ฮุจญะตุลลอฮ์ อัลมะฮ์ดี
ฮุจญะตุลลอฮ์ อิบน์ อัลฮะซัน อัลมะฮ์ดี (อาหรับ : حُجَّة ٱللَّٰه ٱبْن ٱلْحَسَن ٱلْمَهْدِيّ , Ḥujjat Allāh ibn al-Ḥasan al-Mahdīy )[ a] เป็นบุคคลที่ชีอะฮ์สิบสองอิมาม เชื่อว่าเป็นมะฮ์ดี และเป็นอิมาม คนสุดท้ายในสิบสองอิมาม ที่จะมาพร้อมกับอีซา (พระเยซู ) เพื่อนำสันติสุขกับความยุติธรรมมายังโลก ชีอะฮ์สิบสองอิมาม เชื่อว่าอัลมะฮ์ดีเกิดวันที่ 15 ชะอ์บาน ค.ศ. 869/ ฮ.ศ. 255 และเป็นอิมามะฮ์ ตอนอายุเกือบ 5 ขวบหลังจาก ฮะซัน อัลอัสกะรี พ่อของเขาถูกฆ่า ในช่วงแรก เขาได้ติดต่อกับผู้ศรัทธาผ่านทางตัวแทนทั้งสี่ (The Four Deputies) สมัยนั้นถูกเรียกเป็นความลึกลับขนาดเล็ก (ٱلْغَيْبَة ٱلصُّغْرَىٰ ) ซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 873–941[ 5] [ 6]
มุสลิมซุนนี ส่วนใหญ่ปฏิเสธว่าเขาเป็นมะฮ์ดี และเชื่อว่ามะฮ์ดียังไม่ถือกำเนิด โดยกล่าวว่ามีแค่อัลลอฮ์ เท่านั้นที่รู้
ประวัติ
ความเชื่อเกี่ยวกับมะฮ์ดีและกออิมของชีอะฮ์
ตามที่ ญาซิม ฮุเซน ได้อธิบายไว้ว่า ความหมายของ "มะฮ์ดี" ในฐานะผู้ชี้นำนั้นถูกนำมาใช้ตั้งแต่สมัยท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ชาวซุนนีก็ใช้คำนี้เรียก คุละฟาอัรรอชิดีน และชีอะฮ์ก็ใช้เรียกบรรดาอิมาม เช่น ในการลุกขึ้นต่อสู้ของ ฮุเซน บิน อา ชีอะฮ์กูฟะฮ์ได้เชิญชวนท่านในฐานะของมะฮ์ดี และสุไลมาน บิน ศุร็อด ก็ถูกเรียกในฐานะนี้ภายหลังจากที่ถูกฆ่าเช่นกัน แต่การใช้คำในความหมายของผู้ปลดปล่อยนั้นเกิดขึ้นในยุคของการลุกขึ้นสู้ของมุคตาร โดย มุคตาร ษะกอฟี ใช้เรียก มุฮัมหมัด ฮะนะฟียะฮ์[ 7] [ 8]
ตามคำกล่าวของ Saïd Amir Arjomand และ Wilferd Madelung ว่า ความเชื่อเกี่ยวมะฮ์ดี ผู้เร้นกายและผู้ปลดปล่อย ในหมู่มุสลิมนั้นย้อนกลับไปในยุคนิกายกัยซานียะฮ์ เป็นกลุ่มหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากความพ่ายแพ้ของการลุกขึ้นต่อสู้ของมุคตาร พวกเขาเชื่อว่า มุฮัมหมัด ฮะนะฟียะฮ์ บุตรของ อาลี อิมามท่านแรกของชีอะฮ์ว่าคือ มะฮ์ดี และหลังจากที่เขาเสียชีวิตลงกลุ่มนี้ก็ประกาศว่าเขายังไม่ตาย แต่เร้นกายอยู่ในภูเขาริฎวา ในเมืองมะดีนะฮ์ และจะกลับมาปรากฏอีกครั้งในฐานะมะฮ์ดีและกออิม Wilferd Madelung กล่าว่า บรรดาชีอะฮ์เรียกลูกหลานหลายท่านของท่านศาสดาในฐานะมะฮ์ดี เช่น มุฮัมหมัด ฮะนะฟียะฮ์ , อะบูฮาชิม บุตรของมุฮัมหมัด ฮะนะฟียะฮ์ , มุฮัมหมัด บิน มุอาวิยะฮ์ มาจากครอบครัวของ ญะอ์ฟัร อะบูฏอลิบ , มุฮัมหมัด อิบนุ อับดุลลอฮ์ , นัฟส์ ซะกียะฮ์ , ญะอ์ฟัร ซอดิก , มูซา กาซิม นอกจากกลุ่มกัยซานียะฮ์แล้ว กลุ่มซัยดียะฮ์ ก็ใช้คำนี้เรียกบรรดาผู้ลุกขึ้นต่อสู้ของพวกเขาในฐานะมะฮ์ดี ผู้ปลดปล่อยด้วยเช่นกัน และยังมีกลุ่มย่อยของอิมามียะฮ์ เช่น นาวูซียะ วากิฟียะฮ์ ที่ใช้ชื่อนี้เรียกอิมามท่านที่หกและอิมามท่านที่เจ็ด[ 9] [ 10]
ทั้งมุฮัมหมัดบาเกร และ ญะอ์ฟัร ซอดิก บรรดาผู้ปฏิบัติตามท่านได้กล่าวสร้างความมั่นใจให้แก่พวกท่านไว้ในหลายกรณีว่า หากลุกขึ้นต่อสู่กับผู้ปกครองแห่งยุคก็จะให้การสนับสนุนพวกท่าน แต่ทั้งสองอิมามได้ให้คำตอบที่สร้างความสงบแก่พวกเขาลงว่า แม้ว่าอิมามทั้งหมดจะเป็นกออิมก็ตามและมีความสามารถที่จะต่อกรกับผู้ปกครองที่อธรรมได้ แต่กออิมผู้ถูกสัญญาไว้นั้นจะมาปรากฏหลังจากบัญชาของพระเจ้าเพื่อมาทำลายความอธรรมให้หมดไป[ 11] เกี่ยวกับการใช้คำว่า มะฮ์ดี ในฐานะ ผู้ปลดปล่อยนั้นก็มีทัศนะที่แตกต่างกันออกไปในหมู่ชีอะฮ์ มุดัรริซี เขียนไว้ว่า ชีอะฮ์อิมามียะฮ์รู้จักกับแนวคิดกออิมตั้งแต่ยุคของอาลี และกลุ่มกัยซานียะฮ์ กระทั่งยุคการเร้นกายระยะสั้น ความหมายของมะฮ์ดี ไม่ใช่เป็นแนวคิดของอิมามียะฮ์ ทว่าในยุคการเร้นกายบรรดาชีอะฮ์เร่มค่อยๆให้ความหมายของมะฮ์ดีนั้นเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่ไม่ใข่ชีอะฮ์ และให้ความหมายของกออิมนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกับอิมามียะฮ์ แม้ว่าในตำราต่างๆจะถือว่าอิมามท่านที่สิบสองของชีอะฮ์ก็คือกออิมมากระทั่งช่วงปลายศตวรรษที่สาม / ค.ศ. ที่ 9 ก็ตาม แต่ต้นศตวรรษต่อมาตำราต่างๆของชีอะฮ์เรียกอิมามท่านที่สิบสองว่า มะฮ์ดี[ 12] Abdulaziz Sachedina กล่าวไว้เช่นกันว่า มะฮ์ดะวียัต ของอิมามท่านที่สิสอง เป็นทฤษฎีอิมามัตของอิมามผู้เร้นกายที่ผนวกเข้ากับความเชื่อการมาปรากฏของอิมามมะฮ์ดีและการสร้างความยุติธรรม ทั้งที่ก่อนหน้านี้อิมามท่านที่สิบสองไม่ถูกเรียกว่ามะฮ์ดีผู้ถูกสัญญามาก่อน ในทางตรงกันข้ามญาวิม ฮุเซน เขียนว่า ไม่เพียงแต่มะฮ์ดี จะหมายถึงผู้ปลดปล่อย ในมุมมองของอิมามียะฮ์ที่ใช้มาตั้งแต่ยุคบรรดาอิมาม ทว่าบรรดาอิมามก็มีความเชื่อว่าพวกท่านแต่คนสามารถเป็นมะฮ์ดีกออิมได้หากสถานการณ์ตอบรับ[ 13] [ 14] บรรดามุสลิมเชื่อกันมานมนานแล้วว่าท่านศาสดาได้ให้ความหวังถึงการมาของบุรุษผู้หนึ่งที่มาจากเชื้อสายของฮุเซน บิน อาลี ที่จะยืนหยัดขึ้นทำลายอุตริกรรมให้หมดไปจากอิสลาม แต่การแข่งขันกันทางการเมืองระหว่างมสุลิมเป็นเหตุให้บางกลุ่มได้ทำการบิดเบือนฮะดีษต่างๆ ของศาสดาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในเวทีทางการเมือง[ 15]
ตามคำกล่าวของ Saïd Amir Arjomand ว่า ส่วนใหญ่กลุ่มกัยซานีจะเป็นชาวอิหร่าน และคาดว่าชาวอิหร่านมีความรู้เกี่ยวกับผู้ปลดปล่อยจากความเชื่อของศาสนาโซโรแอสเตอร์ วีรบุรุษ อย่าวเชน โฆรชอซิบ ที่หลังจากตื่นจากการนอนหลับอันยาวนาน พวกอะฮ์รีมันก็จะปรากฏขึ้นบนหน้าแผ่นดิน มุฮัมหมัดอะมีร มุอิซซี และ ตีมูตี ฟิรนีช ว่าส่วนใหญ่ความเชื่อเกี่ยวกับผู้ปลดปล่อย การมาปรากฏของผู้ปลดปล่อย การเร้นกาย และเรื่องที่เกี่ยวข้องกันนี้ นั้นได้มาจากศาสนาก่อนหน้านี้ เช่น ศาสนามานี ศาสนาโซโรแอสเตอร์ ศาสนาวยูดาย และศาสนาคริสต์[ 16]
ตามที่ญาวิม ฮุเซน ได้เขียนไว้ว่า ที่มาของทัศนะเกี่ยวกับมะฮ์ดีในฐานะผู้ปลดปล่อยนั้นมีอยู๋ในฮะดีษของท่านศาสดา ที่บรรดาสาวกจำนวน 26 ท่านได้รายงานไว้ซึ่งมีอยู่ในหนังสือฮะดีษของพี่น้องซุนนี ซัยดียะฮ์และอิมามียะฮ์ เขาปฏิเสธความฎออีฟของฮะดีษ โดยกล่าวว่า ฮะดีษเหล่านี้ก็แพร่หลายในยุคราชวงศ์อุมัยะฮ์ และก็มีอยู่ในหนังสือ สุลัยม์ บิน เกส ซึ่งอ้างถึงสุลัยม์ บิน เกส ฮิลาลี (ประมาณ ฮ.ศ. 80-90 / ค.ศ. 699-708)[ 17] [ 18] อีกด้านหนึ่งนักประวัติศาสตร์ และนักเทววิทยาของชีอะฮ์ เช่น ซัยยิดมุรตะฎอ อัสกะรี และมุฮัมหมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอี ย้ำถึงจุดร่วมระหว่างศาสนาเกี่ยวกับความหวังการมาของมะฮ์ดี และสร้างความยุติธรรมขึ้นบนหน้าแผ่นดิน โดยถือว่าเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในตลาดต่างๆ[ 19] กลุ่มนี้เริ่มจากการกล่าวถึงมะฮ์ดีในฮะดีษต่างๆ ของศาสดาแห่งอิสลามที่ทั้งชีอะฮ์และซุนนีรายไว้ และเชื่อว่าการมีอยู่ของมะฮ์ดีนั้นเป็นสิ่งจำเป็นหนึ่งที่จะต้องเกิดขึ้นตามสัญญาที่มีอยู่ในอิสลามและกุรอานเพื่อสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในหน้าแผ่นดิน[ 20] [ 21]
สถานการณ์ทางการเมืองและความเชื่อในช่วงปลายศตวรรษที่สามและสี่
ฮะรัม (สุสาน)อิมามฮะซันอัสการี
ในยุคการปกครองของ มุตะวักกิล อับบาซี (ฮ.ศ. 232-247/ค.ศ. 847-861) การเมืองที่ประนีประนอมของมะมูน (ฮ.ศ. 198-218 /ค.ศ. 813-833) และบรรดาคอลีฟะฮ์ภายหลังจากเขามีท่าทีที่ที่แข็งกร้าวต่อชีอะฮ์ ในยุคของมุตะวักกิลเขาสั่งให้ทำลายสุสานของ ฮุเซน บิน อาลี เขาได้เรียกตัวอิมามท่านท่านที่สิบของชีอะอ์ อิมามฮาดีย์ กับบุตรของท่าน อิมามฮะซันอัสการี จากเมืองมะดีนะฮ์มายังเมืองซามัรรอ เพื่ออยู่ในการควบคุมของคอลีฟะฮ์ มุตะวักกิลทำทุกวิถีทางในการกลั่นแกล้งและไม่เกียรติต่ออิมาม มีรายงานมากมายบ่งบอกว่าผู้ปกครองได้กดดันบรรดาอิมามในเมืองซามัรรออย่างหนัก บรรดาชีอะฮ์ในอิรักและฮิญาซก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก มุนตะซิร ผู้เป็นลูกชายและขึ้นปกครองต่อหลังจากผู้เป็นบิดาได้ยกเลิกนโยบายนี้จึงทำให้อิมามฮาดีมีเสรีภาพมากขึ้น แต่นโยบายทางการเมืองของมุตะวักกิลก็ดำเนินต่อไปในยุคของมุสตะอีน (ฮ.ศ. 862-866) เป็นไปได้ว่าในยุคนี้เองที่อิมามท่านที่สิบของชีอะฮ์ได้ส่ง อุษมาน บินสะอีด เป็นตัวแทนไปยังอิรัก (ซึ่งตัวแทนคนนี้ก็ได้รับการรับรองในยุคของอิมามท่านที่สิบเอ็ด อิมามฮะซันอัสการี ด้วยเช่นกัน) [ 22] [ 23] ยุคสุดท้ายของบรรดาชีอะฮ์ เป็นยุคของตัวแทน แต่แตกต่างจากการแต่งตั้งตัวแทนอื่นๆในยุคอะละวี (อิสมาอีลียะฮ์ ซัยดียะฮ์ ลูกหลานของฮะซัน บิน อาลี) ที่มีขึ้นเพื่อการลุกขึ้นต่อสู้ ทว่าตัวแทนในยุคปลายของบรรดาอิมามนั้นมีขึ้นเพื่อกิจด้านศาสนา เช่น การเก็บเงินคุมส์และซะกาตดี[ 24]
เนื่องจากนโยบายทางการเมือง การเงิน การทหารของมุตะวักกิล การเปลี่ยนเมืองหลวงไปยังเมืองซามัรรอ และการโอนเอียงทางด้านมัซฮับไปสู่กลุ่มฮะนาบิละฮ์ ทำให้อำนาจการปกครองอ่อนแอลง กระทั่งเมื่อเขาถูกลอบสังหารในปี ฮ.ศ. 247 ค.ศ. 861 โดยทาสชาวเติร์ก เป็นเหตุให้อำนาจของราชวงศ์อับบาซีเร่มเสื่อมถอยลง[ 25] เกิดสงครามขึ้นภายในแบกแดดและซามัรรอ หลังจากการตายของมุตะวักกิล ก็มีการสังหารคอลีฟะฮ์อีกสี่คน ทำให้ราชวงศ์อับบาซีแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นหัวหน้ากลุ่ม (อะมีร) กระจัดกระจายในดินแดนอิสลาม เช่นกลุ่มซอฟาริยอน ที่ขัดแย้งกับผู้นำคนก่อนของกลุ่มฏอฮิรียอน เกี่ยวกับเรื่องเอกราชของตน[ 26] สถานการณ์ทางการเมืองและศาสนาในช่วงปลายตำแหน่งฮะซัน อัสการี และช่วงต้นหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปนั้นอยู่ในยุคการปกครองของมุอ์ตะมิด อับบาซี (ฮ.ศ. 256-892) ที่ถือว่าวิกฤติอย่างมาก ทางด้านการเมืองที่อยู่ในยุคอ่อนแอของราชวงศ์อับบาซี เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแข่งแย่งกันขึ้นอย่างกว้างขวาง มุอ์ตะมิด จึงควบคุมอิมามฮะซัน อัสการี ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งที่อันตรายในการขึ้นสู่คอลีฟะฮ์ไว้ในเมืองซามัรรอ กระทั่งห้ามไม่ให้บรรชีอะฮ์เข้าพบ[ 27] [ 28] อีกด้านหนึ่ง มุอ์ตะมิด อับบาซี อยู่ใต้อำนาจของพี่ชาย คือ มุวัฟฟัก บิลลาฮ์ ที่มีอำนาจทางการทหาร ในลักษณะที่ว่า ค.ศ. 882 สามารถยึดอำนาจของคอลีฟะฮ์ได้เบ็ดเสร็จ[ 29] มุวัฟฟักและลูกชายของเขา มุอ์ตะฏิด (คอลีฟะฮ์ตั้งแต่ ค.ศ 892-902)และลูกๆ ของเขา มุกตะฟี (ค.ศ.902-908) และมุกตะดิร (ค.ศ. 908-932) ประสบความสำเร็จในการกู้อำนาจคอลีฟะฮ์กลับมาอีกครั้ง แม้ว่าจะมีอำนาจปกครองเฉพาะในอิรักเท่านั้นก็ตาม แต่พวกเขาก็สามารถขยายอำนาจของตนไปยังอียิปต์ ตะวันตกและอิหร่านผ่านกองกำลังทหารและทางการทูต นับจากยุคของมุอ์ตะฎิดจากนั้นเป็นต้นมาอับบาซีก็ตกอยู่ในอำนาจของครอบครัวชีอะฮ์ชาวฟุรอตและตระกูลที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม ชาวญะรอห์ การแก่งแย่งของสองตระกูลนี้ยิ่งทำให้การปกครองระบบเจ้าขุนมูลนายของอับบาซีต้องล่มสลายลง[ 30]
ช่วงปลายศตวรรษที่สามแห่งฮิจเราะฮ์ศักราช ชาวชีอะฮ์ประสบกับวิกฤติผู้นำ เกิดกลุ่มอิสมาอีลียะฮ์ขึ้นในดินแดนต่างๆ เช่น แอฟริกาเหนือ และซีเรียทางตอนเหนือ การเชิญชวนของกลุ่มอิสมาอีลียะฮ์เพิ่มมากขึ้น กระทั่งอะบูอับดิลลาฮ์ ชีอีย์ สามารถรวบรวมผู้ปฏิบัติตามได้ในฝั่งตะวันตกของอาหรับ ในยุคนี้มีบุคคลหนึ่งนามว่า สะอีด บิน ฮุเซน รู้จักกันในนามของ อุบัยดิลลาฮ์ มะฮ์ดี อ้างตนเป็นอิมาม และอะบูอับดิลลาฮ์ก็เป็นผู้หนึ่งที่ปฏิบัติตามเขา อะบูอับดิลลาฮ์สามารถยึดแอฟริกาได้สำเร็จในปี ฮ.ศ. 297/ค.ศ. 909 ต่อมาในปีเดียวกันนั้น ก็แต่งตั้งให้อุบัยดิลลาฮ์มะฮ์ดีขึ้นดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ และจัดตั้งรัฐฟาฏิมียานขึ้น ส่วนอิสมาอีลีที่ไม่ยอมรับคอลีฟะฮ์ ฟาติมียาน ก็จัดตั้งกลุ่มการ์มาติยานขึ้น อีด้านหนึ่ง ชีอะฮ์ซัยดี ก็เกิดกลุ่มซัยดีขึ้นในปี ฮ.ศ. 250 / ค.ศ. 864 ในฏับริสตอน และในปี ฮ.ศ. 284 / ค.ศ. 879 ก็เจัดตั้งรัฐขึ้นในเยเมน[ 31] ในยุคนี้ชาวขีอะฮ์จะยึดหลักเทวะวิทยาตาม อะบูสะฮ์ล นูบัคตี (เกิด ฮ.ศ. 237 เสียขีวิต ฮ.ศ. 311) จากนั้นก็ยึดหลักเทวะวิทยาตามเชคมุฟีด[ 32]
ช่วงต้นการเร้นกายระยะยาว เป็นยุคที่รู้จักกันในนามของ "ศตวรรษแห่งชีอะฮ์" ช่วงต้นศตวรรษที่สี่แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช/ศตวรรษที่สิบแห่งคริสต์ศักราช นิกายซัยดี ครอบครัวอาลิบูยะฮ์ มีอำนาจเหนือดินแดนที่สำคัญของอิหร่าน ได้แก่ ฟอร์ส เรย์ และอิศฟาฮาน[ 33] ในปีฮ.ศ. 334/ค.ศ. 945 บะนีอับบาสตกอยู่ภายใต้อำนาจของชีอะฮ์อาลิบูยะฮ์ เบื้องต้นอาลิบูยะฮ์นั้นเป็นชีอะฮ์ซัยดี เมื่องขึ้นปกครองก็เปลี่ยนมาเป็นชีอะฮ์สิบสองอิมาม ในยุคอาลิบูยะฮ์ ก็มีการปกครองชีอะฮ์ในดินแดนอื่นๆ เช่น ฟาฏิมียาน ในอียิปต์และแอฟริกาเหนือ บะนีฮัมดาน ทางตอนเหนือของอิรักและซีเรีย และการปกครองของอิดรีซิยาน ที่ปกครองดินแดนส่วนหนึ่งทางแอฟริกาเหนือ[ 34] เนื่องจากอิทธิพลของฟาฏิมียานและอาลิบูยะฮ์ในดินแดนที่เป็นจุดศูนย์กลางของอิสลามทำให้ชีอะฮ์มีความเข้มแข็งทั้งทางด้านศาสนาและแนวความคิด ถือได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองและผลงานทางวิชาการก็เกิดขึ้นมากมายในยุคนี้ อาลิบูยะฮ์เป็นผู้เผยแผ่วิชาการของชีอะฮ์ อีกทั้งให้การสนับสนุนบรรดานักการศาสนา กระทั่งเป็นการปูทางการเข้ามาของแนวคิดด้านเทวะวิทยาของมุอ์ตะซีละฮ์สู่ชีอะฮ์[ 34] [ 35]
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
↑ รู้จักกันในชื่อ อิมามมะฮ์ดี (ٱلْإِمَام ٱلْمَهْدِيّ ), อิมาม อัซซะมาน (إِمَام ٱلزَّمَان , "อิมามแห่งเวลา"), ฮุจญะฮ์ อิบน์ อัลฮะซัน (حُجَّة ٱبْن ٱلْحَسَن ) และ มุฮัมมัด อิบน์ อัลฮะซัน อิบน์ อะลี อิบน์ มุฮัมมัด อิบน์ อะลี (مُحَمَّد ٱبْن ٱلْحَسَن ٱبْن عَلِيّ )
อ้างอิง
↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 A Brief History of The Fourteen Infallibles . Qum: Ansariyan Publications. 2004. p. 159.
↑ al-Qurashi, Baqir Shareef (2006). The Life of Imam al-Mahdi . Qum: Ansariyan Publications. p. 40.
↑ A Brief History of The Fourteen Infallibles . Qum: Ansariyan Publications. 2004. p. 160.
↑ Dr.Annemarie Schimmels book "Pain and Grace: A Study of Two Mystical Writers of Eighteenth-Century Muslim India" BRILL, 1976, p.32
↑ "The great Shia scholar, Abu Ja'far Mohammad ibn Uthman al-Amri – Imam Reza (A.S.) Network" . www.imamreza.net . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 29 กันยายน 2017.
↑ The Return of al-Mahdi . P11
↑ حسین 1367 , pp. 34–35, 55 and 225 harvnb error: no target: CITEREFحسین1367 (help )
↑ 5. The Application of the Epithet al-Mahdi to the Twelfth Imam 1. The early usage of the term al-Mahdi
↑ حسین 1367 , pp. 35–36 harvnb error: no target: CITEREFحسین1367 (help )
↑ 1. The early usage of the term al-Mahdi
↑ Sachedina ۱۹۸۱ , pp. 15–16 harvnb error: no target: CITEREFSachedina۱۹۸۱ (help )
↑ Moddaressi 1993 , pp. 88–91 harvnb error: no target: CITEREFModdaressi1993 (help )
↑ حسین 1367 , pp. 224-225 and 238 harvnb error: no target: CITEREFحسین1367 (help )
↑ 5. The Application of the Epithet al-Mahdi to the Twelfth Imam 5. Conclusion
↑ Hussain 1987 , pp. 15 harvnb error: no target: CITEREFHussain1987 (help )
↑ Furnish & Rubin 2005 , pp. 8–11 harvnb error: no target: CITEREFFurnishRubin2005 (help )
↑ حسین 1367 , pp. 36–46 harvnb error: no target: CITEREFحسین1367 (help )
↑ 3. The traditions concerning the Twelfth Imam and his occultation
↑ "امام مهدی در آیینه ادیان، مرتضی عسگری، صفحه 1" . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม เมื่อ 2013-07-01. สืบค้นเมื่อ 2018-06-01 .
↑ Tabatabaee & Nasr 1979 , pp. 212 harvnb error: no target: CITEREFTabatabaeeNasr1979 (help )
↑ Corbin 1993 , p. 68-74
↑ Sachedina ۱۹۸۱ , pp. 27–29 harvnb error: no target: CITEREFSachedina۱۹۸۱ (help )
↑ پاکتچی ۱۳۹۲ , p. ۶۱۸ harvnb error: no target: CITEREFپاکتچی۱۳۹۲ (help )
↑ Momen 1985 , pp. 74–75
↑ Chase 2010 , p. 305-313 harvnb error: no target: CITEREFChase2010 (help )
↑ Chase 2010 , p. 313-315 harvnb error: no target: CITEREFChase2010 (help )
↑ Sachedina ۱۹۸۱ , p. 29 harvnb error: no target: CITEREFSachedina۱۹۸۱ (help )
↑ Tabatabaee ۱۹۷۹ , p. ۲۰۹ harvnb error: no target: CITEREFTabatabaee۱۹۷۹ (help )
↑ Chase 2010 , p. 323 harvnb error: no target: CITEREFChase2010 (help )
↑ Chase 2010 , p. 332-339 harvnb error: no target: CITEREFChase2010 (help )
↑ Chase 2010 , p. 325-332 harvnb error: no target: CITEREFChase2010 (help )
↑ پاکتچی 1380 , pp. 164–165 harvnb error: no target: CITEREFپاکتچی1380 (help )
↑ Chase 2010 , p. 347-348 harvnb error: no target: CITEREFChase2010 (help )
↑ 34.0 34.1 Momen ۱۹۸۵ , pp. ۷۵–۷۶ harvnb error: no target: CITEREFMomen۱۹۸۵ (help )
↑ Sachedina ۱۹۸۱ , pp. 40–41 harvnb error: no target: CITEREFSachedina۱۹۸۱ (help )
ข้อมูล
สารานุกรม
Madelung, W. (2022). "Al-Mahdī". ใน Bearman, P. (บ.ก.). Encyclopaedia of Islam (Second ed.). Brill Reference Online.
Gleave, Robert (2004). "GHAYBA(T)" . ใน Martin, Richard C. (บ.ก.). Encyclopedia of Islam and the Muslim World . Vol. 2. Macmillan Reference. pp. 273, 274. ISBN 0-02-865604-0 .
Amir-Moezzi, Mohammad Ali (1998). "ESCHATOLOGY iii. Imami Shiʿism" . Encyclopaedia Iranica . Vol. VIII/6. pp. 575–581.
Amir-Moezzi, Mohammad Ali (2007). "ISLAM IN IRAN vii. THE CONCEPT OF MAHDI IN TWELVER SHIʿISM" . Encyclopaedia Iranica . Vol. XIV/2. pp. 136–143.
Hulmes, Edward D.A. (2013). "HASAN AL-'ASKARI, ABU MUHAMMAD HASAN IBN 'ALI (c. AD 845-74)" . ใน Netton, Ian Richard (บ.ก.). Encyclopedia of Islamic Civilization and Religion . Routledge. p. 217. ISBN 9781135179670 .
Eliash, J. (2022). "Ḥasan Al-ʿAskarī". ใน Bearman, P. (บ.ก.). Encyclopaedia of Islam (Second ed.). Brill Reference Online.
Halm, H. (1987). "ʿASKARĪ" . Encyclopaedia Iranica . Vol. II/7. p. 769.
Glassé, Cyril, บ.ก. (2008). "Hidden Imām" . The New Encyclopedia of Islam . Alta Mira. pp. 178, 179. ISBN 9781905299683 .
Klemm, Verena (2007). "ISLAM IN IRAN ix. THE DEPUTIES OF MAHDI" . Encyclopaedia Iranica . Vol. XIV/2. pp. 143–6.
Arjomand, Said Amir (2000). "ḠAYBA" . Encyclopaedia Iranica . Vol. X/4. pp. 341–344.
หนังสือ
Sachedina, Abdulaziz Abdulhussein (1981). Islamic Messianism: The Idea of Mahdī in Twelver Shīʻism . Suny press. ISBN 978-0873954426 .
Daftary, Farhad (2013). A History of Shi'i Islam . I.B. Tauris. ISBN 9780755608669 .
Hussain, Jassim M. (1986). Occultation of the Twelfth Imam: A Historical Background . Routledge Kegan & Paul. ISBN 9780710301581 .
Momen, Moojan (1985). An Introduction to Shi'i Islam . Yale University Press. ISBN 9780300034998 .
Tabatabai, Sayyid Mohammad Hosayn (1975). Shi'ite Islam . Translated by Sayyid Hossein Nasr . State University of New York Press. ISBN 0-87395-390-8 .
Corbin, Henry (2014). History Of Islamic Philosophy . แปลโดย Sherrard, Liadain. Routledge. ISBN 9781135198893 .
Pierce, Matthew (2016). Twelve Infallible Men: The Imams and the Making of Shi’ism . Harvard University Press. ISBN 9780674737075 .
Goldziher, Ignaz (1981). Introduction to Islamic Theology and Law . Princeton University Press. ISBN 9781400843510 .
Donaldson, Dwight M. (1933). The Shi'ite Religion: A History of Islam in Persia and Iraḳ . AMS Press.
Modarressi, Hossein (1993). Crisis and Consolidation in the Formative Period of Shi'ite Islam: Abū Ja'far Ibn Qiba Al-Rāzī and His Contribution to Imāmite Shī'ite Thought (PDF) . Darwin Press. ISBN 9780878500956 . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2022-06-16. สืบค้นเมื่อ 2022-11-25 .
Holt, P.M.; Lambton, Ann K.S.; Lewis, Bernard, บ.ก. (1970). The Cambridge history of Islam . Vol. 1. Cambridge University Press.
Amir-Moezzi, Mohammad Ali (2016). Divine Guide in Early Shi'ism: The Sources of Esotericism in Islam . SUNY Press. ISBN 9780791494790 .
Mavani, Hamid (2013). Religious Authority and Political Thought in Twelver Shi'ism: From Ali to Post-Khomeini . Routledge. ISBN 978-0-415-62440-4 .
Richter, Joanne (2005). Iran: The Culture . Crabtree Publishing Company. ISBN 9780778793175 .
บทความ
อ่านเพิ่ม
al-Qarashi, Baqir Sharif (2006). The Life of Imam Al-Mahdi, translated by Syed Athar Husain S.H. Rizvi . Ansariyan Publications. ISBN 964-438-806-2 .
al-Sadr, Muhammad Baqir (1983). Awaited Saviour . Imam Al Khoei Islamic. ISBN 0-686-90398-6 .
Amini, Ibrahim (1996). Al-Imam Al-Mahdi: The Just Leader of Humanity, translated by Abdulaziz Abdulhussein Sachedina . Islamic Education and Information Center. ISBN 0-9680717-0-8 .
Corbin, Henry (1993). History of Islamic Philosophy, translated by Liadain Sherrard and Philip Sherrard . Kegan Paul International in association with Islamic Publications for The Institute of Ismaili Studies. ISBN 0-7103-0416-1 .
Hussain, Jassim M. (1986). Occultation of the Twelfth Imam: A Historical Background . Routledge. ISBN 0-7103-0158-8 .
Nasr, Seyyed Hossein ; Hamid Dabashi (1989). Expectation of the Millennium: Shiʻism in History . SUNY Press. ISBN 0-88706-843-X .
Tabatabae, Sayyid Mohammad Hosayn (1979). Shi'ite Islam . Seyyed Hossein Nasr (translator). Suny press. ISBN 0-87395-272-3 .
แหล่งข้อมูลอื่น