มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์
มักซีมีเลียง ฟร็องซัว มารี อีซีดอร์ เดอ รอแบ็สปีแยร์ (ฝรั่งเศส : Maximilien François Marie Isidore de Robespierre ) เป็นนักกฎหมาย นักการเมือง รวมทั้งเป็นหนึ่งในบุคคลผู้มีบทบาทที่สุดในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นทั้งสมาชิกรัฐสภาและสมาชิกสโมสรฌากอแบ็ง เขาเป็นกระบอกเสียงให้แก่คนยากจนและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และยังเป็นผู้ผลักดันการควบคุมราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขั้นพื้นฐานตลอดจนการล้มล้างระบบทาสในอาณานิคมของฝรั่งเศส เขายังเป็นแกนนำผู้คัดค้านโทษประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากุมอำนาจประเทศ เขากลับกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ปราณีจนนำไปสู่สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ขุนนาง และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามจำนวนมาก ล้วนถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตีน ไปในช่วงเวลานี้
ประวัติ
มักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์ เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1758 ที่เมืองอารัส แคว้นนอร์-ปาดกาแล ราชอาณาจักรฝรั่งเศส เป็นบุตรคนโตของนายพร็องซัว มักซีมีเลียง บาร์เตเลมี เดอ รอแบ็สปีแยร์ (François Maximilien Barthélémy de Robespierre ) ทนายความ กับนางฌักลีน มาร์เกอริต กาโร (Jacqueline Marguerite Carrault ) บุตรสาวเจ้าของโรงเหล้า เมื่อมีอายุแปดปี มักซีมีเลียงเข้าศึกษาระดับประถมที่วิทยาลัยอารัส
ต่อมาในปี 1769 พระคุณเจ้ามุขนายกแห่งอารัสช่วยให้เขาได้รับทุนการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนหลุยส์-เลอ-กร็อง สถานศึกษาเลื่องชื่อแห่งกรุงปารีส และได้เป็นเพื่อนกับกามีย์ เดมูแล็ง และสตานิสลัส เฟรรง ระหว่างเรียนที่นี่ เขาได้เรียนและเริ่มสนใจสังคมอุดมคติแบบสาธารณรัฐโรมัน ตลอดจนวาทกรรมของกิแกโร , กาโต และบรูตุส นอกจากนี้ เขายังชอบอ่านหนังสือ สัญญาประชาคม ของปราชญ์อย่างฌ็อง-ฌัก รูโซ และคล้อยตามความคิดหลาย ๆ อย่าง มักซีมีเลียงมองว่า "เจตจำนงร่วม " (volonté générale ) ของประชาชนเป็นพื้นฐานของสิทธิธรรม ทางการเมือง[ 2]
รอแบ็สปีแยร์เข้าศึกษาสาขากฎหมายที่มหาวิทยาลัยปารีส และจบการศึกษาในปี 1780 และในปีถัดมาก็สำเร็จเป็นเนติบัณฑิต มุขนายกแห่งอารัสแต่งตั้งเขาเป็นหนึ่งในห้าผู้พิพากษาศาลอาญาเมืองอารัสในปี 1782 มักซีมีเลียงในช่วงนี้ต่อต้านโทษประหารชีวิต เขาอึดอัดใจที่แต่ละสัปดาห์มีคดีโทษประหารเข้าสู่ศาลจำนวนมาก นั่นทำให้เขาเป็นผู้พิพากษาได้เพียงไม่นานก็ลาออก[ 3] หลังลาออกจากตำแหน่งผู้พิพากษาได้ไม่นาน เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกบัณฑิตยสภาแห่งอารัสในเดือนพฤศจิกายน 1783[ 4] เขาเขียนบทความเรื่อง ญาติของอาชญากรผู้เสื่อมเสียสมควรถูกประณามด้วยหรือไม่? ใน ค.ศ. 1784 และได้รับรางวัลจากบัณฑิตยสภาแห่งแม็ส และได้รับยกย่องเป็น "วรรณบุรุษ"[ 5]
การปฏิวัติฝรั่งเศส
เข้าสู่การเมือง
ในเดือนสิงหาคม 1788 เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงตรากฤษฎีกาจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาฐานันดร เพื่อแก้ไขปัญหาการคลังและระบบภาษีของประเทศ รอแบ็สปีแยร์เข้าร่วมการอภิปรายหารือถึงวิธีการเลือกตั้งรัฐบาลส่วนภูมิภาคของฝรั่งเศส เขาระบุว่าหากยังใช้วิธีการเลือกตั้งแบบเดิมกับเมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้ว สภาฐานันดรในคราวนี้จะไม่ได้ผู้แทนส่วนภูมิภาคที่เป็นปากเป็นเสียงของประชาชนฝรั่งเศสเลย[ 6]
รอแบ็สปีแยร์ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตของตนเองและหาเสียงโดยกล่าวโจมตีการทำงานของหน่วยงานท้องถิ่น ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับความนิยมจากชาวชนบทจำนวนมาก และชนะเลือกตั้งเป็นหนึ่งในผู้แทนฐานันดรที่สามจำนวนสิบหกคนจากจังหวัดปาดกาแล ในเดือนเมษายน 1789[ 7] เหล่าผู้แทนเดินทางไปถึงพระราชวังแวร์ซายและรับฟังสุนทรพจน์ยาวสามชั่วโมงของฌัก แนแกร์ และยังได้รับแจ้งว่าการออกเสียงในสภาให้เป็นไปตาม "รายฐานันดร" ไม่ใช่ "รายหัว" รอแบ็สปีแยร์มองว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นปากเป็นเสียงได้จริงในสภาที่ใช้ระบบแบบนี้ ผู้แทนฐานันดรที่สามไม่มีวันโหวตชนะ รอแบ็สปีแยร์จึงร่วมกับผู้แทนฐานันดรที่สามซึ่งเป็นผู้แทนคน 96% ของประเทศ จัดตั้งสมัชชาแห่งชาติ (Assemblée nationale ) เป็นสภาใหม่ที่แยกจากสภาฐานันดร[ 8] ในที่สุดพระเจ้าหลุยส์ก็ทรงยอมรับสภาใหม่นี้
รอแบ็สปีแยร์มีความเกี่ยวข้องกับสมาคมเพื่อนรัฐธรรมนูญหรือเรียกอีกชื่อว่าสโมสรฌากอแบ็ง (Jacobins ) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกราว 1,200 คนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงในฝรั่งเศส หลักสำคัญของอุดมการณ์ฌากอแบ็งคือ "ความเสมอภาค" ในเดือนมกราคม 1790 รอแบ็สปีแยร์ขึ้นกล่าวในสภาหลายครั้งในประเด็นสิทธิพลเมืองที่เท่าเทียมโดยไม่เกี่ยงว่าจะจ่ายภาษีมากน้อยรวมถึงสิทธิในการเลือกตั้ง เขากล่าวอย่างโผงผางว่าชาวฝรั่งเศสต้องสามารถเป็นข้าราชการทุกตำแหน่งโดยเอาความสามารถและคุณธรรมเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เอาฐานะเป็นที่ตั้ง[ 9] และนั่นทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจนได้รับเลือกเป็นประธานที่ประชุมใหญ่แห่งชาติ ในเดือนมีนาคมของปีนั้น[ 10] ในวันที่ 28 เมษายน รอแบ็สปีแยร์เสนอญัตติให้ตุลาการศาลทหารประกอบด้วยนายทหารและพลทหารอย่างละครึ่ง[ 11]
การประหารพระเจ้าหลุยส์
ภายหลังพระเจ้าหลุยส์ถูกถอดจากบัลลังก์และถูกไต่สวนความผิดโดยสภา อดีตกษัตริย์หลุยส์ที่บัดนี้ใช้ชื่อว่า นายหลุยส์ กาแป ยกกฎหมายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นมาต่อสู้ว่า "กษัตริย์และการกระทำของพระองค์จะถูกละเมิดมิได้" สโมสรฌากอแบ็งจึงแตกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มลามงตาญ ที่ต้องการให้ประหารอดีตกษัตริย์ กับกลุ่มฌีรงแด็ง ที่ต้องการให้ดำเนินการอย่างรอมชอมโดยไม่ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง บ้างก็เสนอให้กักขังหรือเนรเทศอดีตกษัตริย์ ในห้วงเวลานี้ รอแบ็สปีแยร์ปราศรัยในสภาว่าอดีตกษัตริย์หลุยส์ละเมิดกฎหมายเอง ดังนั้นจึงไม่อาจยกความละเมิดมิได้มาเป็นข้อต่อสู้
การค้นพบเอกสารลับ 726 ฉบับในห้องบรรทมที่พระราชวังตุยเลอรี ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1792 ซึ่งเป็นจดหมายที่อดีตพระเจ้าหลุยส์เขียนตอบโต้กับบรรดานายธนาคารและรัฐมนตรี ทำให้ปฏิกิริยาของฝูงชนหันมาต่อต้านองค์กษัตริย์ในทันที[ 13] แม้อดีตกษัตริย์จะโต้แย้งว่าไม่รู้เรื่องจดหมายเหล่านี้ และจดหมายเหล่านี้ก็ไม่ได้มีพระปรมาภิไธยของพระองค์อยู่ แม้มีหลักกฎหมายให้สันนิษฐานว่าจำเลยบริสุทธิ์ไว้ก่อน แต่รอแบ็สปีแยร์ได้กล่าวในสภาว่า "...เขาย่อมถูกสันนิษฐานอย่างนั้นจนกว่าจะตัดสิน แต่ถ้าหลุยส์ได้ยกฟ้องโดยสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ แล้วฝ่ายปฏิวัติจะเป็นยังไงกัน? ถ้าหลุยส์บริสุทธิ์ล่ะก็ เท่ากับว่าผู้พิทักษ์เสรีภาพทั้งหมดใส่ร้ายเขางั้นสิ..." [ 14] รอแบ็สปีแยร์เสนอให้ประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ ทั้งที่ตัวเขาคัดค้านโทษประหารชีวิตมาตลอด ด้วยคำกล่าวที่ว่า "แน่นอน โดยทั่วไป โทษประหารคืออาชญากรรม หลักธรรมชาติอันยืนยงมิอาจยอมรับมันได้ แต่ยกเว้นกรณีเพื่อปกป้องความปลอดภัยของบุคคลหรือสังคม..." [ 15] ท้ายที่สุด ในวันที่ 15 มกราคม 1793 สภามีมติตัดสินว่าอดีตกษัตริย์หลุยส์มีความผิดจริงฐาน "สมคบประทุษร้ายต่อเสรีภาพปวงชนและความมั่นคงแห่งรัฐ" (conspiration contre la liberté publique et la sûreté générale de l'État )
กลุ่มฌีรงแด็งสิ้นอำนาจ
ภายหลังการประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 อิทธิพลของรอแบ็สปีแยร์และฌอร์ฌ ด็องตง เพิ่มขึ้นท่ามกลางบ้านเมืองที่อยู่ในสภาพกลียุค อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมใหญ่แห่งชาติ ก็ยังถูกนักการเมืองกลุ่มฌีรงแด็งครอบงำอยู่ ผู้ชุมนุมประท้วงต่างโกรธแค้นที่กลุ่มฌีรงแด็งจุดชนวนสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน[ 16] ในวันที่ 6 เมษายน มีการแต่งตั้งผู้แทนเข้าไปในกรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวม เพิ่มเติม สมาชิกทั้งหมดมาจากฝ่ายลาแปลนและด็องตง แต่ไม่มีกลุ่มฌีรงแด็งหรือกลุ่มรอแบ็สปีแยร์ รอแบ็สปีแยร์ไม่พอใจที่ไม่ได้รับเลือกและบอกสโมสรฌากอแบ็งว่าจะต้องจัดตั้งกองทัพของพวกซ็อง-กูว์ล็อต เพื่อป้องกันคอมมูนปารีส (นครบาลกรุงปารีส) และจับกุมเหล่าผู้แทนนอกรีต ซึ่งเขาได้เอ่ยชื่อ ดยุกแห่งออร์เลอ็อง , บรีโซ , แวร์โญ , กาแด และฌ็องซอเน [ 17] ถึงตอนนี้ รอแบ็สปีแยร์มองว่าบ้านเมืองมีเพียงสองฝ่าย คือฝ่ายประชาชนและฝ่ายศัตรูของประชาชน
ในวันที่ 15 เมษายน กองทัพประชาชนจากทั่วสารทิศเข้าล้อมสภาและเรียกร้องถอดถอนผู้แทนฯ ที่อยู่ในกลุ่มฌีรงแด็งทั้งหมด สภายังคงเดินหน้าพิจารณาวาระกฎหมายต่าง ๆ ต่อไปอีกนับสัปดาห์ ในช่วงนี้ รอแบ็สปีแยร์ได้เสนอกฎหมายกรรมสิทธิ์สี่มาตราและยังผลักดันการเก็บภาษีแบบก้าวหน้า ต่อมาในวันที่ 26 พฤษภาคม หลังผ่านหลายสัปดาห์แห่งความเงียบสงบ รอแบ็สปีแยร์อภิปรายอย่างอาจหาญว่าสโมสรฌากอแบ็ง "ต้องร่วมลุกฮือเพื่อต่อต้านพวกผู้แทนทุจริต" แต่ประธานสภาอีสนาร์ดตอบโต้ว่าสภาจะไม่คล้อยตามความรุนแรงใด ๆ และนครบาลกรุงปารีสจะเคารพผู้แทนจากทุกที่ในฝรั่งเศส[ 20] และไม่อนุญาตให้รอแบ็สปีแยร์พูดอภิปรายต่อ ในวันที่ 28 พฤษภาคม นครบาลกรุงปารีสยินยอมให้มีการจัดตั้งกองทัพซ็อง-กูว์ล็อตเพื่อพิทักษ์การปฏิวัติและกฎหมายสาธารณรัฐ
ฝูงชนเข้าปิดล้อมพระราชวังตุยเลอรี ที่ประชุมสภา ในวันที่ 31 พฤษภาคม 1793
เช้า 31 พฤษภาคม ฟร็องซัว อ็องรีโย ผู้บัญชาการกองอารักษ์ชาติ (Garde Nationale ) สั่งยิงปืนใหญ่ที่ปงเนิฟ เพื่อเป็นสัญญาณเตือน ผู้แทนฯ แวร์โญเสนอให้จับกุมอ็องรีโย รอแบ็สปีแยร์อภิปรายว่าแวร์โญและฝ่ายฌีรงแด็งเป็นพวกนิยมเจ้า และเรียกร้องให้จับกุมกลุ่มฌีรงแด็งทั้งหมด ในเช้าวันต่อมา 1 มิถุนายน ฝูงชนติดอาวุธ 12,000 คนรายล้อมสภาเพื่อสนับสนุนการจับกุมกลุ่มฌีรงแด็ง ในช่วงบ่ายก็เรียกร้องให้จัดตั้งกองทัพปฏิวัติของชนชั้นซ็อง-กูว์ล็อต ในทุกเมืองของฝรั่งเศส ในที่สุดก็มีการจับกุมมาดามรอล็อง และกลาเวียร์ ในวันนั้น แต่อารีโอยังไม่พอใจและกดดันให้จับกุมผู้นำฌีรงแด็ง 26 คนที่เหลือ ในช่วงค่ำของวันนั้น จำนวนมวลชนที่ล้อมสภาเพิ่มขึ้นถึง 40,000 คน
2 มิถุนายน อ็องรีโยสั่งให้กองอารักษ์ชาติเดินขบวนจากออแตลเดอวีลไปยังพระราชวังตุยเลอรี กองทัพประชาชนซึ่งมีจำนวนกว่า 80,000 ถึง 100,000 คน[ 22] นำปืนใหญ่เข้าล้อมที่ประชุมสภา กลุ่มณีรงแด็งเชื่อว่าเอกสิทธิ์ยังปกป้องพวกเขาอยู่ แต่ประชาชนนอกหน้าต่างกำลังเรียกร้องให้จับกุมพวกเขา พวกเขาพยายามออกจากพระราชวังแต่ถูกล้อมไว้ทุกทาง ในที่สุดก็ต้องเดินกลับห้องประชุมและลาออกจากตำแหน่ง แต่ละคนถูกจับกุมทันทีหลังกล่าวลาออก
กลุ่มลามงตาญเรืองอำนาจ
10 มิถุนายน 1793 กลุ่มลามงตาญกุมอำนาจในที่ประชุมใหญ่แห่งชาติ รอแบ็สปีแยร์มอบหมายหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แก่หลุยส์ อ็องตวน เดอ แซ็ง-ฌุสต์ รัฐธรรมนูญใหม่บังคับใช้ในวันที่ 24 มิถุนายน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้สิทธิ์เลือกตั้งแก่ผู้ชายโดยถ้วนหน้า ยกเลิกระบบทาสทั้งหมด
3 กรกฎาคม ตอมา-โอกุสแต็ง เดอ กัสปาแร็ง (Gasparin ) ลาออกจากกรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวม รอแบ็สปีแยร์จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเป็นกรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวมเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม และได้รับแต่งตั้งเป็นประธานที่ประชุมใหญ่ในวันที่ 21 สิงหาคม[ 24] ระหว่างนี้ก็มีการเปลี่ยนตัวกรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวมหลายคน สถานการณ์ในบ้านเมืองก็ยังปั่นป่วนวุ่นวาย
10 ตุลาคม ที่ประชุมใหญ่แห่งชาติผ่านมติรับรองให้คณะกรรมาธิการความปลอดภัยส่วนรวม เป็น "รัฐบาลปฏิวัติ" ซึ่งมีอำนาจสูงสุดเฉพาะกาลจนกว่าสถานการณ์จะสงบ รัฐธรรมนูญถูกระงับใช้ ทำให้รอแบ็สปีแยร์กลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดโดยพฤตินัย ในเวลาปีเดียว เขาจับกุมและประหารผู้คนนับพันตั้งแต่ความผิดเล็กน้อยจนถึงความผิดอุกฉกรรจ์ แม้แต่การใส่ร้ายใส่ความรอแบ็สปีแยร์ก็ต้องโทษถูกประหารโดยกิโยตีน เขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แต่คนอื่น ๆ เรียกช่วงเวลาที่รอแบ็สปีแยร์อยู่ในตำแหน่งว่า "สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว " (la Terreur ) ศัตรูจึงขนานนามเขาว่า "เผด็จการกระหายเลือด"
การโค่นล้มรอแบ็สปีแยร์
การประหารรอแบ็สปีแยร์เป็นจุดสิ้นสุดสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว
ยุคแห่งความน่าสะพรึงกลัวดำเนินไปเกือบหนึ่งปี จนกระทั่งในวันที่ 26 กรกฎาคม 1794 รอแบ็สปีแยร์ประกาศกลางที่ประชุมใหญ่แห่งชาติว่าจะกำจัดผู้แทนบางคนที่คิดร้ายต่อสาธารณรัฐ แต่ไม่ยอมระบุว่าผู้แทนดังกล่าวเป็นใคร ทำให้บรรดาผู้แทนเกิดความระแวงว่าตัวเองจะตกเป็นเป้า ในคืนนั้นเขาก็ไปพูดอย่างเดียวกันที่สโมสรฌากอแบ็ง และได้รับเสียงปรบมือและตะโกนตอบรับว่า "ฆ่าคนทรยศซะ!" เช้าวันถัดมา บรรดาผู้แทนรุมอภิปรายโจมตีรอแบ็สปีแยร์และพวกอย่างรุนแรงโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาแก้ต่าง จนเขาต้องเดินหนีออกจากที่ประชุมใหญ่ ในช่วงเวลานั้นเอง ที่ประชุมใหญ่ก็ผ่านมติให้จับกุมรอแบ็สปีแยร์และพวก
รอแบ็สปีแยร์และพวกบางส่วนกบดานอยู่ที่ออแตลเดอวีล (ศาลาว่าการกรุงปารีสในขณะนั้น) ซึ่งได้รับการคุ้มกันโดยกองอารักษ์ชาติที่ภักดีต่อเขา ในคืนวันนั้น ที่ประชุมใหญ่จึงส่งกองทหารหน่วยอื่นบุกเข้าไปในอาคาร รอแบ็สปีแยร์พยายามฆ่าตัวตายด้วยการจ่อปากกระบอกปืนจะยิงเข้าศีรษะแต่มีทหารนายหนึ่งเข้าขัดขวางจนปากกระบอกปืนถูกเลื่อนไปที่แก้ม และเกิดปืนลั่นทำให้รอแบ็สปีแยร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ลูกกระสุนเจาะทะลุแก้มทั้งสองข้าง ภายหลังจากนั้นรอแบ็สปีแยร์และพวกอย่างแซ็ง-ฌุสต์ และฌอร์ฌ กูตง ฯลฯ ถูกประหารด้วยกิโยตีนท่ามกลางผู้คนมากมายที่รุมล้อมในวันที่ 28 กรกฎาคม 1794 ณ ปลัสเดอลาเรวอลูว์ซียง ใจกลางกรุงปารีส
อ้างอิง
↑ The Enlightenment that Failed: Ideas, Revolution, and Democratic Defeat ... By Jonathan I. Israel, p. 465-467
↑ Riskin, Jessica (1999). "The Lawyer and the Lightning Rod" (PDF) . Science in Context . Cambridge University Press (CUP). 12 (1): 61–99. doi :10.1017/s0269889700003318 . ISSN 0269-8897 . [ลิงก์เสีย ]
↑ Drival, Eugène Van (1872). Histoire de l'Académie d'Arras depuis sa fondation: en 1737, jusqu'à nos jours . Typ. de A. Courtin. p. 58 .
↑ Leuwers, Hervé. Robespierre (Paris, Fayard, 2014; rééd. Pluriel, 2016) — extraits . p. 9 – โดยทาง www.academia.edu.
↑ Andress, David (22 January 2015). The Oxford Handbook of the French Revolution . OUP Oxford. ISBN 9780191009921 – โดยทาง Google Books.
↑ Liste des noms et qualités de messieurs les députés et suppléants à l'Assemblée nationale. In: Archives Parlementaires de 1787 à 1860 — Première série (1787–1799) sous la direction de Jérôme Mavidal et Emile Laurent. Tome VIII du 5 mai 1789 au 15 septembre 1789. Paris : Librairie Administrative P. Dupont, 1875. p. VII. [1]
↑ Hibbert, C. (1980)
↑ P. McPhee (2013) "My Strength and My Health Are not Great Enough": Political Crises and Medical Crises in the Life of Maximilien Robespierre, 1790-1794
↑ Aulard, François-Alphonse (1897). La société des Jacobins: Mars à novembre 1794 . Recueil de documents pour l'histoire du club des Jacobins de Paris (ภาษาฝรั่งเศส). Vol. 6. Librairie Jouaust. pp. 714, 717. OCLC 763671875 .
↑ Walter, G. (1961) Robespierre à la tribune, p. 206. In: Robespierre, vol. II. L’œuvre, part IV. Gallimard.
↑ Hardman, John (2016) The life of Louis XVI, p. ?
↑ Robespierre 1958, pp. 121–22, in Tome IX, Discours
↑ Robespierre 1958, pp. 129–30, in Tome IX, Discours.
↑ L. Moore, p. 172
↑ I. Davidson, p. 157
↑ Ternaux, Mortimer (1869). Histoire de la terreur, 1792-1794 . Vol. 7. Michel Lévy frères. p. 276.
↑ Le Républicain français, 14 septembre 1793, p. 2
↑ Mandats à l’Assemblée nationale ou à la Chambre des députés
ข้อมูล (คัดเลือก)
Andress, David (2006). The Terror: The Merciless War for Freedom in Revolutionary France (ภาษาอังกฤษ). Farrar, Straus, and Giroux. ISBN 978-0374273415 .
Aulard, François-Alphonse (1897). La société des Jacobins: Mars à novembre 1794. Recueil de documents pour l'histoire du club des Jacobins de Paris (in French). 6. Librairie Jouaust. OCLC 763671875
Bienvenu, Richard T. (1968) The Ninth of Thermidor: The Fall of Robespierre. Oxford University Press, New York.
Blanc, Louis Jean Joseph (1869). Histoire de la Révolution française. Libr. Internationale.
Courtois, Edme-Bonaventure; Robespierre, Maximilien (1828). Papiers inédits trouvés chez Robespierre, Saint-Just, Payan, etc: supprimés ou omis par Courtois; précédés du rapport de ce député à la Convention nationale; avec un grand nombre de fac-similé et les signatures des principaux personnages de la révolution (ภาษาฝรั่งเศส). Baudouin frères.
Davidson, Ian (2016) The French Revolution: From Enlightenment to Tyranny. Profile Books Ltd
Doyle, William (2002). The Oxford History of the French Revolution (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. ISBN 978-0191608292 .
Dunoyer, Alphonse (1913) The public prosecutor of the terror, Antoine Quentin Fouquier-Tinville. New York: G.P. Putnam's sons.
Furet, François (1989). Interpreting the French Revolution . Cambridge, MA: Harvard University Press. ISBN 978-0521280495 . สืบค้นเมื่อ 26 January 2014 .
Furet, François; Ozouf, Mona (1989). A Critical Dictionary of the French Revolution (ภาษาอังกฤษ). Harvard University Press. ISBN 978-0674177284 .
Hamel, Ernest (1897) Thermidor: d'après les sources originales et les documents authentiques (in French) (2nd ed.). Flammarion. OCLC 764094902
Hampson, Norman (1974). The Life and Opinions of Maximilien Robespierre (ภาษาอังกฤษ). Duckworth. ISBN 978-0715607411 .
Hardman, John (1999) Robespierre. Profiles in power. Longman. ISBN 9780582437555 – via Google Books.
Haydon, Colin; Doyle, William (2006). Robespierre (ภาษาอังกฤษ). Cambridge University Press. ISBN 978-0521026055 . A collection of essays covering not only Robespierre's thoughts and deeds, but also the way he has been portrayed by historians and fictional writers alike.
Hazan, Eric (2014) A People's History of the French Revolution. Verso. London. New York. ISBN 978-1781689844
Israel, Jonathan (2014). Revolutionary Ideas: An Intellectual History of the French Revolution from The Rights of Man to Robespierre (ภาษาอังกฤษ). Princeton University Press . ISBN 978-1400849994 .
Jordan, David P. (2013). Revolutionary Career of Maximilien Robespierre (ภาษาอังกฤษ). Simon & Schuster . ISBN 978-1476725710 .
Kennedy, Michael L. (1988). The Jacobin clubs in the French Revolution: the Middle Years . Princeton University Press. ISBN 978-0691055268 .
Laurent, Gustave (1939). Oeuvres Completes de Robespierre (ภาษาฝรั่งเศส). Nancy: Imprimerie de G. Thomas. OCLC 459859442 .
Leuwers, Hervé (2014) Robespierre. Paris, Pluriel.
Lewes, G.H. (1849) The life of Robespierre
Linton, Marisa (2013). Choosing Terror: Virtue, Friendship, and Authenticity in the French Revolution . Oxford University Press. ISBN 978-0-19-957630-2 . OCLC 854998068 .
Martin, Jean-Clément (2006). Violence et Révolution: essai sur la naissance d'un mythe national (ภาษาฝรั่งเศส). Paris: Éd. du Seuil. ISBN 978-2020438421 .
Mathiez, Albert (1927). The French Revolution (ภาษาอังกฤษ). Williams and Norgate.
Mathiez, Albert (1977). "Robespierre: l'histoire et la légende". Annales Historiques de la Révolution Française . 49 (227): 5–31. doi :10.3406/ahrf.1977.4029 . JSTOR 41915887 .
Mathiez, Albert (1988). Etudes sur Robespierre: 1758–1794 . Paris: Messidor. ISBN 978-2209060498 .
Matrat, Jean (1975). Robespierre: or, The tyranny of the majority . New York: Scribner. ISBN 978-0684140551 .
McPhee, Peter (2012). Robespierre: A Revolutionary Life (ภาษาอังกฤษ). Yale University Press . ISBN 978-0300118117 .
McPhee, Peter. "The Robespierre Problem: An Introduction," H-France Salon , Vol 7 no, 14, 2015, page 9. online
Michelet, Jules (1847) The History of the French Revolution (Charles Cocks, trans.) online
Moore, Lucy (8 May 2007). Liberty: The Lives and Times of Six Women in Revolutionary France . HarperCollins. ISBN 978-0-06-082526-3 . OCLC 76836264 .
Robespierre, Charlotte (2006). Mémoires (Nouv. éd. ed.). Paris: Nouveau monde éd. ISBN 978-2847361766 .
Robespierre, Maximilien de (1958). Bouloiseau, Marc; Lefebvre, Georges; Soboul, Albert; Dautry, Jean (บ.ก.). Oeuvres de Maximilien Robespierre (ภาษาฝรั่งเศส). PUF. OCLC 370022395 .
Rudé, George F.E. (1975). Robespierre: portrait of a Revolutionary Democrat (ภาษาอังกฤษ). Collins. ISBN 9780002167086 . A political portrait of Robespierre, examining his changing image among historians and the different aspects of Robespierre as an 'ideologue', as a political democrat, as a social democrat, as a practitioner of revolution, as a politician and as a popular leader/leader of revolution.
Schama, Simon (1989). Citizens: A Chronicle of the French Revolution . New York: Alfred A. Knopf. ISBN 978-0-394-55948-3 .
Scurr, Ruth (2006). Fatal Purity: Robespierre and the French Revolution (ภาษาอังกฤษ). New York: Macmillan. ISBN 978-0805082616 .
"Reviewed" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 June 2007. สืบค้นเมื่อ 21 April 2006 .{{cite web }}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์ ) by Hilary Mantel in the London Review of Books , Vol. 28 No. 8, 20 April 2006.
Reviewed by Sudhir Hazareesingh in The Times Literary Supplement , 7 June 2006.
Sanson, Henri (1876). Memoirs of the Sansons: From Private Notes and Documents (1688–1847). London: Chatto and Windus. OCLC 317736774
Soboul, Albert (2005). Dictionnaire historique de la Révolution française (1. éd. ed.). Paris: Quadrige / PUF. ISBN 978-2130536055 .
Soboul, Albert (1974). The French Revolution, 1787–1799: from the storming of the Bastille to Napoleon (ภาษาอังกฤษ). Vintage Books. ISBN 978-0394712208 .
Thompson, J.M. (1988). Robespierre . New York: B. Blackwell. ISBN 978-0631155041 .
Popkin, Jeremy D. (2010). You Are All Free: The Haitian Revolution and the Abolition of Slavery (ภาษาอังกฤษ). Cambridge University Press. ISBN 978-0521517225 .
แหล่งข้อมูลอื่น
สำหรับคำตอบรับที่"เป็นกลางมากกว่า" มาจาก:
นานาชาติ ประจำชาติ วิชาการ ศิลปิน ประชาชน อื่น ๆ
เหตุการณ์สำคัญเรียงตามปี
1788 1789 1790 1791 1792 1793 1794 1795 1797 1799