วัคซีนดีเอ็นเอ
วิธีการผลิตวัคซีนดีเอ็นเอสำหรับไข้เวสต์ไนล์ ดูคำแปลโดยคลิ๊กดูรูปขยาย
วัคซีนดีเอ็นเอ (อังกฤษ : DNA vaccine ) เป็นวัคซีน ประเภทที่นำ (transfect) ลำดับดีเอ็นเอ ซึ่งเข้ารหัสแอนติเจน อย่างหนึ่งโดยเฉพาะเข้าไปในเซลล์ ของสิ่งมีชีวิต เพื่อกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกัน ตอบสนอง[ 1] [ 2]
วัคซีนออกฤทธิ์โดยนำพลาสมิด เข้าไปในเซลล์ พลาสมิดได้สร้างขึ้นผ่านพันธุวิศวกรรม ให้มีดีเอ็นเอซึ่งเข้ารหัสแอนติเจนที่ต้องการให้ภูมิคุ้มกันตอบสนอง โดยเซลล์จะเป็นผู้ผลิตแอนติเจนเอง[ 3]
วัคซีนนี้อาจมีข้อดีกว่าวัคซีนปกติ รวมทั้ง "ก่อการตอบสนองของภูมิคุ้มกันหลายรูปแบบอย่างครอบคลุมกว่า"[ 4]
มีวัคซีนดีเอ็นเอหลายอย่างที่ได้ทดสอบเพื่อใช้ในสัตว์ แล้ว[ 3]
ซึ่งในบางกรณีก็ก่อภูมิคุ้มกันโรคได้จริง ๆ แต่ในบางกรณีก็ไม่ได้[ 3]
มีงานวิจัย ที่พยายามใช้เทคโนโลยี นี้เพื่อป้องกันโรค ในมนุษย์ รวมทั้งโรคจากไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต และมะเร็ง [ 4]
ในเดือนสิงหาคม 2021 รัฐบาลอินเดีย ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนโควิด-19 ชนิดดีเอ็นเอคือ ZyCoV-D ในภาวะฉุกเฉิน
บริษัทยาอินเดียคือ Cadila Healthcare เป็นผู้พัฒนา เป็นวัคซีนดีเอ็นเอแรกในโลกที่อนุมัติให้ใช้กับมนุษย์[ 5]
ข้อมูลพื้นฐาน
วัคซีนธรรมดาอาจมีส่วนประกอบเป็นแอนติเจน โดยเฉพาะ ๆ จากจุลชีพก่อโรค หรืออาจเป็นไวรัสก่อโรคที่ลดฤทธิ์ ซึ่งกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันตอบสนอง
วัคซีนดีเอ็นเอเป็นวัคซีนสารพันธุกรรม (genetic vaccine) เพราะมีข้อมูลทางพันธุกรรม (เป็นดีเอ็นเอ หรืออาร์เอ็นเอ ) ที่เข้ารหัสโปรตีนของจุลชีพที่มีภาวะเป็นแอนติเจน
วัคซีนดีเอ็นเอมีดีเอ็นเอ ที่เข้ารหัสแอนติเจนโดยเฉพาะ ๆ จากจุลชีพก่อโรค
เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายแล้วเข้าไปในเซลล์ กระบวนการธรรมชาติของเซลล์ก็จะสังเคราะห์โปรตีน อาศัยรหัสพันธุกรรมในพลาสมิดที่นำเข้าไปในเซลล์
เพราะโปรตีนเช่นนี้มีลำดับกรดอะมิโน ที่เป็นลักษณะพิเศษของแบคทีเรียหรือไวรัส จึงทำให้ร่างกายรู้ได้ว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม เมื่อเซลล์ผลิตโปรตีนเช่นนี้แล้วส่งไปที่ผิวเซลล์ ระบบภูมิคุ้มกันก็จะรู้ตัวแล้วเริ่มตอบสนอง[ 6] [ 7]
ประวัติ
ในปี 1983 นักไวรัสวิทยา ที่กระทรวงสาธารณสุขรัฐนิวยอร์ก ได้ประดิษฐ์วิธีทางพันธุวิศวกรรม เพื่อสร้างวัคซีนดีเอ็นเอรวมใหม่ (recombinant DNA) คือได้แปลงวัคซีนฝีดาษ ธรรมดาให้เป็นวัคซีน ที่สามารถใช้ป้องกันโรคอื่น ๆ[ 8]
ทำโดยแทรกยีนหนึ่งจากไวรัสอื่น ๆ (ได้แก่ไวรัสเริม ไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสไข้หวัดใหญ่ )[ 9] [ 10]
ต่อมาในปี 1993 นักเคมีชีวภาพ ที่แหล็บวิจัยของบริษัทเมอร์ค ได้แสดงว่า การฉีดพลาสมิด ที่เข้ารหัสยีนแอนติเจน ของไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันหนูไม่ให้ติดโรค (ที่จงใจทำให้ติด)[ 11]
ต่อมาในปี 2016 สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ ได้เริ่มทดลองวัคซีนดีเอ็นเอเพื่อป้องกันไวรัสซิกา ในมนุษย์
ซึ่งมีแผนรับอาสาสมัคร 120 คนอายุระหว่าง 18-35 ปี
วัคซีนจะฉีดเข้าที่ต้นแขนด้วยความดัน สูง
แต่จนถึงเดือนสิงหาคม 2016 การผลิตวัคซีนให้ได้มาก ๆ ก็ยังไม่ลงตัว
อนึ่ง บริษัท Inovio Pharmaceuticals และ GeneOne Life Science ได้เริ่มทดลองวัคซีนดีเอ็นเออีกชนิดสำหรับไวรัสซิกาในเมืองไมแอมี [ 12]
การทดลองวัคซีนดีเอ็นเอป้องกันโรคเอชไอวี ก็กำลังดำเนินการอยู่อีกด้วย[ 13]
ในเดือนสิงหาคม 2021 รัฐบาลอินเดีย ได้ลงทะเบียนให้ใช้วัคซีนดีเอ็นเอ ZyCoV-D ในภาวะฉุกเฉินเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 โดยบริษัทยาอินเดีย Cadila Healthcare ได้พัฒนาวัคซีนนี้ขึ้น[ 5]
การประยุกต์ใช้
จนถึงปี 2021 ยังไม่มีวัคซีนดีเอ็นเอที่อนุมัติให้ใช้กับมนุษย์ในสหรัฐ
มีการทดลองน้อยมากที่กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันตอบสนองได้พอป้องกันโรค ดังนั้น เทคโนโลยี นี้จึงยังต้องพิสูจน์ว่ามีประสิทธิผล ในมนุษย์หรือไม่ต่อไป
แต่ก็มีวัคซีนดีเอ็นเอป้องกันโรคของม้า ที่ได้อนุมัติแล้ว[ 14]
อนึ่ง กำลังมีการตรวจสอบด้วยว่าสามารถใช้เทคนิคนี้เพื่อแก้พิษงูได้หรือไม่[ 1]
เทคโนโลยีนี้ยังสามารถใช้กระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีเพื่อรักษาโรคในทำนองเดียวกับสารภูมิต้านทานโมโนโคลน อีกด้วย[ 2]
ข้อดี
ไม่เสี่ยงทำให้ติดโรค[ 7]
โมเลกุลทั้งแบบ MHC class I และ MHC class II จะเป็นตัวนำแอนติเจนไปแสดงที่ผิวเซลล์[ 7]
สามารถเลือกชักนำให้เซลล์ที แบบ TH1 หรือ TH2 ตอบสนอง[ 7]
ภูมิคุ้มกันจะตอบสนองต่อแอนติเจนอย่างจำเพาะ
พัฒนาและผลิตได้ง่ายกว่า[ 7]
เก็บและขนส่งได้โดยไม่เสื่อม
มีราคาไม่แพง
ไม่ต้องสังเคราะห์เพปไทด์ ไม่ต้องเพาะหรือทำโปรตีนรวมใหม่ (recombinant protein) ให้บริสุทธิ์ หรือเติมสารเสริมภูมิคุ้มกัน ที่เป็นพิษ[ 15]
สารอิมมูโนเจน /แอนติเจน ที่ชักนำให้เกิดจะมีอยู่เป็นระยะเวลานาน[ 6]
ร่างกาย (in vivo) เป็นผู้ผลิตโปรตีนเอง จึงได้โปรตีนที่เหมือนธรรมชาติมากกว่า[ 6]
ข้อเสีย
จำกัดใช้กับสารอิมมูโนเจน (immunogen) หรือแอนติเจน ที่เป็นโปรตีน ไม่สามารถใช้กับแอนติเจนที่ไม่ใช่โปรตีน เช่น พอลิแซ็กคาไรด์ ของแบคทีเรีย
ร่างกายอาจตอบสนองต่อโปรตีนของแบคทีเรียหรือของปรสิตอย่างไม่คาดหมาย[ 7]
ยาฉีดจมูกแบบอนุภาคนาโนซึ่งเป็นพลาสมิดประกอบด้วยดีเอ็นเออาจมีผลต่อเซลล์ชนิดอื่นซึ่งไม่ได้ตั้งใจ เช่นเซลล์สมอง[ 16]
วัคซีนต่าง ๆ ที่เพาะด้วยสิ่งมีชีวิตอาจปนเปื้อนกันเมื่อผลิตในโรงงานเดียวกัน
มีพาหะ (เวกเตอร์) เป็นพลาสมิด
การออกแบบ
วัคซีนดีเอ็นเอก่อการตอบสนองของภูมิคุ้มกันได้ดีสุดเมื่อใช้พาหะพันธุกรรมชนิดที่เซลล์แสดงออก เป็นโปรตีนได้จำนวนมากที่สุด
ปกติจะเป็นพลาสมิด อันประกอบด้วยส่วน viral promoter ที่ดีซึ่งขับการถอดรหัส และการแปลรหัส ยีน (หรือ complementary DNA) ที่ต้องการ[ 17]
โดยอาจรวมส่วน Intron A (Interferon alfa-2b) เข้าด้วยเพื่อเพิ่มเสถียรภาพของเอ็มอาร์เอ็นเอ แล้วเพิ่มการแสดงออกของโปรตีน[ 18]
อนึ่ง ยังอาจรวมเอาส่วน termination signal หรือ polyadenylation ที่ขับการแสดงออกโปรตีนได้ดี เช่น ฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตของวัว (bovine growth hormone) หรือ beta globulin ของกระต่าย [ 6] [ 7] [ 19]
พาหะซึ่งมียีนหลายยีนที่ต้องการซึ่งเรียกว่า polycistronic vector บางครั้งจะทำขึ้นเพื่อให้แสดงออกอิมมูโนเจน มากกว่าหนึ่งอย่าง หรือให้แสดงออกอิมมูโนเจนบวกกับโปรตีนร่วมกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (immunostimulatory protein)[ 20]
เพราะพลาสมิดสามารถบรรจุรหัสพันธุกรรมได้เพียง ~200 Kbp การออกแบบให้สามารถแสดงออกโปรตีนได้ดีสุดจึงจำเป็น[ 20]
วิธีหนึ่งก็คือปรับใช้โคดอน ภายในเอ็มอาร์เอ็นเอของจุลชีพก่อโรคให้ได้ดีสุดสำหรับเซลล์ยูแคริโอต
คือ จุลชีพก่อโรคมักมี GC-content (guanine-cytosine content) ในอัตราที่ต่างกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นเป้า ดังนั้น การเปลี่ยนลำดับยีนของอิมมูโนเจน ให้มีโคดอนเหมือนกับที่มักเกิดในสิ่งมีชีวิตอาจทำให้แสดงออกโปรตีนได้ดีกว่า[ 21]
ประเด็นที่ต้องพิจารณาอีกอย่างก็คือการเลือกลำดับ promoter
นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ลำดับยีนที่เรียกว่า SV40 promoter ที่อาจก่อเนื้องอก ในลิง และมนุษย์ จนกระทั่งพบว่าส่วน promoter จากไวรัสก่อมะเร็งไก่ คือ Rous Sarcoma Virus มีอัตราการแสดงออกที่สูงกว่า[ 6]
ต่อมาไม่นานนี้จึงพบว่า สามารถเพิ่มอัตราการแสดงออกและการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในสัตว์ตัวแบบโดยใช้ส่วน immediate-early (MIE) promoter ของซัยโตเมกาโลไวรัส (CMV ) และใช้ cis-acting transcriptional element (หรือ cis-regulatory element) จากรีโทรไวรัส (retrovirus)[ 22]
วิธีเพิ่มอัตราการแสดงออกของโปรตีนอื่น ๆ รวมทั้งการการแทรกลำดับ enhancer sequence, อินทรอนสังเคราะห์ (synthetic introns), ลำดับ tripartite leader (TPL) จากอะดีโนไวรัส และการเปลี่ยนปรับปรุงส่วน polyadenylation และ termination signal [ 6]
ตัวอย่างพลาสมิดสำหรับวัคซีนดีเอ็นเออย่างหนึ่งก็คือ pVAC (ของบริษัท InvivoGen) ซึ่งใช้ส่วน SV40 promoter
ความไม่เสถียรภาพของโครงสร้างดีเอ็นเอเป็นปัญหาสำคัญสำหรับผู้ผลิตพลาสมิด ของการฉีดวัคซีนดีเอ็นเอ และของการบำบัดด้วยยีน[ 23]
ส่วนต่าง ๆ ที่เป็นแกนหลัก (backbone) ของพลาสมิดอาจมีส่วนในการสร้างความไม่เสถียรภาพ
รูปแบบลำดับยีนอันก่อความไม่เสถียรภาพที่รู้แล้วรวมทั้ง direct repeat , inverted repeat , tandem repeat ซึ่งพบใน cloning vector และ expression vector ที่มีขายทั่วไป
ดังนั้น การลดหรือการกำจัดลำดับยีนภายในแกนหลักของพลาสมิดที่ไม่เข้ารหัสโปรตีนและไม่จำเป็น ก็จะลดโอกาสเกิดความไม่เสถียรภาพโดยตรง และดังนั้น ลดโอกาสการเกิดยีนรวมกันใหม่เนื่องกับพลาสมิด[ 24]
กลไกของพลาสมิด
เมื่อพลาสมิดเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์ แล้ว มันก็จะถอดรหัสเป็นเพปไทด์ ซึ่งเป็นแอนติเจน แปลกปลอม
โมเลกุลคอมเพล็กซ์ major histocompatibility complex (MHC) ทั้ง class I และ II ของเซลล์ก็จะนำแอนติเจนไปแสดงที่ผิวเซลล์
เซลล์ที่แสดงแอนติเจน (antigen-presenting cell) ก็จะเคลื่อนย้ายไปยังต่อมน้ำเหลือง แล้วแสดงแอนติเจนและโมเลกุลที่ช่วยกระตุ้น เป็นการส่งสัญญาณ ให้กับเซลล์ที แล้วเริ่มการตอบสนองของภูมิต้านทาน[ 25]
รูปแบบโปรตีน/ดีเอ็นเอ
สารอิมมูโนเจน สามารถส่งเข้าไปยังส่วนโดยเฉพาะ ๆ ของเซลล์เพื่อเพิ่มการตอบสนองของแอนติบอดี หรือของเซลล์ทีที่ฆ่าเซลล์ (cytotoxic T-cell)
แอนติเจนที่หลั่งออกหรือยึดอยู่กับเยื่อหุ้มเซลล์ จะกระตุ้นการตอบสนองของแอนติบอดีได้ดีกว่าแอนติเจนที่อยู่ในไซโทซอล การตอบสนองของเซลล์ทีที่ฆ่าเซลล์อาจเพิ่มได้โดยปรับให้แอนติเจนสลายตัวในไซโทพลาซึม แล้วเข้าสู่กระบวนการส่งแอนติเจนไปที่ผิวเซลล์ของ major histocompatibility complex (MHC) class I[ 7]
ซึ่งปกติทำโดยเพิ่มยูบิควิติน (ubiquitin) ไปที่ยีนโปรตีนด้านเอ็น-เทอร์มินัส [ 26] [ 27] [ 28]
คอนฟอร์เมชันของโปรตีนยังมีผลต่อการตอบสนองของแอนติบอดีอีกด้วย
โครงสร้างที่เป็นระเบียบ (เช่น อนุภาคไวรัส) ได้ผลดีกว่าโครงสร้างอันไม่มีระเบียบ[ 29]
มินิยีน (หรือ MHC class I epitopes ) จากจุลชีพก่อโรค ชนิดต่าง ๆ สามารถเพิ่มการตอบสนองของเซลล์ทีที่ฆ่าเซลล์เพื่อต่อต้านจุลชีพก่อโรคบางชนิด โดยเฉพาะเมื่อรวม epitope ชนิด TH เข้าไปด้วย[ 7]
การส่งเข้าไปในเซลล์
วัคซีนดีเอ็นเอและการบำบัดด้วยยีนจะมีเทคนิคคล้าย ๆ กัน
มีวิธีส่งวัคซีนดีเอ็นเอเข้าไปในเนื้อเยื่อ ของสัตว์หลายอย่าง
ในปี 1999 วิธียอดนิยมเมื่อฉีดวัคซีนดีเอ็นเอในน้ำเกลือ ก็คือ ใช้เข็มฉีดยาธรรมดา หรือใช้ปืนยิงยีน [ 30]
แต่หลังจากนั้นก็มีเทคนิคใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
การฉีดดีเอ็นเอในน้ำเกลือ
วัคซีนดีเอ็นเอในน้ำเกลือ ปกติจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อโครงร่าง หรือเข้าใต้ผิวหนัง เพื่อส่งดีเอ็นเอเข้าไปในร่างกายภายนอกเซลล์
ซึ่งสามารถช่วยด้วย
กระบวนการ electroporation [ 31]
ทำใยกล้ามเนื้อให้เสียหายชั่วคราวด้วยพิษต่อกล้ามเนื้อ (myotoxin) เช่นยาชา bupivacaine
ใช้สารละลายที่ความดันออสโมซิสสูงกว่าเลือด เช่น น้ำเกลือ หรือซูโครส [ 6]
ภูมิคุ้มกันจะตอบสนองต่อวิธีนี้โดยขึ้นกับปัจจัยรวมทั้งชนิดเข็มฉีดยาที่ใช้[ 15]
การวางเข็ม ฉีดเร็วแค่ไหน ปริมาณการฉีด ชนิดกล้ามเนื้อ อายุ เพศ และสภาพร่างกายของผู้รับวัคซีน[ 6]
ปืนยิงยีน
ปืนยิงยีน (gene gun) สามารถยิงดีเอ็นเอในพลาสมิด (pDNA ) โดยมีอนุภาคทอง หรือทังสเตน อันดูดดีเอ็นเอเข้าไปเป็นลูกกระสุน ให้เข้าไปในเข้าไปในเซลล์ที่ต้องการ โดยใช้ฮีเลียม อัดเป็นตัวดันกระสุน[ 6] [ 20]
การส่งยาทางเยื่อบุ
วิธีการส่งยาทางอื่นรวมทั้งการฉีดยาพ่นเป็นดีเอ็นเอเปล่า (naked DNA) ที่ผิวเยื่อบุ/เยื่อเมือก ต่าง ๆ เช่น ที่จมูก หรือที่ปอด [ 20]
ยาหยอดตา[ 32]
และยาทาช่องคลอด[ 20]
ยาที่ส่งผ่านเยื่อบุได้สำเร็จแล้วรวมทั้งชนิดที่ใช้ลิโปโซม หุ้มดีเอ็นเอโดยมีประจุบวก[ 7] ,
ไมโครสเฟียร์ที่ย่อยสลายทางชีวภาพ ได้[ 33] [ 20] ,
เชื้อ Salmonella ลดฤทธิ์ เป็นเวกเตอร์สำหรับส่งดีเอ็นเอทางปาก[ 34] ,
เชื้อ Shigella หรือ Listeria เพื่อใช้เป็นเวกเตอร์ทางปาก สำหรับเยื่อบุลำไส้[ 35]
และเวกเตอร์อะดีโนไวรัส ลูกผสม[ 20]
ELI immunization
expression library immunization เป็นการสร้างเวกเตอร์ที่ได้โคลนยีนต่าง ๆ อันแสดงออกโปรตีนแต่ละชนิดของจุลชีพก่อโรคแล้วฉีดเป็นวัคซีน
เมื่อใช้เทคนิคนี้ ก็อาจสามารถส่งยีนของจุลชีพทั้งหมดไปที่เซลล์ได้พร้อม ๆ กัน ซึ่งอาจมีประโยชน์สำหรับจุลชีพก่อโรคที่ลดฤทธิ์ หรือเพาะได้ยาก[ 6]
วิธีนี้ยังสามารถใช้ระบุว่า ยีนตัวไหนของจุลชีพทำให้คุ้มกันตอบสนองแล้วป้องกันโรคได้
ซึ่งใช้ตรวจสอบอย่างสำเร็จแล้วกับแบคทีเรีย Mycoplasma pulmonis ซึ่งเป็นจุลชีพก่อโรคปอดที่มีจีโนม ค่อนข้างเล็กในหนู
แม้แต่ expression library ที่ไม่สมบูรณ์ก็ยังสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้[ 36]
ตารางเปรียบเทียบ
สรุปวิธีการส่งดีเอ็นเอ ในพลาสมิด
วิธีการส่ง
สูตรผสม
เนื้อเยื่อเป้าหมาย
ปริมาณดีเอ็นเอ
การฉีดยา
ด้วยเข็มฉีดยา
สารละลาย ในน้ำเกลือ
เข้ากล้ามเนื้อโครงร่าง , เข้าชั้นผิวหนัง , (ส่วนการให้ผ่านเส้นลือดดำ , ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง และฉีดเข้าช่องท้องจะได้ผลสำเร็จต่าง ๆ กัน)
ปริมาณมาก (ประมาณ 100-200 ไมโครกรัม )
ปืนยิงยีน
อนุภาคทอง ที่เคลือบด้วยดีเอ็นเอ
ที่หนังกำพร้า ของท้อง, เยื่อบุช่องคลอด, ที่กล้าม เนื้อหรืออวัยวะอื่น ๆ ซึ่งเจาะให้เข้าถึงได้
ปริมาณน้อย (อาจน้อยถึง 16 นาโนกรัม )
การฉีดอัดแก๊ส (pneumatic)
สารละลาย
ที่หนังกำพร้า
ปริมาณมาก (อาจถึง 300 ไมโครกรัม )
ยาทาภายนอก
สารละลาย
ตา ช่องคลอด
ปริมาณน้อย (ไม่เกิน 100 ไมโครกรัม )
Cytofectin-mediated
ไลโปโซม มีประจุบวก, ไมโครสเฟียร์, เวกเตอร์อะดีโนไวรัส ลูกผสม, เวกเตอร์ Shigella ที่ลดฤทธิ์แล้ว , วัคซีนแบบพ่นที่ประกอบด้วยลิพิด มีประจุบวก
ในกล้ามเนื้อ, ผ่านเส้นเลือดดำ (เพื่อให้เกิดผลที่เนื้อเยื่อทั่วร่างกาย), เข้าช่องท้อง, ยากินเพื่อให้เกิดผลที่เยื่อเมือกของลำไส้, ยาพ่นที่ให้เกิดผลที่เยื่อเมือกของจมูกหรือปอด
ต่าง ๆ กัน
ข้อดีและข้อเสียของวิธีการส่งวัคซีนดีเอ็นเอที่ใช้ทั่วไป
วิธี
ข้อดี
ข้อเสีย
การฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าหนัง
ไม่ต้องใช้วิธีพิเศษ
การแสดงออกของโปรตีนค่อนข้างคงยืนหรือยาวนาน
ดีเอ็นเอในพลาสมิดที่ใช้จะกระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
สภาพเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อทำให้รับยาอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ต้องใช้ดีเอ็นเอนค่อนข้างมาก
อาจไม่ต้องการการตอบสนองของเซลล์ทีเฮลเปอร์ แบบ Th1
ปืนยิงยีน
ยิงดีเอ็นเอเข้าไปในเซลล์โดยตรง
ใช้ดีเอ็นเอปริมาณน้อย
อาจไม่ต้องการการตอบสนองของเซลล์ทีเฮลเปอร์ แบบ Th2
ต้องใช้อนุภาคที่ไม่มีฤทธิ์ยาเป็นตัวส่งยา
การฉีดอัดแก๊ส
ไม่ต้องใช้อนุภาคอะไรเป็นตัวส่งยา
ดีเอ็นเอสามารถส่งไปยังเซลล์ที่ลึกเป็นมิลลิเมตร จนถึงเซนติเมตร ใต้หนัง
เกิดแรงเฉือน/แรงเชียร์อย่างสำคัญต่อดีเอ็นเอเมื่อฉีดด้วยความดันสูง
การแสดงออกของโปรตีนน้อยกว่าเป็น 10 เท่า และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันก็น้อยด้วย
ต้องใช้ดีเอ็นเอปริมาณมาก (อาจถึง 300 ไมโครกรัม )
การส่งดีเอ็นเอที่อำนวยด้วยไลโปโซม
สามารถก่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันระดับสูง
สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการส่งดีเอ็นเอที่ส่งผ่านเส้นเลือดดำ
วัคซีนที่ส่งผ่านเส้นเลือดดำอาจส่งดีเอ็นเอไปที่เนื้อเยื่อทั้งหมด
การส่งยาดีเอ็นเอที่ประกอบด้วยไลโพโซมอาจทำให้เยื่อเมือกไกล ๆ แสดงออกโปรตีนร่วมกับเนื้อเยื่อจมูกเอง และก่อการตองสนองของสารภูมิต้านทาน แบบ IgA
ความเป็นพิษ
ไม่ได้ผลในเลือด
ขนาดยา
วิธีการส่งยาเป็นตัวกำหนดขนาดยาที่ต้องใช้เพื่อให้เกิดภูมิต้านทานโรค
การฉีดยาในน้ำเกลือจะต้องใช้ดีเอ็นเอปริมาณต่าง ๆ กัน เริ่มตั้งแต่ 10 ไมโครกรัม จนถึง 1 มิลลิกรัม เทียบกับการใช้ปืนยิงยีน ที่ใช้น้อยกว่า 100-1,000 เท่า [ 37]
แม้ปกติแล้วต้องใช้ 0.2-20 ไมโครกรัม แต่ก็มีรายงานว่าใช้น้อยถึง 16 นาโนกรัม อยู่เหมือนกัน[ 6]
โดยจะต่าง ๆ กันขึ้นอยู่กับฉีดให้สัตว์ชนิดไหน
ตัวอย่างเช่น หนู ใช้ดีเอ็นเอประมาณ 10 เท่าน้อยกว่าไพรเมต [ 7]
การฉีดผสมน้ำเกลือต้องใช้ดีเอ็นเอมากกว่าเพราะส่งดีเอ็นเอเข้าไปยังบริเวณช่องว่างนอกเซลล์ของเนื้อเยื่อ ที่เป็นเป้า (ปกติจะเป็นกล้ามเนื้อ ) แล้วต้องผ่านอุปสรรคต่าง ๆ (เช่น ชั้น basal lamina ของสารเคลือบเซลล์ และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน จำนวนมาก) ก่อนที่จะเข้าไปในเซลล์ได้ เทียบกับปืนยิงยีน ที่ยิงดีเอ็นเอเข้าไปในเซลล์โดยตรง จึงเสียดีเอ็นเอน้อยกว่า[ 6] [ 7]
การตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
เซลล์ทีเฮลเปอร์
การแสดงแอนติเจน แก่เซลล์ที มีผลให้เซลล์กลายเป็นเซลล์ CD8+ ชนิดเป็นพิษต่อเซลล์ (cytotoxic) หรือกลายเป็นเซลล์ทีเฮลเปอร์ CD4+ เซลล์ซึ่งเป็นพิษต่อเซลล์จะเข้าทำลายเซลล์อื่น ๆ ซึ่งมีโมเลกุลแปลกปลอมหรือผิดปกติที่ผิวเซลล์ ส่วนเซลล์ทีเฮลเปอร์ หรือเซลล์ Th จะประสานการตอบสนองของภูมิคุ้มกันโดยสื่อสารกับเซลล์อื่น ๆ ในกรณีโดยมาก เซลล์ทีจะรู้จักแอนติเจนก็ต่อเมื่อแอนติเจนได้ส่งมาที่ผิวเซลล์โดยโมเลกุล MHC (major histocompatibility complex) ของร่างกายเองเท่านั้น
วัคซีนดีเอ็นเอก่อการตอบสนองของเซลล์ทีเฮลเปอร์ (TH ) หลายรูปแบบรวมทั้งการเพิ่มเม็ดเลือดขาว อย่างรวดเร็ว (lymphoproliferation) และการตอบสนองทางไซโตไคน์ ในรูปแบบต่าง ๆ
ข้อดีเยี่ยมของวัคซีนดีเอ็นเอก็คือสามารถจัดให้ก่อการตอบสนองของเซลล์ทีชนิด TH1 หรือ TH2 ก็ได้[ 38]
โดยวัคซีนแต่ละชนิดจะทำให้มีการตอบสนองโดยเฉพาะ ๆ ในเรื่องของการแสดงออก lymphokine กับ chemokine, สารภูมิต้านทาน, การขนส่งเม็ดเลือดขาว และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด
การตอบสนองของเซลล์ทีอื่น ๆ
ชนิดของเซลล์ทีที่ตอบสนองจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ รวมทั้งการส่งวัคซีน ชนิดของอินมูโนเจน ที่แสดงออก รวมถึงการส่งวัคซีนเข้าไปยังช่องต่าง ๆ ในต่อมน้ำเหลือง (lymphoid compartment) โดยเฉพาะ ๆ[ 6] [ 39]
ทั่วไปแล้ว การฉีดผสมน้ำเกลือ (ไม่ว่าจะเข้าในกล้ามเนื้อหรือเข้าผิวหนัง) มักก่อการตอบสนองของเซลล์ทีชนิด TH1 และการใช้ปืนยิงยีนจะทำให้เซลล์ TH2 ตอบสนอง[ 38] [ 39]
นี่เป็นจริงสำหรับแอนติเจนที่จับกับเยื่อหุ้มเซลล์ และแอนติเจนในน้ำเลือด แต่ไม่จริงสำหรับแอนติเจนที่หลั่งออกมา ซึ่งมักจะก่อการตอบสนองของ TH2 ไม่ว่าจะส่งวัคซีนด้วยวิธีใด ๆ[ 40]
ปกติแล้ว ชนิดเซลล์ทีที่ตอบสนองจะคงยืนเป็นระยะยาวโดยไม่เปลี่ยนไปเมื่อติดโรค หรือแม้เมื่อก่อภูมิคุ้มกันโดยวิธีที่ปกติจะทำให้เซลล์ทีอีกอย่างตอบสนองในบุคคลที่ไม่เคยติดโรคหรือไม่เคยได้วัคซีนมาก่อน[ 38] [ 39]
แต่งานศึกษาปี 1995 ก็พบด้วยเหมือนกันว่าวัคซีนดีเอ็นเอที่เข้ารหัสโปรตีน circumsporozoite ของปรสิตมาลาเรียหนู คือ Plasmodium yoelii (ยีน PyCSP) เบื้องต้นทำให้เซลล์ TH2 ตอบสนอง แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็น TH1 หลังได้วัคซีนโดสที่สอง
เหตุที่เซลล์ทีชนิดต่าง ๆ ตอบสนอง
มีเรื่องที่ยังไม่ชัดเจนหลายอย่างรวมทั้งกลไกของวิธีต่าง ๆ ตามที่ว่า, รูปแบบแอนติเจนที่แสดงออก และรูปแบบการตอบสนองของเซลล์ทีชนิดต่าง ๆ
เบื้องแรกคาดว่า การฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่ต้องใช้ดีเอ็นเอปริมาณมากเป็นเหตุให้เซลล์ทีแบบ TH1 ตอบสนอง
แต่หลักฐานการทดลองกลับไม่แสดงว่าขนาดยามีผลต่อชนิดเซลล์ทีที่ตอบสนอง[ 38]
แต่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนสภาพ (differentiation) ของเซลล์ที่แสดงแอนติเจนคือ antigen-presenting cell (APC)
เซลล์เดนไดรต์ (dendritic cell ตัวย่อ DC) ซึ่งเป็น APC ชนิดหนึ่งอาจเปลี่ยนสภาพแล้วหลั่งอินเตอร์ลิวคิน ชนิด IL-12 ซึ่งสนับสนุนพัฒนาการของเซลล์ทีแบบ TH1 หรือหลั่งชนิด IL-4 ซึ่งสนับสนุนเซลล์แบบ TH2[ 41]
คือ เมื่อใช้วิธีการฉีด pDNA เข้าไปในร่างกาย DC ก็จะกลืนมันเข้าไปผ่านกระบวนการเอนโดไซโทซิส ซึ่งจะกระตุ้นให้ให้เซลล์เปลี่ยนสภาพเพื่อผลิตไซโตไคน์ ชนิด TH1 (คือ IL-12)[ 42]
เทียบกับปืนยิงยีนที่ส่งดีเอ็นเอเข้าไปในเซลล์โดยตรง จึงไม่กระตุ้น TH1 เยี่ยงนี้
ประโยชน์การทำให้เซลล์ทีโดยเฉพาะ ๆ ตอบสนองมากกว่า
การเกิดเซลล์ทีประเภทใดประเภทหนึ่งยิ่งกว่ามีประโยชน์ในเรื่องภูมิแพ้ และโรคภูมิต้านตนเอง
เมื่อมีโรคภูมิต้านตนเอง เป้าหมายการรักษาก็เพื่อเปลี่ยนการตอบสนองแบบ TH1 (คือเซลล์ทีซึ่งฆ่าเซลล์) ไปเป็นแบบ TH2 ซึ่งไม่ทำลายเซลล์
ซึ่งได้ประสบความสำเร็จแล้วในการชักนำ (priming) ให้เกิดการตอบสนองในรูปแบบที่ต้องการสำหรับสัตว์ทดลองพรีคลินิกในช่วงภาวะก่อนเกิดโรค (predisease)[ 7]
และได้ประสบความสำเร็จบ้างในการเปลี่ยนการตอบสนองสำหรับโรคที่เกิดแล้ว[ 43]
การตอบสนองของเซลล์ทีชนิดทำลายเซลล์
ข้อดีอย่างหนึ่งของวัคซีนดีเอ็นเอก็คือสามารถทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดทำลายเซลล์ (cytotoxic T lymphocyte, CTL) ตอบสนองโดยไม่มีความเสี่ยงเหมือนกับวัคซีนเชื้อเป็น
การตอบสนองของ CTL สามารถเกิดกับเอพิโทป ที่ CTL เข้าจับทั้งแบบ immunorecessive และ immunodominant[ 44]
ซึ่งคล้ายกับที่เกิดในการติดเชื้อ ตามธรรมชาติ
ดังนั้น วัคซีนจึงอาจมีประโยชน์ในการตรวจสอบเอพิโทปที่ CTL เข้าจับและบทบาทของ CTL ในการสร้างภูมิคุ้มกัน
เซลล์ทีที่ฆ่าเซลล์สามารถรู้จำเพปไทด์ ขนาดเล็ก (เป็นกรดอะมิโน 8-10 หน่วย) ที่เข้าคอมเพล็กซ์กับโมเลกุล MHC class I[ 45]
เป็นเพปไทด์อนุพัทธ์จากโปรตีนในไซโทซอล ที่ได้สลายแล้วส่งไปให้โมเลกุล MHC class I ที่ยังใหม่ (nascent) ภายในร่างแหเอนโดพลาซึม (ER )[ 45]
การส่งผลิตภัณฑ์ยีนเข้าไปที่ ER โดยตรง (โดยสอดใส่ลำดับ ER insertion signal sequence ทางด้านเอ็น-เทอร์มินัส ) สามารถเพิ่มการตอบสนองของ CTL
ซึ่งประสบความสำเร็จแล้วกับไวรัสลูกผสม vaccinia ที่แสดงออกโปรตีน ไข้หวัดใหญ่ [ 45]
โดยหลักการนี้ก็ควรจะใช้ได้กับวัคซีนดีเอ็นเอด้วย
การจัดให้แอนติเจนเสื่อมภายในเซลล์ (และดังนั้น จึงสามารถเข้าไปในวิถีเมแทบอลิซึม MHC class I pathway) โดยเพิ่มยูบิควิติน ซึ่งเป็นลำดับเพปไทด์ส่งสัญญาณ หรือโดยกลายพันธุ์ลำดับเพปไทด์ส่งสัญญาณอื่น ๆ พบว่ามีประสิทธิภาพเพิ่มการตอบสนองของ CTL[ 27]
การตอบสนองของ CTL ยังอาจเพิ่มได้ด้วยการฉีดโมเลกุลที่ร่วมกระตุ้น (co-stimulatory) วัคซีนดีเอ็นเอ โมเลกุลเช่น B7-1 หรือ B7-2 เพื่อต่อต้านนิวคลีโอโปรตีน ของไข้หวัดใหญ่ [ 44] [ 46]
หรือ GM-CSF เพื่อต่อต้านปรสิต มาลาเรีย Plasmodium yoelii ของหนู[ 47]
การฉีดวัคซีนดีเอ็นเอร่วมกับพลาดมิดที่เข้ารหัสโมเลกุลร่วมกระตุ้นเช่น IL-12 และ TCA3 พบว่าเพิ่มฤทธิ์ของ CTL ต่อแอนติเจนชนิดนิวคลีโอโปรตีนของ HIV-1 และไข้หวัดใหญ่ [ 46] [ 48]
การตอบสนองทางน้ำเหลือง (สารภูมิต้านทาน)
แผนภาพเค้าร่างของแอนติบอดี และแอนติเจน
การตอบสนองของแอนติบอดี /สารภูมิต้านทานที่วัคซีนดีเอ็นเอชักนำอาศัยปัจจัยหลายอย่างรวมทั้งชนิดของแอนติเจน
แหล่งที่พบแอนติเจน (เช่น ในเซลล์หรือหลั่งออก)
จำนวนโดส ความถี่ ขนาดวัคซีน
ตำแหน่งที่ฉีด และวิธีการส่งแอนติเจน
จลนศาสตร์
การตอบสนองทางน้ำเหลืองเพราะฉีดวัคซีนดีเอ็นเอครั้งเดียวอาจมีผลที่คงยืนกว่าการฉีดวัคซีนโปรตีนลูกผสม ครั้งเดียวเหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น การตอบสนองทางสารภูมิต้านทานต่อโปรตีนเปลือกหุ้ม (HBsAg) ของไวรัสตับอักเสบบี อาจคงยืนถึง 74 สัปดาห์ โดยไม่ต้องฉีดบูสต์
อีกอย่างหนึ่ง ภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตต่อต้านไกลโคโปรตีน haemagglutinin ของไข้หวัดใหญ่ก็ทำได้แล้วในหนูเมื่อใช้ปืนยิงยีน [ 49]
เซลล์ที่หลั่งสารภูมิต้านทาน (antibody-secreting cell, ASC) จะเคลื่อนไปยังไขกระดูก และม้าม แล้วสามารถสร้างสารภูมิต้านทานในระยะยาว โดยจะอยู่เป็นประจำที่นั่นหลังจากปีหนึ่ง[ 49]
ตารางต่อไปจะแสดงการตอบสนองทางสารภูมิต้านทานเมื่อติดเชื้อไวรัสโดยธรรมชาติ, เมื่อสร้างภูมิคุ้มกันด้วยโปรตีนลูกผสม (recombinant protein) และด้วยวัคซีนดีเอ็นเอ
วัคซีนดีเอ็นเอจะเพิ่มการตอบสนองทางสารภูมิต้านทานได้ช้ากว่าการติดเชื้อหรือโปรตีนลูกผสม
โดยอาจต้องใช้เวลานานถึง 12 สัปดาห์ แต่การฉีดบูสต์ก็ลดช่วงเวลานี้ได้เหมือนกัน
นี้น่าจะเป็นเพราะระดับแอนติเจนที่แสดงออกได้น้อยเป็นเวลาหลายอาทิตย์ ซึ่งต้องสนับสนุนการตอบสนองของสารภูมิต้านทานทั้งในระยะปฐมภูมิและทุติยภูมิ
มีการฉีดวัคซีนดีเอ็นเอที่แสดงออกโปรตีนเปลือก (envelope protein) ทั้งขนาดเล็กขนาดกลางของไวรัสตับอักเสบบีให้แก่ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
ซึ่งทำให้เซลล์ผลิตไซโตไคน์ โดยเฉพาะ คือ interferon gamma
อนึ่ง เซลล์ที ซึ่งรู้จักโปรตีนเปลือกหุ้มขนาดกลางก็เกิดขึ้นด้วย
แต่การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของคนไข้ก็ยังไม่พอควบคุมการติดเชื้อไวรัสบี[ 50]
การเปรียบเทียบการตอบสนองทางสารภูมิต้านทานเนื่องกับวัคซีนดีเอ็นเอ การฉีดโปรตีน หรือการติดเชื้อไวรัสโดยธรรมชาติ
การเกิดภูมิคุ้มกัน
วัคซีนดีเอ็นเอ
วัคซีนโปรตีนลูกผสม
การติดเชื้อโดยธรรมชาติ
ปริมาณแอนติเจน ที่ใช้
เป็นนาโนกรัม
เป็นไมโครกรัม
? (นาโนกรัม-ไมโครกรัม)
ระยะที่แสดงแอนติเจน
เป็นอาทิตย์ ๆ
< 1 สัปดาห์
หลายสัปดาห์
จลนศาสตร์การเกิดแอนติบอดี
เพิ่มช้า
เพิ่มเร็ว
เพิ่มเร็ว
จำนวนครั้งที่ฉีด*
1
2
1
Ab isotype (สัตว์ตัวแบบเป็นหนู)
C’-dependent หรือ C’-independent
C’-dependent
C’-independent
* เพื่อให้ได้อิมมูโนโกลบูลินจี ที่มี avidity สูงและให้เซลล์ที่หลั่งสารภูมิต้านทาน (ASC ) ย้ายไปอยู่ที่ไขกระดูก
อนึ่ง ความเข้มข้นของสารภูมิต้านที่วัคซีนดีเอ็นเอชักนำก็จะน้อยกว่าที่ได้จากโปรตีนลูกผสม
แต่สารภูมิต้านทานเนื่องกับวัคซีนดีเอ็นเอมีสัมพรรคภาพ (affinity) กับเอพิโทป ที่พับอยู่ในสภาพปกติ (native epitope) ที่แน่นกว่าสารภูมิต้านทานเนื่องกับโปรตีน
กล่าวอีกนัยก็คือ วัคซีนดีเอ็นเอก่อการตอบสนองเชิงคุณภาพที่ดีกว่า
โดยสารภูมิต้านทานจะเกิดด้วยการฉีดเพียงครั้งเดียว เทียบกับโปรตีนลูกผสมที่ต้องฉีดบูสต์
วัคซีนดีเอ็นเอยังสามารถก่อการตอบสนองของเซลล์ TH ในรูปแบบที่ต้องการ และดังนั้น จึงชักนำสารภูมิต้านทานใน isotype ที่ต้องการได้อีกด้วย ซึ่งไม่เกิดกับการติดเชื้อตามธรรมชาติหรือการฉีดโปรตีนเป็นวัคซีน
กลไกของภูมิคุ้มกันเนื่องกับดีเอ็นเอ
DNA uptake
เมื่อพบเป็นครั้งแรกว่า เซลล์กล้ามเนื้อ ในร่างกายดูดซึมดีเอ็นเอแล้วแสดงออกโปรตีน [ 51]
ตอนนั้นก็ยังคาดว่าเป็นเซลล์พิเศษเพราะมี T-tubule เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่
ต่อมาเมื่อตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน จึงเสนอว่า การดูดซึมดีเอ็นเอเข้าในเซลล์จะเกิดผ่านโครงสร้าง caveolae (หรือ non-clathrin coated pit) ที่เยื่อหุ้มเซลล์ [ 52]
แต่หลังจากนั้นกลับพบว่า เซลล์อื่น ๆ (เช่น keratinocyte , เซลล์สร้างเส้นใย และเซลล์เนื้อเยื่อบุผิว ชนิดเซลล์ลังเกอร์ฮันส์ ) ก็สามารถนำดีเอ็นเอเข้าในเซลล์เหมือนกัน[ 43] [ 53]
กลไกการนำดีเอ็นเอเข้าไปในเซลล์จึงยังไม่ชัดเจน
มีทฤษฎีหลักสองอย่าง คือ หนึ่ง เป็นการรับดีเอ็นเอเข้าไปอย่างไม่เฉพาะเจาะจง เช่น ดังที่พบในกระบวนการฟาโกไซโทซิส หรือพิโนไซโทซิส [ 20]
หรือ สอง เป็นการรับดีเอ็นเอเข้าไปผ่านหน่วยรับ โดยเฉพาะ ๆ[ 54]
ซึ่งอาจรวม หน่วยรับที่ผิวเซลล์ขนาด 30 กิโลดัลตัน หรือหน่วยรับของแมคโครฟาจ
หน่วยรับ 30 กิโลดัลตัน จะเข้ายึดอย่างเฉพาะเจาะจงกับส่วนดีเอ็นเอขนาด 4,500 bp (แล้วรับเข้าไปในเซลล์) โดยหน่วยรับพบอยู่ที่ antigen-presenting cell และเซลล์ที
ส่วนหน่วยรับของแมคโครฟาจสามารถจับกับมาโครโมเลกุล หลายชนิด รวมทั้งโพลีไรโบนิวคลีโอไทด์ (polyribonucleotide) ซึ่งเป็นหน่วยโครงสร้างพื้นฐานของดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ และดังนั้น จึงอาจเป็นตัวนำดีเอ็นเอเข้าไปในเซลล์[ 54] [ 55]
การดูดซึมดีเอ็นเอผ่านหน่วยรับอาจอำนวยโดยการมีลำดับยีนที่เป็นกัวนีนต่อ ๆ กัน (polyguanylate sequence) ในดีเอ็นเอ
มีวิธีส่งวัคซีนอื่น ๆ ที่ไม่ส่งเข้าไปในเซลล์ผ่านกระบวนการเช่นนี้ เช่น ปืนยิงยีน และการส่งยีนโดยยึดไว้กับลิโปโซม เป็นต้น
การแสดงแอนติเจนของเซลล์
เซลล์เดนไดรต์
งานศึกษาต่าง ๆ กับหนูไคมีรา พบว่าเซลล์อนุพัทธ์จากเซลล์ไขกระดูก รวมทั้งเซลล์เดนไดรต์ แมคโครฟาจ และเซลล์บี ที่ปรับตัวพิเศษ (specialized B cell) เป็นเซลล์แสดงแอนติเจน ที่รวม ๆ เรียกว่า professional antigen presenting cells[ 46] [ 56]
เซลล์ลังเกอร์ฮันส์ เป็นแมโครฟาจประจำเนื้อเยื่อผิวหนัง
พบว่า หลังจากใช้ปืนยิงยีน เข้าที่ผิวหนัง เซลล์ลังเกอร์ฮันส์ที่ได้ดีเอ็นเอก็จะย้ายไปที่ต่อมน้ำเหลือง ที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อแสดงแอนติเจน [ 7]
เทียบกับเมื่อฉีดวัคซีนในกล้ามเนื้อหรือในผิวหนัง จะเป็นเซลล์เดนไดรต์ ที่ได้ดีเอ็นเอ แล้วย้ายไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อแสดงแอนติเจน [ 53]
lj;oแมคโครฟาจที่ได้ดีเอ็นเออาจพบในเลือดที่เวียนไปในร่างกาย[ 57]
นอกจากการส่งดีเอ็นเอเข้าไปในเซลล์เดนไดรต์และแมคโครฟาจโดยตรง (direct transfection) แล้ว ยังเกิดกระบวนการ cross priming เมื่อให้วัคซีนไม่ว่าจะโดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เข้าผิวหนัง หรือผ่านปืนยิงยีน
เมื่อเซลล์อนุพัทธ์ของเซลล์ไขกระดูกหนึ่งแสดงเพปไทด์ที่อีกเซลล์หนึ่งสังเคราะห์ขึ้นด้วย MHC class 1 กระบวนการนี้เรียกว่า cross priming
ซึ่งเตรียมให้เซลล์ทีชนิดฆ่าเซลล์พร้อมในการตอบสนอง และดูจะสำคัญต่อความสมบูรณ์ในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันระยะปฐมภูมิ[ 7] [ 58]
เป้าหมาย
การฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อและเข้าผิวหนังทำให้ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่างกัน
ที่ผิวหนัง เซลล์ประเภท keratinocyte , เซลล์สร้างเส้นใย และเซลล์ลังเกอร์ฮันส์ สามารถดูดซึมดีเอ็นเอแล้วแสดงแอนติเจนที่ชักนำให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในระยะปฐมภูมิ
เซลล์ลังเกอร์ฮันส์ที่ได้ดีเอ็นเอจะย้ายออกจากผิวหนัง (ภายใน 12 ชม. ) เข้าไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้ ๆ ที่ ๆ เซลล์อำนวยให้เซลล์บี และเซลล์ที ตอบสนอง
ในกล้ามเนื้อโครงร่าง แม้เซลล์กล้ามเนื้อลาย จะเป็นเซลล์ที่รับดีเอ็นเอเข้าไปมากที่สุด ก็กลับไม่สำคัญต่อการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
แต่การฉีดดีเอ็นเอ เข้ากล้ามเนื้อจะทะลักเข้าไปในต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ ๆ ภายในไม่กี่นาที แล้วเข้าไปในเซลล์เดนไดรต์ ในที่นั้น ๆ แล้วก่อการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
ส่วนเซลล์กล้ามเนื้อ (myocyte) ที่ได้รับดีเอ็นเอแล้วจะเป็นหน่วยเก็บแอนติเจนสำรองเพื่อให้เซลล์แสดงแอนติเจน (APC ) นำไปแสดง[ 20] [ 51] [ 58]
การตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่คงยืน
วัคซีนดีเอ็นเอมีประสิทธิภาพสร้างความจำให้แก่ภูมิคุ้มกัน เพราะมีการแสดงคอมเพล็กซ์แอนติเจน-แอนติบอดีที่ follicular dendritic cells (FDC) ซึ่งช่วยกระตุ้นเซลล์บี อย่างมีกำลัง
แอนติเจนที่เซลล์เดนไดรต์ แสดงใน germinal center ของต่อมน้ำเหลือง ก็ยังช่วยกระตุ้นเซลล์ที อีกด้วย
FDC ช่วยให้ภูมิคุ้มกันเกิดความจำเพราะช่วงการผลิตแอนติบอดีจะคาบเกี่ยวกับการแสดงออกของแอนติเจนที่เป็นไปในระยะยาว จึงสามารถเกิดคอมเพล็กซ์แอนติเจน-แอนติบอดีที่ FDC แสดงได้[ 7]
อินเตอร์เฟียรอน
ทั้งเซลล์ทีเฮลเปอร์ และเซลล์ทีชนิดเป็นพิษต่อเซลล์ (cytotoxic T-cell) สามารถควบคุมการติดเชื้อไวรัสโดยหลั่งอินเตอร์เฟียรอน
แม้เซลล์ทีชนิดเป็นพิษปกติจะฆ่าเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส
แต่ก็สามารถระตุ้นให้หลั่งไซโตไคน์ ต่อต้านไวรัสเช่น IFN-γ (interferon gamma) และ TNF-α (tumor necrosis factor alpha) ซึ่งไม่ฆ่าเซลล์แต่จำกัดการติดเชื้อไวรัสโดยลด (down-regulating) การแสดงออก องค์ประกอบ ของไวรัสได้[ 59]
ดังนั้น วัคซีนดีเอ็นเอจึงสามารถใช้บรรเทาการติดเชื้อไวรัสอาศัยอินเตอร์เฟียรอนที่ไม่ทำลายเซลล์
ซึ่งได้พิสูจน์แล้วกับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี [ 60]
อนึ่ง IFN-γ เป็นโปรตีนส่งสัญญาณ ซึ่งสำคัญยิ่งในการควบคุมการติดเชื้อมาลาเรีย [ 61]
จึงมีลู่ทางว่าอาจใช้ทำวัคซีนดีเอ็นเอต้านมาลาเรียได้
การปรับการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถและอ้างอิง
↑ 1.0 1.1
Ramos, Henrique Roman; Ho, Paulo Lee. "Developing Snake Antivenom Sera by Genetic Immunization: A Review" . Clinical Toxinology in Asia Pacific and Africa . 2 : 401–414. {{cite journal }}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์ )
↑ 2.0 2.1
Liu, Shuying; Wang, Shixia; Lu, Shan (2016-04-27). "DNA immunization as a technology platform for monoclonal antibody induction" . Emerging Microbes & Infections . 5 (4): e33. doi :10.1038/emi.2016.27 . PMC 4855071 . PMID 27048742 .
↑ 3.0 3.1 3.2 "DNA vaccines" . World Health Organization.
↑ 4.0 4.1 Khan, Kishwar Hayat (2013-03-01). "DNA vaccines: roles against diseases" . Germs . 3 (1): 26–35. doi :10.11599/germs.2013.1034 . PMC 3882840 . PMID 24432284 . ability to induce a wider range of types of immune response
↑ 5.0 5.1 "India gives emergency approval for world's first COVID-19 DNA vaccine" . Reuters (ภาษาอังกฤษ). 2021-08-20. สืบค้นเมื่อ 2021-08-22 .
↑ 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12
Alarcon, JB; Waine, GW; McManus, DP (1999). "DNA Vaccines: Technology and Application as Anti-parasite and Anti-microbial Agents". Advances in Parasitology Volume 42 . Advances in Parasitology. Vol. 42. pp. 343–410. doi :10.1016/S0065-308X(08)60152-9 . ISBN 9780120317424 . PMID 10050276 .
↑ 7.00 7.01 7.02 7.03 7.04 7.05 7.06 7.07 7.08 7.09 7.10 7.11 7.12 7.13 7.14 7.15
Robinson, HL; Pertmer, TM (2000). DNA vaccines for viral infections: basic studies and applications . Advances in Virus Research. Vol. 55. pp. 1–74. doi :10.1016/S0065-3527(00)55001-5 . ISBN 9780120398553 . PMID 11050940 .
↑ White, LO; Gibb, E; Newham, HC; Richardson, MD; Warren, RC (July 1979). "Comparison of the growth of virulent and attenuated strains of Candida albicans in the kidneys of normal and cortison-treated mice by chitin assay". Mycopathologia . 67 (3): 173–7. doi :10.1007/bf00470753 . PMID 384256 . S2CID 31914107 .
↑ Paoletti, E; Lipinskas, BR; Samsonoff, C; Mercer, S; Panicali, D (January 1984). "Construction of live vaccines using genetically engineered poxviruses: biological activity of vaccinia virus recombinants expressing the hepatitis B virus surface antigen and the herpes simplex virus glycoprotein D" . Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America . 81 (1): 193–7. Bibcode :1984PNAS...81..193P . doi :10.1073/pnas.81.1.193 . PMC 344637 . PMID 6320164 .
↑ US Patent 4722848 - Method for immunizing animals with synthetically modified vaccinia virus
↑ Ulmer, J. B.; Donnelly, J. J.; Parker, S. E.; Rhodes, G. H.; Felgner, P. L.; Dwarki, V. J.; Gromkowski, S. H.; Deck, R. R.; DeWitt, C. M.; Friedman, A.; Et, Al (1993-03-19). "Heterologous protection against influenza by injection of DNA encoding a viral protein" . Science (ภาษาอังกฤษ). 259 (5102): 1745–1749. Bibcode :1993Sci...259.1745U . doi :10.1126/science.8456302 . ISSN 0036-8075 . PMID 8456302 .
↑ Regalado, Antonio (2016-08-02). "The U.S. government has begun testing its first Zika vaccine in humans" . MIT Technology Review Magazine. สืบค้นเมื่อ 2016-08-06 .
↑ Chen, Y; Wang, S; Lu, S (February 2014). "DNA Immunization for HIV Vaccine Development" . Vaccines . 2 (1): 138–59. doi :10.3390/vaccines2010138 . PMC 4494200 . PMID 26344472 .
↑ Ledgerwood, JE; Pierson, TC; Hubka, SA; Desai, N; Rucker, S; Gordon, IJ; Enama, ME; Nelson, S; Nason, M; Gu, W; Bundrant, N; Koup, RA; Bailer, RT; Mascola, JR; Nabel, GJ; Graham, BS (May 2011). "A West Nile virus DNA vaccine utilizing a modified promoter induces neutralizing antibody in younger and older healthy adults in a phase I clinical trial" . J Infect Dis . 203 (10): 1396–404. doi :10.1093/infdis/jir054 . PMC 3080891 . PMID 21398392 .
↑ 15.0 15.1 Sedegah, M; Hedstrom, R; Hobart, P; Hoffman, SL (October 1994). "Protection against malaria by immunization with plasmid DNA encoding circumsporozoite protein" . Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America . 91 (21): 9866–70. Bibcode :1994PNAS...91.9866S . doi :10.1073/pnas.91.21.9866 . JSTOR 2365723 . PMC 44918 . PMID 7937907 .
↑ Harmon, B. T.; Aly, A. E.; Padegimas, L.; Sesenoglu-Laird, O.; Cooper, M. J.; Waszczak, B. L. (2014). "Intranasal administration of plasmid DNA nanoparticles yields successful transfection and expression of a reporter protein in rat brain". Gene Therapy . 21 (5): 514–521. doi :10.1038/gt.2014.28 . PMID 24670994 . S2CID 5560134 .
↑ Mor, G; Klinman, DM; Shapiro, S; Hagiwara, E; Sedegah, M; Norman, JA; Hoffman, SL; Steinberg, AD (August 1995). "Complexity of the cytokine and antibody response elicited by immunizing mice with Plasmodium yoelii circumsporozoite protein plasmid DNA" . Journal of Immunology . 155 (4): 2039–46. PMID 7636255 .
↑ Leitner, WW; Seguin, MC; Ballou, WR; Seitz, JP; Schultz, AM; Sheehy, MJ; Lyon, JA (December 1997). "Immune responses induced by intramuscular or gene gun injection of protective deoxyribonucleic acid vaccines that express the circumsporozoite protein from Plasmodium berghei malaria parasites" . Journal of Immunology . 159 (12): 6112–9. PMID 9550412 .
↑ Böhm, W; Kuhröber, A; Paier, T; Mertens, T; Reimann, J; Schirmbeck, R (June 1996). "DNA vector constructs that prime hepatitis B surface antigen-specific cytotoxic T lymphocyte and antibody responses in mice after intramuscular injection" . Journal of Immunological Methods . 193 (1): 29–40. doi :10.1016/0022-1759(96)00035-X . PMID 8690928 .
↑ 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 20.5 20.6 20.7 20.8 Lewis, PJ; Babiuk, LA (1999). DNA vaccines: a review . Advances in Virus Research . Vol. 54. Academic Press. pp. 129–88. doi :10.1016/S0065-3527(08)60367-X . ISBN 978-0-12-039854-6 . PMID 10547676 .
↑ André, S; Seed, B; Eberle, J; Schraut, W; Bültmann, A; Haas, J (February 1998). "Increased immune response elicited by DNA vaccination with a synthetic gp120 sequence with optimized codon usage" . Journal of Virology . 72 (2): 1497–503. doi :10.1128/JVI.72.2.1497-1503.1998 . PMC 124631 . PMID 9445053 .
↑ Muthumani, K; Zhang, D; Dayes, NS; Hwang, DS; Calarota, SA; Choo, AY; Boyer, JD; Weiner, DB (September 2003). "Novel engineered HIV-1 East African Clade-A gp160 plasmid construct induces strong humoral and cell-mediated immune responses in vivo". Virology . 314 (1): 134–46. doi :10.1016/S0042-6822(03)00459-8 . PMID 14517067 .
↑ Oliveira, PH; Prather, KJ; Prazeres, DM; Monteiro, GA (September 2009). "Structural instability of plasmid biopharmaceuticals: challenges and implications" . Trends in Biotechnology . 27 (9): 503–11. doi :10.1016/j.tibtech.2009.06.004 . PMID 19656584 .
↑ Oliveira, PH; Mairhofer, J (September 2013). "Marker-free plasmids for biotechnological applications - implications and perspectives". Trends in Biotechnology . 31 (9): 539–47. doi :10.1016/j.tibtech.2013.06.001 . PMID 23830144 .
↑ Kutzler, MA; Weiner, DB (October 2008). "DNA vaccines: ready for prime time?" . Nature Reviews. Genetics . 9 (10): 776–88. doi :10.1038/nrg2432 . PMC 4317294 . PMID 18781156 .
↑
Rodriguez, F; Zhang, J; Whitton, JL (November 1997). "DNA immunization: ubiquitination of a viral protein enhances cytotoxic T-lymphocyte induction and antiviral protection but abrogates antibody induction" . Journal of Virology . 71 (11): 8497–503. doi :10.1128/JVI.71.11.8497-8503.1997 . PMC 192313 . PMID 9343207 .
↑ 27.0 27.1
Tobery, TW; Siliciano, RF (March 1997). "Targeting of HIV-1 antigens for rapid intracellular degradation enhances cytotoxic T lymphocyte (CTL) recognition and the induction of de novo CTL responses in vivo after immunization" . The Journal of Experimental Medicine . 185 (5): 909–20. doi :10.1084/jem.185.5.909 . PMC 2196169 . PMID 9120397 .
↑
Huebener, N; Fest, S; Strandsby, A; Michalsky, E; Preissner, R; Zeng, Y; Gaedicke, G; Lode, HN (July 2008). "A rationally designed tyrosine hydroxylase DNA vaccine induces specific antineuroblastoma immunity". Molecular Cancer Therapeutics . 7 (7): 2241–51. doi :10.1158/1535-7163.MCT-08-0109 . PMID 18645033 .
↑ Wunderlich, G; Moura, IC; del Portillo, HA (October 2000). "Genetic immunization of BALB/c mice with a plasmid bearing the gene coding for a hybrid merozoite surface protein 1-hepatitis B virus surface protein fusion protects mice against lethal Plasmodium chabaudi chabaudi PC1 infection" . Infection and Immunity . 68 (10): 5839–45. doi :10.1128/IAI.68.10.5839-5845.2000 . PMC 101545 . PMID 10992493 .
↑ Weiner, DB; Kennedy, RC (1999). "Genetic vaccines" . Scientific American . 281 (1): 34–41. Bibcode :1999SciAm.281a..50W . doi :10.1038/scientificamerican0799-50 . PMID 10396782 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-03-25. สืบค้นเมื่อ 2007-11-21 .
↑ Widera, G; Austin, M; Rabussay, D; Goldbeck, C; Barnett, SW; Chen, M; Leung, L; Otten, GR; Thudium, K; Selby, MJ; Ulmer, JB (May 2000). "Increased DNA vaccine delivery and immunogenicity by electroporation in vivo" . Journal of Immunology . 164 (9): 4635–40. doi :10.4049/jimmunol.164.9.4635 . PMID 10779767 .
↑ Daheshia, M; Kuklin, N; Kanangat, S; Manickan, E; Rouse, BT (August 1997). "Suppression of ongoing ocular inflammatory disease by topical administration of plasmid DNA encoding IL-10" . Journal of Immunology . 159 (4): 1945–52. PMID 9257860 .
↑ Chen, Y; Webster, RG; Woodland, DL (March 1998). "Induction of CD8+ T cell responses to dominant and subdominant epitopes and protective immunity to Sendai virus infection by DNA vaccination" . Journal of Immunology . 160 (5): 2425–32. PMID 9498786 .
↑ Lode, HN; Huebener, N; Zeng, Y; Fest, S; Weixler, S; Gaedicke, G (December 2004). "DNA minigene vaccination for adjuvant neuroblastoma therapy". Annals of the New York Academy of Sciences . 1028 (1): 113–21. Bibcode :2004NYASA1028..113L . doi :10.1196/annals.1322.012 . PMID 15650237 . S2CID 27240738 .
↑ Sizemore, DR; Branstrom, AA; Sadoff, JC (October 1995). "Attenuated Shigella as a DNA delivery vehicle for DNA-mediated immunization" . Science . 270 (5234): 299–302. Bibcode :1995Sci...270..299S . doi :10.1126/science.270.5234.299 . PMID 7569980 . S2CID 12532901 .
↑ Barry, MA; Lai, WC; Johnston, SA (October 1995). "Protection against mycoplasma infection using expression-library immunization". Nature . 377 (6550): 632–5. Bibcode :1995Natur.377..632B . doi :10.1038/377632a0 . PMID 7566175 . S2CID 4306972 .
↑ Fynan, EF; Webster, RG; Fuller, DH; Haynes, JR; Santoro, JC; Robinson, HL (December 1993). "DNA vaccines: protective immunizations by parenteral, mucosal, and gene-gun inoculations" . Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America . 90 (24): 11478–82. Bibcode :1993PNAS...9011478F . doi :10.1073/pnas.90.24.11478 . PMC 48007 . PMID 8265577 .
↑ 38.0 38.1 38.2 38.3 Feltquate, DM; Heaney, S; Webster, RG; Robinson, HL (March 1997). "Different T helper cell types and antibody isotypes generated by saline and gene gun DNA immunization" . Journal of Immunology . 158 (5): 2278–84. PMID 9036975 .
↑ 39.0 39.1 39.2 Boyle, CM; Morin, M; Webster, RG; Robinson, HL (December 1996). "Role of different lymphoid tissues in the initiation and maintenance of DNA-raised antibody responses to the influenza virus H1 glycoprotein" . Journal of Virology . 70 (12): 9074–8. doi :10.1128/JVI.70.12.9074-9078.1996 . PMC 191015 . PMID 8971047 .
↑ Sällberg, M; Townsend, K; Chen, M; O'Dea, J; Banks, T; Jolly, DJ; Chang, SM; Lee, WT; Milich, DR (July 1997). "Characterization of humoral and CD4+ cellular responses after genetic immunization with retroviral vectors expressing different forms of the hepatitis B virus core and e antigens" . Journal of Virology . 71 (7): 5295–303. doi :10.1128/JVI.71.7.5295-5303.1997 . PMC 191766 . PMID 9188598 .
↑ Banchereau, J; Steinman, RM (March 1998). "Dendritic cells and the control of immunity". Nature . 392 (6673): 245–52. Bibcode :1998Natur.392..245B . doi :10.1038/32588 . PMID 9521319 . S2CID 4388748 .
↑ Jakob, T; Walker, PS; Krieg, AM; Udey, MC; Vogel, JC (September 1998). "Activation of cutaneous dendritic cells by CpG-containing oligodeoxynucleotides: a role for dendritic cells in the augmentation of Th1 responses by immunostimulatory DNA" . Journal of Immunology . 161 (6): 3042–9. PMID 9743369 .
↑ 43.0 43.1 Raz, E; Tighe, H; Sato, Y; Corr, M; Dudler, JA; Roman, M; Swain, SL; Spiegelberg, HL; Carson, DA (May 1996). "Preferential induction of a Th1 immune response and inhibition of specific IgE antibody formation by plasmid DNA immunization" . Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America . 93 (10): 5141–5. Bibcode :1996PNAS...93.5141R . doi :10.1073/pnas.93.10.5141 . PMC 39421 . PMID 8643542 .
↑ 44.0 44.1 Fu, TM; Friedman, A; Ulmer, JB; Liu, MA; Donnelly, JJ (April 1997). "Protective cellular immunity: cytotoxic T-lymphocyte responses against dominant and recessive epitopes of influenza virus nucleoprotein induced by DNA immunization" . Journal of Virology . 71 (4): 2715–21. doi :10.1128/JVI.71.4.2715-2721.1997 . PMC 191393 . PMID 9060624 .
↑ 45.0 45.1 45.2 Restifo, NP; Bacík, I; Irvine, KR; Yewdell, JW; McCabe, BJ; Anderson, RW; Eisenlohr, LC; Rosenberg, SA; Bennink, JR (May 1995). "Antigen processing in vivo and the elicitation of primary CTL responses" . Journal of Immunology . 154 (9): 4414–22. PMC 1952186 . PMID 7722298 .
↑ 46.0 46.1 46.2 Iwasaki, A; Stiernholm, BJ; Chan, AK; Berinstein, NL; Barber, BH (May 1997). "Enhanced CTL responses mediated by plasmid DNA immunogens encoding costimulatory molecules and cytokines" . Journal of Immunology . 158 (10): 4591–601. PMID 9144471 .
↑ Weiss, WR; Ishii, KJ; Hedstrom, RC; Sedegah, M; Ichino, M; Barnhart, K; Klinman, DM; Hoffman, SL (September 1998). "A plasmid encoding murine granulocyte-macrophage colony-stimulating factor increases protection conferred by a malaria DNA vaccine" . Journal of Immunology . 161 (5): 2325–32. PMID 9725227 .
↑ Tsuji, T; Hamajima, K; Fukushima, J; Xin, KQ; Ishii, N; Aoki, I; Ishigatsubo, Y; Tani, K; และคณะ (April 1997). "Enhancement of cell-mediated immunity against HIV-1 induced by coinnoculation of plasmid-encoded HIV-1 antigen with plasmid expressing IL-12" . Journal of Immunology . 158 (8): 4008–13. PMID 9103472 .
↑ 49.0 49.1 Justewicz, DM; Webster, RG (October 1996). "Long-term maintenance of B cell immunity to influenza virus hemagglutinin in mice following DNA-based immunization". Virology . 224 (1): 10–7. doi :10.1006/viro.1996.0501 . PMID 8862394 .
↑ Mancini-Bourgine, M; Fontaine, H; Bréchot, C; Pol, S; Michel, ML (May 2006). "Immunogenicity of a hepatitis B DNA vaccine administered to chronic HBV carriers". Vaccine . 24 (21): 4482–9. doi :10.1016/j.vaccine.2005.08.013 . PMID 16310901 .
↑ 51.0 51.1 Wolff, JA; Dowty, ME; Jiao, S; Repetto, G; Berg, RK; Ludtke, JJ; Williams, P; Slautterback, DB (December 1992). "Expression of naked plasmids by cultured myotubes and entry of plasmids into T tubules and caveolae of mammalian skeletal muscle" . Journal of Cell Science . 103. 103 ( Pt 4) (4): 1249–59. doi :10.1242/jcs.103.4.1249 . PMID 1487500 .
↑ Anderson, RG; Kamen, BA; Rothberg, KG; Lacey, SW (January 1992). "Potocytosis: sequestration and transport of small molecules by caveolae" . Science . 255 (5043): 410–1. Bibcode :1992Sci...255..410A . doi :10.1126/science.1310359 . PMID 1310359 .
↑ 53.0 53.1 Casares, S; Inaba, K; Brumeanu, TD; Steinman, RM; Bona, CA (November 1997). "Antigen presentation by dendritic cells after immunization with DNA encoding a major histocompatibility complex class II-restricted viral epitope" . The Journal of Experimental Medicine . 186 (9): 1481–6. doi :10.1084/jem.186.9.1481 . PMC 2199124 . PMID 9348305 .
↑ 54.0 54.1 Bennett, RM; Gabor, GT; Merritt, MM (December 1985). "DNA binding to human leukocytes. Evidence for a receptor-mediated association, internalization, and degradation of DNA" . The Journal of Clinical Investigation . 76 (6): 2182–90. doi :10.1172/JCI112226 . PMC 424340 . PMID 3001145 .
↑ Bennet, RM; Hefeneider, SH; Bakke, A; Merritt, M; Smith, CA; Mourich, D; Heinrich, MC (May 1988). "The production and characterization of murine monoclonal antibodies to a DNA receptor on human leukocytes" . Journal of Immunology . 140 (9): 2937–42. PMID 2452195 .
↑ Corr, M; Lee, DJ; Carson, DA; Tighe, H (October 1996). "Gene vaccination with naked plasmid DNA: mechanism of CTL priming" . The Journal of Experimental Medicine . 184 (4): 1555–60. doi :10.1084/jem.184.4.1555 . PMC 2192808 . PMID 8879229 .
↑ Chattergoon, MA; Robinson, TM; Boyer, JD; Weiner, DB (June 1998). "Specific immune induction following DNA-based immunization through in vivo transfection and activation of macrophages/antigen-presenting cells" . Journal of Immunology . 160 (12): 5707–18. PMID 9637479 .
↑ 58.0 58.1 Torres, CA; Iwasaki, A; Barber, BH; Robinson, HL (May 1997). "Differential dependence on target site tissue for gene gun and intramuscular DNA immunizations" . Journal of Immunology . 158 (10): 4529–32. PMID 9144463 .
↑ Franco, A; Guidotti, LG; Hobbs, MV; Pasquetto, V; Chisari, FV (August 1997). "Pathogenetic effector function of CD4-positive T helper 1 cells in hepatitis B virus transgenic mice" . Journal of Immunology . 159 (4): 2001–8. PMID 9257867 .
↑ Mancini, M; Hadchouel, M; Davis, HL; Whalen, RG; Tiollais, P; Michel, ML (October 1996). "DNA-mediated immunization in a transgenic mouse model of the hepatitis B surface antigen chronic carrier state" . Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America . 93 (22): 12496–501. Bibcode :1996PNAS...9312496M . doi :10.1073/pnas.93.22.12496 . PMC 38020 . PMID 8901610 .
↑ Doolan, DL; Hoffman, SL (July 1999). "IL-12 and NK cells are required for antigen-specific adaptive immunity against malaria initiated by CD8+ T cells in the Plasmodium yoelii model" . Journal of Immunology . 163 (2): 884–92. PMID 10395683 .
แหล่งข้อมูลอื่น
การพัฒนา กลุ่ม การจัดการ วัคซีน
เรื่องโต้แย้ง บทความที่สัมพันธ์กัน