จูซี (จีน: 朱熹 18 ตุลาคม 1130 – 23 เมษายน 1200) เป็นนักปรัชญาลัทธิขงจื่อในสมัยราชวงศ์ซ่ง เขาเป็นนักวิชาการที่สอนอย่างมีหลักการและสมเหตุสมผลที่สุด เขาได้เขียนตำราอธิบายคำสอนของขงจื่อไว้ ซึ่งต่อมาเป็นพื้นฐานของระบบราชการจีนและรัฐบาลมานานกว่า 700 ปี
จูซีเป็นชาวตำบลอู้หยวน เมืองฮุยโจว ซึ่งทางตะวันออกของแดนเจียงหนาน(ปัจจุบันคือ มณฑลเจียงซี) เขาเกิดที่ตำบลหลงซี มณฑลฝูเจี้ยน (ปัจจุบันคือ ตำบลหลงไห่ เมืองจางโจว มณฑลฝูเจี้ยน) จูซีมีอีกนามว่า "อาจารย์จื่อหยาง"(紫阳先生) ฉายา "จูเหวินกง"(朱文公) จูซีเป็นนักปรัชญาสำนักหลักการเฉิง-จูในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ ซึ่งได้รวบรวมตำราสำคัญของสำนักเอาไว้ จึงได้รับการขนานนามว่า "จูจื่อ"
จูซีเป็นลูกศิษย์รุ่นที่สามของเฉิงฮ่าวและเฉิงอี๋ ครอบครัวเขามีฐานะยากจน ทว่าตั้งแต่เด็กเขามีความฉลาดหลักแหลม จึงทำให้เขาสามารถสอบรับราชการในปีที่ 18 ของเมืองเช่าซิงได้ และทำงานรับใช้จักรพรรดิถึง 4 รัชสมัย เขาได้สอนหนังสือที่โรงเรียนอวิ๋นกู่เจี๋ยฉ่าวในเมืองเจี้ยนหยางซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า "ฮุ่ยอาน"(晦氨) สำนักหลักการได้ตั้งชื่อให้ว่า "วิทยาลัยข่าวถิง" หรือเรียกอีกอย่างว่า "โรงเรียนข่าวถิง"
จูซีได้สนับสนุนทฤษฎีโจวตุนอี๋ โดยสร้างรูปแบบการศึกษาวิจัยทางด้านปรัชญาในสมัยราชวงศ์ซ่ง จนตกผลึกเป็นสำนักหลักการ(理学) และกำหนดให้ "หนังสือสี่เล่ม"(四书) อันได้แก่ "หลุนอวี่"(论语), "เมิ่งจื่อ"(孟子), "ต้าเสว"(大学) และ "จงยง"(中庸) เป็นตำราเรียนหลักเอาไว้สำหรับสอบรับราชการในยุคต่อมา นักวิชาการของจีนเห็นว่าเขาได้สร้างระบบความคิดแบบอุดมคตินิยมอันเป็นภววิสัยที่สมบูรณ์[1]
จูซีเกิดเมื่อวันที่ 15 เดือน 9 ปีเกิงชู่ รัชศกเจี้ยนเหยียนปีที่ 4 (ค.ศ.1130) สมัยราชวงศ์ซ่ง ที่สำนักฉ่าวแห่งตระกูลเจิ้ง(วิทยาลัยหนานซี) แห่งตำบลโยวซี มณฑลฝูเจี้ยน เขาเป็นลูกหลานรุ่นที่ 9 ของจูหวน(เจ้าของโรงน้ำชา)[2] เดิมเป็นนายทะเบียนแห่งตำบลอู้หยวน เมืองฮุยโจว(เดิมเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลอันฮุย พอปี ค.ศ.1952 ได้ผนวกเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลเจียงซี)
จูซีเข้าศึกษาตั้งแต่ตอนอายุ 5 ขวบ เขาสามารถท่อง "คัมภีร์เซี่ยวจิง"(孝经) [3] ได้ อายุ 18 ปี ... อายุ 19 ปี รับตำแหน่งเป็นขุนนางผู้ช่วยท่านอ๋อง ในเดือนที่ 10 ของรัชศกเช่าซิงปีที่ 5 เขาได้รับตำแหน่งต้ายจื้อ(待制)และชื่อเจี่ยง(侍讲)แห่งสำนักฮว่านจาง [4] ในฤดูใบไม้ผลิของรัชศกเช่าซิงปีที่ 20 (ค.ศ.1149) เขาได้กลับบ้านเกิดร่วมพิธีฝังศพ และกู้คืนที่นามานับร้อยหมู่(亩) โดยอ้างว่าที่นาผืนนี้ใช้จัดพิธีสำหรับโรงน้ำชาของตระกูลจู[5] เมื่ออายุ 22 ปี เขาได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางตี๋กงฝ่ายซ้าย(左迪功郎) เขาได้รับนำหน้าที่เป็นนายทะเบียนแห่งตำบลถงอัน เมืองเฉวียนโจว เป็นขุนนางถึง 48 ปี โดยเริ่มเป็นขุนนางท้องถิ่น 9 ปี แล้วรับตำแหน่งชื่อเจี่ยงในราชสำนักเป็นเวลา 40 วัน และรับตำแหน่งเป็นต้ายจื้อแห่งสำนักเป่าเหวิน ในระหว่างนั้นเขาอนุญาตให้เปิดเมืองอู้หยวน แจกอาหารให้ชาวบ้าน 300 ครัวเรือน และได้บูรณะสำนักให้ทันสมัยขึ้น
อาจารย์หูเต้าจิ้งได้กล่าวว่า "จูซีเป็นนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน"Joseph Needham (李约瑟) ผู้ซึ่งทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติได้ยืนยันความสำเร็จของจูซีว่า "จูซีเป็นบุคคลผู้หนึ่งที่ศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง" เขายังได้ประเมินคุณค่าหลักการของจูซีในการเปรียบเทียบระหว่างเกล็ดหิมะกับหินสีดำซึ่งจูซีได้อธิบายว่าเหตุใดเกล็ดหิมะจึงมีหกแฉก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของเทคโนโลยีในยุคต่อมา โจเซฟ นีดแฮม เห็นว่า "จูซีเป็นคนแรกที่วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของหินได้" ซึ่งนับว่าค้นพบก่อนโลกตะวันตกถึง 400 กว่าปี[6]
แต่กระนั้นจูซีก็ยังขาดการพัฒนาทางด้านคณิตศาสตร์ ดังที่หวงเหรินอวี๋(黄仁宇)ได้กล่าวว่า "หากสำนักหลักการหรือสำนักเต๋ามีการศึกษาสรรพสิ่งที่มากไปกว่านี้(นำสิ่งที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรมมารวมกัน) ซึ่งใช้แค่งานศิลปะยืนยัน แต่มิอาจใช้ตัวเลขพิสูจน์ได้" หากผลลัพธ์เป็นดังที่โจเซฟ นีดแฮมได้กล่าวไว้ว่า"จูซีไม่ได้สร้างมโนทัศน์ทางจักรวาลวิทยาแบบนิวตัน แต่ได้สร้างมโนทัศน์ทางจักรวาลวิทยาแบบไอน์สไตน์"[7] นักวิชาการจำนวนมากเห็นว่ามโนทัศน์ทางธรรมชาติของจีนโบราณเป็นอยู่บนฐานแนวคิดหยิน-หยางและธาตุทั้ง 5 ซึ่งขัดขวางความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์[8] เมื่อนักปรัชญาจีนได้พยายามอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ มักอ้างปรัชญาธรรมชาติ อย่างเช่น "ไฟฟ้าเกิดจากพลังของหยินและหยาง", "แผ่นดินไหวเกิดจากพลังหยางถูกปกปิด พลังหยินเคลื่อนตัว"[9][10] ในแง่นี้ถือว่าเป็นแนวคิดของประสบการณ์นิยมและรหัสยนิยมซึ่งแทรกซึมลงไปในระบบทฤษฎีวิทยาศาสตร์ของจีนโบราณ
สำหรับจูซีแล้ว "การรักษาหลักการดั้งเดิมของธรรมชาติ และตัดความปรารถนาของมนุษย์" เป็นสาระสำคัญของสำนักขงจื่อ เขาได้กล่าวว่า "คำสอนของปราชญ์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ต้องการให้เราเข้าใจหลักการในธรรมชาติ ละความปรารถนาของตน"
ทฤษฎีทางสังคมการเมืองของสำนักหลักการ เป็นทฤษฎีที่นำลัทธิเต๋ามาปฏิบัติจริงในสังคม จูซีมองว่าคุณค่าของเต๋านั้นมีความหมายแฝงว่า "สามแบบอย่าง ห้าคุณธรรม"(三纲五常) มีเพียงการฝึกตนจนเป็นผู้มีมนุษยธรรม เช่นนี้คุณค่าของลัทธิขงจื่อก็กลายเป็นเสาหลักทางจิตวิญญาณที่แท้จริงของตนเอง ซึ่งนับว่าบรรลุเต๋าแล้ว[11]
สมัยราชวงศ์หยวน รัชศกหวงชิ่ง ปีที่ 2 (ค.ศ.1313) มีการฟื้นฟูระบบการสอบรับราชการ โดยกำหนดให้ "หนังสือสี่เล่ม" ที่ชำระโดยจูซีเป็นมาตรฐานในการสอบรับราชการเพื่อรับบัณฑิตเข้ามาทำงานในวัง ต่อมาสมัยราชวงศ์หมิง รัชสมัยจักรพรรดิไท่จู่ รัชศกหงอู่ ปีที่ 2 (ค.ศ.1369) ในการสอบรับราชการได้กำหนดให้จูซีเป็น "บรรพบุรุษที่สืบทอดกันมา"(传注为宗)
สมัยราชวงศ์ชิง จักรพรรดิคังซีได้ประกาศสนับสนุนสำนักหลักการว่า "การเข้าใจความถูกต้องอย่างกระจ่างแจ้งทั้งหมด ทำให้เข้าถึงหลักการอันยิ่งใหญ่ได้" ทำให้ "ผู้ที่มีการศึกษาจักไม่กล้าทำให้ตนเองมีความบกพร่อง"[12] รัชสมัยคังซี ปีที่ 51 ได้ยกย่องให้ "จูซีเป็นหนึ่งในนักปรัชญาที่มีอิทธิพลที่สุดในโลกตะวันออก" รัชสมัยเฉียนหลง ปีที่ 5 (ค.ศ.1740) มีการประกาศสนับสนุนแนวคิดสำนักเฉิง-จูว่า "แนวคิดของพวกเขาเป็นมรดกตกทอดมาจากขงจื่อ และเมิ่งจื่อ... วิญญูชนยึดมั่นในหลักการ ทรชนเป็นขบถต่อหลักการ ผู้บริหารประเทศพึงยึดหลักการในการปกครอง หากละทิ้งหลักการบ้านเมืองจักเกิดความวุ่นวาย จักต้องนึกถึงผลประโยชน์ของราษฎรเป็นสำคัญ และการรักษาขนบธรรมเนียมเป็นสิ่งจำเป็นในการปกครอง"[13]
บทความชีวประวัตินี้ยังเป็นโครง คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูล