องค์การบริหารส่วนจังหวัด

องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) คือองค์กรปกครองส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีจังหวัดละหนึ่งแห่ง ยกเว้นกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ องค์การบริหารส่วนจังหวัด มีเขตพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุมทั้งจังหวัด จัดตั้งขึ้นเพื่อบริการสาธารณประโยชน์ในเขตจังหวัด ตลอดทั้งช่วยเหลือพัฒนางานของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) รวมทั้งการประสานแผนพัฒนาท้องถิ่นเพื่อไม่ให้งานซ้ำซ้อน

ประวัติ

การจัดรูปแบบขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้มีการปรับปรุงแก้ไขและวิวัฒนาการตามลำดับ โดยจัดให้มีสภาจังหวัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2476 ตามความในพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476[1] ฐานะของสภาจังหวัด ขณะนั้น มีลักษณะเป็นองค์กรแทนประชาชน ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือแนะนำแก่คณะกรรมการจังหวัด ยังมิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่แยกต่างหากจากราชการบริหารส่วนภูมิภาคหรือเป็นหน่วยงานการปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย ต่อมาในปี พ.ศ. 2481 ได้มีการตราพระราชบัญญัติสภาจังหวัด พ.ศ. 2481 ขึ้น โดยมีความประสงค์ที่จะแยกกฎหมายที่เกี่ยวกับสภาจังหวัดไว้โดยเฉพาะสำหรับสาระสำคัญของพระราชบัญญัติฯ นั้น ยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงฐานะและบทบาทของสภาจังหวัดไปจากเดิม กล่าวคือ สภาจังหวัดยังคงทำหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษาของคณะกรรมการจังหวัดเท่านั้น จนกระทั่งได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 ซึ่งกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบบริหารราชการส่วนจังหวัดของกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ โดยตรงแทนคณะกรรมการจังหวัดเดิม โดยผลแห่งพระราชบัญญัติฯ นี้ ทำให้สภาจังหวัดมีฐานะเป็นสภาที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด

แต่เนื่องจากบทบาทและการดำเนินงานของสภาจังหวัดในฐานะที่ปรึกษา ซึ่งคอยให้คำแนะนำและควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของจังหวัด ไม่สู้จะได้ผลสมตามความมุ่งหมายเท่าใดนัก จึงทำให้เกิดแนวคิดที่จะปรับปรุงบทบาทของสภาจังหวัด ให้มีประสิทธิภาพโดยให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนในการปกครองตนเองยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ. 2498 อันมีผลให้เกิด องค์การบริหารส่วนจังหวัด ขึ้นตามกฎหมายโดยมีฐานะเป็นนิติบุคคล แยกจากจังหวัด ในฐานะที่เป็นราชการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ต่อมาได้มีการประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2515 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทว่าด้วยการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง

อำนาจหน้าที่

องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีหน้าที่พัฒนาจังหวัด ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สาธารณสุข การอาชีพ สาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น

  1. จัดสร้างระบบสาธารณูปโภคที่เทศบาลและ อบต. ทำไม่ได้ เพราะขาดงบประมาณ เช่น สร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย
  2. จัดทำโครงการที่เกี่ยวข้องทั้งเทศบาลและ อบต. เช่น การก่อสร้างถนนสายหลัก
  3. การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เช่น จัดรถบรรทุกน้ำ ช่วยเหลือพื้นที่แห้งแล้ง
  4. การใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์ของท้องถิ่น เช่น จัดให้มีสถานที่พักผ่อน สวนสาธารณะ
  5. การบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งจารีตประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น

การเลือกตั้งผู้แทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด

ประชาชนในแต่ละจังหวัดสามารถเลือกตัวแทนเข้ามาบริหาร อบจ.ได้โดยตรงโดยการเลือกตั้งนายก อบจ. และสมาชิกสภา อบจ. การเลือกตั้งนายก อบจ. ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกผู้สมัครนายก อบจ. ได้ 1 คน

การเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. ถือเขตอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง อำเภอที่มีสมาชิกสภา อบจ. ได้มากกว่า 1 คน จะแบ่งเขตอำเภอเป็นเขตเลือกตั้งเท่าจำนวนสมาชิกสภา อบจ. ที่มีในอำเภอนั้น ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้เขตเลือกตั้งละ 1 คน ส่วน นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทำหน้าที่ควบคุมและรับผิดชอบบริหารกิจการของ อบจ. ที่มีปลัด อบจ. เป็นหัวหน้า พนักงานทั้งหมดใน อบจ. และนายก อบจ. แต่งตั้งรองนายกซึ่งมิใช่สมาชิกสภา อบจ. เป็นผู้ช่วย เหลือในการบริหารงาน มีวาระการทำงานคราวละ 4 ปี

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ สมาชิกสภา อบจ. หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ส.อบจ. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน อยู่ในตำแหน่งวาระละ 4 ปี มีหน้าที่ดังนี้

  1. พิจารณาและออกกฎหมายของ อบจ. เรียกว่า “ข้อบัญญัติ อบจ.” เช่น การจัดเก็บภาษี, น้ำมัน, และยาสูบ
  2. ตรวจสอบควบคุมการบริหาร อบจ. เช่น ตรวจสอบการใช้เงินในโครงการต่าง ๆ ให้ความเห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัดโดยรวบรวมจากแผนของทั้งเทศบาลและ อบต. เช่น การสร้างถนน
  3. ให้ความเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งมาจากภาษีของประชาชน ทั้งภาษีทางตรงที่ อบจ. จัดเก็บ เช่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน หรือภาษีทางอ้อม เช่น จากการซื้อสินค้า โดยนำส่วนที่เป็นภาษีกลับคืนมาพัฒนาท้องถิ่น

ผู้บริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ ผู้บริหารท้องถิ่น เราเรียกว่า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งมีที่มาจากการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง

สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2539 สมาชิกสภาจังหวัดทั่วประเทศได้มีการรวมตัวกันจัดการประชุมใหญ่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ และได้มีมติให้มีการก่อตั้งสหพันธ์สมาชิกสภาจังหวัดแห่งประเทศไทยขึ้น พร้อมกับได้เลือก อุดร จันทรวิโรจน์ ประธานสภาจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานสหพันธ์ สมาชิกสภาจังหวัดแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งได้ขับเคลื่อนเรียกร้องให้มีการแก้ไข พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 และประสบผลสำเร็จในเวลาต่อมา เมื่อได้มีการตราพระราชบัญญัติ องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 ขึ้นมาบังคับใช้ ส่งผลให้สภาจังหวัดเดิมได้แปรสภาพไปเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยได้แยกอำนาจหน้าที่ออกเป็นฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติอย่างชัดเจน สหพันธ์สมาชิกสภาจังหวัดแห่งประเทศไทยจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นสมาคมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 โดยมี อำนวย แช่มช้อย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี เป็นนายกสมาคมฯ คนแรก มีสำนักงานตั้งอยู่ ณ สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยวิสัยทัศน์ “รวมเป็นหนึ่ง เป็นที่พึ่ง มีศักดิ์ศรี มีคุณธรรม”

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็นสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2554 สานันท์ สุพรรณชนะบุรี นายกสมาคมฯ ในขณะนั้น ได้ทำการย้ายสำนักงานจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาสร้างในสถานที่แห่งใหม่ มาอยู่ที่ เลขที่ 19/1-3 หมู่ที่ 4 ถนนราชพฤกษ์ ตำบลคลองข่อย อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และได้กราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอาคารสำนักงานแห่งใหม่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 และได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ทำการสำนักงานสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน[2]

รายชื่อนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย

ลำดับ รูป รายนาม เริ่มวาระ สิ้นสุดวาระ จังหวัด
ประธานสหพันธ์สมาชิกสภาจังหวัดแห่งประเทศไทย
1 อุดร จันทรวิโรจน์ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2539 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 จังหวัดเชียงใหม่
2
(1)
อำนวย แช่มช้อย 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 จังหวัดกาญจนบุรี
นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย
2
(2)
อำนวย แช่มช้อย 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 8 สิงหาคม พ.ศ. 2544 จังหวัดกาญจนบุรี
3 ศักดา จาละ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2544 ธันวาคม พ.ศ. 2545 จังหวัดสุพรรณบุรี
4 ภิญโญ ตั๊นวิเศษ ธันวาคม พ.ศ. 2545 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 จังหวัดชลบุรี
5 วิทูร ชาติปฏิมาพงษ์ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 28 ธันวาคม พ.ศ. 2550 จังหวัดนครราชสีมา
6 อำนาจ ศิริชัย 28 ธันวาคม พ.ศ. 2550 พ.ศ. 2551 จังหวัดนครสวรรค์
7 สานันท์ สุพรรณชนะบุรี 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551[3] 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554 จังหวัดพัทลุง
8 ธนภณ กิจกาญจน์ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 จังหวัดจันทบุรี
9 ชัยมงคล ไชยรบ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 พ.ศ. 2559 จังหวัดสกลนคร
10 บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ พ.ศ. 2559 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จังหวัดเชียงใหม่
11 อนุวัธ วงศ์วรรณ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พ.ศ. 2562 จังหวัดแพร่
12 สมศักดิ์ กิตติธรกุล พ.ศ. 2561 3 กันยายน พ.ศ. 2564 จังหวัดกระบี่
13 บุญชู จันทร์สุวรรณ 3 กันยายน พ.ศ. 2564[4] 3 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จังหวัดสุพรรณบุรี
14 ชูพงศ์ คำจวง 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566[5] 19 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จังหวัดสกลนคร
- พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง
(อุปนายกสมาคมฯ)
19 ธันวาคม พ.ศ. 2566
(รักษาการ)
19 ธันวาคม พ.ศ. 2566 จังหวัดปทุมธานี

อ้างอิง

  1. พระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พุทธศักราช 2476 เก็บถาวร 2009-03-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 51 วันที่ 24 เมษายน 2477
  2. "ประวัติความเป็นมา – สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย".
  3. "สัมภาษณ์สานันท์ สุพรรณชนะบุรี: ท้องถิ่นคือรากฐานประชาธิปไตยรัฐต้องให้ความสำคัญ | ประชาไท Prachatai.com". prachatai.com. 2024-12-29.
  4. ข่าวช่อง 8 (2021-09-03). ""บุญชู จันทร์สุวรรณ" ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม อบจ.ฯ คนที่ 13". www.thaich8.com.
  5. ""ดร.ชูพงศ์ คำจวง" นั่งนายกสมาคมอบจ.แห่งประเทศไทย คนใหม่". สยามรัฐ. 2023-11-30.

แหล่งข้อมูลอื่น

Strategi Solo vs Squad di Free Fire: Cara Menang Mudah!