สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ

สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2
1690 painting of Mary. An orb is on the table to her right, as is the crown, which is placed on a cushion.
สมเด็จพระราชินีนาถเเห่งอังกฤษ, สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์
ครองราชย์ค.ศ. 1689[a] – 28 ธันวาคม ค.ศ. 1694
ราชาภิเษก11 เมษายน ค.ศ. 1689
ก่อนหน้าเจมส์ที่ 2 และ 7
ถัดไปวิลเลียมที่ 3
ผู้ร่วมในราชสมบัติวิลเลียมที่ 3 และ 2
เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์
ระหว่าง4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1677 –
28 ธันวาคม ค.ศ. 1694
พระราชสมภพ30 เมษายน ค.ศ. 1662
พระราชวังเซนต์เจมส์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
สวรรคต28 ธันวาคม ค.ศ. 1694 (32 ปี)
พระราชวังเคนซิงตัน ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ฝังพระบรมศพ5 มีนาคม ค.ศ. 1695
เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ลอนดอน
พระราชสวามีวิลเลียมที่ 3 (สมรส 1677)
ราชวงศ์สจวต
พระราชบิดาเจมส์ที่ 2 และ 7
พระราชมารดาแอนน์ ไฮด์
ศาสนาแองกลิคัน
ธรรมเนียมพระยศของ
สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ
พระราชลัญจกร
ตราประจำพระองค์
การทูลHer Majesty The Queen (ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท)
การแทนตนข้าพระพุทธเจ้า
การขานรับYour Majesty The Queen (พระพุทธเจ้าข้า/เพคะ)

สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ (อังกฤษ: Mary II of England; 30 เมษายน ค.ศ. 1662 – 28 ธันวาคม ค.ศ. 1694) เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งอังกฤษ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ ระหว่างปี ค.ศ. 1689 จนกระทั่งสวรรคตในปี ค.ศ. 1694 ทรงเป็นประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรอังกฤษ อีกทั้งพระนางยังทรงปกครองอังกฤษร่วมกับ พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ พระราชสวามี ทำให้พระนางเป็นเจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ด้วย พระนางเป็นองค์แรกได้รับพระสมัญญานามว่าเป็น ปริยกษัตริยา (Queen of Hearts) อันหมายถึงกษัตริยาอันเป็นที่รัก เนื่องด้วยพระสิริโฉมและพระราชจริยาวัตรอันงดงาม ทำให้เป็นที่รักของพสกนิกรชาวอังกฤษและชาวดัตช์

พระนางเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1662 ที่พระราชวังเซนต์เจมส์ ในกรุงลอนดอน เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ และเลดี้แอนน์ ไฮด์ ทรงเสกสมรสกับพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ และครองราชย์เป็นพระราชินีนาถแห่งราชอาณาจักรอังกฤษและไอร์แลนด์ระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1689 ถึง 28 ธันวาคม ค.ศ. 1694 และพระราชินีนาถของราชอาณาจักรสกอตแลนด์ ระหว่างวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1689 จนถึงวันสวรรคตเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1694 ที่พระราชวังเคนซิงตัน ในกรุงลอนดอน

สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 กษัตริยาผู้นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ขึ้นครองราชสมบัติหลังจากการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ซี่งเป็นการปฏิวัติที่มีผลในการโค่นราชบัลลังก์ของพระราชบิดาพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษผู้เป็นโรมันคาทอลิก พระราชินีนาถแมรีทรงครองราชบัลลังก์ร่วมกับพระสวามีและพระญาติพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 ผู้เป็นผู้ปกครองอังกฤษพระองค์เดียวหลังจากพระราชินีนาถแมรีสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1694 รัชสมัยที่ครองร่วมกันมักจะเรียกโดยนักประวัติศาสตร์ว่า “สมัยวิลเลียมและแมรี” ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงมีสิทธิเต็มตัวในการปกครองแต่มักจะไม่ทรงใช้อำนาจในการปกครองด้วยพระองค์เองแต่จะให้พระสวามีเป็นผู้ปกครอง แต่เมื่อพระเจ้าวิลเลียมเสด็จออกสงครามในต่างประเทศพระราชินีนาถแมรีก็จะทรงปกครอง[1]

เบื้องต้น

สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 พระราชสมภพที่พระราชวังเซนต์เจมส์ในกรุงลอนดอนเป็นพระธิดาองค์โตของดยุกแห่งยอร์ก และ เลดี้แอนน์ ไฮด์พระชายาองค์แรก[2] เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 และทรงเป็นหลานของเอ็ดเวิร์ด ไฮด์, เอิร์ลแห่งแคลเร็นดอนที่ 1 (ทางพระมารดา) ผู้รับราชการในฐานะที่ปรึกษาในพระองค์ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เป็นระยะเวลานาน[3] แม้ว่าพระมารดาจะมีบุตรธิดาถึง 8 คนแต่ก็มีแต่พระราชินีนาถแมรี และพระขนิษฐาสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์เท่านั้นที่มีชีวิตรอดมาจนโต[4]

แมรีในค.ศ 1685

ดยุกแห่งยอร์กทรงเปลี่ยนไปนับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกราวปี ค.ศ. 1668 หรือ 1669 แต่มีทรงมีคำสั่งให้พระธิดาทั้งสองพระองค์ถูกเลี้ยงอย่างเคร่งครัดในนิกายโปรเตสแทนต์ดังที่เคยเป็นมา[5] หลังจากเลดี้แอนน์ ไฮด์เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1673 ดยุคแห่งยอร์คก็เสกสมรสเป็นครั้งที่สองกับแมรีแห่งโมดีนาผู้เป็นโรมันคาทอลิก[6]

เมื่อพระราชินีนาถแมรีมีพระชนมายุได้ 15 พรรษาก็ทรงหมั้นกับเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์ผู้เป็นโปรเตสแทนต์[1] เจ้าชายวิลเลียมเป็นพระโอรสของเจ้าหญิงแมรีแห่งออเรนจ์พระมาตุฉาของเจ้าหญิงแมรี กับเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์ เมื่อเริ่มแรกเริ่มดยุคแห่งยอร์คไม่ทรงเห็นด้วยกับการที่เจ้าหญิงแมรีจะไปมีความสัมพันธ์กับเจ้านายดัทช์ เพราะมีพระประสงค์จะให้เจ้าหญิงแมรีแต่งงานกับโดแฟงลุยส์รัชทายาทของราชบัลลังก์ฝรั่งเศสมากกว่า แต่ในที่สุดก็ทรงต้องยอมเนื่องจากความกดดันจากรัฐสภาในเหตุผลที่ว่าการมีความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสโรมันคาทอลิกไม่เหมาะสมกับสภาวะทางการเมืองของอังกฤษ [7] และการที่ทรงยอมให้พระราชธิดาแต่งงานกับโปรเตสแทนต์เป็นการหวังว่าจะทำให้ประชาชนเพิ่มความนิยมในตัวพระองค์มากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ผล[8] แมรีและวิลเลียมผู้เป็นลูกพีลูกน้องกันทรงเสกสมรสเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1677 กล่าวกันว่าแมรีกรรแสงตลอดงาน[2]

หลักจากการเสกสมรสแล้วเจ้าหญิงแมรีก็เสด็จไปประทับที่ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์กับพระสวามี แม่ว่าจะทรงรักพระสวามีเป็นอันมากแต่ชีวิตการสมรสของพระองค์ก็เป็นชีวิตที่ไม่ค่อยมีความสุขนัก เจ้าหญิงแมรีทรงพระครรภ์ 3 ครั้งแต่ทรงตกหรือทรงให้การประสูติแต่พระทารกเสียชีวิตทั้ง 3 ครั้ง ความที่ไม่ทรงสามารถมีพระโอรสธิดาได้นี้เป็นสาเหตุหนึ่งในความไม่มีความสุขของพระองค์ เจ้าหญิงแมรีมีพระนิสัยไปทางร่าเริงและเป็นกันเองซึ่งทำให้เป็นที่นิยมของชาวดัทช์ แต่พระสวามีทรงเป็นผู้มืพระนิสัยตรงข้ามคือเย็นชาและไม่ยินดียินร้ายกับผู้ใด[1] แต่ต่อมาก็ทรงค่อยผ่อนคลายพระองค์บ้างเมื่อทรงอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าหญิงแมรี[2]

การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์

เมื่อพระเจ้าชาลส์ที่ 2 เสด็จสวรรคตเมื่อปี ค.ศ. 1685 โดยไม่มีรัชทายาท ดยุกแห่งยอร์กก็ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งราชอาณาจักรอังกฤษและไอร์แลนด์ และพระเจ้าเจมส์ที่ 7 แห่งสกอตแลนด์ แต่ทรงมีปัญหาเกี่ยวกับนโยบายทางศาสนา โดยทรงพยายามพระราชทานเสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ผู้ที่มิได้นับถือนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์แต่นโยบายนี้ไม่เป็นที่ยอมรับโดยสาธารณชน วิธีที่ทรงทำคือทรงใช้อำนาจในการเป็นพระมหากษัตริย์ยุบเลิกกฤษฏีที่ออกโดยรัฐสภา[5] ขุนนางและนักการเมืองโปรเตสแทนต์จึงเดินทางไปเฝ้าเจ้าหญิงแมรีและพระสวามีเมื่อปี ค.ศ. 1687 เพื่อจะหาข้อต่อรองเกี่ยวกับปัญหานี้ หลังจากนั้นพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ก็ทรงบังคับให้นักบวชอังกลิคันอ่าน “ประกาศการไถ่บาป” (Declaration of Indulgence) ภายในวัดในเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ. 1688 ซึ่งเป็นการประกาศให้เสรีภาพทางศาสนาให้แก่ผู้ลี้ภัยทางศาสนา (โรมันคาทอลิก) ความนิยมในพระองค์ของประชาชนจึงตกฮวบ[5] ความหวาดระแวงของผู้นับถือโปรเตสแทนต์ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อแมรีแห่งโมดีนาพระชายาผู้เป็นโรมันคาทอลิกให้กำเนิดแก่พระราชโอรส เจมส์ ฟรานซิส เอ็ดเวิร์ด สจวต ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1688 ซึ่งไม่เช่นเจ้าหญิงแมรีและแอนน์ที่ถูกเลี้ยงเป็นโปรเตสแทนต์ เจมส์ ฟรานซิสจะถูกเลี้ยงเป็นโรมันคาทอลิก นอกจากนั้นก็ยังมีข่าวลือกันว่าพระราชโอรสเป็น “พระราชโอรสปลอม” (supposititious) เพราะถูกลักลอบในถาดถ่านที่ใช้อุ่นเตียงก่อนนอน (bed-warming pan) เข้ามาในห้องที่ใช้ประสูติเพื่อแทนพระโอรสที่สิ้นพระชนม์หลังประสูติของเจมส์ ฟรานซิส[9] ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหานี้ เจ้าหญิงแมรีก็ทรงประท้วงสิทธิในราชบัลลังก์ของพระราชโอรสอย่างเป็นทางการ และทรงส่งรายการคำถามต่างๆ มายังพระขนิษฐาเกี่ยวกับสถานะการณ์ของการประสูติ[10]

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1688 กลุ่มขุนนางโปรเตสแทนต์ที่เรียกตนเองว่า “ผู้อัญเชิญทั้งเจ็ด” (Immortal Seven) ก็ได้อัญเชิญเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์อย่างลับๆ ให้ทรงยกกองทัพมาอังกฤษ[11] ครั้งแรกเจ้าชายวิลเลียมก็ไม่ทรงเต็มพระทัยเพราะทรงอิจฉาที่พระชายาทรงมีตำแหน่งเป็นรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อังกฤษและทรงกลัวว่าพระชายาจะมีอำนาจมากกว่าพระองค์ถ้าทรงไปรุกรานอังกฤษสำเร็จ แต่แมรีทรงปลอบพระทัยเจ้าชายวิลเลียมว่าตัวพระองค์เองนั้นไม่มีความสนพระทัยทางการเมืองเท่าใดนักและจะทรงเป็น “แต่เพียงพระชายา, และพระองค์จะทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่อำนาจจะอำนวยที่จะทำให้เจ้าชายวิลเลียมเป็นกษัตริย์ตลอดพระชนม์ชีพ”[12] เจ้าชายวิลเลียมจึงทรงตกลงที่จะรุกรานอังกฤษ

ก่อนจะรุกรานเจ้าชายวิลเลียมก็ทรงออกประกาศซึ่งในประกาศกล่าวถึงพระราชโอรสของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ในนามว่า “เจ้าชายแห่งเวลส์ผู้อ้างสิทธิ” (Pretended Prince of Wales) นอกจากนั้นก็ยังทรงระบุรายการของความไม่พึงพอใจต่าง ๆ ของชาวอังกฤษ และทรงกล่าวว่าจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวในการรุกรานของพระองค์ก็เพื่อให้อังกฤษมี “รัฐสภาที่เป็นเอกราชและถูกต้องตามนิตินัย”[2] กองทัพเนเธอร์แลนด์ขึ้นฝั่งอังกฤษเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1688 หลังจากที่ต้องกลับไปเนเธอร์แลนด์ครั้งหนึ่งในเดือนตุลาคมเพราะโดนพายุ[11] กองทัพและราชนาวีอังกฤษหันมาหนุนหลังเจ้าชายวิลเลียม เพราะหมดความเชื่อมั่นในความมั่นคงในรัฐบาลของพระเจ้าเจมส์[13] พระเจ้าเจมส์ทรงพยายามหลบหนีเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1688 แต่ไม่สำเร็จ แต่ครั้งที่สองทรงหลบหนีไปฝรั่งเศสได้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1688 และทรงลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศสจนเสด็จสวรรคต[5]

เจ้าหญิงแมรีทรงมีความเศร้าพระทัยกับสถานะการณ์ในการโค่นราชบัลลังก์ของพระราชบิดา แต่เจ้าชายวิลเลียมทรงมีโองการให้พระชายาแสดงพระพักตร์ว่ามีความสุขเมื่อเดินทางเข้าลอนดอนหลังจากได้ทรงได้รับชัยชนะ การกระทำของพระองค์ทำให้ทรงถูกวิจารณ์ว่าทรงขาดความรู้สึก เจ้าชายวิลเลียมเองก็ทรงเขียนวิจารณ์เจ้าหญิงแมรีว่าเป็นผู้ไม่มีความจงรักภักดี การกระทำนี้มีผลกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของเจ้าหญิงแมรีเป็นอย่างมาก[2]

ในปี ค.ศ. 1689 เจ้าชายวิลเลียมทรงเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อหาวิธีที่เหมาะสมที่จะดำเนินต่อไป[14] ตัวพระองค์ไม่ทรงมีความมั่นพระทัยในความมั่นคงของสถานะภาพของพระองค์เอง และมีพระประสงค์จะขึ้นครองเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนที่จะเป็นเพียงพระราชสวามีของพระราชินีนาถ สถานะการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วก่อนหน้านั้น ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อพระราชินีนาถแมรีที่ 1ทรงเสกสมรสกับพระเจ้าฟิลลิปที่ 2 แห่งสเปน ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “กษัตริย์” แต่ตามพระราชกำหนดพระเจ้าฟิลลิปเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้จนสิ้นรัชสมัยของพระราชินีนาถแมรีเท่านั้น แต่เจ้าชายวิลเลียมทรงเรียกร้องให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ต่อไปแม้ว่าจะหลังจากการสวรรคตของพระชายา รัฐบุรุษคนสำคัญๆ บางคงต้องการให้เจ้าหญิงแมรีเป็นพระมหากษัตรีย์แต่เพียงผู้เดียวแต่เจ้าหญิงแมรีไม่ทรงยอม[14]

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1689 รัฐสภาผ่านพระราชประกาศสิทธิ (Declaration of Right) ซึ่งระบุว่าในเมื่อพระเจ้าเจมส์ที่ 2 พยายามหลบหนีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1688 ก็เท่ากับว่าเป็นการทรงสละราชสมบัติแห่งราชอาณาจักรโดยปริยาย ฉะนั้นราชบัลลังก์จึงว่างลง[14][15] รัฐสภามิได้ถวายราชบัลลังก์ให้แก่พระราชโอรสองค์โตที่สุดของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 -- เจมส์ ฟรานซิส เอ็ดเวิร์ด สจวต (ผู้ที่ควรจะเป็นรัชทายาทตามกฎหมายถ้าสถานะการณปกติ) -- แต่ถวายให้แก่เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงแมรีในฐานะกษัตริย์และกษัตรีย์ผู้ปกครองร่วมกันแทนที่ แต่มีข้อแม้ว่าการใช้อำนาจของเจ้าชายวิลเลียมต้องใช้ในนามของทั้งสองพระองค์ในระยะเวลาที่ทรงราชย์ร่วมกัน[14] พระราชประกาศสิทธิต่อมาขยายความไม่แต่จะจำกัดสิทธิในการครองราชย์ของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 และผู้สืบเชื้อสายจากพระองค์เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการลิดรอนสิทธิของผู้ที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกทั้งหมดด้วย ซึ่งรัฐสภาอ้างว่าจากประสบการณ์การมีพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นโรมันคาทอลิกเป็นการสร้างความไม่ปลอดภัยต่อราชอาณาจักรโปรเตสแตนต์[15]

เฮ็นรี ค็อมพตันบาทหลวงแห่งลอนดอนเป็นผู้สวมมงกุฏให้แก่เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงแมรีที่ เวสท์มินสเตอร์แอบบีเมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1689 ตามปกติแล้วผู้ทำพิธีสวมมงกุฏให้พระเจ้าแผ่นดินควรจะเป็นอัครบาทหลวงแห่งแคนเตอร์บรีแต่วิลเลียม แซนครอฟต์ผู้เป็นอัครบาทหลวงในขณะนั้นไม่ยอมรับว่าการประกาศยกเลิกสิทธิในราชบัลลังก์ของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 เป็นการกระทำที่ถูกต้อง[16][17] จนถึงวันพระราชพิธีราชาภิเศกรัฐสภาสกอตแลนด์จึงได้ยอมประกาศว่าพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรสกอตแลนด์อีกต่อไป และถวายมงกุฏแห่งราชบัลลังก์สกอตแลนด์แก่เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงแมรีซึ่งทรงรับเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1689 (ขณะนั้นราชอาณาจักรและอังกฤษยังไม่ได้รวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน) [1]

แม้ว่าจะมีการออกพระราชประกาศสิทธิอย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้สนับสนุนพระเจ้าเจมส์ที่ 2 เป็นอันมากในสกอตแลนด์ จอห์น แกรม ไวเคานท์แห่งดันดีรวบรวมกำลังในการกู้ราชบัลลังก์ให้แก่พระเจ้าเจมส์ที่ 2 และได้รับชัยชนะในศึกคิลลีแครงคีเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม แต่ก็มาพ่ายแพ้อย่างยับเยินเดือนต่อมาในศึกดันเคลด์[18][19]

ครองราชย์

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1689 รัฐสภาผ่านพระราชบัญญัติสิทธิ ค.ศ. 1689 (Bill of Rights 1689) ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับที่สำคัญที่สุดฉบับหนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษ พระราชบัญญัตินี้เป็นเอกสารที่สนับสนุนพระราชประกาศสิทธิที่ออกมาก่อนหน้านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการจำกัดสิทธิต่างๆ ของพระมหากษัตริย์รวมทั้งข้อที่ว่าพระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจในการยับยั้งกฎหมายที่ผ่านรัฐสภา; ออกระบบการเก็บภาษีโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากรัฐสภา; ขัดขวางสิทธิในการเรียกร้อง; รวบรวมกองทัพยามสงบโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากรัฐสภา; ยับยั้งการถืออาวุธโดยประสกนิกรชาวโปรเตสแทนต์; เข้ายุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งของรัฐสภา; และในการลงโทษสมาชิกของรัฐสภาไม่ว่าในเรื่องใด ๆ ที่ถกเถียงกันในรัฐสภา, หรือบังคับให้เสียค่าประกันตัวอย่าเกินเลย หรือลงโทษอย่างเกินเลยและไม่มีเหตุผล

นอกจากนั้นพระราชบัญญัติสิทธิก็ยังระบุลำดับของการสืบสันตติวงศ์ของราชอาณาจักรอังกฤษ[20] โดยกำหนดว่าหลังจากพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 และพระราชินีนาถแมรีที่ 2 สวรรคต ผู้ที่มีสิทธิในราชบัลลังก์ต่อไปคือพระราชโอรสธิดาของทั้งสองพระองค์ ลำดับต่อจากนั้นก็เป็นพระขนิษฐาเจ้าหญิงแอนน์และพระโอรสธิดา จากนั้นไปก็เป็นพระราชโอรสธิดาของพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 กับพระชายาใหม่ในอนาคตในกรณีที่พระราชินีนาถแมรีสวรรคตก่อนพระเจ้าวิลเลียม[20]

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1690 พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 มักจะเสด็จออกสงครามในต่างประเทศ สงครามครั้งแรกที่เสด็จไปเกิดขึ้นที่ไอร์แลนด์ในสงครามกับผู้สนับสนุนราชวงศ์สจวต (Jacobitism) ขณะที่พระราชสวามิไม่ได้ประทับในลอนดอนพระราชินีนาถแมรีที่ 2 ก็จะทรงเป็นผู้บริหารแผ่นดิน ทรงเป็นกษัตรีย์ผู้มีความแข็งแกร่ง เช่นในการทรงสั่งจับ เฮนรี ไฮด์ เอิร์ลแห่งแคลเร็นด็อนที่ 2 พระปิตุลาในข้อหาว่าวางแผนกู้ราชบัลลังก์คืนให้แก่พระเจ้าเจมส์ที่ 2 และจอห์น เชอร์ชิลล์ ดยุคแห่งมาร์ลเบรอในข้อหาคล้ายคลึงกันในปี ค.ศ. 1692 โดยทรงปลดเชอร์ชิลล์จากตำแหน่งต่างๆ และจำขัง แต่เชอร์ชิลล์เป็นผู้ที่ประชาชนนิยมจึงเป็นผลทำให้ความนิยมในตัวพระองค์จากประสกนิกรลดลงบ้าง การกระทำครั้งนี้เป็นจุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพระองค์กับเจ้าหญิงแอนน์พระขนิษฐา (ผู้เป็นสหายสนิทของซาราห์ เชอร์ชิลล์ภรรยาของจอห์น เชอร์ชิลล์ ดยุคแห่งมาร์ลเบรอ) เสื่อมลง[1] เมื่อเจ้าหญิงแอนน์เสด็จมาปรากฏตัวในราชสำนักกับซาราห์ เชอร์ชิลล์เพื่อแสดงว่าทรงสนับสนุนดยุคแห่งมาร์ลเบรอ พอเห็นเช่นนั้นพระราชินีนาถแมรีที่ 2 ก็กริ้วและมีพระราชโองการให้เจ้าหญิงแอนน์ปลดซาราห์ออกจากตำแหน่งนางสนองพระโอษฐ์และให้เจ้าหญิงแอนน์ย้ายออกจากพระราชฐาน พระราชินีนาถแมรีที่ 2 มิได้เสด็จไปเยี่ยมพระขนิษฐาแม้ในระหว่างที่ทรงพระครรภ์ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งพระองค์ไม่ดีขึ้นจนพระราชินีนาถแมรีที่ 2 เสด็จสวรรคต[2]

พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 ทรงได้รับชัยชนะต่อผู้สนับสนุนราชวงศ์สจวตที่ไอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1692 แต่ก็ยังเสด็จไปสงครามในต่างประเทศ เช่นสงครามต่อต้านฝรั่งเศสในเนเธอร์แลนด์ เมื่อพระราชสวามีไม่ได้ประทับที่ลอนดอน พระราชินีนาถแมรีที่ 2 ก็ทรงบริหารประเทศในนามของพระองค์เองแต่ตามคำแนะนำของพระเจ้าวิลเลียม แต่ถ้าพระเจ้าวิลเลียมประทับอยู่ในอังกฤษ พระราชินีนาถแมรีก็ไม่ทรงเชอบข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมืองแม้ว่าจะระบุไว้ในพระราชบัญญัติสิทธิก็ตาม[1][20] แต่ทรงมีส่วนในการการปกครองที่เกี่ยวกับเชิร์ชออฟอิงแลนด์ [21]

สวรรคต

พระราชินีนาถแมรีที่ 2 ทรงเริ่มประชวรด้วยโรคฝีดาษในช่วงเดือนธันวาคม ค.ศ.1694 พระนางเสด็จสวรรคตที่พระราชวังเคนซิงตัน เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1694 ด้วยพระชนมายุเพียง 32 พรรษา[1][22] เมื่อเสด็จสวรรคตเฮนรี เพอร์เซลล์ (Henry Purcell) คีตกวีบาโรกถูกจ้างให้เขียนดนตรีสำหรับงานพระบรมศพในชื่อ “ดนตรีสำหรับงานพระบรมศพของพระราชินีนาถแมรี”[23] พระเจ้าวิลเลียม พระราชสวามีที่ทรงเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับพระราชินีนาถทรงโทมนัสเป็นอันมากถึงกับทรงกล่าวว่าทรงกลายจากเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดไปเป็นผู้มีความทุกข์ที่สุดในโลก[2] พิธีพระบรมศพ ถูกจัดขึ้นในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ.1695 ที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยมีพสกนิกรเป็นจำนวนมากที่คอยเฝ้าขบวนพระบรมศพ โดยพิธีพระบรมศพในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ขุนนางในรัฐสภาอังกฤษเข้าร่วมกันอย่างพร้อมเพียง

มรดก

หลังจากที่พระราชินีนาถแมรีเสด็จสวรรคตพระเจ้าวิลเลียมก็ทรงราชย์ต่อมาในฐานะพระมหากษัตริย์ เจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งกลอสเตอร์พระราชโอรสของพระราชินีนาถแอนน์ก็มาสวรรคตเอาเมี่อวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1700 เมื่อพิจารณาสถานะการณ์โดยทั่วไปแล้วโอกาสที่พระเจ้าวิลเลียมและเจ้าหญิงแอนน์จะมีพระราชโอรสธิดาอีกก็เกือบจะเป็นไปไม่ได้ ทางรัฐสภาอังกฤษจึงออกพระราชบัญญัติการสืบสันตติวงศ์ ค.ศ. 1701 (Act of Settlement 1701) ซึ่งระบุว่าเมื่อสิ้นสุดจากเจ้าหญิงแอนน์ และพระราชโอรสธิดาในอนาคตของพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แล้วราชบัลลังก์ก็จะตกไปเป็นของพระญาติที่ใกล้ชิดที่สุดที่เป็นโปรเตสแทนต์ ซึ่งในกรณีนี้คือเจ้าหญิงโซเฟียแห่งฮาโนเวอร์และผู้สืบเชื้อสายจากพระองค์ที่เป็นโปรเตสแทนต์ เจ้าหญิงโซเฟียทรงเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ทางพระราชธิดาเจ้าหญิงอลิสซาเบ็ธ สจวต ทางรัฐสภามิได้พิจารณาพระประยูรญาติอีกหลายพระองค์ที่ควรจะมีสิทธิแต่เพราะทรงเป็นโรมันคาทอลิก[24] เมื่อพระเจ้าวิลเลียมเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1702 เจ้าหญิงแอนน์ก็ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์ หลังจากพระราชินีนาถแอนน์เสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาท ราชบัลลังก์ก็ตกไปเป็นของเจ้าชายจอร์จแห่งฮาโนเวอร์ (พระโอรสของเจ้าหญิงโซเฟีย) ผู้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่[25]

พระราชินีนาถแมรีพระราชทานทรัพย์สร้างวิทยาลัยวิลเลียมและแมรี ที่ตั้งอยู่ที่เมืองวิลเลียมสเบิร์กในรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1693[26] และทรงเป็นผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลกรีนนิช ในลอนดอน [1]

พระราชอิสริยยศ

  • 30 เมษายน ค.ศ. 1662 – 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1689: เฮอร์ไฮเนส เลดีแมรี (Her Highness The Lady Mary)
  • 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1677 – 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1689: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ (Her Royal Highness The Princess of Orange)
  • 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1689 – 28 ธันวาคม ค.ศ. 1694: เฮอร์มาเจสตี สมเด็จพระราชินีนาถ (Her Majesty The Queen)

พระราชินีนาถแมรีกับสมัยนิยม

  • “เชอร์ชิลล์คนแรก” (The First Churchills) - ค.ศ. 1969 - เป็นละครโทรทัศน์ของบีบีซีที่แสดงชีวิตของพระราชินีนาถแมรีตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนสวรรคตโดนเน้นความสัมพันธ์ระหว่างพระราชินีนาถแอนน์กับซาราห์ เชอร์ชิลล์
  • “ออร์แลนโด” (Orlando) - ค.ศ. 1992 - ภาพยนตร์สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกันโดย เวอร์จิเนีย วูลฟ (Virginia Woolf)
  • “อังกฤษ, อังกฤษของฉัน” (England, My England) - ค.ศ. 1995 - ภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวประวัติของคีตกวีเฮนรี เพอร์เซลล์ (Henry Purcell)

พระราชวงศ์

หมายเหตุ

  1. Mary II was declared Queen by the Parliament of England on 13 February 1689 and by the Parliament of Scotland on 11 April 1689.

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 "Mary II". Encyclopædia Britannica (11th ed.). London: Cambridge University Press. 1911.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 "The House Of Stuart: William III and Mary II". English Monarchs. 2004. สืบค้นเมื่อ 18 September 2006.
  3. "Edward Hyde, 1st Earl of Clarendon". Columbia Electronic Encyclopedia. Columbia University Press. 2000.[ลิงก์เสีย]
  4. "Anne Hyde". David Nash Ford's Royal Berkshire History. 2005. สืบค้นเมื่อ 18 September 2006.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 "The House Of Stuart: James II". English Monarchs. 2004. สืบค้นเมื่อ 18 September 2006.
  6. "James II and VII". The Jacobite Heritage. 1997. สืบค้นเมื่อ 18 September 2006.
  7. John Pollock. The Policy of Charles II and James II. (1667–87.).
  8. Nicholas Seager, University of Nottingham (2006-02-09). "Reign of King William III". The Literary Encyclopedia. The Literary Dictionary Company. สืบค้นเมื่อ 19 September 2006.
  9. Nenner, Howard (1998). The Right to be King: the Succession to the Crown of England, 1603–1714. Palgrave Macmillan. p. 243. ISBN 0-333-57724-8.
  10. "Enquiry of the Princess of Orange into the Birth of the Prince of Wales". The Jacobite Heritage. 1688. สืบค้นเมื่อ 19 September 2006.
  11. 11.0 11.1 Donald E. Wilkes Jr. and Matthew Kramer (1997). "The Glorious Revolution of 1688:Chronology". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-02. สืบค้นเมื่อ 18 September 2006.
  12. "Mary II (Quote from History of my own Time. G Burnet (1883) Oxford.)". Encyclopædia Britannica (11th ed.). London: Cambridge University Press. 1911.
  13. "James II". The Royal Household. สืบค้นเมื่อ 19 September 2006.
  14. 14.0 14.1 14.2 14.3 "King James' Parliament: The succession of William and Mary". The History and Proceedings of the House of Commons : volume 2. British History Online. 1742. pp. 255–77. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-28. สืบค้นเมื่อ 19 September 2006.
  15. 15.0 15.1 "William III and Mary II". The Royal Household. สืบค้นเมื่อ 18 September 2006.
  16. "William Sancroft". Encyclopædia Britannica. Encyclopædia Britannica Online. 2006. สืบค้นเมื่อ 21 September 2006.
  17. "Historic England - Archbishops of Canterbury". The History of England. สืบค้นเมื่อ 18 September 2006.
  18. "John Graham of Claverhouse, 1st viscount of Dundee". Encyclopædia Britannica. Encyclopædia Britannica Online. 2006. สืบค้นเมื่อ 21 September 2006.
  19. "The Contemplator's Short History of "Bonnie Dundee" John Graham, Earl of Claverhouse, Viscount of Dundee". สืบค้นเมื่อ 20 September 2006.
  20. 20.0 20.1 20.2 "Bill of Rights". 1689. สืบค้นเมื่อ 19 September 2006.
  21. "Gilbert Burnet". NNDB. สืบค้นเมื่อ 19 September 2006.
  22. "Historic Figures: Mary II of Orange (1662–94)". BBC. สืบค้นเมื่อ 19 September 2006.
  23. "Music for Queen Mary". The Public Library of Cincinnati and Hamilton County. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-10-08. สืบค้นเมื่อ 18 September 2006.
  24. Ward, p. 275
  25. "The House Of Stuart: Queen Anne". English Monarchs. 2004. สืบค้นเมื่อ 18 September 2006.
  26. "Historical Facts". William and Mary College. 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-15. สืบค้นเมื่อ 18 September 2006.

ดูเพิ่ม

ก่อนหน้า สมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ ถัดไป
เจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ
หรือ
เจมส์ที่ 7 แห่งสกอตแลนด์

พระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษ
พระมหากษัตริย์แห่งไอร์แลนด์
(ราชวงศ์สจวต)

(ค.ศ. 1689 – 1694
ครองราชย์ร่วมกับวิลเลียมที่ 3)
วิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ
หรือ
วิลเลียมที่ 2 แห่งสกอตแลนด์
ว่าง
พระมหากษัตริย์แห่งสกอตแลนด์
(ราชวงศ์สจวต)

(ค.ศ. 1689 – 1694
ครองราชย์ร่วมกับวิลเลียมที่ 3)
ว่าง

Strategi Solo vs Squad di Free Fire: Cara Menang Mudah!