อาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศ
IRIS-T |
---|
IRIS-T ติดตั้งกับเครื่องบินขับไล่ |
ชนิด | อาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศ |
---|
แหล่งกำเนิด | ร่วมพัฒนาโดยหลายประเทศ นำโดยเยอรมนี |
---|
บทบาท |
---|
ประจำการ | ธันวาคม พ.ศ. 2548 |
---|
ผู้ใช้งาน | 11 ประเทศ |
---|
ประวัติการผลิต |
---|
บริษัทผู้ผลิต | Diehl BGT Defence |
---|
มูลค่าต่อหน่วย | 400,000 ยูโร |
---|
ข้อมูลจำเพาะ |
---|
มวล | 87.4 กิโลกรัม |
---|
ความยาว | 2,936 มิลลิเมตร |
---|
เส้นผ่าศูนย์กลาง | 127 มิลลิเมตร |
---|
ความยาวระหว่างปลายปีก | 447 มิลลิเมตร |
---|
หัวรบ | สะเก็ดระเบิดแรงสูง |
---|
กลไกการจุดชนวน | การกระทบของสายชนวนบริเวณเรดาร์ |
---|
|
เครื่องยนต์ | จรวดเชื้อเพลิงแข็ง |
---|
พิสัยปฏิบัติการ | ~25 กิโลเมตร |
---|
ความสูงปฏิบัติการ | 20,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล |
---|
ความเร็วสูงสุด | 3 มัค (1,029 เมตร/วินาที) |
---|
ระบบนำวิถี | อินฟราเรด |
---|
ฐานยิง | ผู้ใช้งาน:
|
---|
ไอริส-ที (ย่อ: IRIS-T อังกฤษ: Infra Red Imaging System Tail) เป็นอาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศพิสัยใกล้ ที่เยอรมนีเป็นผู้นำในการพัฒนาร่วมกับหลายประเทศ เพื่อแทนที่ AIM-9 Sidewinder ซึ่งเป็นที่ใช้งานส่วนใหญ่ในประเทศสมาชิก นาโต้
ประวัติ
ในทรรศวรรษที่ 1980 ประเทศสมาชิกนาโต้ลงนามในบันทึกความตกลงว่าสหรัฐอเมริกาจะพัฒนาอาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศพิสัยกลางเพื่อแทนที่ AIM-7 Sparrow ในขณะที่สหราชอาณาจักรและเยอรมนีจะพัฒนาอาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศพิสัยใกล้ เพื่อแทนที่ AIM-9 Sidewinder สหรัฐอเมริกาได้ออกแบบและพัฒนา AIM-120 AMRAAM ในขณะที่สหราชอาณาจักร-เยอรมนีเริ่มออกแบบและพัฒนา AIM-132 ASRAAM
ASRAAM ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1970 ซึ่งออกแบบให้มีความคล่องแคล่วสูงที่เรียกว่า "Taildog" แต่ในปี 1974 การพัฒนาก็ต้องสิ้นสุดลงจากการที่ไม่มีคำสั่งซื้อ ซึ่งต่อมาเยอรมนีและสหราชอาณาจักรได้มีความพยายามที่จะรื้อแผนงานนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ในช่วงเวลานั้น ความจำเป็นในการที่ขีปนาวุธจะต้องมีความคล่องแคล่วสูงได้ถูกลดระดับลง
AIM-120 ที่สหรัฐอเมริกาพัฒนานั้นสามารถปฏิบัติการในรัศมีมากกว่า 32 กิโลเมตร ในขณะที่ AIM-9 และ Taildog ยังพบช่องโหว่อีกมากที่ต้องเร่งแก้ไข แปลนขีปนาวุธเดิมได้ถูกนำมาใช้อีกครั้งในการผลิต แต่มีการปรับปรุงในบางรายละเอียด
ภายหลังจากที่เยอรมนีได้รวมประเทศในปี ค.ศ. 1990 เยอรมนีพบว่าตนเองนั้นมีขีปนาวุธ Vympel R-73 ของสหภาพโซเวียตอยู่มากมาย สำหรับใช้งานกับเครื่องบิน มิก-29 ซึ่งเป็นที่รับรู้ถึงประสิทธิภาพของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันถูกค้นพบว่ามีความคล่องแคล่วกว่าเท่าตัวรวมถึงมีพิสัยทำการไกลกว่า AIM-9 ซึ่งข้อสรุปเหล่านี้เองทำให้เยอรมนีตั้งคำถามบางแง่มุมในการออกแบบของ ASRAAM ในส่วนของลำตัวซึ่งเป็นความรับผิดชอบของสหราชอาณาจักร ซึ่งต่อมานั้นส่งผลให้เยอรมนีและสหราชอาณาจักรไม่สามารถมาตกลงเกี่ยวกับการออกแบบของ ASRAAM ได้ ดังนั้นในปี ค.ศ. 1990 เยอรมนีถอนตัวออกจากโครงการ ASRAAM ในขณะที่สหราชอาณาจักรมีมติที่จะหาผู้ร่วมพัฒนาอื่นๆในการพัฒนา ASRAAM ต่อไป
ประเทศผู้พัฒนา
ในปี ค.ศ. 1995 เยอรมนีได้ประกาศแผนงานพัฒนาขีปนาวุธนามว่า "IRIS-T" ร่วมกับกรีซ, อิตาลี, นอร์เวย์, สวีเดนและแคนาดา ซึ่งภายหลังแคนาดาได้ถอนตัวออกไป
สัดส่วนการจัดสรรงานในการพัฒนาขีปนาวุธ IRIS-T
- เยอรมนี: 46%
- อิตาลี: 19%
- สวีเดน: 18%
- กรีซ: 13%
- แคนาดาและนอร์เวย์: 4 %
ประเทศผู้ใช้งาน
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น