มณฑลอยุธยา หรือ มณฑลกรุงเก่า ประกอบด้วยอยุธยา สระบุรี ลพบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี โดยมีอยุธยาเป็นศูนย์กลาง[1] เริ่มตั้งเมื่อ พ.ศ. 2437 และถูกล้มเลิกไปในปี พ.ศ. 2476 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ประวัติ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เริ่มปฏิรูปการปกครอง จัดให้มีการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้น โดยใน พ.ศ. 2437 ได้ตั้งมณฑลขึ้นครั้งแรก 3 มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรี และมณฑลราชบุรี สำหรับมณฑลกรุงเก่านั้นตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2438 โดยรวมเอา 7 หัวเมืองคือ กรุงเก่า อ่างทอง สระบุรี ลพบุรี พรหมบุรี อินทร์บุรี และสิงห์บุรีเข้าเป็นมณฑล แล้วตั้งมณฑลมีที่ว่าการมณฑลที่พระนครศรีอยุธยา เรียกว่า มณฑลกรุงเก่า ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เปลี่ยนชื่อมาเป็น มณฑลอยุธยา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2469[2]
เมื่อ พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า รวมเมืองอินทร์บุรีและพรหมบุรีเข้ากับเมืองสิงห์บุรี[3] ผู้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลในระยะแรกคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์
แม้มณฑลกรุงเก่าจะเป็นมณฑลภายในซึ่งปราศจากการคุกคามและรุกรานจากภายนอก แต่ก็ตั้งขึ้นเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วมีแบบแผนอย่างเดียวกัน นอกจากนี้มณฑลกรุงเก่ายังเป็นแหล่งผลิตกรมการอำเภอสำหรับป้อนไปยังมณฑลต่างๆ ซึ่งขาดแคลนทรัพยากรทางด้านนี้เป็นอย่างมาก มณฑลกรุงเก่ายังเป็นมณฑลแรกที่มีการจัดตั้งศาลมณฑลขึ้น[4] พ.ศ. 2440 มณฑลอยุธยาได้แบ่งเขตอำเภอใหม่ คือ เมืองอยุธยามี 11 อำเภอ เมืองลพบุรีมี 4 อําเภอ เมืองอ่างทองมี 4 อําเภอ เมืองสระบุรีมี 5 อำเภอ และเมืองสิงห์บุรีมี 4 อําเภอ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการยุบมณฑลนครสวรรค์รวมกับมณฑลอยุธยา[5] เว้นแต่จังหวัดตาก และจังหวัดกำแพงเพชรให้ยกไปขึ้นอยู่ในปกครองของมณฑลพิษณุโลก ต่อมามณฑลอยุธยาถูกล้มเลิกไปในปี พ.ศ. 2476 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
การปฏิรูป
การปกครองตำบลมีตำแหน่งกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้าหน่วยการปกครอง โดยเมื่อ พ.ศ. 2440 มีการดำเนินการทดลองเลือกตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านที่เกาะบางปะอิน
มณฑลอยุธยามีคดีความโจรผู้ร้ายมาก ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาได้ลงมือแก้ไขปัญหานี้ เช่น การยกเลิกโรงรับจำนำ การทำตั๋วรูปพรรณสัตว์พาหนะ การสำรวจบัญชีสํามะโนครัว เป็นต้น ส่วนการปรับปรุงการศาลในมณฑลอยุธยา ได้มีกองข้าหลวงพิเศษอันมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์เป็นประธานชำระคดีความต่าง ๆ ซึ่งมีความคั่งค้างอยู่มากมาย
มณฑลอยุธยาได้จัดตั้งกองข้าหลวงคลัง เมื่อ พ.ศ. 2438 ทำให้ระเบียบการคลังในมณฑลมีความเป็นระเบียบขึ้น การเก็บภาษีอากรมีระเบียบแบบแผนขึ้น มีหลักฐานแน่นอนคือใบเสร็จรับเงินที่ยากต่อการฉ้อโกง และแทนที่ราษฎรจะนำเงินมาชำระที่ศาลาว่าการเมืองก็ให้นายอำเภอกำนันและผู้ใหญ่บ้านออกไปเก็บภาษีอากรจากราษฎรในเขตของตน
ด้านการศึกษา มณฑลอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2442 ได้จัดตั้งโรงเรียนทั้งหมด 29 ตำบล มีนักเรียน 1,110 คน และมีพระสงฆ์เป็นผู้อำนวยการศึกษาประจำเมือง 4 รูป เมื่อ พ.ศ. 2448 ได้มีการสร้างโรงเรียนฝึกสอนครูประจำมณฑลขึ้น นอกจากนี้ยังมีการจัดให้มีโรงเรียนประจำอำเภอ รวมทั้งมีโรงเรียนประจำอำเภอ 21 อำเภอ ด้านการจัดการด้านอนามัย มณฑลอยุธยาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีแพทย์ประจำเมือง ประจำตำบล และแพทย์ประจำมณฑลช่วยรักษาคนไข้และมียาโอสถศาลาจำหน่ายในราคาถูก มีการปลูกฝีให้แก่ราษฎร[2][6] และได้จัดตั้งโรงพยาบาลปัญจมาธิราชอุทิศ เมื่อ พ.ศ. 2455 นับเป็นโรงพยาบาลแผนปัจจุบันแห่งแรกในมณฑลกรุงเก่า[7]
อ้างอิง