เฮนรี กุสตาฟ โมไลสัน (Henry Gustav Molaison)
เกิด 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926)ฮาร์ตเฟิร์ด รัฐคอนเนทิคัต เสียชีวิต 2 ธันวาคม ค.ศ. 2008(2008-12-02) (82 ปี)วินด์เซอร์ล็อกส์ รัฐคอนเนทิคัต มีชื่อเสียงจาก คนไข้ความจำเสื่อมที่ให้ข้อมูลเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับระบบความจำ ของมนุษย์ รู้จักกันก่อนเสียชีวิตว่า คนไข้ "H.M."
นาย เฮนรี กุสตาฟ โมไลสัน (อังกฤษ : Henry Gustav Molaison , 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1926-2 ธันวาคม ค.ศ. 2008) หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางว่า "H.M. "
เป็นคนไข้ความจำเสื่อมชาวอเมริกัน ผู้ได้รับการตัดสมองกลีบขมับด้านใน ออกทั้งสองข้าง
คือในส่วน 2/3 ด้านหน้าของฮิปโปแคมปัส , parahippocampal cortex , entorhinal cortex, piriform cortex, และอะมิกดะลา
เพื่อที่จะบำบัดโรคลมชัก (epilepsy)
มีการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะอาการของเขาอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1957 จนกระทั่งถึงเขาเสียชีวิต[ Note 1] [ Note 2]
กรณีของเขามีบทบาสำคัญในการพัฒนาทฤษฎี ต่าง ๆ ที่อธิบายความสัมพันธ์กันของการทำงานในสมองและความจำ
และในการพัฒนาของประสาทจิตวิทยาเชิงประชาน (cognitive neuropsychology) ซึ่งเป็นสาขาของจิตวิทยา ที่มุ่งหมายเพื่อจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างและหน้าที่ของสมองกับกระบวนการทางจิตวิทยาเฉพาะอย่าง ๆ
เขาได้อาศัยอยู่ในสถานพยาบาลในเมืองวินด์เซอร์ล็อกส์ รัฐคอนเนทิตัต ซึ่งเป็นที่ที่มีการศึกษาประเด็นเรื่องของเขาอย่างมากมาย[ 1]
สมองของนายโมไลสันได้รับเก็บรักษาไว้ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แซนดีเอโก ซึ่งมีการตัดเป็นส่วน ๆ เพื่อการศึกษาทางมิญชวิทยา ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2009[ 2]
ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับสมองของเขามีการเปิดให้กับนักวิจัยอื่น ๆ แล้ว[ 3]
ประวัติ
ฮิปโปแคมปัส (hippocampus ป้ายอยู่ด้านขวา) ส่วนมากในสมองทั้งสองซีกของนายโมไลสันได้รับการตัดออก
นายเฮนรี โมไลสันเกิดวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2469)
และมีโรคลมชักที่แก้ไม่ได้ (intractable epilepsy) ที่บางครั้งโทษว่า เกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุจักรยานเมื่อเขาอายุ 7 ขวบ
(ตอนแรก ๆ อุบัติเหตุนี้บอกว่าเกิดขึ้นที่อายุ 9 ขวบ แต่ต่อมาภายหลังได้รับการแก้โดยมารดาของคนไข้[ 4] )
เขาประสบปัญหาการชักเฉพาะส่วน (focal seizures) เป็นเวลาหลายปี
และได้เกิด tonic-clonic seizure[ Note 3] หลายครั้งหลายคราวหลังจากครบอายุ 16 ปี
ในปี ค.ศ. 1953 หมอได้ส่งให้เขาไปหาประสาทแพทย์ วิลเลียมส์ บีชเชอร์ สโกวิลล์ ที่โรงพยาบาลฮาร์ตเฟิร์ดเพื่อการรักษา[ Note 2]
น.พ. สโกวิลล์ได้กำหนดส่วนเฉพาะของสมองที่เป็นแหล่งกำเนิดของการชักคือสมองกลีบขมับด้านใน (medial temporal lobe ตัวย่อ MTL) ในสมองทั้งสองซีก
และเสนอว่าให้ตัด MTL ออกเป็นการรักษา
ในวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1953 มีการผ่าตัดสมองกลีบขมับด้านในในซีกสมอง ทั้งสองรวมทั้งส่วนของฮิปโปแคมปัส และส่วนที่อยู่ใกล้ ๆ รวมทั้งอะมิกดะลา และ entorhinal cortex
ส่วนที่เหลือในฮิปโปแคมปัสต่อมาปรากฏว่าไม่ทำงานเพราะว่าเนื้อเยื่อที่เหลือประมาณ 2 ซ.ม. เกิดการฝ่อ และเพราะว่า entorhinal cortex ทั้งหมดซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ส่งข้อมูลไปยังฮิปโปแคมปัส ถูกทำลายเสียหมด
นอกจากนั้นแล้ว บางส่วนของสมองกลีบขมับ ส่วนหน้าด้านข้าง (anterolateral) ก็ถูกทำลายด้วย
หลังจากการผ่าตัด แม้ว่าจะจัดว่าสำเร็จตามแผนเพื่อระงับอาการชัก เขาได้เกิดภาวะเสียความจำส่วนอนาคต (anterograde amnesia) อย่างรุนแรง
และแม้ว่าความจำใช้งาน (working memory) และความจำเชิงกระบวนวิธี (procedural memory) ของเขาไม่เกิดความเสียหาย เขาไม่สามารถจำเหตุการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของความจำชัดแจ้ง (explicit memory) ได้
ตามนักวิทยาศาสตร์บางท่าน นายโมไลสันไม่สามารถเกิดความรู้โดยความหมาย (semantic knowledge) ใหม่ ๆ[ 5]
แต่ก็มีนักวิจัยอื่น ๆ ที่ถกเถียงกันถึงขนาดขอบเขตของความพิการนี้
เขายังประสบปัญหาภาวะเสียความจำส่วนอดีต (retrograde amnesia) แบบเบา ๆ อีกด้วย คือเขาไม่สามารถจำเหตุการณ์โดยมากในช่วง 1-2 ปีก่อนการผ่าตัด
และไม่สามารจำเหตุการณ์บางอย่างไปจนถึง 11 ปีก่อนการผ่าตัด ซึ่งแสดงว่าภาวะเสียความจำย้อนหลังของเขาเป็นไปตามลำดับเวลา
แต่ว่า ความจำเชิงกระบวนวิธีระยะยาว (long-term procedural memory) ไม่เกิดความเสียหาย
ดังนั้น เขาจึงสามารถเรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหว (motor skill) ใหม่ ๆ ได้ แม้ว่าจะจำไม่ได้ว่าได้เรียนมาเมื่อไรที่ไหน
ในปี ค.ศ. 1957 น.พ. สโกวิลล์และเบร็นดา มิลเนอร์ได้รายงานถึงกรณีนี้เป็นครั้งแรก[ 6]
ในระยะสุดท้ายของชีวิตของเขา นายโมไลสันเล่นเกมปริศนาอักษรไขว้เป็นประจำ[ Note 4]
เขาสามารถที่จะให้คำตอบต่อคำถามต่าง ๆ ที่อ้างอิงความรู้ของเขาที่เกิดขึ้นก่อนปี ค.ศ. 1953
ส่วนข้อมูลหลังปี ค.ศ. 1953 เขาสามารถเติมเปลี่ยนข้อมูลเก่า ๆ ด้วยข้อมูลใหม่
เช่น เขาสามารถสร้างความจำเกี่ยวกับ น.พ. โจนาส์ ซอลก์ (ผู้ค้นพบวัคซีน โปลิโอ) โดยเติมเปลี่ยนความจำของเขาเกี่ยวกับโรคโปลิโอ [ Note 1]
นายโมไลสันได้เสียชีวิตไปในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551)
ความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างความจำ
นายโมไลสันมีอิทธิพลอย่างยิ่งไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ที่เขาให้เกี่ยวกับความเสียหายต่อความจำและภาวะเสียความจำ
แต่เพราะว่า มีการพิจารณาว่า การผ่าตัดทางสมองโดยเฉพาะของเขาได้เปิดโอกาสให้สร้างความเข้าใจว่า เขตต่าง ๆ โดยเฉพาะในสมองมีความสัมพันธ์กับกระบวนการเฉพาะต่าง ๆ ที่สมมติว่าเกิดขึ้นในการสร้างความจำอย่างไร
เพราะเหตุนี้ กรณีของเขาเชื่อกันว่า ได้ให้ข้อมูลทางพยาธิวิทยา เกี่ยวกับสมอง
และมีส่วนช่วยในการพัฒนาทฤษฎี เกี่ยวกับการสร้างความจำที่เป็นปกติ
คือโดยเฉพาะเรื่องแล้ว ความสามารถที่ปรากฏของเขาในการทำงานที่ต้องระลึกถึงความจำระยะสั้นและความจำเชิงกระบวนวิธี (procedural memory) และความไม่สามารถจะทำงานที่ต้องระลึกถึงความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic memory) บอกเป็นนัยว่า
การระลึกถึงความจำต่าง ๆ กันเช่นนี้อาจจะมีการสื่อ อย่างน้อยก็โดยบางส่วน โดยเขตที่ต่าง ๆ กันในสมอง
และโดยนัยเดียวกัน ความสามารถในการระลึกถึงความจำระยะยาวที่มีมาก่อนการผ่าตัด
กับความไม่สามารถในการสร้างความจำระยะยาวใหม่ ๆ
บอกเป็นนัยว่า การเข้ารหัสและการค้นคืนข้อมูลในความจำระยะยาวอาจจะมีการสื่อโดยระบบต่าง ๆ กันในสมอง
อย่างไรก็ดี การสร้างภาพในสมองของโมไลสันในปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 แสดงความเสียหายที่กว้างขวางเกินกว่าที่ทฤษฎี ก่อน ๆ ได้กล่าวพาดพิง
ทำให้ยากมากที่จะระบุเขตใดเขตหนึ่งโดยเฉพาะ หรือกลุ่มของเขตต่าง ๆ โดยเฉพาะ ที่สามารถอธิบายถึงความบกพร่องของนายโมไลสัน[ 7]
ของขวัญที่ให้กับวิทยาศาสตร์
งานศึกษาเกี่ยวกับนายโมไลสันเป็นการปฏิวัติความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบแบบแผนของระบบความจำในมนุษย์
คือได้ให้หลักฐานที่กว้างขวางในการปฏิเสธทฤษฎี เก่า ๆ และในการสร้างทฤษฎีใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกี่ยวกับกระบวนการและโครงสร้างทางประสาทที่เป็นฐาน[ 8]
ในบทความต่อไปนี้ จะกล่าวถึงความเข้าใจสำคัญที่เกิดขึ้นพอเป็นโครง
สมองที่รักษาของนายโมไลสันได้กลายเป็นเป้าหมายการศึกษาทางกายวิภาคอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนโดยได้รับทุนมาจากมูลนิธิดานาและจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา
โปรเจ็กต์ที่มี ดร. จาโคโป แอนนีส (ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของ The Brain Observatory เก็บถาวร 2009-04-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก ) เป็นหัวหน้านี้
จะทำการสำรวจในระดับจุลทรรศน์ของสมองนายโมไลสันทั้งหมด
เพื่อที่จะแสดงมูลฐานทางประสาทของความเสียหายทางความทรงจำที่ปรากฏในประวัติของนายโมไลสันในระดับเซลล์
ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2009 คณะของ ดร. แอนนีสได้ผ่าตัดสมองของนายโมไลสันออกเป็น 2,401 แผ่นเป็นแผ่นบาง ๆ โดยมีแผ่นที่เสียหายเพียงแค่สองแผ่น และแผ่นที่อาจจะมีปัญหาอีก 16 แผ่น
และการสร้างสมองจำลอง 3-มิติ ก็ได้เสร็จสิ้นแล้วในต้นปี ค.ศ. 2014[ 9]
ในปัจจุบันกลุ่มงานวิจัยกำลังทำงานระยะที่สองต่อ[ 2] [ 10]
ภาวะเสียความจำ
อาการทั่ว ๆ ไปของนายโมไลสันสามารถกำหนดได้ว่า เป็นภาวะเสียความจำส่วนอนาคต (anterograde amnesia) ที่รุนแรง และมีภาวะเสียความจำส่วนอดีตที่มีระดับต่าง ๆ กันตามกาลเวลา (temporally graded retrograde amnesia)[ 11]
นายโมไลสันไม่สามารถสร้างความจำระยะยาวสำหรับเหตุการณ์หรือความรู้โดยความหมาย (semantic knowledge) ใหม่ ๆ
คือเขาได้แต่ใช้ชีวิตที่เป็นไปในปัจจุบันเท่านั้น[ 12]
เนื่องจากว่า นายโมไลสันไม่มีความบกพร่องทางความจำก่อนการผ่าตัด ดังนั้น การตัดสมองกลีบขมับส่วนในของเขาออกจึงใช้เป็นคำอธิบายความบกพร่องทางความจำของเขา
ดังนั้น จึงเชื่อกันว่า สมองกลีบขมับส่วนใน (medial temporal lobe) เป็นส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างทั้งความจำเชิงความหมาย (semantic memory) และความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic memory) ระยะยาว
(คือ สมองกลีบขมับด้านในได้รับการกำหนดว่าเป็นศูนย์ของการเข้ารหัสความจำอาศัยเหตุการณ์[ 11] )
หลักฐานอื่น ๆ ที่สนับสนุความคิดนี้เกิดในงานวิจัยคนไข้อื่น ๆ ที่มีรอยโรค ในส่วนต่าง ๆ ของสมองกลีบขมับส่วนใน[ 6]
แม้ว่าจะมีภาวะเสียความจำ นายโมไลสันสามารถผ่านการทดสอบทางเชาวน์ปัญญาได้ในระดับปกติ
ซึ่งแสดงว่า หน้าที่เกี่ยวกับความจำบางอย่าง (เป็นต้นว่าความจำระยะสั้น ความจำเกี่ยวกับคำศัพท์ และความจำเกี่ยวกับพยางค์) ไม่เกิดความเสียหายเพราะการผ่าตัด[ 11] [ 12]
แต่ว่า ในการทำความเข้าใจและการใช้ภาษาในระดับประโยค นายโมไลสันมีความบกพร่องโดยความสามารถที่คงเหลือมีความบกพร่องคล้ายกับในระบบความจำ[ 13]
นายโมไลสันสามารถที่จะจำข้อมูลต่าง ๆ เป็นระยะเวลาสั้น ๆ
ตรวจสอบได้โดยการทดสอบความจำใช้งานที่จะต้องระลึกถึงตัวเลขที่แสดงให้ดูมาแล้ว
ซึ่งคะแนนของเขาก็ไม่ได้แย่กว่ากลุ่มควบคุม[ 11]
ผลงานวิจัยนี้ให้หลักฐานว่า ความจำใช้งานไม่ต้องอาศัยโครงสร้างในสมองกลีบขมับด้านใน
ซึ่งก็สนับสนุนความแตกต่างโดยทั่ว ๆ ไปของที่เก็บความจำระยะสั้นและความจำระยะยาว[ 8]
การระลึกถึงศัพท์ต่าง ๆ ได้ของนายโมไลสันอย่างไม่มีปัญหาแสดงหลักฐานว่า ความจำเกี่ยวกับศัพท์ (lexical memory) ไม่ต้องอาศัยโครงสร้างในสมองกลีบขมับด้านใน[ 12]
การเรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหว
นอกจากความจำใช้งานและเชาวน์ปัญญาที่ไม่เสียหายของเขาแล้ว งานวิจัยเกี่ยวกับความสามารถในการได้มาซึ่งทักษะการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ แสดงว่าการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ นั้นไม่เสียหาย[ 12]
ในงานวิจัยหนึ่งของมิลเนอร์ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 นายโมไลสันเรียนรู้ทักษะการวาดรูปโดยมองเงาสะท้อนในกระจก [ 12]
งานวิจัยของคอร์กินในปี ค.ศ. 1968 เพิ่มพูนหลักฐานที่แสดงความไม่เสียหายของการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ[ 14]
ในงานวิจัยนี้ มีการทดสอบนายโมไลสันในงานเกี่ยวกับการเรียนรู้ทักษะ 3 อย่าง ผู้แสดงความสามารถในการเรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหวอย่างสมบูรณ์ในงานทั้ง 3 อย่าง
งานวิจัยที่ใช้เทคนิค repetition priming แสดงความสามารถในการสร้างความจำโดยปริยาย (implicit memory) ซึ่งไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจของนายโมไลสัน
เปรียบเทียบกับการที่เขาไม่สามารถสร้างความจำเชิงความหมาย (semantic memory) และความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic memory) ใหม่ซึ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ของความจำชัดแจ้ง (explicit memory)[ 12] .
ผลงานวิจัยเหล่านี้ให้หลักฐานว่า ความจำเกี่ยวกับทักษะและ repetition priming อาศัยโครงสร้างทางประสาทที่ต่างจากความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์และความจริงต่าง ๆ
คือ แม้ว่า ความจำเชิงกระบวนวิธี และ repetition priming จะไม่อาศัยสมองกลีบขมับด้านใน ที่ถูกตัดออกไปในกรณีของนายโมไลสัน แต่ว่า ความจำเชิงความหมาย และความจำอาศัยเหตุการณ์ ยังต้องอาศัย[ 4]
ความไม่สัมพันธ์กันระหว่างความจำโดยปริยายและความจำชัดแจ้งเพราะมีโครงสร้างประสาทที่ไม่สัมพันธ์กันที่เห็นได้ในกรณีของนายโมไลสัน ได้เป็นข้อมูลที่ช่วยให้เราเข้าใจระบบความจำในมนุษย์
ยกตัวอย่างเช่น ความจำระยะยาวไม่ใช่มีส่วนเดียวแต่สามารถแยกออกเป็นความจำเชิงประกาศ และความจำแบบไม่ประกาศ (ความจำโดยปริยาย )[ 11]
ความจำเชิงพื้นที่
ตามคำของคอร์กิน[ 12] งานวิจัยเกี่ยวกับสมรรถภาพความจำของโมไลสันได้ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างทางประสาทของความจำทางพื้นที่ (spatial memory) และการประมวลข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่
แม้เขาไม่สามารถที่จะสร้างความจำอาศัยเหตุการณ์ หรือความจำเกี่ยวกับความจริงใหม่ ๆ โดยระยะยาว
และปรากฏความบกพร่องในการทดสอบความจำทางพื้นที่บางอย่าง
นายโมไลสันก็ยังสามารถที่จะวาดแผนผังที่ละเอียดของที่อยู่ของเขา
สิ่งที่พบนี้น่าสนใจเพราะว่าโมไลสันได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านนั้น 5 ปีหลังจากการผ่าตัด และดังนั้น
เพราะเหตุภาวะเสียความจำส่วนอนาคต (anterograde amnesia) ที่รุนแรงของเขา และเพราะความเข้าใจของระบบความจำที่ได้ในกรณีอื่น ๆ
สิ่งที่คาดหมายก็คือว่า การสร้างความจำเชิงแผนที่ภูมิลักษณ์ของนายโมไลสันควรจจะเกิดความเสียหายไปด้วย
คอร์กินได้คาดว่า
โมไลสัน "สามารถสร้างแผนที่เชิงประชานของแผนใช้พื้นที่ของบ้านของเขาเพราะมีการไปจากห้องสู่ห้องทุก ๆ วัน"[ 12] : 156
ส่วนในประเด็นเรื่องโครงสร้างทางประสาท คอร์กิน[ 12] อ้างว่า ความสามารถของนายโมไลสันในการสร้างแผนใช้พื้นที่
เป็นไปได้เพราะว่า โครงสร้างของเครือข่ายประสาทในการประมวลพื้นที่โดยส่วนหนึ่งของเขาไม่มีความเสียหาย (เช่น ส่วนหลังของ parahippocampal gyrus )
นอกจากความจำเกี่ยวกับแผนที่ภูมิลักษณ์แล้ว โมไลสันยังสามารถเรียนรู้งานในการจำและรู้จำภาพต่าง ๆ และงานรู้จำใบหน้าของคนมีชื่อเสียง
แต่งานหลังเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีการให้เสียงช่วยโดยพยางค์
ความสามารถของนายโมไลสันเกี่ยวกับการรู้จำภาพอาจเป็นเพราะส่วนที่ไม่เสียหายของ perirhinal cortex ด้านล่าง
นอกจากนั้นแล้ว คอร์กิน[ 12] ยังยืนยันอีกด้วยว่า แม้ว่าโมไลสันจะไม่สามารถสร้างความจำเชิงประกาศ ใหม่โดยทั่ว ๆ ไป
แต่เขายังดูเหมือนกับสามารถสร้างข้อมูลบางอย่างบ้างเล็กน้อยที่ไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับบุคคลสาธารณะ (เช่นสามารถค้นคืนชื่อของคนมีชื่อเสียงเมื่อให้ตัวช่วย)
ผลงานวิจัยเหล่านี้แสดงถึงความสำคัญของสมองส่วนรอบ ๆ ฮิปโปแคมปัส (extrahippocampal) ที่ไม่เสียหายต่อความจำเชิงความหมาย (semantic) และความจำเพื่อการรู้จำ (recognition)
และช่วยเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับความปฏิสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างต่าง ๆ ในสมองกลีบขมับด้านใน
ส่วนความเสียหายอย่างรุนแรงของโมไลสันเกี่ยวกับงานทางพื้นที่บางอย่างให้หลักฐานที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างฮิปโปแคมปัส กับความจำโดยพื้นที่ (spatial memory)[ 8]
การทำความจำให้มั่นคง
ความรู้อีกอย่างหนึ่งที่นายโมไลสันได้ช่วยก็คือโครงสร้างทางประสาทของกระบวนการทำความจำให้มั่นคง (memory consolidation) ในมนุษย์
ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างความจำระยะยาวที่มีเสถียรภาพ[ 15]
คือนายโมไลสันมีภาวะเสียความจำส่วนอดีต (retrograde amnesia) ที่เป็นไปตามลำดับกาลเวลา ที่เขา “ยังสามารถระลึกถึงความจำในวัยเด็กได้
แต่มีปัญหาในการระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปีก่อน ๆ การผ่าตัด”[ 11] : 214
คือ ความจำเก่า ๆ ของเขาไม่มีความเสียหาย แต่ว่า ความจำของปีใกล้ ๆ ก่อนการผ่าตัดมีความเสียหาย
นี้เป็นหลักฐานที่แสดงว่า ความจำเก่า ๆ ในวัยเด็กไม่ได้อาศัยสมองกลีบขมับส่วนใน (medial temporal lobe)
เปรียบเทียบกับความจำหลังจากนั้นที่ปรากฏว่าต้องอาศัย[ 11]
โครงสร้างต่าง ๆ ในสมองกลีบขมับส่วนในที่ถูกตัดออก
ได้รับสมมติว่ามีบทบาทในการทำความจำให้มั่นคงโดยวิธีที่
“การปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมองกลีบขมับส่วนในและเขตเปลือกสมอง ด้านข้างต่าง ๆ
ได้รับการพิจารณาว่า เป็นการบันทึกความจำนอกสมองกลีบขมับส่วนใน
โดยการสร้างอย่างช้า ๆ ซึ่งการเชื่อมต่อโดยตรง (โดยไม่ผ่านฮิปโปแคมปัส ) ระหว่างเขตเปลือกสมอง ต่าง ๆ ที่เป็นตัวแทน (คือเป็นที่บันทึก) ของประสบการณ์”[ 11] : 214
ดูเพิ่ม
ฟิเนียส์ พี. เกจ , หัวหน้ากรรมกรสร้างทางรถไฟในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่มีบุคคลิกภาพเปลี่ยนไปอย่างสำคัญหลังจากเกิดการบาดเจ็บในกะโหลกศีรษะ
เชิงอรรถและอ้างอิง
↑ 1.0 1.1
เฮนรี กุสตาฟ โมไลสัน หรือที่รู้จักเกือบตลอดทั้งชีวิตของเขาว่า H.M. เพื่อพิทักษ์ความส่วนตัวของเขา
กลายเป็นคนไข้ที่ได้รับการศึกษามากที่สุดในประวัติวิทยาศาสตร์สมองหลังจากปี ค.ศ. 1953
เมื่อการผ่าตัดสมองเชิงทดลองได้ทำให้เขาไม่สามารถสร้างความจำเชิงประกาศ ใหม่ ๆ ในเวลาที่เขามีอายุ 27 ปี
... หลังจากทำการทดลองเล่นเกมแก้ปัญหาซ้ำ ๆ กัน ชายผู้สูญเสียความจำผู้นี้ก็ได้เรียนรู้ที่จะให้คำตอบที่ถูกต้อง
คุณหมอสก็อตโกได้กล่าวว่า "เราพบว่าเขาสามารถเรียนรู้ข้อมูลความจริงใหม่ ๆ ถ้าเขามีอะไรในความจำอยู่แล้วที่จะใช้เป็นตัวช่วยยึดความจำใหม่" --- จาก Benedict Carey (December 6, 2010). "No Memory, but He Filled In the Blanks" . New York Times . สืบค้นเมื่อ 2008-12-05 .
↑ 2.0 2.1
ในปี ค.ศ. 1953 เขาได้รับการผ่าตัดสมองเชิงทดลองในเมืองฮาร์ตเฟิร์ดเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการชัก
แต่กลับฟื้นขึ้นมามีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงโดยแก้ไขอะไรไม่ได้
คือ เขาเกิดอาการที่ประสาทแพทย์ เรียกว่าภาวะเสียความจำ (amnesia) อย่างลึกซึ้ง
กล่าวคือ เขาได้สูญเสียสมรรถภาพในการสร้างความจำเชิงประกาศ ใหม่ ๆ ---จาก Benedict Carey (December 4, 2008). "H. M., an Unforgettable Amnesiac, Dies at 82" . New York Times . สืบค้นเมื่อ 2008-12-05 .
↑ tonic-clonic seizure หรือ grand mal seizure เป็นการชักทั่วสมองอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นกับคนไข้โรคลมชักและโรคที่ทำให้เกิดการชักอื่น ๆ โดยมาก แต่ไม่ใช่เป็นการชักประเภทเดียวที่มีอยู่ เป็นการชักที่อาจทำให้เกิดขึ้นโดยจงใจในการรักษาโดยใช้ electroconvulsion therapy
↑
ภายใต้ปัญหาชีวิตต่าง ๆ เหล่านี้ เขาเล่นเกมปริศนาต่าง ๆ (เต็มหนังสือ) เล่มแล้วเล่มเล่า ซึ่งเป็นนิสัยที่เขามีตั้งแต่เป็นเด็กวัยรุ่น
ในเบื้องปลายชีวิตของเขา เขาได้เก็บสมุดปริศนาอักษรไขว้พร้อมกับปากกาไว้ใกล้ ๆ ตัวตลอดเวลา ในตะกร้าที่ติดอยู่ที่อุปกรณ์ช่วยเดินของเขา ---จาก "The Man Who Couldn't Remember" . NOVA scienceNOW . June 1, 2009. สืบค้นเมื่อ 2010-12-09 .
อ้างอิง
↑ Schaffhausen, Joanna. "Henry Right Now" . The Day His World Stood Still . BrainConnection.com. เก็บ จากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-02-09. สืบค้นเมื่อ 2008-08-05 .
↑ 2.0 2.1 Arielle Levin Becker (November 29, 2009). "Researchers To Study Pieces Of Unique Brain" . The Hartford Courant . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2010-01-06. สืบค้นเมื่อ 2014-08-06 .
↑ Scientists Digitize Psychology’s Most Famous Brain , Wired.com
↑ 4.0 4.1 Corkin, Suzanne (1984). "Lasting consequences of bilateral medial temporal lobectomy: Clinical course and experimental findings in H.M.". Seminars in Neurology . New York, NY: Thieme-Stratton Inc. 4 (4): 249–259. doi :10.1055/s-2008-1041556 .
↑ H. Schmolck, E.A. Kensinger, S. Corkin, & L. Squire (2002). "Semantic knowledge in Patient H.M. and other patients with bilateral medial and lateral temporal lobe lesions" (PDF) . Hippocampus . 12 (4): 520–533. doi :10.1002/hipo.10039 . PMID 12201637 . {{cite journal }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑ 6.0 6.1 William Beecher Scoville and Brenda Milner (1957). "Loss of recent memory after bilateral hippocampal lesions" . Journal of Neurology, Neurosurgery and Psychiatry . 20 (1): 11–21. doi :10.1136/jnnp.20.1.11 . PMC 497229 . PMID 13406589 .
↑ Corkin, Susanna; Amaral, David G.; González, R. Gilberto; Johnson, Keith A.; Hyman, Bradley T. (15 May 1997). "H. M.'s Medial Temporal Lobe Lesion: Findings from Magnetic Resonance Imaging" . The Journal of Neuroscience . 17 (10): 3, 964–3, 979.
↑ 8.0 8.1 8.2 B. Kolb and I. Q. Whishaw, I. Q. (1996). Fundamentals of human neuropsychology (4th ed.). New York, NY: W. H. Freeman.
↑ Moll, Maryanne (2014-01-29). "Henry Molaison's (or HM) brain digitized to show how amnesia affects the brain" . TechTimes . สืบค้นเมื่อ 2014-02-08 .
↑ Annese, Jacopo. "The Brain Observatory" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2009-04-20. สืบค้นเมื่อ 2009-03-16 .
↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 11.6 11.7 E. E. Smith and S. M. Kosslyn (2007). Cognitive Psychology: Mind and Brain (1st ed.). Upper Saddle River, NJ: Pearson/Prentice Hall. ISBN 0-13-182508-9 .
↑ 12.00 12.01 12.02 12.03 12.04 12.05 12.06 12.07 12.08 12.09 S. Corkin (2002). "What's new with the amnesic patient H.M.?" (PDF) . Nature Reviews Neuroscience . 3 (2): 153–160. doi :10.1038/nrn726 . PMID 11836523 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2004-09-12. สืบค้นเมื่อ 2014-08-06 .
↑ D.G. MacKay, James, L.E., J. K. Taylor & Marian, D.E. (2007). "Amnesic H.M. exhibits parallel deficits and sparing in language and memory: Systems versus binding theory accounts". Language and Cognitive Processes . 22 (3): 377–452. doi :10.1080/01690960600652596 . {{cite journal }}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์ )
↑
S. Corkin (1968). "Acquisition of motor skill after bilateral medial temporal-lobe excision" . Neuropsychologia . 6 (6): 255–265. doi :10.1016/0028-3932(68)90024-9 .
↑
M. W. Eysenck, and M. T. Keane (2005). Cognitive Psychology: A Student’s Handbook (5th ed.). Hove, UK: Psychology Press. ISBN 0-86377-375-3 .
แหล่งข้อมูลอื่น
[[วิกิพีเดีย:|ข้อมูลบุคคล]]
ชื่อ
Hm}
ชื่ออื่น
เฮนรี กุสตาฟ โมไลสัน
รายละเอียดโดยย่อ
วันเกิด
26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1926
สถานที่เกิด
เมืองฮาร์ตเฟิร์ด รัฐคอนเนทิคัต
วันตาย
2 ธันวาคม พ.ศ. 2551
สถานที่ตาย
เมืองวินด์เซอร์ล็อกส์ รัฐคอนเนทิคัต