นักการเมืองและผู้นำโปแลนด์ (อยู่ในวาระ ค.ศ. 1947–1956)
บอแลสวัฟ บีแยรุต ([bɔˈlɛswaf ˈbʲɛrut] ( ฟังเสียง); 18 เมษายน ค.ศ. 1892 – 12 มีนาคม ค.ศ. 1956) เป็นชาวโปแลนด์ที่เป็นนักการเมือง นักเคลื่อนไหวคอมมิวนิสต์และผู้นำแห่งสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ ระหว่างปี ค.ศ. 1947 และ ค.ศ. 1956 เขาเป็นประธานแห่งสภารัฐชาติ ตั้งแต่ ค.ศ. 1944 ถึง ค.ศ. 1947 ประธานาธิบดีแห่งโปแลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1947 ถึง ค.ศ. 1952 เลขาธิการแห่งคณะกรรมาธิการกลางของสหพรรคแรงงานโปแลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1952 ถึง ค.ศ. 1954 บีแยรุต ชายผู้ซึ่งเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งมีความรู้และความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อนำระบอบสตาลินมาใช้ในโปแลนด์ ร่วมกับววาดึสวัฟ กอมูว์กา คู่แข่งหลักของเขา บีแยรุตมีหน้าที่รับผิดชอบหลักต่อการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ที่โปแลนด์ได้รับในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แตกต่างจากผู้สืบทอดคอมมิวนิสต์คนใด ๆ ของเขา บีแยรุตปกครองโปแลนด์จนกระทั่งเขาเสียชีวิต
เขาเกิดในคองเกรสโปแลนด์ เชตชานเมืองของลูบลิน บีแยรุตได้เข้าสู่เส้นทางการเมืองในปี ค.ศ. 1912 โดยเข้าร่วมกับพรรคสังคมนิยมโปแลนด์ ต่อมาเขาได้เป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์โปแลนด์และใช้เวลาหลายปีในสหภาพโซเวียต ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของคอมินเทิร์น ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนเลนินนานาชาติโซเวียตและสถาบันที่มีความคล้ายคลึงกันที่อื่นในยุโรป เขาถูกตัดสินจำคุกในปี ค.ศ. 1935 เนื่องจากดำเนินการเคลื่อนไหวแรงงานอย่างผิดกฎหมายในโปแลนด์โดยรัฐบาลซานาติออนต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งน่าจะช่วยเขาจากการถูกกวาดล้างของสตาลินในไม่ช้าที่จะดำเนินการในสหภาพโซเวียต ภายหลังจากที่เข้าโรงเรียนประถมเพียงหลายปีก่อนที่จะถูกไล่ออกจากโรงเรียน ต่อมาเขาได้พัฒนาความสนใจในด้านเศรษฐศาสตร์และเรียนหลักสูตรแบบมีส่วนร่วมที่โรงเรียนเศรษฐศาสตร์วอร์ซอ เขาได้เข้าร่วมขบวนการสหกรณ์ในวัยหนุ่มของเขา ภายหลังจากที่เขาได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำในปี ค.ศ. 1938 เขาได้รับการว่าจ้างให้เป็นนักบัญชีของสโปเลม จนกระทั่งสงครามได้ลุกลามมากขึ้น
ในช่วงสงคราม บีแยรุตเป็นนักเคลื่อนไหวของพรรคกรรมกรโปแลนด์(PPR) ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ และต่อมาได้กลายเป็นประธานแห่งสภารัฐชาติ(KRN) ซึ่งถูกก่อตั้งโดยพรรคกรรมกรโปแลนด์ ในขณะที่กองทัพแดงได้ผลักดันกองทัพแวร์มัคท์ของนาซีเยอรมันจากทางตะวันออกของโปแลนด์ เมืองลูบลินซึ่งได้รับการปลดปล่อยก็กลายเป็นสำนักงานใหญ่ชั่วคราวของคณะกรรมาธิการแห่งชาติเพื่อการปลดปล่อยโปแลนด์ตามที่เขาได้คิดริเริ่มขึ้น ด้วยการที่ได้รับการไว้วางใจจากโจเซฟ สตาลิน บีแยรุตได้เข้าร่วมในการประชุมพ็อทซ์ดัม ซึ่งเขาได้ประสบความสำเร็จในการล็อบบี้ให้จัดตั้งชายแดนด้านตะวันตกของโปแลนด์ที่แนวโอเดอร์-ไนเซอ การประชุมดังกล่าวทำให้โปแลนด์ได้รับ"ดินแดนการฟื้นฟู" หลังเยอรมันในขนาดพื้นที่สูงสุดเท่าที่เป็นไปได้
ภายหลังจากการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1947 ซึ่งมีการฉ้อโกงการเลือกตั้ง บีแยรุตได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีแห่งโปแลนด์คนแรกในช่วงหลังสงครามในปี ค.ศ. 1952 รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์(จนกระทั่งเป็นที่รู้จักกันคือ สาธารณรัฐโปแลนด์) ได้ยกเลิกตำแหน่งประธานาธิบดีและรัฐบาลนิยมลัทธิมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ได้ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการ บีแยรุตได้สนับสนุนนโยบายสตาลินอย่างรุนแรงตลอดจนนำเอาสัจนิยมสังคมนิยมมาใช้อย่างเป็นระบบในโปแลนด์ ระบอบการปกครองของเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความน่าสะพรึงอย่างเงียบ ๆ - เขาเป็นประธานในการไล่ล่าสมาชิกฝ่ายต่อต้านติดอาวุธและพวกเขาก็ถูกสังหารในที่สุดด้วยน้ำมือของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ(UB) รวมทั้งอดีตสมาชิกกองทัพบ้านเกิดบางคน ภายใต้การดูแลของบีแยรุต หน่วยยูบีได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นตำรวจลับที่มีชื่อเสียง ซึ่งตามแหล่งข้อมูลบางแห่งได้ระบุว่ามีหน้าที่รับผิดชอบในการประหารชีวิตฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหนึ่งหมื่นคนหรือผู้ต้องสงสัยหกพันคนตามข้อมูลจากสถาบันฮูเวอร์ ในฐานะที่เป็นผู้นำโปแลนด์โดยพฤตินัย เขาอาศัยอยู่ในพระราชวังเบลเวเดอร์และเป็นหัวหน้าสหพรรคแรงงานโปแลนด์ จากสำนักงานใหญ่พรรคที่นิวเวิร์ลสรีตทในใจกลางวอร์ซอ เป็นที่รู้คือ Dom Partii เขายังเป็นผู้สนับสนุนหลักในการบูรณะฟื้นฟูกรุงวอร์ซอขึ้นมาใหม่(การสร้างย่านประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่) และการสร้างวังแห่งวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์
บอแลสวัฟ บีแยรุตได้เสียชีวิตลงในโรคหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1956 ในกรุงมอสโก ภายหลังจากการเข้าร่วมประชุมสภาคองเกรสของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตครั้งที่ 20 การเสียชีวิตของเขาเกิดขึ้นอย่างกระทันหันและเกิดทฤษฎีต่าง ๆ มากมายที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เขาเสียชีวิต ร่างของเขาได้ถูกนำกลับไปยังโปแลนด์และถูกฝังศพอย่างมีเกียรติในสุสานทหารโปวาซกี(Powązki Military Cemetery)