แอปเปิล

แอปเปิล
แอปเปิลพันธุ์ 'คริปส์พิงก์'
ดอก
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ แก้ไขการจำแนกนี้
อาณาจักร: พืช
Plantae
เคลด: พืชมีท่อลำเลียง
Tracheophytes
เคลด: พืชดอก
Angiosperms
เคลด: พืชใบเลี้ยงคู่แท้
Eudicots
เคลด: โรสิด
Rosids
อันดับ: กุหลาบ
Rosales
วงศ์: กุหลาบ
Rosaceae
สกุล: Malus
Malus
Borkh., 1803
สปีชีส์: Malus domestica
ชื่อทวินาม
Malus domestica
Borkh., 1803
ชื่อพ้อง[1][2]
  • M. communis Desf., 1768
  • M. pumila Mil.
  • M. frutescens Medik.
  • M. paradisiaca (L.) Medikus
  • M. sylvestris Mil.
  • Pyrus malus L.
  • Pyrus malus var. paradisiaca L.
  • Pyrus dioica Moench

แอปเปิล (อังกฤษ: apple; ชื่อวิทยาศาสตร์: Malus domestica) เป็นต้นไม้ผลัดใบในวงศ์กุหลาบ มีผลรสหวานเรียกว่า ผลแอปเปิล แอปเปิลมีปลูกอยู่ทั่วโลกในลักษณะของไม้ผล และสายพันธุ์ที่ถูกปลูกมากที่สุดคือสกุล Malus ต้นแอปเปิลมีต้นกำเนิดในเอเชียกลาง ซึ่งบรรพบุรุษคือ Malus sieversii ยังคงพบได้ในปัจจุบัน แอปเปิลมีปลูกเป็นเวลาหลายพันปีในเอเชียและยุโรป และกลุ่มอาณานิคมชาวยุโรปนำมาปลูกที่อเมริกาเหนือ แอปเปิลมีความสำคัญทางศาสนาและเทพปกรณัมในหลายวัฒนธรรม รวมถึงนอร์ส กรีก และประเพณีต่าง ๆ ของคริสต์ศาสนิกชนของชาวยุโรป

ต้นแอปเปิลจะมีขนาดใหญ่หากเติบโตจากเมล็ด แต่จะมีขนาดเล็กถ้าถูกตัดต่อเนื้อเยื่อเข้ากับราก ปัจจุบันมีแอปเปิลที่พันธุ์ปลูกมากกว่า 7,500 ชนิด ทำให้แอปเปิลมีลักษณะพิเศษหลากหลาย พันธุ์ปลูกแต่ละพันธุ์จะมีรสชาติแตกต่างกัน และการนำไปใช้ต่างกันด้วย เช่น นำไปประกอบอาหาร กินดิบ ๆ หรือนำไปผลิตไซเดอร์ ปกติแอปเปิลจะแพร่พันธุ์ด้วยการตัดต่อเนื้อเยื่อ แต่แอปเปิลป่าจะเติบโตได้เองจากเมล็ด ต้นแอปเปิลและผลแอปเปิลอาจประสบปัญหาจากจากเห็ดรา แบคทีเรีย และศัตรูพืชต่าง ๆ ซึ่งอาจควบคุมได้ด้วยวิธีการทางเกษตรอินทรีย์และอนินทรีย์หลายวิธี ใน ค.ศ. 2010 มีการถอดรหัสจีโนมของแอปเปิล เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยควบคุมโรคและการคัดเลือกผสมพันธุ์ในการผลิตแอปเปิล

ใน ค.ศ. 2013 มีการปลูกแอปเปิลประมาณ 80 ล้านตันขึ้นทั่วโลก ประเทศจีนผลิตได้จำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าว[3] สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตแอปเปิลมากที่เป็นอันดับที่สอง ด้วยการผลิตมากกว่า 6% ประเทศตุรกีเป็นที่สาม ตามด้วยประเทศอิตาลี อินเดีย และโปแลนด์ แอปเปิลมักนิยมกินดิบ แต่สามารถพบได้ในอาหารที่เตรียมขึ้น (โดยเฉพาะของหวาน) และเครื่องดื่ม มีความคิดว่าแอปเปิลส่งผลดีต่อสุขภาพมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม โปรตีนในแอปเปิลอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้

อนุกรมวิธาน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ดอก ผล และใบของต้นแอปเปิล (Malus domestica)

แอปเปิลเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ สูง 3 - 12 เมตร เรือนยอดกว้าง กิ่งหนาแน่น ใบรูปไข่เรียงสลับ ยาว 5 - 12 ซม. กว้าง 3 - 6 ซม. ก้านใบยาว 2 - 5 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบหยักคล้ายฟันเลื่อย ใต้ใบปกคลุมด้วยขนนุ่มเล็กน้อย ดอกเกิดขึ้นพร้อมการแตกใบใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ ดอกมีสีขาวแต้มสีชมพู และเข้มขึ้นเมื่อดอกใกล้โรย มีกลีบดอกห้ากลีบ เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 - 3.5 ซม. ผลสุกในฤดูใบไม้ร่วง โดยทั่วไปมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 - 9 ซม. กลางผลมีคาร์เพล (carpel) ห้าโพรงเรียงตัวในรูปดาวห้าแฉก แต่ละโพรงบรรจุไปด้วยเมล็ดหนึ่งถึงสามเมล็ด

บรรพบุรุษ

บรรพบุรุษดั้งเดิมของแอปเปิล (Malus domestica) คือ Malus sieversii ซึ่งพบเจริญเติบโตตามธรรมชาติในแถบภูเขาของเอเชียกลางในตอนใต้ของประเทศคาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน, และเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน การเพาะปลูกพืชชนิดนี้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในป่าแถบไหล่เขาของเทือกเขาเทียนชาน วิวัฒนาการมาเป็นเวลานาน และเกิดกระบวนการอินโทรเกรสชัน (introgression คือการที่ชิ้นส่วนของโครโมโซมจากพืชชนิดหนึ่งถูกถ่ายทอดไปอยู่ในพืชอีกชนิดหนึ่ง โดยการผสมพันธุ์ข้ามชนิดหรือผสมข้ามสกุล) ของยีนจากพืชชนิดอื่นในเมล็ดพันธุ์จากการผสมเปิด เช่น การแลกเปลี่ยนกับแคร็บแอปเปิล (Malus sylvestris) ส่งผลให้ประชากรของแอปเปิลในปัจจุบันมีความเกี่ยวข้องกับแคร็บแอปเปิลมากกว่าต้นตระกูล Malus sieversii. ที่มีโครงสร้างคล้ายกัน ในบรรดาสายพันธุ์ที่ไม่ได้มาจากการผสมสายพันธุ์ สายพันธุ์ Malus sieversii เป็นที่นิยมมากกว่า[4][5]

ประวัติศาสตร์

สกุล Malus มีศูนย์กลางความหลากหลายอยู่ที่ภาคตะวันออกของประเทศตุรกี เป็นไปได้ว่าต้นแอปเปิลเป็นต้นไม้ชนิดแรกสุดที่ถูกปลูกขึ้น[6] และผลแอปเปิลได้รับการปรับปรุงผ่านการคัดเลือกเป็นเวลาหลายพันปี อเล็กซานเดอร์มหาราชได้ชื่อว่าค้นพบผลแอปเปิลแคระในประเทศคาซัคสถานเมื่อ 328 ปีก่อนคริสต์ศักราช ผลแอปเปิลแคระที่เขานำกลับไปที่มาซิโดเนียอาจเป็นต้นตระกูลของรากแอปเปิลพันธุ์แคระก็ได้ แอปเปิลฤดูหนาวที่ถูกเก็บในปลายฤดูใบไม้ร่วงและป้องกันความเย็นไว้ เป็นอาหารที่สำคัญในเอเชียและยุโรปมาเป็นเวลาพันปีแล้ว[6]

กลุ่มอาณานิคมนำแอปเปิลเข้ามาในอเมริกาเหนือในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และสวนแอปเปิลแห่งแรกในทวีปอเมริกาเหนือ เกิดขึ้นในบอสตันโดยบาทหลวงวิลเลียม แบร็กซ์ตัน เมื่อ ค.ศ. 1625[7] แอปเปิลเพียงชนิดเดียวที่มีต้นกำเนิดมาจากอเมริกาเหนือคือ แคร็บแอปเปิล (crab apple) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเรียกว่า "common apple"[8] แอปเปิลหลากหลายสายพันธุ์ที่นำเข้าจากยุโรปในรูปของเมล็ดแพร่หลายตามเส้นทางการค้าของชาวอเมริกันดั้งเดิม และถูกนำไปปลูกที่สวนของกลุ่มอาณานิคม รายการแอปเปิลที่ได้รับการดูแลอย่างดีในสหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1845 ขายสายพันธุ์ที่ "ดีที่สุด" ได้ 350 สายพันธุ์ แสดงให้เห็นว่าแอปเปิลสายพันธุ์จากอเมริกาเหนือเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วภายในคริสต์ศตวรรษที่ 19[8] ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โครงการชลประทานหลายโครงการในวอชิงตันตะวันออกได้ริเริ่มขึ้นและมีการพัฒนาอุตสาหกรรมผลไม้ระดับหลายพันล้าน โดยมีแอปเปิลเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นนำ

จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชาวไร่เก็บแอปเปิลไว้ในห้องเก็บป้องกันความเย็นตลอดฤดูหนาวสำหรับใช้และสำหรับขาย ต่อมาการคมนาคมขนส่งแอปเปิลที่พัฒนาขึ้นได้เข้ามาแทนที่ ทำให้การเก็บรักษาไม่จำเป็นอีกต่อไป[9][10] ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 การเก็บรักษาแอปเปิลในระยะยาวกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เนื่องจากมีสาธารณูปโภคที่ "ควบคุมบรรยากาศได้" สามารถเก็บแอปเปิลได้นานถึงปี สาธารณูปโภคดังกล่าวใช้ความชื้นสูง ออกซิเจนต่ำ และควบคุมระดับคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อรักษาความสดของแอปเปิล[11][12]

การใช้ประโยชน์และความเชื่อ

อาดัมกับอีฟและผลแอปเปิล โดย Albrecht Dürer ค.ศ. 1507
แอปเปิล
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์)
พลังงาน218 กิโลจูล (52 กิโลแคลอรี)
13.81 g
น้ำตาล10.39 g
ใยอาหาร2.4 g
0.17 g
0.26 g
วิตามิน
วิตามินเอ
(0%)
3 μg
ไทอามีน (บี1)
(1%)
0.017 มก.
ไรโบเฟลวิน (บี2)
(2%)
0.026 มก.
ไนอาซิน (บี3)
(1%)
0.091 มก.
(1%)
0.061 มก.
วิตามินบี6
(3%)
0.041 มก.
โฟเลต (บี9)
(1%)
3 μg
วิตามินซี
(6%)
4.6 มก.
แร่ธาตุ
แคลเซียม
(1%)
6 มก.
เหล็ก
(1%)
0.12 มก.
แมกนีเซียม
(1%)
5 มก.
ฟอสฟอรัส
(2%)
11 มก.
โพแทสเซียม
(2%)
107 มก.
สังกะสี
(0%)
0.04 มก.
องค์ประกอบอื่น
น้ำ85.56 g
ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐสำหรับผู้ใหญ่
แหล่งที่มา: USDA FoodData Central

แอปเปิลใช้รับประทานเป็นผลไม้สด ผลแอปเปิ้ลแต่ละสีก็จะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป และใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น สลัด ซอสแอปเปิล แยม พาย หรืออบแห้ง ในไทยใช้ผลแอปเปิลเปรี้ยวมาทำอาหาร เช่น ใส่ในยำ น้ำพริก ทางยามีสรรพคุณลดกรดในกระเพาะอาหาร ละลายเสมหะ ลดความดันโลหิต ลดไขมันสะสม ช่วยขับเกลือโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย มีฤทธิ์เป็นยาระบาย และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ชาวกรีกและโรมันเชื่อว่าแอปเปิลเป็นผลไม้แห่งความรักและความสวยงาม ในไบเบิลกล่าวถึงแอปเปิลว่าเป็นผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดนเป็นตัวแทนของบาป ในตำนานกรีก แอปเปิลเป็นผลไม้ต้องห้ามของ Hesperides [13][14][15] [16]

อ้างอิง

  1. Dickson, Elizabeth E. (2014). "Malus pumila". ใน Flora of North America Editorial Committee (บ.ก.). Flora of North America North of Mexico (FNA). Vol. 9. New York and Oxford – โดยทาง eFloras.org, Missouri Botanical Garden, St. Louis, MO & Harvard University Herbaria, Cambridge, MA.
  2. Wilson, Karen L. (2017), "Report of the Nomenclature Committee for Vascular Plants: 66: (1933). To conserve Malus domestica Borkh. against M. pumila Miller", Taxon, 66 (3): 742–744, doi:10.12705/663.15
  3. "FAO production data". FAO. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-19. สืบค้นเมื่อ 2 July 2015.
  4. Amandine Cornille; และคณะ (2012). Mauricio, Rodney (บ.ก.). "New Insight into the History of Domesticated Apple: Secondary Contribution of the European Wild Apple to the Genome of Cultivated Varieties". PLOS Genetics. 8 (5): e1002703. doi:10.1371/journal.pgen.1002703. PMC 3349737. PMID 22589740.
  5. Sam Kean (17 May 2012). "ScienceShot: The Secret History of the Domesticated Apple". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-04-29. สืบค้นเมื่อ 2012-10-11.
  6. 6.0 6.1 "An apple a day keeps the doctor away". vegparadise.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 February 2008. สืบค้นเมื่อ 27 January 2008.
  7. Smith, Archibald William (1997). A Gardener's Handbook of Plant Names: Their Meanings and Origins. Dover Publications. p. 39. ISBN 0-486-29715-2.
  8. 8.0 8.1 Lawrence, James (1980). The Harrowsmith Reader, Volume II. Camden House Publishing Ltd. p. 122. ISBN 0-920656-10-2.
  9. James M. Van Valen (2010). History of Bergen county, New Jersey. Nabu Press. p. 744. ISBN 1-177-72589-4.
  10. Brox, Jane (2000). Five Thousand Days Like This One: An American Family History. Beacon Press. ISBN 978-0-8070-2107-1.
  11. "Controlled Atmosphere Storage". Washington Apple Commission. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-14. สืบค้นเมื่อ 3 April 2012.
  12. "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-03-06. สืบค้นเมื่อ 2016-01-16.
  13. Wasson, R. Gordon (1968). Soma: Divine Mushroom of Immortality. Harcourt Brace Jovanovich. p. 128. ISBN 0-15-683800-1.
  14. Ruck, Carl (2001). The Apples of Apollo, Pagan and Christian Mysteries of the Eucharist. Durham: Carolina Academic Press. pp. 64–70. ISBN 0-89089-924-X. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  15. Heinrich, Clark (2002). Magic Mushrooms in Religion and Alchemy. Rochester: Park Street Press. pp. 64–70. ISBN 0-89281-997-9.
  16. แอปเปิ้ล ไม้มงคลที่ปลูกไว้เพื่อความสงบสุข สืบค้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2564

อ่านเพิ่ม

หนังสือ

แหล่งข้อมูลอื่น

  • วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Apples

Strategi Solo vs Squad di Free Fire: Cara Menang Mudah!