การพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กโดยสเปน เป็นเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งในการล่าอาณานิคมในทวีปอเมริกาโดยสเปน แผนการนี้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1519 และได้รับชัยชนะเหนือจักรวรรดิแอซเท็ก ในวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1521 เมื่อกองกำลังผสมระหว่างสเปน และตลัซกาลา นำโดยเอร์นัน กอร์เตส (Hernán Cortés) และชีโกะเตนกัตล์ผู้ลูก (Xicotencatl the Younger) ยึดกรุงเตโนชตีตลัน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิแอซเท็กได้สำเร็จ พระเจ้ามอกเตซูมาที่สอง ทรงเชื่อว่ากอร์เตสเป็นพระเจ้า จากการที่ชาวสเปนได้นำปืนและม้า ซึ่งชาวแอซเท็กไม่เคยเห็นก่อนหน้านี้มาด้วย
ในแผนการนี้ กอร์เตสได้ขอการสนับสนุนจากเมืองขึ้นและศัตรูของจักรวรรดิแอซเท็กเป็นจำนวนมาก ประกอบด้วยชาวโตโตนัก และชาวตลัซกาลา ในขณะที่แผนการดำเนินไป พันธมิตรของพวกเขาได้ถูกซุ่มโจมตีหลายครั้งจากกองกำลังที่พวกเขาเข้าปะทะ หลังจากแปดเดือนของการเจรจาและการสู้รบ มีผลทำให้กอร์เตสสามารถเอาชนะการต่อต้านทางการทูตของมอกเตซูมาที่ 2 กอร์เตสไปถึงเตโนชตีตลัน ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1519 เมื่อกอร์เตสได้ข่าวว่าทหารของเขาและชาวโตโตนักในเวราครูซตายไปเป็นจำนวนมาจากการโจมตีของแอซเท็ก เขาได้คุมขังมอกเตซูมาไว้ในพระราชวังของพระองค์และปกครองเมืองเตโนชตีตลันด้วยตนเองเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากการสังหารหมู่ที่วิหารใหญ่ (Templo Mayor) พร้อมกับการลุกฮือของประชาชนในเมือง กอร์เตสและทหารของเขาถูกผลักดันให้รบในถนนนอกเมืองในเหตุการณ์ลา โนเช ตริสเต อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ชาวสเปนและตลัซกาลา ก็ได้กลับมาอีกครั้งด้วยกำลังเสริมจำนวนมาก และทำการปิดล้อมจนนำไปสู่การล่มสลายของเตโนชตีตลัน ในปีต่อมา
การล่มสลายของจักรวรรดิแอซเท็กเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่งในการสถาปนาเขตอุปราชแห่งนิวสเปน ซึ่งยังมิได้รับรองอย่างเป็นทางการโดยราชวงศ์สเปน จนกระทั่งปีค.ศ. 1535 (หลังจากการพิชิต 14 ปี)
ลางสังหรณ์ของแอซเท็กในการล่มสลายของจักรวรรดิ
ข้อมูลปฐมภูมิเกี่ยวกับการพิชิตครั้งนี้ถูกบันทึกโดยชาวสเปน เช่น จดหมายของเอร์นัน กอร์เตส ไปถึงจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และเรื่องเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างเบร์นัล ไดอัซ เดล กัซตีโย (Bernal Díaz del Castillo) Historia verdadera de la conquista de la Nueva España (ประวัติศาสตร์แท้จริงของการพิชิตนิวสเปน) แหล่งข้อมูลหลักที่มาจากชนพื้นเมืองซึ่งได้รับผลกระทบจากการพิชิตในครั้งนี้ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงมากนักเนื่องจากแหล่งข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นมุมมองที่แตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มชน ดังเช่นที่ชนพื้นเมืองได้บันทึกเป็นอักษรภาพไว้ในช่วงต้น ๆ หลังจากการพิชิตในปี 1528 ข้อมูลในสมัยต่อมาได้ถูกบันทึกโดยชาวแอซเท็คและกลุ่มชนอื่น ๆ ที่อาศัยบริเวณตอนกลางของเม็กซิโก ชนพื้นเมืองดังกล่าวได้อธิบายว่า 9 ปีก่อนที่ชาวสเปนจะมาถึงได้มีลางบอกเหตุเกิดขึ้น 8 ประการ ต่อไปนี้
จักรวรรดิแอซเท็กก่อนที่จะถูกพิชิตโดยสเปน
เพลิงตกมาจากท้องฟ้า
วิหารของเทพเจ้าวีตซีโลโปชตลี (Huitzilopochtli) ถูกเพลิงไหม้
ฟ้าผ่าทำลายวิหารเล็ก ๆ ของเทพชิวเตกตลี (Xiuhtecuhtli)
ไฟพุ่งข้ามมหาสมุทร
น้ำเดือดในที่ลึก ๆ และน้ำท่วมบริเวณทะเลสาบใกล้ ๆ เตโนชตีตลัน
มีเสียงผู้หญิงร้องบอกในเวลาเที่ยงคืน ให้ชาวแอซเท็กหนีออกจากเมือง
"คนสองหัว" วิ่งไปตามถนน
มอกเตซูมาที่ 2 ทรงเห็นคนกำลังต่อสู้กันในกระจกที่อยู่บนหัวนกของพระองค์
การประทุของภูเขาไฟโปโปกาเตเปตล์
ลางบอกเหตุเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อชาวแอซเท็กซึ่งเชื่อว่าประวัติศาสตร์จะกลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง ว่ากันว่าพระเจ้ามอกเตซูมาที่ 2 (ซึ่งทรงเป็นนักบวชใหญ่ด้วย) ได้ทรงปรึกษานักบวชและนักพยากรณ์ส่วนพระองค์เกี่ยวกับคำอธิบายเกี่ยวกับลางบอกเหตุดังกล่าว แต่ว่าก็ไม่มีใครสามารถอธิบายได้อย่างกระจ่างชัด อาจจะจนกระทั่งการมาถึงของชาวสเปนก็ได้
สังเกตว่า แหล่งที่มาทั้งหมดมักจะบรรยายถึงลางบอกเหตุดังกล่าวและการกลับมาของเทพเจ้าของชาวแอซเท็ก ในจำนวนนี้ยังมีแหล่งที่มาซึ่งริเริ่มโดยพระชาวสเปน และเขียนขึ้นหลังจากการล่มสลายของเตโนชตีตลัน ในปี 1521 นักชาติพันธุ์ประวัติศาสตร์ กล่าวว่า ในเวลาที่ชาวสเปนเดินทางมาถึงนั้น ชนพื้นเมืองและผู้นำของเขาไม่ได้เห็นว่าชาวสเปนเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด หากแต่เห็นว่าเป็นเพียงกลุ่มชนภายนอกที่แลดูมีอำนาจสูงเท่านั้น[ 6] ตามคำบรรยายของชาวสเปนจำนวนมาก ได้ใช้ลางสังหรณ์เป็นหลักฐานสนับสนุนให้เห็นว่า การพิชิตของชาวสเปนนั้นถูกกำหนดมาก่อนหน้านี้แล้ว และเป็นโชคชะตาของชาวสเปน ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าการที่ชนพื้นเมืองผู้บอกเล่าเหตุการณ์ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับลางสังหรณ์ดังกล่าว และความสับสนไม่ทันได้เตรียมตัวต่อการพิชิตที่เกิดขึ้นนั้น "เป็นเพราะการตีความของผู้บอกเล่าเหตุการณ์ที่หวังจะเอาอกเอาใจชาวสเปน หรือไม่ก็เป็นเพราะไม่พอใจในความล้มเหลวของมอกเตซูมาที่ 2 และนักรบแอซเท็กซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำ"[ 7] ฮิวจ์ โทมัส (Hugh Thomas) ได้สรุปว่า มอกเตซูมาที่ 2 ทรงลังเลว่าเอร์นัน กอร์เตส เป็นเทพเจ้าจริง ๆ หรือเป็นทูตของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ต่างแดนกันแน่ อย่างไรก็ตาม เขาไม่สนับสนุนทฤษฎีที่ว่า มอกเตซูมาที่ 2 ทรงเชื่ออย่างเต็มที่ว่าเอร์นัน กอร์เตส เป็นการกลับชาติมาเกิดของเทพเจ้าเกตซัลโกอัตล์ (Quetzalcoatl) ดังที่เชื่อกันในวงกว้าง
ชาวสเปนเดินทางมาถึงคาบสมุทรยูกาตัน (Yucatán)
ในปีค.ศ.1517 ข้าหลวงแห่งคิวบา ดิเอโก เวลาซเกซ เด เกวยาร์ (Diego Velázquez de Cuéllar) ได้มอบหมายให้เอร์นันเดซ เด กอร์โดบา (Hernández de Córdoba) นำกองเรือที่ประกอบด้วยเรือสามลำ ไปทางตะวันตกและสำรวจคาบสมุทรยูกาตัน เมื่อกอร์โดบาไปถึงชายฝั่งยูกาตัน ชาวมายา ณ แหลมกาโตเช (Cape Catoche) ได้เชิญให้ชาวสเปนเข้ามาในแผ่นดิน พร้อมกันนั้นชาวสเปนได้ประกาศข้อเรียกร้องปี 1513 ซึ่งมีเนื้อหาเรียกร้องให้ชนพื้นเมืองปกป้องกษัตริย์ของสเปน และกอร์โดบาได้ให้นักโทษสองคนทำหน้าที่เป็นล่าม ในขณะเดียวกันที่ด้านตะวันตกของคาบสมุทรยูกาตัน ชาวสเปนถูกโจมตีโดยชาวมายาซึ่งนำผู้นำชาวมายา มอชเกวา (Mochcouoh) ชาวสเปน 20 คนถูกฆ่า กอร์โดบาบาดเจ็บสาหัสและกลับไปยังคิวบาพร้อมกับลูกน้องที่เหลือของเขา
สเปนพิชิตยูกาตัน
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิแอซเท็ก การพิชิตและปราบปรามนครรัฐของอารยธรรมมายา ในยุคหลังยุคคลาสสิกตอนปลาย เกิดขึ้นในหลายปีหลังจากการพิชิตจักรวรรดิแอซเท็ก ด้วยความช่วยเหลือของนักรบซิวมายา (Xiu Maya) หลายหมื่นคน สเปนใช้เวลามากกว่า 170 ปีในการสร้างอำนาจควบคุมในดินแดนของชาวมายาอย่างเบ็ดเสร็จ มันขยายพื้นที่ตั้งแต่ยูกาตันตอนเหนือไปจนถึงบริเวณที่ราบลุ่มของเอล เปเตน (El Petén) และที่ราบสูงกัวเตมาลา ทางเหนือ แผนการนี้ได้จบลงโดยการล่มสลายของนครรัฐของชาวมายาที่ตั้งอยู่ในตายาซัล (Tayasal) บริเวณเปเตน (Petén) ในปีค.ศ. 1697
คณะเดินทางของกอร์เตส
คำสั่งคณะเดินทาง
เส้นทางการเดินทางของกอร์เตส
ก่อนที่กรีจัลวา (Grivalva) จะเดินทางกลับสู่สเปน เวลาสเกซ ตัดสินใจส่งคณะเดินทางไปสำรวจชายฝั่งเม็กซิโกเป็นครั้งที่สาม และใหญ่กว่าทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา[ 8] เอร์นัน กอร์เตส ซึ่งเป็นน้องเขยคนสนิทของเวลาสเกซ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการคณะเดินทางครั้งนี้ (ซึ่งเขาอาจเป็นผู้ก่อให้เกิดความริษยาและโกรธเคืองท่ามกลางผู้ล่าอาณานิคมคนอื่น ๆ) [ 8] ในข้อตกลงเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1518 เวลาสเกสได้มอบหมายกอร์เตสว่า การเดินทางครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำการค้าขายกับชนเผ่าพื้นเมือง
มีผู้อธิบายว่า เวลาสเกซ หวังจำกัดสิทธิให้กอร์เตสค้าขายอย่างเดียวเท่านั้น การบุกรุกเข้าไปในแผ่นดินใหญ่เป็นสิทธิของเขา (เวลาสเกซ) แต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม จากความรู้ด้านกฎหมายของคาสตีล (Castile) ที่เขาได้รับขณะศึกษาที่ซาลามานกา (Salamanca) กอร์เตสสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมในการให้เวลาสเกซเพิ่มคำสั่งที่ยินยอมให้กอร์เตสสามารถใช้มาตรการฉุกเฉินโดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า ในกรณีที่มีความสนใจในดินแดนอย่างแท้จริง เขายังได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้นำทัพทหารและหัวหน้าผู้พิพากษาอีกด้วย
การเพิกถอนคำสั่ง
ข้าหลวงเวลาสเกซตระหนักเป็นอย่างยิ่งว่า ใครก็ตามที่สามารถพิชิตแผ่นดินใหญ่ได้จะได้รับโชคลาภและชื่อเสียงจนกระทั่งบดบังความสำคัญของความสำเร็จในคิวบาไป ดังนั้น ในขณะที่การเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางกำลังจะเสร็จสิ้น เวลาสเกซ ได้เกิดความคลางแคลงใจว่า กอร์เตซ อาจไม่เชื่อฟังตนและเกณฑ์คนเข้าร่วมคณะเดินทางเพื่อวัตถุประสงค์ของตนเอง[ 9] กล่าวคือตั้งตนเป็นข้าหลวงปกครองอาณานิคมเสียเอง และเป็นอิสระจากการควบคุมของ เวลาสเกซ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เวลาสเกซ ได้ส่งลูอิส เด เมดินา (Luis de Medina) เพื่อที่จะไปแทนที่กอร์เตส แต่ว่าน้องเขยของกอร์เตสได้ขัดขวางและฆ่าเขา เอกสารคำสั่งที่ เมดินา เคยได้รับไว้ถูกส่งมายัง กอร์เตสแทน เพื่อเป็นการระวังตัว กอร์เตส ได้รีบเร่งเตรียมพร้อมเพื่อการออกเดินทางครั้งนี้[ 10]
กอร์เตส พร้อมออกเดินทางเมื่อเช้าวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1519 เมื่อ เวลาสเกซ มาถึงท่าเรือและตัดสินใจที่จะเรียกตัว กอร์เตส กลับ แต่ กอร์เตส อ้างว่าเวลาได้กระชั้นชิดเข้ามาแล้ว และรีบเร่งที่จะออกเรือเพื่อพิชิตดินแดนของชนพื้นเมืองอเมริกา ในสถานะ "กบฏ" และ เวลาสเกซ ก็ยินยอมให้เขาไป
คณะเดินทางของ กอร์เตส ประกอบด้วยเรือ 11 ลำ กะลาสีประมาณ 100 คน ทหาร 530 นาย (มีพลหน้าไม้ 30 คน และพลปืน 12 คนอยู่ด้วย) แพทย์ ช่างไม้จำนวนมาก ผู้หญิงอย่างน้อย 8 คน ชนพื้นเมืองคิวบาและแอฟริกาไม่กี่ร้อยคน (มีทั้งผู้ที่เป็นทาสและไม่ใช่ทาส) ทหารหลายคนในที่นี้ไม่เคยได้สู้รบมาก่อน และอันที่จริงแล้ว กอร์เตส ไม่เคยได้บัญชาการรบมาก่อนหน้านี้เลย
กอร์เตสเทียบท่าที่เกาะโกซูเมล (Cozumel)
กอร์เตสใช้เวลาบางส่วนในเกาะโกซูเมล เพื่อพยายามที่จะเปลี่ยนใจให้คนพื้นเมืองหันมานับถือศาสนาคริสต์ รวมถึงเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หลายอย่าง ในขณะที่อาศัยอยู่ ณ เกาะโกซูเมล กอร์เตสได้รับรายงานว่ามีชาวสเปนที่ติดอยู่ ณ คาบสมุทรยูกาตัน กอร์เตสจึงส่งพลนำสารไปยังพวกเขาเหล่านั้น (พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์เรือสเปนล่มในปี 1511 ได้แก่เจโรนีโม เด อากีลาร์ (Gerónimo de Aguilar) และกอนซาโล เกวเรโร (Gonzalo Guerrero))
อากีลาร์ได้ขอให้ผู้นำเผ่ามายาปล่อยตัวเขาไป และเขาก็ได้รับการปล่อยตัวไปหากอร์เตส จากข้อมูลของเบร์นัล ดีอัซ อากีลาร์เล่าว่าเขาไม่สามารถชักชวนให้เกวเรโรหนีออกมาด้วย เกวเรโรปฏิเสธบนพื้นฐานที่ว่าเขาได้รับการหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมมายาเป็นอย่างดี มีภรรยาเป็นชาวมายาและมีลูก 3 คน ชะตากรรมของเกวเรโรหลังจากนี้ไม่ทราบแน่ชัด เป็นไปได้ว่าเขาได้ช่วยชาวมายาต่อสู้กับชาวสเปนที่บุกรุกเข้ามา เป็นที่ปรึกษาทางทหารและสนับสนุนการต่อต้านสเปน คาดว่าเขาอาจเสียชีวิตในระหว่างการรบหลังจากนี้
อากีลาร์ซึ่งสามารถอ่านเขียนภาษาของชาวมายาและชนพื้นเมืองอื่น ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ได้ทำหน้าที่เป็นล่ามให้แก่กอร์เตส อันเป็นทักษะที่สำคัญในการพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กอันเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทางของกอร์เตส
กอร์เตสเทียบท่าที่คาบสมุทรยูกาตัน
หลังจากที่ออกจากเกาะโกซูเมล กอร์เตสได้สำรวจบริเวณปลายคาบสมุทรยูกาตันและลงจอดที่โปโตนชัน (Potonchán) ซึ่งมีทองอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม กอร์เตสได้เอาชนะชนเผ่าพื้นเมืองในการรบสองครั้ง และได้ผู้หญิงมาหนึ่งคนซึ่งต่อมาได้ทำพิธีล้างบาปและตั้งชื่อใหม่ว่า "มารีนา" (Marina) เธอเป็นที่รู้จักในนามว่า "ลามาลินเช " หรือ "มาลินตซิน" (Malintzin) หรือ "มาลีนัลลี" (Malinalli) ซึ่งเป็นชื่อเกิดของเธอ
เบร์นัล ดีอัส เดล กัสตีโย (Bernal Díaz del Castillo) เขียนลงในหนังสือของเขา Historia verdadera de la conquista de la Nueva España ว่า มารีนาเป็น "เจ้าหญิงแอซเท็คซึ่งถูกขายไปเป็นทาสให้ชาวมายา" เธอไม่ได้เป็นเจ้าหญิงแอซเท็กจริง ๆ หากแต่เกิดในตระกูลผู้สูงศักดิ์ อาจจะเป็นชาวโทลเท็ก (Toltec) หรือทาบาสโก (Tabasco) ในเวลาต่อมาคำนำหน้าชื่อภาษาสเปน "doña" ได้เพิ่มไว้หน้าชื่อของเธอเพื่อเป็นเกียรติ
ไม่ว่าชาติกำเนิดของเธอจะเป็นเช่นไร กอร์เตสก็ได้พบกุญแจสำคัญที่จะทำให้ความทะเยอทะยานของเขาเป็นจริง เมื่อเขาต้องการติดต่อสื่อสารกับชาวแอซเท็ก เขาจะต้องพูดภาษาสเปนกับเจโรนีโม เด อากีลาร์ จากนั้นอากีลาร์จะแปลเป็นภาษามายาและพูดกับลามาลินเช จากนั้นลามาลินเชจะแปลเป็นภาษานาวาตล์ (Nahuatl) (อันเป็นภาษาของชาวแอซเท็ก) ด้วยกระบวนการดังกล่าวนี้ กอร์เตสจึงสามารถสื่อสารกับชาวแอซเท็กได้
ในเวลาต่อมาไม่นาน ลามาลินเช ได้เรียนรู้ภาษาสเปน และเป็นล่ามคนสำคัญอันดับแรกของกอร์เตส เป็นทั้งคนที่กอร์เตสไว้ใจ เป็นแม่บ้าน ร่วมถึงเป็นภรรยาของเขาด้วย
กอร์เตสและคณะเดินทางของเขาไปถึงชายฝั่งที่ปัจจุบันเป็นรัฐเบรากรุซ ในเดือนเมษายน ค.ศ.1519 เขาได้ยกทัพไปยังที่ตั้งของชนเผ่าพื้นเมืองที่มีชื่อว่า เซมโปอาลา (Cempoala) ในการมาของพวกเขา ชนชั้นสูงในเมืองจำนวน 20 คน และชาวเมืองได้เข้ามาต้อนรับพวกเขา
กอร์เตสได้ชักชวนให้หัวหน้าเผ่าโตโตนัก (Totonac) นามว่า ชิโกเมโกอัตล์ (Chicomecoatl) ให้กบฏต่อจักรวรรดิแอซเท็ก อย่างรวดเร็ว
การกระทำดังกล่าวซึ่งเป็นการท้าทายอำนาจของข้าหลวงเวลาสเกซ อาจทำให้เขาถูกคุมขังหรือถูกประหาร ทางเลือกของเขาคือต้องดำเนินการต่อเพื่อที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของเขาและราชบัลลังก์สเปน ในการกระทำการเช่นนั้น เขาได้สั่งให้ลูกน้องของเขาสร้างถิ่นฐานนามว่า ลาบียารีกาเดลาเบรากรูซ (La Villa Rica de la Vera Cruz) ชาวโตโตนักก็ได้ช่วยเหลือชาวสเปนก่อสร้างถิ่นฐานนี้ด้วยเช่นกัน นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามที่จะพิชิตจักรวรรดิแอซเท็ก ถิ่นฐานเล็ก ๆ ดังกล่าวนี้ได้เจริญขึ้นมาตามลำดับจนกลายเป็นเมืองใหญ่นามเบรากรุซ
ในเวลาใกล้เคียงกัน กอร์เตสได้รับการต้อนรับโดยตัวแทนจากจักรพรรดิแห่งแอซเท็ก มอกเตซูมาที่ 2 และมีการแลกเปลี่ยนของกำนัล แต่กอร์เตสพยายามจะเขย่าขวัญคณะผู้แทนจากแอซเท็กโดยการแสดงอำนาจการยิง และท้าทายให้เกิดการสู้รบกันขึ้น แต่ว่าคณะผู้แทนดังกล่าวได้ออกไปจากพื้นที่อย่างรวดเร็วและอาจรายงานต่อมอกเตซูมาก็เป็นได้ หลังจากการพบกันครั้งแรกระหว่างแอซเท็กกับสเปน คณะทูตจากจักรวรรดิแอซเท็กได้ถูกส่งมาพร้อมกับของกำนัลที่มากกว่าเดิม รวมถึงทองคำ (ซึ่งชาวแอซเท็กเห็นว่ามีค่าไม่มากนัก) ถึงแม้ว่าพวกแอซเท็กจะพยายามขัดขวางมิให้คณะของกอร์เตสเดินทางไปยังเตโนชตีตลัน แต่ด้วยของกำนัลอันฟุ่มเฟือย ความอ่อนโยน และการต้อนรับเป็นอย่างดีของคณะทูตแอซเท็ก ได้ผลักดันให้กอร์เตสเดินทางต่อไปยังเมืองหลวงของแอซเท็ก ตลอดการเดินทางส่วนใหญ่ของพวกเขา คณะทูตจากแอซเท็กได้เข้าร่วมกับทัพสเปน และรายงานต่อมอกเตซูมาอย่างไม่ปิดบัง
การทำลายกองเรือ
กอร์เตสจมกองเรือของเขานอกชายฝั่งเบรากรุซ
ลูกน้องของกอร์เตสที่ยังภักดีต่อข้าหลวงเวลาสเกสแห่งคิวบาได้ร่วมกันวางแผนที่จะยึดกองเรือและหลบหนีไปยังคิวบา แต่กอร์เตสไหวตัวทันและทำลายแผนของพวกเขา หัวหน้าผู้ก่อการสองคนถูกเฆี่ยนและหนึ่งในนั้นถูกทำให้ขาพิการ เพื่อป้องกันมิให้การทรยศในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก กอร์เตสตัดสินใจที่จะจมกองเรือของเขา โดยอ้างว่ามันไม่ปลอดภัยสำหรับออกทะเล เป็นที่เข้าใจผิดอย่างกว้างขวางว่าเขาเผาเรือของเขาแทนที่จะจมเรือ ความเข้าใจผิดดังกล่าวปรากฏในข้อเขียนของเซร์วันเตส เด ซาลาซาร์ (Cervantes de Salazar) เขียนในปี 1546 ว่ากอร์เตสเผาเรือของเขา[ 11] ซึ่งน่าจะเกิดจากความผิดพลาดในการแปลต้นฉบับภาษาละติน[ 12]
เรือทั้งหมดของเขาถูกจม ยกเว้นเรือลำเล็ก ๆ ลำหนึ่งซึ่งใช้สำหรับส่งตัวแทนและของที่ได้มาจากชนพื้นเมืองไปเข้าเฝ้ากษัตริย์สเปน กอร์เตสตัดขาดความช่วยเหลือภายนอกอย่างได้ผล อย่างไรก็ตามนั่นก็ยังไม่ทำให้ลูกน้องของเขาที่ยังภักดีต่อข้าหลวงเวลาสเกซหมดความพยายาม จากนั้นกอร์เตสพาคณะของเขามุ่งหน้าไปยังเตโนชตีตลัน ซึ่งเคยได้ยินกิตติศัพท์มามาก
ขณะนี้คณะของกอร์เตสมีหัวหน้านักรบชาวเซมโปอาลา (Cempoala) จำนวน 40 คน และชาวพื้นเมืองอื่น ๆ อีก 200 คนซึ่งมีหน้าที่ลากปืนใหญ่และแบกสัมภาระ ชาวเซมโปอาลาคุ้นเคยกับสภาพอากาศร้อนเป็นอย่างดี แต่พวกเขาต้องประสบกับอากาศหนาว ฝนตก และการโห่ร้องเป็นอย่างมากในขณะที่มุ่งหน้าสู่เตโนชตีตลัน
เข้าเป็นพันธมิตรกับตลัซกาลา
จิตรกรรมฝาผนังที่ Palacio de Gobierno, Tlaxcala city - การเจรจาระหว่างชาวตลัซกาลากับเอร์นัน กอร์เตส
คณะเดินทางของกอร์เตสได้เดินทางมาถึงอาณาจักรตลัซกาลา อันเป็นสหพันธ์ที่ประกอบด้วยเมืองจำนวน 200 เมืองซึ่งต่างเผ่ากัน และไม่มีรัฐบาลกลาง
ชาวตลัซกาลา เริ่มต้นเผชิญหน้ากับชาวสเปนอย่างไม่เป็นมิตร ชาวสเปนถูกผลักดันให้ขึ้นไปบนภูเขาและถูกปิดล้อม เบร์นัล ดิอัส เดล กัสตีโย เล่าว่า การต่อสู้ในครั้งนี้ยากลำบากอย่างไม่น่าเชื่อ ชาวสเปนอาจไม่มีชีวิตรอดถ้าชีโกเตนกัตล์ผู้พ่อ (Xicotencatl the Elder) ไม่ยุยงให้ ชีโกเตนกัตล์ผู้ลูก (Xicotencatl the Younger) ลูกของเขาซึ่งเป็นผู้นำด้านการทหารของตลัซกาลาให้เป็นพันธมิตรกับชาวสเปน ในขณะนั้นตลัซกาลาและเมืองรอบข้างเช่นเตโนชตีตลัน กำลังอยู่ในสงครามดอกไม้ (Flower Wars) ซึ่งดำเนินมาเกือบศตวรรษ ก่อให้เกิดความเกลียดชังและความขมขื่นระหว่างตลัซกาลาและแอซเท็ก มากขึ้นเรื่อย ๆ ชาวตลัซกาลาเชื่อว่าชาวแอซเท็กอาจเข้าพิชิตอาณาจักรของตนเป็นลำดับถัดไป ขณะนั้นแอซเท็กได้เข้ายึดเมืองรอบ ๆ ตลัซกาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นไปได้ว่าที่แอซเท็กปล่อยให้ตลัซกาลาเป็นอิสระนั้นเพราะว่าแอซเท็กต้องการเชลยจากตลัซกาลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปบูชายัญแก่เทพเจ้า[ 13] ตามความเชื่อของชาวแอซเท็ก การบูชายัญนักรบที่กล้าหาญเป็นของขวัญที่ดียิ่งกว่าการบูชายัญอื่น ๆ
ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1519 กอร์เตสเดินทางมาถึงตลัซกาลาและทักทายอย่างเป็นมิตรกับบรรดาผู้นำทั้งหลายของตลัซกาลา ชาวตลัซกาลามองว่าชาวสเปนเป็นพันธมิตรที่จะช่วยต่อต้านแอซเท็ก เนื่องจากการถูกปิดล้อมไม่ให้ทำการค้า ตลัซกาลากำลังอยู่ในสภาพยากจน ขาดแคลนเกลือ, ผ้าไหม, รวมถึงสิ่งอื่น ๆ ดังนั้นจึงช่วยสนับสนุนกอร์เตสได้เพียงคนรับใช้และอาหาร กอร์เตสอาศัยในตลัซกาลาเป็นเวลา 12 วัน ให้เวลาลูกน้องของเขาในการพักฟื้นจากบาดเจ็บ ดูเหมือนว่ากอร์เตสจะได้มิตรภาพที่แท้จริงและความภักดีจากผู้นำใหญ่ของตลัซกาลา ได้แก่มาชิชกัตซิน (Maxixcatzin) และ ชีโกเตนกัตล์ผู้พ่อ (Xicotencatl the Elder) อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถชนะใจชีโกเตนกัตล์ผู้ลูก (Xicotencatl the Younger) ได้ ชาวสเปนตกลงที่จะเคารพสิ่งก่อสร้างในเมืองนี้ โดยเฉพาะศาสนสถาน และใช้งานสิ่งที่ได้รับมอบอย่างอิสระ
กอร์เตสได้กล่าวชี้นำแก่ผู้นำของตลัซกาลา ให้เห็นถึงประโยชน์ของศาสนาคริสต์ ตามตำนานเล่าว่าเขาได้โน้มน้าวผู้นำตลัซกาลาสี่คนได้แก่ มาชิชกัตซิน (Maxixcatzin), ชีโกะเตนกัตล์ผู้พ่อ (Xicotencatl the Elder), ซิตัลโปโปกัตซัน (Citalpopocatzin) และ เตมิโลลเตกุตล์ (Temiloltecutl) ให้เข้าพิธีล้างบาป และรับชื่อใหม่ว่า ดอนลอเรนโซ (Don Lorenzo), ดอนวินเซนเต (Don Vicente), ดอนบาร์โตโลเม (Don Bartolomé), ดอนกองซาโล (Don Gonzalo)
ไม่มีทางที่จะรู้ว่าผู้นำตลัซกาลาเหล่านั้นเข้าถึงศรัทธาของคาทอลิก หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเขาดูจะไม่มีปัญหาที่จะรับพระเจ้าของศาสนาคริสต์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของทำเนียบเทพเจ้าของพวกเขา
การแลกเปลี่ยนของกำนัลได้เกิดขึ้น ถือเป็นการเริ่มต้นการเป็นพันธมิตรระหว่างกอร์เตซกับชาวตลัซกาลาอย่างมีนัยสำคัญและมีประสิทธิผล[ 14]
ในขณะเดียวกัน คณะทูตจากมอกเตซูมาที่สอง ได้กดดันให้กอร์เตสออกจากตลัซกาลา "อันเป็นเมืองทื่ยากจนและมีแต่โจร" ไปยังเมืองโชลูลา (Cholula) เมืองใกล้เคียงซึ่งอยู่ใต้อาณัติของแอซเท็ก มากกว่าที่จะอยู่ใต้อาณัติของเวโชตซิงโก (Huexotzingo)
โชลูลาเป็นเมืองที่สำคัญเมืองหนึ่งในเมโสอเมริกา มีขนาดใหญ่อันดับสอง และน่าจะเป็นเมืองที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ในเมืองนี้ยังมีพีระมิดที่ใหญ่โตโอ่อ่า (ใหญ่กว่ามหาพีระมิดแห่งกีซา ) ซึ่งทำให้เป็นเมืองที่น่าเคารพสักการะอย่างยิ่งในศาสนาแอซเท็ก แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่ากอร์เตซ รู้จักเมืองนี้ในแง่การทหาร เมื่อทหารกองหลังของเขาถูกคุกคามในขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเตโนชตีตลัน มากกว่าที่จะเป็นในแง่ของศูนย์กลางศาสนาเสียอีก เขาพยายามที่จะใช้วิธีการทางการทูตในการเข้าไปยังเมืองนี้
ในขณะนี้กอร์เตซ ยังมิได้คิดริเริ่มจะทำสงครามกับจักรวรรดิแอซเท็ก กอร์เตซตัดสินใจว่าจะประนีประนอม เขารับของกำนัลจากคณะทูตแอซเท็ก และยังรับข้อเสนอจากตลัซกาลา ที่จะเสนอทหาร 1,000 นายคอยคุ้มกันในการเดินทางสู่โชลูลา นอกจากนี้เขายังได้ส่ง เปโดร เด อัลเวราโด และ เบร์นาร์ดิโน วาสเกซ เด ตาเปีย มุ่งตรงไปยังเตโนชตีตลัน ในฐานะทูต เพื่อสำรวจเส้นทางไปยังเตโนชตีตลันอีกด้วย[ 15] : 193, 199
มีข้อบันทึกที่ขัดแย้งกันว่าอะไรเกิดขึ้นในเมืองนี้ มอกเตซูมา ทรงตัดสินพระทัยอย่างชัดเจนว่าจะต้านกองกำลังของกอร์เตซที่กำลังรุกคืบเข้ามา และดูเหมือนว่าพระองค์จะสั่งให้เจ้าเมืองโชลูลาให้หยุดยั้งการเข้ามาของชาวสเปน เมืองโชลูลานี้มีกำลังทหารไม่มากนัก เนื่องจากในฐานะที่เป็นเมืองซึ่งเป็นที่สักการะบูชา ชาวเมืองจึงไว้วางใจในอำนาจของเทพเจ้าของตน ตามพงศาวดารของชาวตลัซกาลา กล่าวว่านักบวชในเมืองโชลูลาหวังจะใช้พลังอำนาจของเทพเจ้าเกตซัลโกอัตล์ อันเป็นเทพเจ้าสูงสุด ในการต่อสู้กับผู้รุกราน: 193, 199
กอร์เตซและทหารของเขายกพลเข้าสู่โชลูลาโดยไม่มีการต่อต้านอย่างจริงจัง ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังไม่มีเจ้าเมืองเข้ามาพบ และยังไม่ได้รับอาหารและน้ำดื่มแม้ล่วงเลยเข้าสู่วันที่สาม ชาวเซมโปอาลาได้รายงานว่ามีการสร้างป้อมขึ้นรอบเมืองนี้[ 15] : 193 ชาวตลัซกาลาเริ่มระวังตัวต่อชาวสเปนมากขึ้น และในที่สุด ลามาลินเช ได้บอกให้กอร์เตซทราบหลังจากที่ได้พูดคุยกับภรรยาของเจ้าเมืองคนหนึ่ง ว่าคนในเมืองวางแผนที่จะฆ่าชาวสเปนในขณะที่ชาวสเปนกำลังนอนหลับอยู่ แม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่าข่าวลือนี้เป็นจริงแค่ไหน แต่เขาก็ได้ชิงสั่งให้ทหารชาวตลัซกาลาทำการโจมตีเมืองนี้ก่อน เขาได้กล่าวหาพวกเจ้าเมืองว่าเจ้าเมืองวางแผนที่จะสังหารทหารของเขา พวกเจ้าเมืองยอมรับว่าได้รับคำสั่งจากมอกเตซูมาให้ต่อต้านชาวสเปนจริง แต่ยังมิได้ทำตามคำสั่งนั้นแต่อย่างไร แต่ทว่าไร้ผล ชาวสเปนจับตัวและสังหารพวกขุนนางในเมืองนี้เพื่อให้เป็นบทเรียน[ 15] : 199
พวกเขาได้จับตัวผู้นำชาวโชลูลาสองคน และสั่งให้มีการเผาเมืองนี้ทิ้งเสีย ในจดหมายที่กอร์เตสส่งไปถึงกษัตริย์แห่งสเปน กล่าวอ้างว่าในเวลาเพียงสามชั่วโมง กองกำลังของเขาได้สังหารพลเมืองไปถึง 3,000 คน และเผาเมืองนี้[ 16] พยานอีกคนชื่อว่า วาสเกซ เด ตาเปีย (Vázquez de Tapia) ได้กล่าวอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 30,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งก็แน่นอนว่ารายงานของชาวสเปนมักจะกล่าวอ้างเกินจริง เนื่องจากการที่มีผู้หญิง เด็ก และผู้ชายจำนวนมากได้หนีออกไปจากเมืองนี้ก่อนหน้านี้แล้ว[ 15] : 200–201 ยอดผู้เสียชีวิตไม่น่าจะมากมายขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สังหารหมู่ในโชลูลาครั้งนี้ก็เป็นเหตุการณ์อันฉาวโฉ่ในการพิชิตเม็กซิโกของสเปน เลยทีเดียว
ประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ที่จุดชนวนให้เกิดการสังหารหมู่ครั้งนี้ ในมุมมองของแอซเท็กและตลัซกาลา นั้นแตกต่างออกไป ฝั่งตลัซกาลาอ้างว่าได้ส่งทูตคนหนึ่งชื่อว่าปาตลาวัตซิน(Patlahuatzin)ไปยังโชลูลา แต่กลับถูกลงโทษ กอร์เตซจึงสั่งให้มีการโจมตีโชลูลาเพื่อเป็นการแก้แค้น[ 17] : 46–47 (Historia de Tlaxcala, por Diego Muñoz Camargo, lib. II cap. V. 1550).
ทางด้านแอซเท็กนั้นไม่พอใจที่ชาวสเปนไปยังเมืองโชลูลาแทนที่จะเป็นเวโชตซิงโก(Huexotzingo) และกล่าวโทษต่อตลัซกาลาในกรณีนี้[ 18]
เหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งนี้ทำให้เมืองอื่นๆ และกลุ่มชนที่มีความสัมพันธ์กับแอซเท็ก รวมทั้งตัวจักรวรรดิแอซเท็กก็ดี รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาบ้าง กิตติศัพท์ของเหตุการณ์ครั้งนี้ชักนำเมืองอื่นๆ ใต้อาณัติของแอซเท็กตอบรับข้อเสนอของกอร์เตซอย่างแข็งขัน แทนที่จะไปเสี่ยงกับชะตากรรมเช่นโชลูลา[ 15] : 203
กอร์เตสส่งทูตไปหามอกเตซูมา กราบทูลว่าชนชาวโชลูลาเองที่คิดไม่ซื่อต่อเขา และผลสุดท้ายก็คือถูกลงโทษ[ 15] : 204
มอกเตซูมาทรงกล่าวโทษต่อผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์เกี่ยวกับการต้านทานชาวสเปน และตระหนักว่าการพยายามอย่างยาวนานในการขัดขวางไม่ให้กอร์เตสเดินทางเข้าสู่เตโนชตีตลัน ด้วยการมอบของกำนัลเป็นเงินและทองได้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ท้ายที่สุด มอกเตซูมาจึงทรงเชื้อเชิญให้ชาวสเปนเดินทางเข้ามาที่เมืองหลวงของพระองค์ คือเมืองเตโนชตีตลัน ตามที่ได้มีการกล่าวอ้างในบันทึกของสเปน[ 15] : 205–206
เตโนชตีตลัน
ในวันที่ 8 พฤษจิกายน ค.ศ. 1519 หลังจากการล่มสลายของเมืองโชลูลา กอร์เตสและกองทัพของเขาได้เดินทางเข้าสู่กรุงเตโนชตีตลัน อันเป็นเมืองหลวงบนเกาะของชนชาวแอซเท็ก(ซึ่งเรียกตัวเองว่า เม็กซิกา(Mexica) ) ว่ากันว่าในเวลานั้น เตโนชตีตลันเป็นเมืองใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลก ใหญ่กว่าทุกเมืองในยุโรป เป็นรองก็แต่เพียงกรุงคอนสแตนติโนเปิล เท่านั้น ประมาณการว่าเมืองนี้มีประชาชนประมาณ 60,000 ถึง 300,000 คนเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสเปนคือเมืองเซบิยา ก็มีประชากรเพียงแค่ 30,000 คนเท่านั้น
กอร์เตสได้รับการต้อนรับโดยมอกเตซูมา
ตามจดหมายเหตุของแอซเท็กซึ่งบันทึกโดยเบร์นาดิโน เด ซาอากูน กษัตริย์แอซเท็กนามว่ามอกเตซูมาที่สอง ทรงต้อนรับเอร์นัน กอร์เตส อย่างใหญ่โตโออ่า ซาอากูนบันทึกว่ามอกเตซูมาทรงต้อนรับกอร์เตสบนทางยกระดับใหญ่(The Great Causeway) และมีผู้นำอีกสีคนอยู่เคียงข้างมอกเตซูมาอันได้แก่ กษัตริย์แห่งเตซโกโก พระนามว่ากากามา , กษัตริย์แห่งตลาโกปาน พระนามว่าเตตเลปานเกตซัล , อิซกวาวซิน(Itzcuauhtzin) ขุนนางแห่งตลาเตลอลโก และสุดท้าย โตปานเตมอก(Topantemoc) ผู้รักษาทรัพย์สมบัติของมอกเตซูมาในตลาเตลอลโก
อ้างอิง
↑ "Indigeniso e hispanismo" . Arqueología mexicana. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 4 March 2016. สืบค้นเมื่อ 2015-10-20 . (Spanish)
↑ 2.0 2.1 Thomas, Hugh.Conquest: Montezuma, Cortes, and the Fall of Old Mexico, (New York: Simon and Schuster, 1993), 528–529.
↑ Diaz, B., 1963, The Conquest of New Spain, London: Penguin Books, ISBN 0140441239 : states that Cortes's men lost all the artillery they had initially arrived with during La Noche Triste .
↑ Bernard Grunberg, "La folle aventure d'Hernan Cortés", in L'Histoire n°322, July–August 2007: states that Cortes arrived in Mexico with 15 cannons, before acquiring the forces of Pánfilo de Narváez .
↑ Restall, Matthew. Seven Myths of the Spanish Conquest . Oxford University Press (2003), ISBN 0-19-516077-0
↑ Schwartz, Stuart B., ed. Victors and Vanquished: Spanish and Nahua Views of the Conquest of Mexico . Boston: Bedforf, 2000.
↑ 8.0 8.1 Hassig, Ross, Mexico and the Spanish Conquest . Longman: London and New York, 1994. p. 45.
↑ Hassig, Ross, Mexico and the Spanish Conquest . Longman: London and New York, 1994. p. 46.
↑ Thomas, Hugh. Conquest: Montezuma, Cortés, and the fall of Old Mexico p. 141
↑ Matthew Restall, "Seven Myths of the Spanish Conquest", 2003
↑ Cortés Burns His Boats pbs.org
↑ "Conquistadors - Cortés" . PBS. สืบค้นเมื่อ 2010-10-31 .
↑ Hugh Tomas, The conquest of Mexico , 1994.
↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 15.5 15.6 Diaz, B., 1963, The Conquest of New Spain , London: Penguin Books, ISBN 0140441239
↑ "Empires Past: Aztecs: Conquest" . Library.thinkquest.org. สืบค้นเมื่อ 2010-10-31 .
↑ León-Portilla, M. 1992, 'The Broken Spears : The Aztec Accounts of the Conquest of Mexico. Boston: Beacon Press, ISBN 978-0807055014
↑ Informantes de Sahagún: Códice Florentino , lib. XII, cap. X.; Spanish version by Angel Ma. Garibay K.