ประเทศไทยกับสหประชาชาติ ประเทศไทย ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ถือเป็นสมาชิกลำดับที่ 55 ของสหประชาชาติ[ 1]
ประวัติ
ปัญหากรณีพิพาทอินโดจีน
แต่เดิมประเทศไทยได้มีส่วนในประชาคมโลกตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้เป็นสมาชิกแรกเริ่มผู้ร่วมก่อตั้งสันนิบาตชาติ ตามสนธิสัญญาสันติภาพ ต่อมาหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยไม่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในรัฐผู้ร่วมก่อตั้งด้วยเนื่องจากเหตุผลและความจำเป็นต่าง ๆ ทั้งที่เป็นผู้ร่วมผลักดันมาตั้งแต่แรก จึงต้องสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่หลักจากก่อตั้งแล้ว[ 2]
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ประเทศไทยได้ยื่นใบสมัครเข้าร่วมต่อคณะมนตรีความมั่นคงเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งในเวลานั้นมีประเทศยื่นคำขอเข้าร่วมพร้อมกันอีก 8 ประเทศคือ อัลเบเนีย มองโกเลีย อัฟฆานิสถาน ทรานสจอร์แดน ไอร์แลนด์ โปรตุเกส ไอซแลนด์ และสวีเดน ซึ่งตามกฎบัตรสหประชาชาติระบุว่า จะต้องได้รับเสียงคะแนนจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาติอย่างน้อยจาก 2 ประเทศ จาก 11 ประเทศ ตามข้อ 4 วรรค 2 จึงจำเป็นต้องใช้เสียงสนับสนุนจากมหาอำนาจ 5 ชาติ ได้แก่ สหรัฐ สหราชอาณาจักร สหภาพสาธารณรัฐโซเวียต จีน และฝรั่งเศส ซึ่งขณะนั้นไทยมีข้อพิพาทจากการได้ดินแดนคืนจากอินโดจีนตามอนุสัญญาสันติภาพกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489[ 2]
จอมพล แปลก พิบูลสงคราม พูดคุยกับทหารที่กำลังจะเข้าสู่การรบในกรณีพิพาทอินโดจีน เมื่อปี พ.ศ. 2484
ในการประชุมพิจารณาของคณะกรรมาธิการได้ประชุมกันมากถึง 14 ครั้ง ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม ถึงวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งไม่มีประเทศใดขัดข้อง เว้นแต่ฝรั่งเศสที่ได้แถลงในการประชุมคณะกรรมาธิการเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ว่าฝรั่งเศสยังถือว่าฝรั่งเศสยังอยู่ในสถานะสงครามกับไทยอยู่ จนกว่าไทยจะคืนดินแดนตามอนุสัญญาสันติภาพกรุงโตเกียวให้กับอินโดจีนจึงไม่สนับสนุนไทย ส่วนผู้แทนสหภาพโซเวียตกล่าวว่าประเทศไทยยังไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับโซเวียตรัสเซีย จึงยังไม่สามารถสนับสนุนได้[ 2]
ฝ่ายไทยได้ชี้แจงต่อสหภาพโซเวียตว่า ไทยและโซเวียตได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันมานานแล้ว แต่การส่งทูตไปประจำถูกระงับเนื่องจากเหตุการณ์สงครามในยุโรป แต่ฝ่ายโซเวียตก็ยังติดใจในประเด็นที่รัฐบาลก่อน ๆ เคยเป็นปฏิบักษ์ต่อโซเวียตรัสเซีย ส่วนของฝรั่งเศส ไทยได้ปฏิเสธว่าไม่เคยมีสถานะสงครามกับฝรั่งเศส เนื่องจากยังไม่เคยประกาศสงครามต่อกัน รวมถึงไทยก็ได้ช่วยเหลือฝรั่งเศสมาตลอดระยะเวลาสงครามโลกและหลังจากนั้น ส่วนปัญหาดินแดนกับอินโดจีน ได้มีการหาทางยุติอย่างสันติวิธี ดั่งที่ไทยได้ส่งคณะผู้แทนนำโดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร เพื่อไปเจรจากับฝรั่งเศสที่กรุงวอชิงตัน และตอบรับข้อเสนอในการส่งเรื่องไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิจารณาของฝรั่งเศส และเหตุการณ์ความไม่สงบในอินโดจีนฝ่ายไทยก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เกิดจากความไม่สงบภายในเอง พร้อมทั้งกวดขันให้เจ้าหน้าที่ชายแดนระมัดระวังไม่ให้เกิดผลกระทบกับฝ่ายฝรั่งเศส[ 2]
จากนั้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2489 ฝรั่งเศสได้ถอนข้อเสนอที่จะส่งเรื่องไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เนื่องจากอ้างว่าประเทศไทยมีส่วนในเหตุการณ์ความไม่สงบในเสียมราฐพร้อมระบุว่ามีหลักฐาน และให้ไทยมาตกลงเรื่องดินแดนกับฝรั่งเศสก่อน มิฉะนั้นจะคัดค้านการเข้าเป็นสมาชิกกับสหประชาชาติของไทย[ 2]
การลงนามในอนุสัญญาสันติภาพโตเกียว ที่ทำให้ไทยได้ดินแดนคืนและฝรั่งเศสไม่พอใจ
ด้วยเหตุนี้เองประเทศไทยจึงขอเลื่อนการพิจารณาออกไป จากรอบการพิจารณาคำขอการเข้าเป็นสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคง ในวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2489 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับอีก 8 ประเทศที่เหลือที่ยื่นสมัครในรอบเดียวกัน โดยคณะมนตรีความมั่นคงใช้เวลาพิจารณา 2 วัน ปรากฎว่า พิจารณารับ อัฟกานิสถาน ไอซ์แลนด์ และสวีเดน ด้วยคะแนนเสียง 10 จาก 11 คะแนน ไอร์แลนด์ ได้คะแนนเสียง 9 คะแนน ค้านโดยสหภาพโซเวียต ทรานสจอร์แดน กับโปรตุเกส ได้คะแนนเสียง 8 คะแนน โปแลนด์และโซเวียตรุสเซียคัดค้าน อัลเบเนีย และมองโกเลีย ได้คะแนนเสียงสนับสนุน 5 คะแนน และ 6 คะแนนตามลำดับ[ 2]
จนกระทั่งวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 การเจรจาระหว่างไทยและฝรั่งเศสประสบผลสำเร็จ โดยผู้แทนทั้งสองประเทศได้ลงนามในความตกลงระงับในกรณีอินโดจีน ฝรั่งเศสจึงเปลี่ยนจากท่าทีขัดขวางเป็นสนับสนุนไทยในการเข้าเป็นสมาชิกในสหประชาชาติ จึงเหลือแค่เพียงท่าทีของสหภาพโซเวียต ประเทศไทยจึงได้ยื่นขอให้คณะมนตรีความมั่นคงได้พิจารณาคำขอเข้าร่วมของไทยใหม่เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 และไทยได้มอบหมายให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ได้เสด็จไปยังนิวยอร์กเพื่อพูดคุยกับสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2489 โดยเจรจาพูดคุยหลายวันจนกระทั่งฝ่ายสหภาพโซเวียตยอมถอนข้อขัดข้องในคณะมนตรีความมั่นคง และได้มีการประกาศรับรองประเทศไทยในฐานะของสมาชิกในสหประชาชาติในวันสุดท้ายของสมัยประชุม คือวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2489 โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการลงนาม เนื่องจาก ดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเวลานั้นเดินทางไปลงนามที่สหรัฐไม่ทันเนื่องจากผลการรับรองออกมากระชั้นชิดมาก[ 2]
เข้าร่วมสหประชาชาติ
สมัยประชุมในปี พ.ศ. 2501 ผู้แทนถาวรของไทยนั่งอยู่ในแถวสุดท้ายติดกับผู้แทนของสวีเดน
ในที่สุด ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหประชาชาติตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 13 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 โดยเป็นสมาชิกลำดับที่ 55[ 1] ซึ่งก่อตั้งหลังการก่อตั้งสหประชาชาติได้เพียง 1 ปี โดย ดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในเวลานั้น ได้ให้เห็นผลในการเข้าร่วมของประเทศไทยไว้[ 3] ดังนี้
เพื่อความมั่นคงของไทย เนื่องจากสหประชาชาติเป็นองค์การที่มีกำลังมากที่สุดที่สามารถธำรงสันติภาพและความมั่นคง และให้ความยุติธรรมกับประเทศเล็ก ๆ อย่างประเทศไทย
เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ประเทศไทยเป็นชาติเก่าแก่ชาติหนึ่ง เนื่องจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การโลกเป็นการยืนยันและรับรองฐานะของไทยอีกครั้งหนึ่ง
ประเทศไทยคาดหวังความช่วยเหลือจากสหประชาชาติในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
เพื่อแสดงให้โลกได้เห็นว่า ไทยประสงค์ที่จะร่วมมือในการสร้างสันติภาพและความมั่งคงของโลกอย่างจริงจัง
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2492 ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกับยูเนสโก เป็นสมาชิกลำดับที่ 48[ 4]
ประเทศไทยมีส่วนร่วมในภารกิจต่าง ๆ ของสหประชาชาติอย่างต่อเนื่องนับตังแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งในด้านของสันติภาพและการพัฒนาในด้านของสิทธิมนุษยชน[ 1] ปัจจุบันประเทศไทยทำงานร่วมกันกับสหประชาชาติผ่านคณะทำงานของสหประชาชาติที่เรียกว่า ทีมงานสหประชาชาติประจำประเทศ (UN Country Team) ซึ่งสำหรับประเทศไทยจะอยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือหุ้นส่วนกับสหประชาชาติ (United Nations Partnership Framework: UNPAF) ซึ่งยึดตามระดับรายได้ของประเทศที่ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง และไทยมีกรอบความร่วมมือลักษณะนี้กับสหประชาชาติมาแล้วทั้งสิ้น 3 ฉบับ[ 1]
หน่วยงานสหประชาชาติที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
อาคารที่ทำการสหประชาชาติประจำประเทศไทย ถนนราชดำเนินนอก
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้รับสมญาว่า เจนีวาแห่งเอเชีย เนื่องจากเป็นประเทศขนาดกลางที่มีความเป็นกลางในภูมิภาคเอเชีย จึงมีองค์การต่าง ๆ ของสหประชาชาติรวมไปถึงทบวงชำนัญพิเศษและองค์การระหว่างประเทศที่ไม่ใช่ของสหประชาชาติเข้ามาตั้งสำนักงานอยู่ จึงทำให้สะดวกในการประสานงานและจัดการประชุมขององค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยมีการผลักดันกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองและเอกสิทธิ์ให้กับองค์การระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่และเข้ามาร่วมประชุมในประเทศไทยอีกด้วย[ 1]
องค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย ตั้งอยู่ในกลุ่มอาคารที่ทำการของคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในห้าคณะกรรมการส่วนภูมิภาคของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ อยู่ในบริเวณถนนราชดำเนินนอก เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร [ 5] และมีหน่วยงานระดับภูมิภาคอื่น ๆ ตั้งกระจายอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ประกอบไปด้วย
อาคารสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก
กรุงเทพฯ และปริมณฑล
สำนักงานของหน่วยงานในสังกัดของสหประชาชาติในพื้นที่อื่นในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบไปด้วย
หมายเหตุ
กิจกรรม
กองบัญชาการสหประชาชาติ
ทหารไทยเข้าร่วมกองกำลังสหประชาชาติในสงครามเกาหลี ประเทศไทยได้เข้าร่วมการรบในสงครามเกาหลีในนามของกองบัญชาการสหประชาชาติ ในช่วงปี พ.ศ. 2493–2496 ตามคำเชิญของสหประชาชาติ ในช่วงของนายกรัฐมนตรี จอมพล แปลก พิบูลสงคราม โดยส่งกำลังรบทั้งจากกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ซึ่งการสนับสนุนการรบของไทยเป็นตัวแปรสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผลของหลายสมรภูมิ เช่น เนินพอร์กช็อป[ 32] และถอนกำลังผลัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2513 ตามความเห็นของสภากลาโหมไทย และทางการสหรัฐไม่ขัดข้อง โดยมีการจัดพิธีอำลาในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2513 ณ สนามไนท์ (Knight Field) ในกรุงโซล โดยมีโดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองบัญชาการสหประชาชาติ และผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้เป็นประธาน และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงาน เช่น นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ผู้แทนประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ผู้แทนชาติพันธมิตรต่าง ๆ พร้อมกับมีการสวนสนาม การยิงสลุต และในวันเดินทางกลับได้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ผู้แทนรัฐบาลเกาหลีใต้ ผู้แทนกองบัญชาการสหประชาชาติ พร้อมกับประชาชนชาวเกาหลีใต้ร่วมเดินทางมาส่งที่สนามบินคิมโป[ 33]
ประเทศไทยได้ปฏิบัติการในเกาหลีใต้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 จนถึง 23 มิถุนายน พ.ศ. 2515 ระยะเวลารวม 16 ปี 7 เดือน 15 วัน[ 33] ซึ่งไทยส่งกำลังพลเข้าร่วมจำนวน 23 ผลัด จำนวน 11,776[ 34] - 11,786[ 35] นาย มีผู้เสียชีวิต 125 นาย บาดเจ็บ 318 นาย ป่วย 503 นาย และสูญหาย 5 นาย[ 34]
สำนักงานนายทหารติดต่อประจำกองบัญชาการสหประชาชาติ
ทหารไทยประจำกองร้อยทหารเกียรติยศ (เครื่องแบบสีแดง) กองบัญชาการสหประชาชาติ
หลังจากการพักรบของสงครามเกาหลีในวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2496 ประเทศไทยได้จัดตั้ง สำนักงานนายทหารติดต่อประจำกองบัญชาการสหประชาชาติ [ 36] ขึ้นมา โดยครั้งแรกตั้งอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมีหัวหน้านายทหารติดต่อกองบัญชาการสหประชาชาติ ณ กรุงโตเกียว (หน.นตต.บก.สหประชาชาติ ณ กรุงโตเกียว) เป็นผู้บังคับบัญชา
จากนั้นในปี พ.ศ. 2500 กองบัญชาการสหประชาชาติได้ย้ายไปตั้ง ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และได้ให้ไทยส่งทหารมาปฏิบัติงานในตำแหน่งนายทหารติดต่อที่กรุงโซลอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2504 จากนั้นในปี พ.ศ. 2507 กระทรวงกลาโหมได้มีการปรับอัตราและจัดตั้งตำแหน่งใหม่ โดยให้ผู้ช่วยทูตทหารฝ่ายกองทัพบก ทำหน้าที่เป็นหัวหน้านายทหารติดต่อกองบัญชาการสหประชาชาติ ณ กรุงโซล (หน.นตต.บก.สหประชาชาติ ณ กรุงโซล) และให้นายทหารติดต่อสื่อสารอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาอยู่ภายใต้บังคับบัญชา และได้ยุบตำแหน่งหัวหน้านายทหารติดต่อกองบัญชาการสหประชาชาติ ณ กรุงโตเกียวเมื่อปี พ.ศ. 2514 คงเหลือเพียงตำแหน่งที่กรุงโซล พร้อมทั้งมอบหมายให้ผู้ช่วยทูตทหารไทยประจำโตเกียวทำหน้าที่นายทหารติดต่อกองบัญชาการสหประชาชาติ (ส่วนหลัง) และแก้ไขอัตราอีกครั้งในปี พ.ศ. 2551 โดยให้ผู้ช่วยทูตทหารฝ่ายกองทัพอากาศทำหน้าที่เป็นนายทหารติดต่อกองบัญชาการสหประชาชาติอีกตำแหน่งหนึ่ง
กองร้อยทหารเกียรติยศ
ทหารไทยในการรักษาสันติภาพที่ติมอร์-เลสเต
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในหมู่เกียรติยศสบทบ กองรร้อยทหารเกียรติยศ ประจำกองบัญชาการสหประชาชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 จนถึงปัจจุบัน โดยสมาชิกในกองร้อยทหารเกียรติยศเดิมประกอบด้วยกำลังจากทั้ง 16 ชาติที่เข้าร่วมรบสงครามเกาหลี ต่อมาเมื่อมีการถอนกำลังออกไปในปี พ.ศ. 2503 จึงเหลือกำลังอยู่เพียง 5 ชาติ คือ สหรัฐ สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ ไทย และตุรกี โดยตรุกีได้ถอนกำลังออกไปเมื่อปี พ.ศ. 2513 และประเทศฟิลิปปินส์ได้จัดกำลังเข้ามาแทนที่ และสหราชอาณาจักรได้ถอนกำลังออกไปเมื่อปี พ.ศ. 2536 เพื่อไปประจำการในฮ่องกง กองพลทหารราบที่ 2 ของสหรัฐจึงจัดกำลังเข้าทดแทน[ 33]
ปัจจุบันกองร้อยทหารเกียรติยศ กองบัญชาการสหประชาชาติประกอบไปด้วยกำลังพลจาก สหรัฐ เกาหลีใต้ ไทย และฟิลิปปินส์[ 37] โดยประเทศไทยจัดทหาร 1 หมู่เกียรติยศ จำนวน 6 นาย ประจำการอยู่ที่สำนักงานนายทหารติดต่อประจำกองบัญชาการสหประชาชาติ[ 38]
การรักษาสันติภาพ
กองร้อยหทารช่างไทยในซูดานใต้ (UNMISS )
ประเทศไทยได้มีส่วนร่วมกับสหประชาชาติในส่วนของการรักษาสันติภาพมาโดยตลอดทั้งในภูมิภาคและต่างภูมิภาค โดยได้มีการจัดตั้ง กองปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2543 มีหน้าที่หลักในการจัดส่งกำลังพลเข้าร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพและปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมภายนอกประเทศ และทำหน้าที่เป็นกองบัญชาการส่วนหลังสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยที่ปฏิบัติการรักษาสันติภาพในต่างประเทศ จากนั้นด้วยสถานการณ์โลกที่มีความขัดแย้งเกิดเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความต้องการกองกำลังรักษาสันติภาพมีเพิ่มมากขึ้น จึงมีการปรับโครงสร้างหน่วยงาน ยกขึ้นเป็น ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 อยู่ภายใต้สังกัดกรมยุทธการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย [ 39]
สำหรับปฏิบัติการรักษาสันติภาพในกรอบของสหประชาชาติที่ประเทศไทยเข้าร่วม มีทั้งการส่งเจ้าหน้าที่พลเรือน เจ้าหน้าที่หทารและตำรวจเข้าร่วมปฏิบัติการ ประกอบไปด้วย
บทบาทของคนไทยในสหประชาชาติ
บทบาทของคนไทยที่ได้เข้าร่วมในตำแหน่งต่าง ๆ ที่สำคัญของสหประชาชาติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประกอบไปด้วย[ 1]
ชื่อ-สกุล
ปี (พ.ศ.)
บทบาท
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
2499
ประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยประชุมที่ 11
2501
ประธานการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล (UNCLOS) ครั้งที่ 1
ถนัด คอมันตร์
2500
ประธานคณะกรรมการภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ
สิทธิ เศวตศิลา
2528
ประธานการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2528 ร่วมกันระหว่างสิทธิ เศวตศิลา กับหม่อมหลวงพีระพงศ์ เกษมศรี
หม่อมหลวงพีระพงศ์ เกษมศรี
2529
ประธานการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2529
อานันท์ ปันยารชุน
2546
ประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงด้านภัยคุกคาม ความท้าทายและการเปลี่ยนแปลง (High Level Panel on Threats, Challenges and Change) วาระปี พ.ศ. 2546
ศุภชัย พานิชภักดิ์
2548–2552
เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) วาระปี พ.ศ. 2548–2552
2553–2557
เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) วาระปี พ.ศ. 2553–2557
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
2554–2555
ประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรม และความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ 21 (CCPCJ) ธันวาคม พ.ศ. 2554 - ธันวาคม พ.ศ. 2555
สรรพสิทธิ์ คุ้มประพันธ์
2552–2555
สมาชิกคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิเด็กของสหประชาชาติ (CRC) วาระปี พ.ศ. 2552–2555
สำลี เปลี่ยนบางช้าง
2547–2552
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (WHO/SEARO) วาระปี พ.ศ. 2547–2552
2552–2557
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (WHO/SEARO) วาระปี พ.ศ. 2552–2557
วิทิต มันตาภรณ์
2547–2553
ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (United Nations Special Rapporteur on the Situation of Human Rights in the Democratic People's Republic of Korea) ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ปี พ.ศ. 2547–2553
2548–2550
ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านกระบวนการพิเศษแห่งสหประชาชาติ (Chairperson of the Coordinating Committee of the United Nations Special Procedures) ของสหประชาชาติ ปี พ.ศ. 2548–2550
2554
ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ (Chair of the International Commission of Inquiry on the Ivory Coast) ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2554
2554–2558
กรรมการในคณะกรรมการที่ปรึกษาของกองทุนเพื่อความมั่นคงแห่งมนุษย์ (Member of the Advisory Board on Human Security) ของกองทุนเพื่อความมั่นคงแห่งมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (United Nations Trust Fund for Human Security) พ.ศ. 2554–2558
2555–2559
กรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเทศซีเรีย (Commissioner on the Independent International Commission of Inquiry on Syria) ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ พ.ศ. 2555–2559
2564
ผู้เสนอรายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศกัมพูชา (United Nations Special Rapporteur on the Situation of Human Rights in Cambodia) เริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564
สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว
2554–2555
ประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council - HRC) วาระปี พ.ศ. 2554–2555
โสมสุดา ลียะวนิช
2552–2556
สมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก (WHC) วาระปี พ.ศ. 2552–2556
วิโรจน์ สุ่มใหญ่
2553–2558
สมาชิกคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (INCB) วาระปี พ.ศ. 2553–2558
2558–2563
ประธานและสมาชิกคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (INCB) วาระปี พ.ศ. 2558–2563
เกรียงศักดิ์ กิตติชัยเสรี
2556–2559
สมาชิกคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ (ILC) วาระปี พ.ศ. 2556–2559
2560–2568
ผู้พิพากษาศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ (ITLOS) วาระปี พ.ศ. 2560–2568
วิลาวรรณ มังคละธนะกุล
2566–2570
สมาชิกคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ (ILC) วาระปี พ.ศ. 2566–2570
มณเฑียร บุญตัน
2556–2559
สมาชิกคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) วาระปี พ.ศ. 2556–2559
2560–2563
สมาชิกคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) วาระปี พ.ศ. 2560–2563
เสาวลักษณ์ ทองก๊วย
2564–2567
สมาชิกคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) วาระปี พ.ศ. 2564–2567
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
ทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกา
ทวีปเอเชีย
ทวีปยุโรป โอเชียเนีย คณะทูต พหุภาคี