เรนาโต ซี. โคโรนา (Renato C. Corona; 15 ตุลาคม 2491 – ) เป็นประธานศาลสูงสุดคนที่ยี่สิบสามแห่งฟิลิปปินส์ เดิมกลอเรีย มาคาปากัล-อาร์โรโย ประธานาธิบดี ตั้งให้เป็นตุลาการสมทบในศาลสูงสุดตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2545 ต่อมาเมื่อเรย์นาโต ปูโน (Reynato Puno) พ้นจากตำแหน่งประธานศาลสูงสุด เขาจึงได้เลื่อนสู่ตำแหน่งนั้นตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2553
โคโรนานั้นเดิมเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ นักกฎหมายเอกชน และรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีของฟิเดล วี. รามอส กับของกลอเรีย อาร์โรโย ก่อนได้รับแต่งตั้งเข้าสู่ศาลสูง
ครั้นวันที่ 12 ธันวาคม 2554 เขาถูกสภาผู้แทนราษฎรร้องขับจากตำแหน่งประธานศาลสูงสุด[1] ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 วุฒิสภาชี้ขาดว่า เขามีความผิดฐานไม่แถลงทรัพย์สิน หนี้สิน และมูลค่าสุทธิ ตามความในข้อ 2 แห่งคำร้องขับออกจากตำแหน่ง[2]
ภูมิหลัง
โคโรนาเกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2491 ณ อำเภอทานาอวน จังหวัดบาทังกัส ประเทศฟิลิปปินส์ สมรสกับคริสตินา โคโรนา (Christina Corona) หรือชื่อสกุลเดิมว่า รอโก (Roco) มีบุตรด้วยกันสามคน และมีหลานอีกหกคน[3]
การศึกษา
คุณวุฒิ
ในปี 2513 โคโรนาสำเร็จเป็นศิลปศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยอาเตเนโอเดมะนิลา (Ateneo de Manila University) ครั้งเป็นนักศึกษา เขาได้ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์นักศึกษาเรียก เดอะกีด็อน (The GUIDON) ด้วย ต่อมาในปี 2517 จึงสำเร็จเป็นนิติศาสตรบัณฑิตจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอาเตเนโอ (Ateneo Law School) และสอบเนติบัณฑิตผ่าน ได้คะแนนร้อยละ 84.6 นับเป็นที่ยี่สิบห้าจากผู้สอบทั้งหมดหนึ่งพันเก้าร้อยหกสิบห้าคน[3]
ลุปี 2524 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard Law School) ตกลงรับเขาเข้าศึกษานิติศาสตรมหาบัณฑิต และเขาสำเร็จการศึกษาได้ปริญญานั้นในปีถัดมา ต่อมา จึงสำเร็จเป็นนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยซันโตโทมัส (University of Santo Tomas) และได้รับเลือกเป็นตัวแทนเพื่อนร่วมห้องกล่าวคำอำลาในพิธีประสาทปริญญาบัตรด้วย[3]
ข้อโต้เถียงเรื่องปริญญาดุษฎีบัณฑิต
วันที่ 22 ธันวาคม 2554 มาริเตส วีทัก (Marites Vitug) นักข่าวออนไลน์ประจำเว็บไซต์แร็ปเปลอร์.คอม (Rappler.com) ลงบทความอ้างว่า มหาวิทยาลัยซันโตโทมัส "คงแหกระเบียบตัวเองเสียแล้ว" ในการที่ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตสาขากฎหมายแพ่งให้แก่โคโรนา ทั้งยังได้อนุมัติคุณวุฒิต่าง ๆ ให้แก่เขาด้วย วีทักว่า โคโรนาไม่ได้ส่งวาทนิพนธ์สำหรับสำเร็จการศึกษาชั้นดุษฎีบัณฑิตของเขาตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้เป็นระเบียบสำหรับคนทั้งปวงที่ประสงค์จะได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิต เธอยังว่า โคโรนาเรียนนานเกินอนุญาต เพราะมหาวิทยาลัยกำหนดว่า ผู้ศึกษาชั้นดุษฎีบัณฑิตต้องสำเร็จการศึกษาภายในห้าปีแต่ไม่เกินเจ็ดปีเป็นอย่างสูง แต่ตามที่โคโรนาให้สัมภาษณ์ไว้เองปรากฏว่า เขาเริ่มทำงานส่งอาจารย์ในชั้นดุษฎีบัณฑิตเมื่อปี 2543 หรือ 2544 ทว่า มาจบการศึกษาเอาในเดือนเมษายน 2554 ทั้งยังได้เป็นหนึ่งในบัณฑิตหกคนที่ได้รับเกียรติยศสูงสุดในพิธีเฉลิมฉลองวันครบรอบสี่ร้อยปีของมหาวิทยาลัยด้วย[4][5]
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยซันโตโทมัส ออกแถลงการณ์บอกปัดว่ามิได้ละเมิดระเบียบตนเองเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่โคโรนา โดยเสริมว่า โคโรนาได้ลงทะเบียนเรียนวิชาบังคับทั้งปวงเพื่อสำเร็จเป็นดุษฎีบัณฑิต ได้เข้าเรียนและผ่านวิชาทั้งนั้น และได้ส่ง "ศาสตรนิพนธ์ทางการศึกษา" เป็นวาทนิพนธ์ในระหว่างบรรยายรวมแล้ว มหาวิทยาลัยยังว่า นับแต่คณะกรรมการการอุดมศึกษาประกาศให้มหาวิทยาลัยเป็น "สถาบันอุดมศึกษาที่ปกครองตนเอง" สืบมา มหาวิทยาลัยย่อมมีเสรีภาพทางการศึกษาประจำสถาบันในอันที่จะวางมาตรฐานคุณลักษณะและความเป็นเลิศของตนเอง และกำหนดเองว่าจะประสาทปริญญาใดให้แก่ผู้ใดตามสมควร มหาวิทยาลัยกล่าวด้วยว่า ประเด็นระยะเวลาการเป็นนักศึกษาของโคโรนากับประเด็นเรื่องเกียรติยศที่เขาได้รับนั้นเป็นแต่เรื่องมโนสาเร่ เพราะเรื่องเหล่านี้ย่อมเป็น "เสรีภาพทางการศึกษาประจำสถาบัน" ของมหาวิทยาลัย[6] ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยซันโตโทมัสก็อ้างว่า วีทักผิดใจกับโคโรนาและศาลสูงสุดอยู่ จึงสงสัยว่า เธอเขียนบทความเพื่อวัตถุประสงค์อันใด[7]
ฝ่ายวีทักนั้น เมื่อมีผู้ขอให้วิจารณ์แถลงการณ์ของมหาวิทยาลัย ก็ตอบว่า ในแถลงการณ์นั้น มหาวิทยาลัย "บอกอยู่เป็นพื้นแล้วว่า เรามีระเบียบ แต่เราจะฝืนมันก็ได้โดยเอาเสรีภาพทางการศึกษาและอำนาจในการปกครองตนเองเข้าอ้าง"[8] เธอยังเขียนหนังสือชื่อ แชโดว์ออฟเดาบต์: โพรบิงเดอะสุพรีมคอร์ต (Shadow of Doubt: Probing the Supreme Court) ตอนหนึ่งว่า ที่โคโรนาอ้างว่าได้ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยอาเตเนโอเดมะนิลาพร้อมด้วยเกียรติยศต่าง ๆ นั้น ไม่มีบันทึกไว้ในบรรณสารของมหาวิทยาลัยแต่ประการใด[5]
ตำแหน่งประธานศาลสูงสุด
การเข้าสู่ตำแหน่ง
วันที่ 12 พฤษภาคม 2553 อันเป็นวันที่สองหลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไป และเป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนกลอเรีย อาร์โรโย พ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี นางได้ตั้งโคโรนาเป็นประธานศาลสูงสุดคนที่ยี่สิบสาม หลังจากเรย์นาโต ปูโน ประธานศาลคนก่อน เกษียณอายุราชการไป
การถูกร้องขับจากตำแหน่ง
วันที่ 12 ธันวาคม 2554 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนหนึ่งร้อยแปดสิบคนเข้าชื่อในคำร้องขับโคโรนาจากตำแหน่งประธานศาลสูงสุด[1] เมื่อพิจารณาแล้วว่า รัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีสมาชิกเข้าชื่อไม่ต่ำกว่าเก้าสิบห้าคนขึ้นไป ประธานสภาผู้แทนราษฎรจึงส่งคำร้องนั้นให้วุฒิสภาพิจารณา[9][10]
คำร้องนั้นว่า คดีทั้งหลายอันว่าด้วยการบริหารราชการของกลอเรีย อาร์โรโยนั้น โคโรนาได้ชี้ขาดตัดสินอย่างไม่เป็นกลางโดยต่อเนื่องสืบ ๆ มา อนึ่ง โคโรนายังมิได้แถลงทรัพย์สินตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดด้วย โคโรนาแก้ว่า ทรัพย์สินจำนวนสองล้านสี่แสนดอลลาร์สหรัฐของเขานั้นหาจำต้องเปิดเผยไม่ เพราะรัฐธรรมนูญว่า เงินตราต่างประเทศซึ่งฝากอยู่นั้นไม่ต้องรายงาน ส่วนทรัพย์สินจำนวนที่เหลือซึ่งเป็นเงินเปโซนั้นเป็นของญาติ เขายังว่า ที่เป็นความขึ้นมาครั้งนี้ล้วนแต่ถูกแรงขับเคลื่อนทางการเมืองอันเนื่องมาจากการที่เบนิกโน อากีโนที่ 3 รณรงค์ต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวง[11]
ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 วุฒิสภาพิจารณาเป็นสัตย์แล้วเห็นว่า โคโรนามีความผิดโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ให้แถลงทรัพย์สิน หนี้สิน และมูลค่าสุทธิต่อสาธารณชน ตามความในข้อ 2 แห่งคำร้องของสภาผู้แทนราษฎร[2]
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น