กองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีน (NRA), ในบางครั้งอาจเรียกอย่างย่อๆว่า กองทัพปฏิวัติ (革命軍) ก่อนปี ค.ศ. 1928, และเป็น กองทัพแห่งชาติ (國軍) หลังค.ศ. 1928, กองทัพปฏิวัติแห่งชาติเป็นกองทัพของพรรคก๊กมินตั๋ง (พรรคชาตินิยมจีนหรือจีนคณะชาติ) ตั้งแต่ ค.ศ. 1925 ถึง 1947 ใน สาธารณรัฐจีน กองทัพปฏิวัติได้กลายมาเป็นกองทัพประจำการของสาธารณรัฐจีนในระหว่างตลอดการปกครองของก๊กมินตั๋งเริ่มในปี ค.ศ. 1928 กองทัพปฏิวัติได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพสาธารณรัฐจีน หลังมีการร่าง รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐจีน ค.ศ. 1947, ที่ซึ่งได้มีการริเริ่มจัดให้มีการควบคุมโดยพลเรือน
โดยแรกเริ่มนั้นกองทัพปฏิวัติได้ถูกจัดตั้งโดยการช่วยเหลือทางทหารจากสหภาพโซเวียต เพื่อช่วยให้พรรคก๊กมินตั๋งในการรวบรวมประเทศจีนในช่วงยุคขุนศึก กองทัพปฏิวัติแห่งชาติด้ทำการสู้รบในการรบหลักคือ การกรีฑาทัพขึ้นเหนือ, การต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองและในการสู้รบกับกองทัพปลดปล่อยประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสงครามกลางเมืองจีน
ในระหว่างสงครามจีน-ญี่ปุ่น กองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ถูกรวมเข้าด้วยกันกับกองทัพปฏิวัติแห่งชาติอย่างหลอมๆ (ในขณะที่ยังคงมีการแยกการบัญชาการโดยผู้นำ) เนื่องจากความจำยอมและประนีประนอมร่วมกันระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการร่วมมือกันชั่วคราวในการต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น
และการร่วมมือยังคงมีความขัดแย้งและในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์ได้แยกออกไปกองทัพปลดปล่อยประชาชนของตนเองหลังสงครามกับญี่ปุ่นยุติลง ด้วยการปรักาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐจีนปี ค.ศ. 1947 และการสิ้นสุดการปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ของก๊กมินตั๋ง หลังจากการพ่ายแพ้ของพรรคก๊กมินตั๋งในสงครามกลางเมืองจีนให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และกองทัพปฏิวัติแห่งชาติได้ล่าถอยอพยพไปยังเกาะไต้หวันในปี ค.ศ. 1949 ต่อมากองทัพปฏิวัติแห่งชาติได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพแห่งสาธารณรัฐจีน
นายทหาร==ประวัติ==
กองทัพปฏิวัติได้ถูกก่อตั้งโดยพรรคก๊กมินตั๋งในปี ค.ศ. 1925 ในฐานะเป็นกองทัพทางทหารเพื่อมุ่งหมายในการรวมประเทศจีนในการกรีฑาทัพขึ้นเหนือ กองทัพได้มีการจัดตั้งรวบรวมอย่างเป็นระบบด้วยความช่วยเหลือองค์การคอมมิวนิสต์สากลหรือโคมินเทิร์นและได้รับการชี้นำภายใต้การปลูกฝังของลัทธิไตรราษฎร์ของดร.ซุน ยัตเซ็นเป็นหัวใจหลัก แต่บ่อยครั้งความแตกต่างและแตกแยกภายในพรรคทำให้กองทัพมักจะไม่มีประสิทธิภาพ นายทหารจำนวนมากได้ผ่านการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยหวังปัวและผู้บัญชาการทหารคนแรกคือ เจียงไคเชก ที่ได้เป็นจอมทัพของกองทัพในปี ค.ศ. 1925 ก่อนที่จะนำทัพเข้ารบและได้รับชัยชนะในการกรีฑาทัพขึ้นเหนือ ผู้บัญชาการผู้มีบทบาทสำคัญคนอื่นๆรวมถึง ตู ยูหมิง และ เฉิน เฉิง การกรีฑาทัพขึ้นเหนือในปี ค.ศ. 1928 ได้ถูกใช้เป็นวันที่เมื่อยุคขุนศึกจีนได้สิ้นสุดลง
เครื่องแบบและอุปกรณ์อาวุธ
กองทัพปฏิวัติแห่งชาติในยุคแรก
หลังจากการปฏิวัติซินไฮ่ปี 1912 การเปลี่ยนรูปแบบของชุดทหารไม่ได้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบที่แน่นอนเลยสักครั้งเดียว จนกระทั่งถึงปี 1920 ซึ่งตอนนั้นทางกองทัพก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเช่นการ ซึ่งในช่วงแรกใช้เครื่องแบบสีน้ำเงินปนเทาพร้อมกับใส่เสื้อชั้นนอกสีเดียวกัน ซึ่งส่วนมากชุดสีน้ำเงินย้อมสีมาจากอาณานิคมฝรั่งเศสในอินโดจีน และมีการใส่หมวกหม้อตาลแบบเดิมอย่างในสมัยที่ราชวงศ์ชิงปกครอง กองทัพที่อยู่ในมณฑนเสฉวนส่วนมากใช้เสื้อคลุมตัวนอกสีกากี โดยมีการพันผ้าสีทึบที่หน้าแข้งส่วนรองเท้านั้นเป็นรองเท้าแตะไม่ก็รองเท้าหุ้มข้อที่ยาวถึงแค่ข้อเท้า มีการใช้เครื่องแบบพลเรือนด้วยเช่น เนื่องจากการขาดแคลนชุดทหาร
กองพลที่ได้รับการฝึกฝนจากที่ปรึกษาเยอรมัน
เจียง ไคเชก (蔣中正) ขึ้นมามีอำนาจ เขาก็ได้ทำการบูรณะกองทัพใหม่หมด โดยได้รับแรงสนับสนุนมาจากสหภาพโซเวียต และ เยอรมนี ซึ่งในภายหลังจากที่เจียง เริ่มครองประเทศแบบการปกครองแบบทหาร เขาก็เริ่มปฏิเสธความช่วยเหลือด้านทหารจากสหภาพโซเวียต แล้วหันมาเข้ากับนาซีเยอรมันแทน แต่ภายในปี 1933 นั้น รัฐบาลจีนก็ไม่สามารถพัฒนากองทัพจีนให้แทบเท่ากับประเทศใหญ่ ๆ ประเทศอื่น ๆ ได้ บวกกับความขัดแย้งภายในที่มีกับพวกคอมมิวนิสต์ และ ภัยคุกคามจากจักรวรรดิญี่ปุ่น กองทัพจีนก็ต้องพึ่งพายุทโธปกรณ์ที่ล้าสมัยเพื่อต่อต้านกับภัยเหล่านั้น เมื่อญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสาธารณรัฐจีนในกลางปี 1937 รัฐบาลจีนกับพวกคอมมิวนิสต์ก็ร่วมมือกันต่อสู้ญี่ปุ่นที่บุกเข้ามา ซึ่งตอนนั้นเองอาวุธยุทโธปกรณ์ส่วนมากของจีนก็มาจากนาซีเยอรมันเป็นส่วนใหญ่ เช่น หมวกเหล็กแบบทองทัพเยอรมัน (Stahlhelm) และ อาวุธต่าง ๆ อย่างปืนรุ่นที่ 24 (二四式) ที่เป็นตัวก็อปปี้ของคาราบีเนอร์ 98คา (Karabiner 98k)
ความไร้แบบแผน และ ไร้ประสิทธิภาพของกองกำลังคณะชาติก็เริ่มหายไปในปี 1936 เมื่อยุทโธปกรณ์จากนาซีเยอรมันเพิ่มมากขึ้น และ ทางเยอรมันก็ส่งที่ปรึกษาด้านการทหารมาด้วย เพื่อให้กองทัพคล้าย ๆ กับกองทัพของเยอรมัน ประสิทธิภาพจะได้เพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วงนี้เองเหล่านายทหารสัญญาบัตรก็เริ่มหาชุดที่เข้ากับแบบมาใส่กันเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีต้นแบบมาจากชุดทหารสัญญาบัตรเยอรมัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็เริ่มมีแนวคิดที่ว่าชุดทหารในหน้าร้อนนั้นจะเป็นผ้าฝ้ายสีกากีอ่อน ๆ ส่วนหน้าหนาวจะเป็นสีทาวอ่อน ๆ
-
ทหารของกองทัพปฏิวัติที่เมือง
อู่ฮั่น
-
ทหารที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันที่เมือง
เฉิงตู
กองพลที่ได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษ
กองทัพของสาธารณรัฐยังคงเห็นว่าหมวกเหล็กจองกองทัพยังไม่เพียงพอ และมีการสั่งซื้อหมวกแบบ หมวกโบรดี้ (Brodie helmet) ของกองทัพอังกฤษ ซึ่งเป็นหมวกที่ปรับให้เตี้ยและแบนลง ซึ่งหมวกเกราะดังกล่าวมีสัญลักษณ์พระอาทิตย์ของพรรคก๊กมินตั๋งติดอยู่ด้านหน้าของหมวก (แบบเดียวกับที่ติดอยู่บนธงชาติสาธารณรัฐจีน) หลังจากสงครามกับญี่ปุ่นปะทุขึ้น กองทัพจีนก็มองเห็นว่าพวกเขาขาดแคลนหมวกเหล็กเป็นอย่างมาก ทางอังกฤษก็ส่งหมวกโบรดี้ให้ ส่วนชุดทหารเป็นเสื้อชั้นนอกมีกระเป๋าสีช่อง กระดุมแบบไม้ และ ปกเสื้อแบบตั้งไม่มีแถบไหล่ ปกเสื้อนั้นมีแผ่นสีแปะไว้เพื่อแสดงถึงเหล่าทัพของทหาร สีแดงเป็นทหาารราบ, สีเหลืองคือทหารม้า, สีน้ำเงินคือทหารปืนใหญ่ และ สีขาวคือทหารช่าง กองทัพอากาศก็ใช้แบบแผนเดียวกัน ในด้านของอาวุธนั้น ทหารราบทั่วไปจะใช้ปืนไรเฟิลรุ่นที่ 24 เป็นส่วนมาก และ ขณะเดียวกันก็ใช้ปืนนำเข้าอย่าง เมาเซอร์ ซี96 (Mauser C96) และ Browning Hi-Power (บราวนิงก์ ไฮพาวเวอร์) ส่วนกองพลที่ได้รับการฝึกฝนโดยตรงจากผู้ให้คำปรึกษาชาวเยอรมันก็ใส่ชุดแบบเดียวกันกับกองพลธรรมดา แต่ใช้หมวกเหล็กของกองทัพเยอรมันอย่างหมวกปี 1916 (M1916) ที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนกองพลที่ถูกส่งไปอินเดียในช่วงสงครามนั้นใช้เครื่องแบบของอังกฤษ และ อเมริกา - หลังจากที่ญี่ปุ่นเริ่มบุกจีนลึกขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าบุคคลที่ต่อต้านรัฐบาลก๊กมินตั๋ง และ มีความคิดแบบเดียวกันกับญี่ปุ่น (ต่อต้านคอมมิวนิสต์) ก็ได้ร่วมมือกับญี่ปุ่นก่อตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดที่มีชื่อว่ารัฐบาลปฏิรูป (汪精卫政权) ขึ้นมา โดยมีเหมือนหลวงอยู่ที่กรุงนานจิง (南京市) โดยอาวุธยุทโธปกรณ์ส่วนมากมาจากญี่ปุ่น และ เครื่องแบบก็ใช้แบบเดียวกับกองกำลังญี่ปุ่น