่านี้อยู่ในกลุ่มฟีนิลโพรพาโนลามีน ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของฟีเนทิลลามีน ซึ่งใกล้เคียงกับแอมเฟตามีน และแคทีโคเอมีน อีพิเนฟพริน และนอร์อีพิเนฟพริน [ 11] ที่จริงแล้ว แคทิโนนและแคทีนมีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายกันแอมเฟตามีน[ 18] บางครั้งคัตจะสับสนกับเมทแคทิโนน หรือที่เรียกว่าแคต ซึ่งเป็นสารที่มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายกับแคทิโนน แต่ฤทธิ์ในการเสพติดของเมทแคทิโนนจะแรงกว่าการใช้คัต [ 19]
เมื่อใบคัตแห้ง แคทิโนนสลายตัวไปภายใน 48 ชั่วโมง เหลือเพียงแคทีน การขนส่งคัตที่เก็บเกี่ยวแล้วด้วยการห่อใบและกิ่งก้านในถุงพลาสติกหรือการห่อด้วยใบตองช่วยรักษาความชื้นและทำให้แคทิโนนคงเหลืออยู่ และยังมีการพรมน้ำหรือแช่เย็นระหว่างขนส่งด้วย
การควบคุม
ใน พ.ศ. 2508 คณะผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการผลิตยาเสพติดขององค์การอนามัยโลกได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับคัต การเสพติดพืชชนิดนี้เป็นปัญหาในแต่ละบริเวณ และควรมีการควบคุม [ 20] ต่อมา ใน พ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้จัดให้เป็นพืชเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตใจในระดับอ่อนถึงปานกลาง (น้อยกว่ายาสูบและแอลกอฮอล์)[ 21] แม้ว่าองค์การอนามัยโลกไม่ได้พิจารณาว่าคัตเป็นยาเสพติดระดับรุนแรง[ 2] แต่ก็เป็นพืชที่ผลกฎหมายในบางประเทศ ในขณะที่บางประเทศสามารถผลิตและขายได้อย่างถูกกฎหมาย [ 22]
แอฟริกา
เอธิโอเปีย
คัตถูกกฎหมายในเอธิโอเปีย[ 23]
โซมาเลีย
คัตถูกกฎหมายในโซมาเลีย[ 23]
จิบูตี
คัตถูกกฎหมายในจิบูตี[ 24]
เคนยา
คัตถูกกฎหมายในเคนยา แต่สารออกฤทธิ์สองชนิดคือคาทิโนนและแคทีนเป็นสารเสพติดประเภทซี [ 25]
แอฟริกาใต้
ในแอฟริกาใต้ คัตถือเป็นพืชอนุรักษ์[ 26]
ยูกันดา
คัตหรือมิราอาถูกกฎหมายในยูกันดา แต่มีความพยายามจะคว่ำบาตร[ 27]
เอเชีย
จีน
คัตผิดกฎหมายในจีน[ 28]
อินโดนีเซีย
คัตถูกกฎหมายในอินโดนีเซีย[ต้องการอ้างอิง ]
มาเลเซีย
คัตผิดกฎหมายในมาเลเซีย[ต้องการอ้างอิง ]
ฟิลิปปินส์
คัตผิดกฎหมายในฟิลิปปินส์ [ต้องการอ้างอิง ]
ซาอุดิอาระเบีย
คัตผิดกฎหมายในซาอุดิอาระเบีย[ 29]
ไทย
คัตถูกกฎหมายในไทย แต่สารออกฤทธิ์สองชนิดคือคาทิโนนและแคทีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 1 และประเภท 2 ตามลำดับ [ 30] [ต้องการอ้างอิง ]
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
คัตผิดกฎหมายในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์[ต้องการอ้างอิง ]
ยุโรป
เดนมาร์ก
คัตผิดกฎหมายในเดนมาร์กตั้งแต่ พ.ศ. 2536 [ 31]
ฟินแลนด์
คัตเป็นยาเสพติดผิดกฎหมายในฟินแลนด์ [ 32] การใช้และขายถือว่าผิดกฎหมาย ผู้ขับขี่รถที่ตรวจพบเมทาบอไลท์ของคัตในระบบใดระบบหนึ่งของร่างกายมีความผิด
โรมาเนีย
คัตผิดกฎหมายในโรมาเนีย [ต้องการอ้างอิง ]
สวีเดน
ยาเสพติดชนิดนี้ถูกห้ามใช้ในสวีเดนตั้งแต่ พ.ศ. 2532 [ 31]
ฝรั่งเศส
คัตถูกห้ามใช้เป็นสารกระตุ้นในฝรั่งเศส [ 11]
โอเชียเนีย
นิวซีแลนด์
ในนิวซีแลนด์ คัตจัดเป็นยาเสพติดระดับซี ในระดับเดียวกับกัญชาและcodeine .[ 33]
อเมริกาใต้
ในอเมริกาใต้ ไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับคัต
การวิจัย
ใน พ.ศ. 2552 มหาวิทยาลัยมินนิโซตาได้จัดโปรแกรมวิจัยเรื่องคัต ซึ่งเป็นโปรแกรมการวิจัยและการฝึกอบรมเชิงบูรณาการ [ 34] เน้นที่ผลกระทบต่อพฤติกรรมทางประสาทและสุขภาพของคัต นำโดย ศาสตราจารย์ ดร. มุสตาฟา อัลอับซี โดยได้ทุนสนับสนุนจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสถาบันยาเสพติดแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา [ 35] โปรแกรมวิจัยเรื่องคัตนี้ดำเนินการที่ชาร์มเอลชิก อียิปต์ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 [ 36] โดยร่วมมือกับองค์กรวิจัยสมองนานาชาติและหน่วยงานท้องถิ่น
หมายเหตุ
↑ either from impaired insight into symptoms by the khat chewer, delay to care, or poorly understood pathophysiological mechanisms
อ้างอิง
↑ Dickens, Charles (1856) [Digitized February 19, 2010]. "The Orsons of East Africa". Household Words: A Weekly Journal, Volume 14 . Bradbury & Evans. p. 176. สืบค้นเมื่อ 9 January 2014 . (Free eBook)
↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 Al-Mugahed, Leen (2008). "Khat Chewing in Yemen: Turning over a New Leaf: Khat Chewing Is on the Rise in Yemen, Raising Concerns about the Health and Social Consequences" . Bulletin of the World Health Organization . 86 (10): 741–2. doi :10.2471/BLT.08.011008 . PMC 2649518 . PMID 18949206 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-12-26. สืบค้นเมื่อ 9 January 2014 .
↑ "Catha edulis" . Plantzafrica. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-07-22. สืบค้นเมื่อ 15 January 2014 .
↑ Simon, O'Rourke (13 December 2006). "Concerns over African methamphetamine-like drug in Hamilton" . The New Zealand Herald . สืบค้นเมื่อ 12 October 2011 .
↑ 5.0 5.1 Kirby, Alex (7 April 2007). "Yemen's khat habit soaks up water" . BBC News . สืบค้นเมื่อ 26 January 2014 .
↑ Marshall, Tim (15 January 2010). "Sky News report on Yemen's Qat" . Sky News . สืบค้นเมื่อ 4 April 2010 .
↑ Filkins, Dexter (11 April 2011). "After the Uprising" . The New Yorker . สืบค้นเมื่อ 5 April 2011 .
↑ The Encyclopedia of Yemen (ภาษาอาหรับ) (2nd ed.). Alafif Cultural Foundation. 2003. pp. 2309–2314.
↑ Nutt, D; King, LA; Saulsbury, W; Blakemore, C (24 March 2007). "Development of a rational scale to assess the harm of drugs of potential misuse". Lancet (London, England) . 369 (9566): 1047–53. PMID 17382831 .
↑ 10.0 10.1 Peter, Kalix. (1983), "The Pharmacology of Khat and of the Khat Alkaloid Cathinone", ใน Randrianame, M.; Szendrei, K.; Tongue, A. (บ.ก.), The Health and Socioeconomic Aspects of Khat Use , Lausanne, Switzerland: Intl. Council on Drug and Addictions, pp. 140–143
↑ 11.0 11.1 11.2 Drugs.com (1 January 2007). "Complete Khat Info" .
↑ 12.00 12.01 12.02 12.03 12.04 12.05 12.06 12.07 12.08 12.09 12.10 12.11 12.12 12.13 12.14 12.15 12.16 12.17 12.18 12.19 Al Zarouni, Yousif (2015). The Effects of Khat (Catha Edulis) (First ed.). London: Yousif Al Zarouni. ISBN 978-1-326-24867-3 .
↑ "Long-term effects of chronic khat use: impaired inhibitory control" . Frontiers in cognition. 12 January 2011. สืบค้นเมื่อ 17 January 2011 .
↑ Al-Motarreb, A. L.; Broadley, K. J. (October–December 2003). "Coronary and aortic vasoconstriction by cathinone, the active constituent of khat". Autonomic & Autacoid Pharmacology . 23 (5–6): 319–26. doi :10.1111/j.1474-8673.2004.00303.x .
↑ "Khat - DrugInfo Clearinghouse" . Druginfo.adf.org.au. 20 September 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-09-29. สืบค้นเมื่อ 28 July 2010 .
↑ Hassan, Nageeb; Gunaid, Abdullah; Murray-Lyon, Iain. "British-Yemeni Society: The impact of khat-chewing on health: a re-evaluation" . Al-bab.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-06-07. สืบค้นเมื่อ 28 July 2010 .
↑ 17.0 17.1 Mateen, F. J.; Cascino, G. D. (November 2010). "Khat Chewing: A smokeless gun?" . Mayo Clinic Proceedings . 85 (11): 971–3. doi :10.4065/mcp.2010.0658 . PMC 2966359 . PMID 21037041 .
↑ Cox, G. (2003). "Adverse effects of khat: a review". Advances in Psychiatric Treatment . 9 (6): 456–63. doi :10.1192/apt.9.6.456 .
↑ "DF - Khat" . Drugfree.org . สืบค้นเมื่อ 26 January 2014 .
↑ "World Health Organization Expert Committee on Dependence-producing Drugs: Fourteenth Report" . United Nations Office of Drugs and Crime. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 30 August 2003.
↑ Nutt, D.; King, L.A.; Saulsbury, C.; Blakemore, Colin (March 2007). "Development of a rational scale to assess the harm of drugs of potential misuse". Lancet . 369 (9566): 1047–53. doi :10.1016/S0140-6736(07)60464-4 . PMID 17382831 . S2CID 5903121 .
↑ see Law Library of Congress (May 2015) Legal status of khat in selected jurisdictions
↑ 23.0 23.1 Manghi, Rita Annoni; Broers, Barbara; Khan, Riaz; Benguettat, Djamel; Khazaal, Yasser; Zullino, Daniele Fabio (2009). "Haight-Ashbury Free Medical Clinic". Journal of Psychoactive Drugs . 41 (1): 1–10. doi :10.1080/02791072.2009.10400669 . PMID 19455904 . S2CID 30637165 .
↑ Thomson Gale (Firm), Countries of the World and Their Leaders Yearbook 2007 , Volume 1, (Thomson Gale: 2006), p.545.
↑ "SAPTA - Khat" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 18 July 2012.
↑ "Protected Trees" (PDF) . Department of Water Affairs and Forestry, Republic of South Africa. 3 May 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 5 July 2010.
↑ Barasa, Lucas (19 October 2015). "Miraa farmers seek Uhuru's help to open Uganda, Tanzania markets for stimulant" (PDF) . Newspaper . The Daily nation. p. 24. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2015-12-24. สืบค้นเมื่อ 23 December 2015 .
↑ "Visitors Please Do Not Carry Khat into China" . May 4, 2014.
↑ "Khat (catha edulis)" . Ekhat. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-05-21. สืบค้นเมื่อ 29 June 2013 .
↑ http://narcotic.fda.moph.go.th/welcome/?p=3185 [ลิงก์เสีย ]
↑ 31.0 31.1 "Khat:Social harms and legislation" (PDF) . สืบค้นเมื่อ 26 March 2015 .
↑ "Khat use on the increase in Finland" . HELSINGIN SANOMAT. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2018-12-26. สืบค้นเมื่อ 23 May 2011 .
↑ "Misuse of Drugs Act 1975 No 116" . legislation.govt.nz. July 2014. สืบค้นเมื่อ 17 March 2015 .
↑ "al'Absi Launches the Khat Research Program" (Press release). Med.umn.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 8 December 2009. สืบค้นเมื่อ 4 April 2010 .
↑ "KRP" . Khatresearch.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-04-13. สืบค้นเมื่อ 4 April 2010 .
↑ "KRP Symposium" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 13 March 2010.
จารุพันธ์ ทองแถม. พืชมหัศจรรย์โลกวิกฤติ. กทม. เศรษฐศิลป์. 2555