เดอเบียร์ส (อังกฤษ: De Beers) เป็นกลุ่มบริษัทภายในเครือ ตระกูลเดอเบียร์สและบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ การสำรวจหาเพชร, การทำเหมืองเพชร, การค้าเพชร และการผลิตเพชรสำหรับการอุตสาหกรรม เดอเบียร์สทำธุรกิจทุกประเภทที่เกี่ยวกับการทำอุตสาหกรรมเหมืองเพชรที่รวมทั้งการทำเหมืองเปิด และการทำเหมืองใต้ดิน เหมืองของเดอเบียร์สอยู่ในบอตสวานา, นามิเบีย, แอฟริกาใต้ และ แคนาดา
ประวัติของบริษัท
เซซิล โรดส์ผู้ก่อตั้งเดอเบียร์สเริ่มอาชีพด้วยการเช่าปัมพ์น้ำให้แก่ผู้ทำเหมืองระหว่างการตื่นเพชรที่เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1871 เมื่อมีผู้พบเพชรหนัก 83.5 กะรัตที่ในบริเวณที่ปัจจุบันคือคิมเบอร์ลีย์) ในแอฟริกาใต้ โรดส์ลงทุนจากผลกำไรที่ได้รับในการซื้อที่ดินจากเจ้าของเหมืองรายย่อย จนในที่สุดก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นบริษัทเหมืองอิสระ[1] สหบริษัทเหมืองเดอเบียร์ส (De Beers Consolidated Mines) ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1888 โดยการรวมบริษัทบาร์นีย์ บาร์นาโต and เซซิล โรดส์ ที่ทำให้กลายเป็นบริษัทเดียวที่เป็นเจ้าของเหมืองเพชรทั้งหมดในประเทศในขณะนั้น[1][2][3] ในปี ค.ศ. 1889 โรดส์เจรจาต่อรองข้อตกลงทางแผนการกับบริษัท Diamond Syndicate ของลอนดอนที่ตกลงรับซื้อเพชรตามจำนวนและราคาที่ตกลงกันในสัญญา ซึ่งเป็นการควบคุมปริมาณผลิตผลและการรักษาราคา[4][5] ความตกนี้เป็นวิถีการตกลงที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นวิธีที่สร้างความสำเร็จให้แก่เดอเบียร์สเป็นอันมาก - ตัวอย่างเช่นเมื่อราคาเพชรตกระหว่างปี ค.ศ. 1891 ถึงปี ค.ศ. 1892 เดอเบียร์สก็ยุติปริมาณการผลิตเพื่อรักษาระดับราคาให้คงตัว[6] ในปี ค.ศ.1896 โรดส์ผู้เกรงว่าระบบผูกขาดที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นจะเป็นอันตรายต่อการทำลาย จึงประกาศต่อผู้ถือหุ้น[5]ว่า:
“
|
ความเสี่ยงอย่างเดียวที่ปรากฏคือการพบเหมืองใหม่อย่างทันที ที่ทำให้มนุษย์หาวิธีอันปราศจากความยั้งคิดที่นำมาซึ่งความหายนะแก่เราทุกคน
|
”
|
ช่วงสงครามบูร์ครั้งที่สองเป็นช่วงที่ท้าทายต่อสถานภาพของเดอเบียร์ส คิมเบอร์ลีย์ถูกล้อมทันที่สงครามปะทุขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อเหมืองอันมีค่าของบริษัท โรดส์เองย้ายออกจากคิมเบอร์ลีย์ไปอยู่ในเมืองตั้งแต่เริ่มการล้อมเพื่อไปสร้างความกดดันทางการเมืองต่อรัฐบาลบริติชให้แบ่งกองทหารมาช่วยยุติการล้อมที่คิมเบอร์ลีย์แทนที่จะสนองตามนโยบายทางยุทธวิธีทางการทหาร แม้ว่าจะไม่ตรงกับนโยบายการปฏิบัติของฝ่ายทหาร[7] โรดส์ใช้เงินทุนของบริษัทในสร้างเสริมระบบการป้องกันของตนเอง โดยการผลิตระเบิด สร้างระบบการป้องกัน สร้างรถไฟเกราะ และ ปืนชื่อ ปืนยาวเซซิล ในเวิร์คช็อพของบริษัท[8]
ในปี ค.ศ. 1902 ก็มีการพบเหมืองคัลลินัน (Premier Mine) ซึ่งเป็นเหมืองคู่แข่ง เจ้าของเหมืองคัลลินันไม่ยอมเข้าร่วมในเครือการค้าร่วมเดอเบียร์ส[9] แต่หันไปขายให้กับผู้แทนการค้าเพชรอิสระสองคนชื่อเบอร์นาร์ดและเออร์เนสท์ อ็อพเพ็นไฮเมอร์ ที่เป็นผลทำให้เครือการค้าร่วมเดอเบียร์สอ่อนตัวลง[10] ในที่สุดผลผลิตก็มีปริมาณเท่าเทียมกับผลผลิตของเครือการค้าร่วมเดอเบียร์สรวมกัน และยังพบเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดตั้งแต่พบมา—เพชรคัลลินัน อ็อพเพ็นไฮเมอร์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนท้องถิ่นสำหรับผู้ค้าผู้มีอำนาจในลอนดอน และในที่สุดก็ได้เป็นนายกเทศมนตรีของคิมเบอร์ลีย์ภายในเวลาเพียง 10 ปี อ็อพเพ็นไฮเมอร์เข้าใจถึงกุญแจพื้นฐานของความสำเร็จของเดอเบียร์ส และได้กล่าวในปี ค.ศ. 1910 ว่า:[9]
“
|
สามัญสำนึกเป็นเครื่องบอกว่าวิธีเดียวที่จะเพิ่มค่าของเพชรคือการทำให้เป็นของหายาก ซึ่งก็ทำได้โดยการลดปริมาณการผลิต
|
”
|
แต่ในที่สุดในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเหมืองคัลลินันก็ถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเดอเบียร์ส
เมื่อโรดส์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1902 เดอเบียร์สก็ควบคุมการผลิตเพชร 90% ของโลก เออร์เนสท์ อ็อพเพ็นไฮเมอร์กลายรับตำแหน่งเป็นประธานบริษัทต่อมาในปี ค.ศ. 1927 หลังจากที่ซื้อที่นั่งในคณะกรรมการบริหารในปีก่อนหน้านั้น[10]
อ็อพเพ็นไฮเมอร์มีความกังวลต่อการพบเพชรในปี ค.ศ. 1908 ในแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมัน ว่าจะทำให้เกิดการเพิ่มผลผลิตที่ท่วมตลาดที่จะทำให้ราคาลดลง[11][12]
การสิ้นสุดการผูกขาด
เดอเบียร์สมีชื่อเสียงในด้านการการผูกขาดตลาด (monopolistic practices) มาตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยการใช้ความมีอิทธิพลในการบงการตลาดสากล[1][13] เดอเบียร์สใช้กลวิธีหลายอย่างในการควบคุมตลาด: ประการแรกคือการหว่านล้อมให้ผู้ผลิตอิสระเข้าร่วมในระบบการค้าผูกขาดโดยผู้ขายผู้เดียว ถ้าไม่ยอมร่วมมือเดอเบียร์สก็จะปล่อยเพชรชนิดเดียวกับที่ผลิตโดยบริษัทที่ไม่ยอมเข้าร่วมให้ท่วมตลาด และประการสุดท้ายเดอเบียร์สจะซื้อและกักตุนเพชรที่ผลิตโดยบริษัทอื่น ๆ เพื่อที่จะควบคุมราคาตลาดโดยการควบคุมอุปทาน[14] หลังจากการเปลี่ยนแปลงของบริษัทระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 มาจนถึงปัจจุบันทำให้วิธีการดำเนินการค้าของเดอเบียร์สเป็นที่ทราบกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น[15]
ในปี ค.ศ. 2000 ปัจจัยหลายอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เดอเบียร์สต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจ[14] ในคริสต์ทศวรรษ 1990 ก็เป็นที่เห็นได้ชัดว่าวิธีการดำเนินธุรกิจของเดอเบียร์สดังเช่นที่เคยทำมาเป็นวิธีที่ไม่อาจจะใช้ดำเนินการต่อไปได้ เดอเบียร์สไม่อาจจะทำธุรกิจในภูมิภาคหลายภูมิภาคที่มีความต้องการได้ นอกจากนั้นก็มีผู้ผลิตเพิ่มขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ เช่นในรัสเซีย, แคนาดา และออสเตรเลีย ที่ดำเนินการค้าอิสระจากกลุ่มเดอเบียร์ส ซึ่งก็เท่ากับเป็นการยุติระบบการผูกขาดของเดอเบียร์สไปโดยปริยาย[1][13] นอกจากนั้นแล้วตลาดเพชรก็ยังมีแนวโน้มที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับสินค้าฟุ่มเฟือยอื่น ๆ พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปรไปในขณะที่อุตาหกรรมการค้าเพชรล่าต่อการตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของตลาด[ต้องการอ้างอิง] เพื่อการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นต่อวงการอุตสาหกรรมเดอเบียร์สก็ดำเนินการตรวจสอบยุทธวิธการค้ากับเบนส์และบริษัท ที่เป็นผลให้เดอเบียร์สต้องเปลี่ยนโครงสร้างทางธุรกิจ (business model) จากนโยบายควบคุมอุปทานของตลาด มาเป็นนโยบายการตอบสนองอุปสงค์ของตลาด ผลของความเปลี่ยนแปลงนโยบายทำให้เดอเบียร์สได้รับผลกำไรมากขึ้น และควบคุม 40% ของตลาด และเป็นกำไรที่สูงกว่าเมื่อคุม 80% ของตลาด[15]
ในปัจจุบันธุรกิจการขายเพชรแตกต่างจากเมื่อสิบปีก่อนเป็นอันมาก และเป็นธุรกิจที่ซับซ้อนและพัฒนาเปลี่ยนไปตามภูมิศาสตร์การเมืองของโลก ผู้มีบทบาทในการผลิตสำคัญในปัจจุบันคือประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา[16]
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น