เจดีย์กุโตดอ (พม่า: ကုသိုလ်တော်ဘုရား, ออกเสียง: [kṵðòdɔ̀ pʰəjá]; หมายถึง พระราชกุศล ชื่อเป็นทางการคือ มะฮาโลกะมาระซีนเจดี မဟာလောကမာရဇိန်စေတီ) เป็นเจดีย์พุทธตั้งอยู่เชิงเขามัณฑะเลย์ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า ซึ่งมีหนังสือเล่มใหญ่ที่สุดในโลก[1] สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามินดง ตัวเจดีย์ซึ่งปิดทองเหนือฐาน มีความสูง 57 เมตร (187 ฟุต) จำลองตามเจดีย์ชเวซี่โกน เมืองญองอู้ ใกล้พุกาม บริเวณรอบเจดีย์มีซุ้มขนาดเล็กประดิษฐานหินจารึก 729 แผ่น แต่ละแผ่นจารึกไว้ทั้งสองด้าน มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระไตรปิฎกภาษาบาลีของศาสนาพุทธนิกายเถรวาท[2]
พระราชกุศล
พระเจ้ามินดงสร้างเจดีย์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของหลักเมืองมัณฑะเลย์ตามประเพณี ซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่ในปี พ.ศ. 2400[2] ต่อมาพระองค์มีพระราชดำริให้สังคายนาพระไตรปิฎกในปี พ.ศ. 2414[1] นอกจากนี้พระองค์ต้องการฝากงานพระราชกุศลครั้งใหญ่ไว้ โดยมีพระราชดำริให้จารึกพระไตรปิฎกไว้บนแผ่นหินเพื่ออนุชนรุ่นหลัง ให้สืบเนื่องไปห้าพันปีหลังพระพุทธเจ้า การก่อสร้างเริ่มขึ้นปี พ.ศ. 2403 มีการติดตั้ง ที่ (ฉัตร) วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2405 และเปิดให้ประชาชนเข้าชมวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2411 จารึกถูกจัดเรียงเป็นระเบียบภายในกำแพงล้อมสามชั้น ชั้นแรก 42 แผ่น ชั้นสอง 168 แผ่น และชั้นสาม 519 แผ่น อีกแผ่นหนึ่งตั้งอยู่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของกำแพงชั้นแรกทำให้ได้ 730 แผ่น หินแผ่นนี้บันทึกประวัติการสร้าง และมี ซะยะ ตั้งเรียงรายอยู่รอบ ๆ เจดีย์[3][2]
ทางเข้าหลักทางทิศใต้ผ่านประตูไม้สักบานใหญ่ที่เปิดกว้าง ซึ่งแกะสลักอย่างวิจิตรด้วยลายดอกไม้และเทวดา ทางเดินมีหลังคาเช่นเดียวกับเจดีย์พม่าส่วนใหญ่ รวมทั้งจิตรกรรมฝาผนังใต้หลังคา ระหว่างแถวของซุ้มหินจารึกจะมีต้นพิกุลที่โตเต็มที่ ซึ่งส่งกลิ่นหอมคล้ายดอกมะลิไปทั่วทั้งบริเวณ ลานด้านในทิศตะวันตกเฉียงใต้มีต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่ามีอายุ 250 ปี โดยมีกิ่งก้านแผ่ต่ำและมีค้ำยัน[4]
การผนวกและการดูหมิ่น
หลังการผนวกมัณฑะเลย์โดยอังกฤษในปี พ.ศ. 2428 เมืองที่มีกำแพงล้อมอย่างพระราชวังมัณฑะเลย์ ได้กลายเป็นป้อมดัฟเฟริน และกองทหารถูกระดมกำลังไปทั่วเขามัณฑะเลย์ ในอาราม วัด และเจดีย์ ถูกห้ามเข้าสำหรับประชาชน อู้อองบาน นักสำรวจภาษีรายหนึ่งเกิดความคิดที่จะอุทธรณ์โดยตรงต่อสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย เนื่องจากพระองค์สัญญาว่าจะเคารพทุกศาสนาที่ประชากรของพระองค์นับถือ ด้วยความประหลาดใจและยินดียิ่ง สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษมีพระบัญชาให้ถอนทหารทั้งหมดออกจากเขตศาสนาโดยทันทีในปี พ.ศ. 2433 อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลับกลายเป็นความเสียใจอย่างยิ่งเมื่อพบว่าฉัตรเจดีย์ถูกปล้น ส่วนโครงเหลือถูกทิ้งอยู่บนพื้น ปราศจากระฆัง ทอง เงิน เพชร ทับทิม และอัญมณีล้ำค่าอื่น ๆ ไปจนถึงกระเบื้องหินอ่อนอิตาลีจากขั้นเจดีย์ ศาลาที่พักกำลังพังลง อิฐถูกใช้เพื่อสร้างถนนให้กับกองทหาร ระฆังทองเหลืองจากซุ้มหินจารึกหายไปทั้งหมด ซุ้มหนึ่งมีระฆัง 9 ใบ รวมเป็น 6,570 ใบ หมึกสีทองจากแถบอักษรด้านข้างและด้านบนของแผ่นหินอ่อนแต่ละแผ่นหายไปเช่นกัน รูปยักษ์อสูรทั้งหมดตามทางเดินสูญเสียหัว ดวงตาและกรงเล็บหินอ่อนของ ชีนเต่ ก่ออิฐก็สูญหายเช่นกัน[3][4]
การบูรณะ
พ.ศ. 2435 คณะกรรมการพระภิกษุอาวุโส สมาชิกในราชวงศ์ และอดีตเจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ รวมทั้ง อะตุมะชิ ซะยาดอ (เจ้าอาวาสวัดอะตุมะชิ) กินหวุ่นมินจี (อัครเสนาบดี) เลทิน อะตวินหวุ่น (รัฐมนตรีทัพเรือหลวง) เจ้าฟ้าซอมอง และโม่-บแย ซิแก (นายพลกองทัพหลวง) ก่อตั้งขึ้นเพื่อเริ่มงานบูรณะ พร้อมความช่วยเหลือและการบริจาคจากครอบครัวผู้บริจาคเดิม และจากสาธารณชนทั่วไปด้วยเช่นกัน[3][4]
ซิแกเป็นผู้ขออนุญาตพระภิกษุอาวุโสเพื่อปลูกต้นพิกุลและต้นมะซางอินเดีย (Madhuca longifolia)[5] ตัวอักษรสีทองถูกแทนที่ด้วยหมึกสีดำซึ่งทำให้อ่านง่ายขึ้น ฉัตรโลหะซุ้มหินจารึกถูกประดับใหม่ร่วมกับหินซึ่งบริจาคโดยราชวงศ์ (155 คัน) อดีตทหารกองทัพหลวง (58 คัน) เจ้าฟ้าไทใหญ่และเจ้าเมือง (102 คัน) และประชาชนบริจาค (414 คัน) ในปี พ.ศ. 2456 โบ้ตา พ่อค้าข้าวแห่งเมืองย่างกุ้งได้บูรณะและปิดทองเจดีย์ ปีต่อมาสมาคมจารึกหินพระปิฎกมอบประตูเหล็กด้านทิศใต้ ซึ่งเคยเปิดโล่งไว้เนื่องจากบานไม้แกะสลักถูกทำลายโดยทหาร ปีถัดมาประตูทิศตะวันตกได้รับบริจาคโดยโบ้เซน (นักแสดงละครเวที) และปี พ.ศ. 2475 ประตูทิศเหนือและทิศตะวันออก ซึ่งบริจาคโดยลูกหลานของพระเจ้ามินดง ปี พ.ศ. 2462 ฤๅษีอู้คันดี เป็นผู้นำในการสร้างแนวทางเข้ามีที่คลุมด้านทิศใต้และทิศตะวันตก[3][4]
จารึกยูเนสโก
พ.ศ. 2556 ป้ายยูเนสโกระบุว่า มะฮาโลกะมาระซีน หรือ จารึกกุโตดอ ที่เจดีย์กุโตดอ เป็นหนังสือเล่มใหญ่ที่สุดในโลกในรูปแบบจารึกแผ่นหินอ่อน 729 แผ่น โดยจารึกเกี่ยวกับพระไตรปิฎก และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นความทรงจำแห่งโลก
คลังภาพ
-
เจดีย์กุโตดอในคริสต์ทศวรรษ 1870
-
เจดีย์กุโตดอและเจดีย์ซานดามุนิ
-
ทางเข้าเจดีย์กุโตดอ
-
ซุ้มเจดีย์ที่ประดิษฐานหินจารึก 729 แผ่น
-
แผ่นหินจารึกเดิมมีอักษรและขอบสีทอง
-
ซะยะ ลานทิศตะวันออกเฉียงใต้
-
ป้ายประกาศจากยูเนสโก
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น