สตาร์วอร์ส 3 ชัยชนะของเจได (อังกฤษ : Return of the Jedi ) หรือรู้จักในชื่อ สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 6 การกลับมาของเจได (อังกฤษ : Star Wars: Episode VI – Return of the Jedi ) เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวมหากาพย์บันเทิงคดีอวกาศ ฉายเมื่อปี ค.ศ. 1983 กำกับโดย ริชาร์ด มาร์ควานด์ เขียนบทโดย ลอว์เรนซ์ แคสแดน และจอร์จ ลูคัส จากเนื้อเรื่องโดยลูคัส และเขายังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร สร้างโดยลูคัสฟิล์ม เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สามของแฟรนไชส์และใน สตาร์ วอร์ส ไตรภาคเดิม ภาคต่อของ สตาร์วอร์ส 2 (1980) และเป็นตอนที่หกใน "มหากาพย์สกายวอล์คเกอร์ " และเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ใช้เทคโนโลยี THX ภาพยนตร์ดำเนินหลังเหตุการณ์ใน สตาร์วอร์ส 2 หนึ่งปี[ 6] นักแสดงประกอบด้วย มาร์ก แฮมิลล์ , แฮร์ริสัน ฟอร์ด , แคร์รี ฟิชเชอร์ , บิลลี ดี วิลเลียมส์ , แอนโทนี แดเนียลส์ , เดวิด พราวส์ , เคนนี เบเกอร์ , ปีเตอร์ เมย์ฮิว และแฟรงค์ ออซ
จักรวรรดิกาแลกติก ภายใต้การนำของจักรพรรดิ ผู้โหดเหี้ยม ได้สร้างดาวมรณะดวงที่สองขึ้น เพื่อกำจัดเหล่าพันธมิตรกบฏ ให้หมดสิ้น เมื่อจักรพรรดิเดินทางมาตรวจดูการก่อสร้างขั้นตอนสุดท้ายด้วยตัวเอง เหล่าพันธมิตรกบฏจึงวางแผนโจมตีดาวมรณะเต็มกำลังเพื่อยับยั้งการก่อสร้างและสังหารจักรพรรดิและคืนเสรีภาพกลับสู่กาแลกซี ขณะเดียวกัน ลุค สกายวอล์คเกอร์ ซึ่งเป็นอัศวินเจไดแล้ว พยายามโน้มน้าวให้ ดาร์ธ เวเดอร์ ผู้เป็นพ่อของเขา กลับคืนสู่ด้านสว่างของพลัง
สตีเวน สปีลเบิร์ก , เดวิด ลินจ์ และเดวิด โครเนนเบิร์ก เคยได้รับพิจารณาให้เป็นผู้กำกับโครงการ ก่อนที่จะเซ็นสัญญาให้มาร์ควานด์เป็นผู้กำกับ ทีมสร้างอาศัยสตอรีบอร์ดของลูคัสในช่วงก่อนการสร้าง ขณะที่กำลังเขียนบทถ่ายทำ ลูคัส, แคสแดน, มาร์ควานด์และผู้อำนวยการสร้าง ฮาเวิร์ด คาแซนเจียน ใช้เวลาสองสัปดาห์ในการประชุมเรื่องแนวคิดในการสร้างภาพยนตร์ ตารางงานของคาแซนเจียนทำให้ต้องมีการถ่ายทำก่อนกำหนดไม่กี่สัปดาห์ ทำให้ อินดัสเทียลไลต์แอนด์แมจิก มีเวลาทำงานให้กับเทคนิคพิเศษของภาพยนตร์มากขึ้นในช่วงหลังการสร้าง มีการถ่ายทำที่อังกฤษ, แคลิฟอร์เนียและแอริโซนา ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม ค.ศ. 1982 (1982-05 ) การถ่ายทำมีการเก็บเป็นความลับอย่างเข้มงวด
ภาพยนตร์ฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1983 ได้รับการตอบรับที่ดี ภาพยนตร์ทำเงิน 374 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการฉายครั้งแรก กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในปี ค.ศ. 1983 มีการฉายใหม่หลายครั้งและมีการปรับปรุงภาพยนตร์เรื่อยมาอีกหลายทศวรรษ จนทำให้ภาพยนตร์ทำเงินทั้งหมด 475 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก
โครงเรื่อง
อัศวินเจได ลุค สกายวอล์คเกอร์ ได้เดินทางกลับทาทูอีน ดาวบ้านเกิดเพื่อช่วยฮาน โซโล จากเงื้อมมือมหาจอมโจรแจบบา เดอะ ฮัทท์ ส่วนเจ้าหญิงเลอา ได้ช่วยฮานออกมาจากคาร์บอนไนต์ได้ แต่โชคร้ายกลับถูกแจบบาจับตัวไว้ เมื่อลุคมาต่อรองให้ปล่อยตัวทั้งสองแต่ก็โดนแจบบาใช้เล่ห์กลจับไว้อีกคน และถูกนำตัวไปประหารชีวิต
สถานการณ์กลับผลิกผันเมื่อลุคที่ได้รับกระบี่แสง ที่ซ่อนอยู่ในหุ่นยนต์อาร์ทูดีทู ได้แสดงพลัง ที่แท้จริงของเจได ทำให้เขาทำลายพวกของแจบบาลงและช่วยเหลือฮานและเลอาออกมาได้สำเร็จ ลุคแยกตัวไปหาอาจารย์โยดา เพื่อฝึกวิชาเจไดให้บรรลุ แต่โยดาก็ได้บอกว่าเขาสำเร็จวิชาแล้ว รวมทั้งบอกความจริงเกี่ยวกับตระกูลสกายวอล์คเกอร์อีกคน ก่อนที่เขาจะจากไป ทำให้ลุครู้จากจิตใต้สำนึกของเขาว่าว่าสกายวอล์คเกอร์อีกคนก็คือเลอา ซึ่งแท้จริงแล้วคือน้องสาวฝาแฝดของเขานั่นเอง
ฝ่ายฮานที่ไปรวมกับกองกำลังกบฏ ที่รออยู่ จึงได้รู้ถึงการสร้างดาวมรณะดวงที่สอง และรู้ว่าจักรพรรดิพัลพาทีน จะเสด็จไปดูการก่อสร้างด้วยตัวเอง ฝ่ายกบฏจึงถือเอาโอกาสนี้จัดการกับดาวมรณะและจักรพรรดิไปพร้อม ๆ กันแต่ปัญหาคือดาวมรณะมีเกราะป้องกันที่สร้างโดยเครื่องกำเนิดพลังงานบนดวงจันทร์เอนดอร์ พวกฮานและลุคที่เดินทางมาสมทบจึงอาสาไปทำลายมันลง โดยขโมยยานขนส่ง ของฝ่ายจักรวรรดิ ลอบเข้าไปในดวงจันทร์เอนดอร์ แต่ดาร์ธ เวเดอร์ ก็ได้รู้ถึงการกลับมาของลุคและบอกกับจักรรพรรดิว่าจะเป็นคนไปนำตัวลุคมาเอง
ฝ่ายฮานและเลอาเมื่อติดกับของฝ่ายจักรวรรดิจนเกือบเสียที แต่ก็ได้อีว็อค หรือพวกหมีแคระ ชนเผ่าพื้นเมืองบนดวงจันทร์ช่วยเหลือจึงสามารถทำลายเครื่องกำเนิดพลังงานได้ ส่วนลุคก็แยกไปเผชิญหน้ากับดาร์ธ เวเดอร์เพียงลำพังเพื่อกล่อมเขาให้กลับสู่ด้านสว่าง ลุคต่อสู้จนชนะและตัดมือขวาของเวเดอร์ขาด แต่ไม่ยอมกำจัดเวเดอร์ซึ่งเป็นบิดาของตน จักรพรรดิทรงเห็นว่าลุคไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของด้านมืด จึงหมายจะสังหารลุคโดยใช้พลังสายฟ้าซึ่งเป็นอาวุธสำคัญของพวกซิธ
แต่ว่าดาร์ธ เวเดอร์ ซึ่งทนเห็นลูกชายตายไปต่อหน้าต่อตามิได้ จึงคิดได้และกลับมาเป็นอนาคิน สกายวอล์คเกอร์เข้าช่วยเหลือลูกชาย โดยสังหารจักรพรรดิด้วยมือของตนเอง เขายกร่างของจักรพรรดิขึ้น พลังสายฟ้าจึงหันพุ่งมายังอนาคินเขาทุ่มจักรพรรดิลงไปในช่องอากาศ เขากล่าวขอบคุณลุคที่ช่วยให้เขากลับสู่ด้านสว่างได้สำเร็จ อนาคินให้ลุคถอดหน้ากากสีดำของเขาออก เขาได้มองหน้าลูกชายด้วยตาตนเองเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย บัดนี้คำทำนายโบราณของเจไดได้เป็นจริงแล้ว อนาคิน ผู้ถูกเลือก ผู้สังหารซิธคนสุดท้าย และนำสมดุลกลับคืนสู่พลัง ได้กลับมาแล้ว
ส่วนฝ่ายกบฏก็สามารถเข้าไปทำลายดาวมรณะ รวมทั้งโค่นล้มจักรวรรดิได้สำเร็จจึงได้เฉลิมฉลองในชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ที่สามารถนำความสงบสุขกลับคืนสู่จักรวาลได้อีกครั้ง
ตัวละคร
การสร้าง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ เดิมใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Revenge of the Jedi แต่จอร์จ ลูคัส ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเป็น Return of the Jedi ไม่กี่วันก่อนออกฉาย ด้วยเหตุผลว่า เจได ไม่ แก้แค้น ใคร การเปลี่ยนชื่อภาพยนตร์ก่อนออกฉายอย่างกะทันทัน ทำให้ผู้จัดจัดหน่ายต้องสูญเสียอุปกรณ์ประชาสัมพันธ์ที่จัดเตรียมไว้แล้วเป็นจำนวนมาก
การออกฉาย
ใบปิดฉบับที่ยังใช้ชื่อเรื่องว่า Revenge of the Jedi วาดโดยดรูว์ สตรูซาน
การกลับมาของเจได ออกฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1983 ซึ่งเดิมเคยมีการกำหนดไว้เป็นวันที่ 27 พฤษภาคม แต่ถูกเลื่อนมาเพื่อให้เป็นวันเดียวกันกับวันออกฉายของภาพยนตร์สตาร์ วอร์ส ภาคแรกเมื่อปี ค.ศ. 1977[ 7]
ค.ศ. 1997 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 20 ปีของการออกฉายของภาพยนตร์สตาร์ วอร์ส ภาคแรก จอร์จ ลูคัสได้ผลิตสตาร์ วอร์ส ไตรภาค ฉบับพิเศษ ออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกันทั้ง 3 ภาค โดยการกลับมาของเจได ฉบับพิเศษออกฉายเมื่อ 14 มีนาคม ค.ศ. 1997 โดยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากฉบับเดิม ได้แก่ ฉากวงดนตรีมนุษย์ต่างดาวร้องเพลงในวังของแจบบาที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ การเพิ่มจงอยปากของหนอนทรายซาร์แลกก์ การเปลี่ยนดนตรีประกอบในฉากจบเรื่อง และฉากเฉลิมฉลองการล่มสลายของจักรวรรดิบนดาวเคราะห์ต่างๆ ในตอนจบ[ 8] ลูคัสให้สัมภาษณ์ว่าภาพยนตร์เรือ่งนี้มีฉากที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าภาคอื่นๆ เนื่องจากเป็นภาคที่เดินเรื่องด้วยอารมณ์โดดเด่นกว่าภาคอื่นๆ[ 9]
การเปลี่ยนชื่อเรื่อง
ใบปิดแรก (teaser) ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ระบุชื่อเรื่องไว้ว่า Revenge of the Jedi (การแก้แค้นของเจได)[ 10] ต่อมาเดือนธันวาคม ค.ศ. 1982 ลูคัสตัดสินใจใหม่ว่า "Revenge" (การแก้แค้น) เป็นคำที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากเจไดไม่ควรจะผูกใจแค้น หรือแสวงหาการแก้แค้น จึงได้เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น Return of the Jedi ซึ่งกว่าตัดสินใจได้ ใบปิดที่มีชื่อเรื่องว่า Revenge (วาดโดยดรูว์ สตรูซาน ) ก็ได้รับการผลิต และเผยแพร่ไปแล้วหลายพันใบ บริษัทลูคัสฟิล์มยุติการผลิตใบปิดดังกล่าวทันที มีเหลืออีกราว 6,800 ใบ ก็ถูกขายให้กับสมาชิกแฟนคลับสตาร์ วอร์ส ในราคาใบละ 9.50 ดอลลาร์สหรัฐ[ 11]
ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 3: ซิธชำระแค้น ก็ออกฉาย ชื่อภาค (Revenge of the Sith) จึงมีนัยเกี่ยวโยงกับชื่อภาค Revenge of the Jedi ที่ถูกยกเลิกไปนั่นเอง[ 12]
กระแสตอบรับ
ภาพยนตร์ได้รับรางวัลเกียรติยศออสการ์ (รางวัลนี้จะมีการมอบต่อเมื่อมีภาพยนตร์ที่ดีที่สุดจริง ๆ เท่านั้น ไม่ใช่มอบทุกปีเหมือนรางวัลสาขาอื่น ๆ ปีใดไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดที่คุณภาพถึง จะไม่มีการมอบรางวัลนี้) จากเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม
อ้างอิง
เชิงอรรถ
อ้างอิง
↑ "STAR WARS EPISODE VI: RETURN OF THE JEDI (U)" . British Board of Film Classification . May 12, 1983. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ May 5, 2015. สืบค้นเมื่อ May 4, 2015 .
↑ Aubrey Solomon, Twentieth Century Fox: A Corporate and Financial History , Scarecrow Press, 1989 p260
↑ J.W. Rinzler, The Making of Return of the Jedi , Aurum Press, ISBN 978 1 78131 076 2 , 2013 p336
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ mojo
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ numbers
↑ "Star Wars: Episode VI Return of the Jedi" . Lucasfilm . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ February 12, 2010. สืบค้นเมื่อ March 4, 2010 .
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ProdDir1
↑ "Episode VI: What Has Changed?" . StarWars.com. September 8, 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ February 29, 2008. สืบค้นเมื่อ March 10, 2008 .
↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ DVDcom
↑ ตัวอย่างภาพยนตร์ Revenge of the Jedi จากดีวีดีโบนัสดิสก์ ในชุด Star Wars Trilogy Box Set [2004]
↑ Sansweet & Vilmur (2004). The Star Wars Poster Book . Chronicle Books. p. 124.
↑ Greg Dean Schmitz . "Star Wars Episode III: Revenge of the Sith — Greg's Preview" . Yahoo! Movies. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ February 19, 2007. สืบค้นเมื่อ March 5, 2007 .
↑ Masters, Kim (October 30, 2012). "Tangled Rights Could Tie Up Ultimate 'Star Wars' Box Set (Analysis)" . The Hollywood Reporter . สืบค้นเมื่อ November 12, 2012 .
บรรณานุกรม
Arnold, Alan. Once Upon a Galaxy: A Journal of Making the Empire Strikes Back . Sphere Books, London. 1980. ISBN 978-0-345-29075-5 .
แหล่งข้อมูลอื่น