โบโชะ อองซาน หรือ พลตรี อองซาน (พม่า : ဗိုလ်ချုပ် အောင်ဆန်း ; เอ็มแอลซีทีเอส : aung hcan: , ออกเสียง: [àʊɰ̃ sʰáɰ̃] ; 13 กุมภาพันธ์ 1915 – 19 กรกฎาคม 1947) เป็นนักการเมือง , นักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราช และนักปฏิวัติชาวพม่า ผู้ก่อตั้งกองทัพพม่า และได้รับการขนานให้เป็นบิดาแห่งรัฐ พม่าสมัยใหม่ เขามีบทบาทมากในการได้รับเอกราชของพม่า แต่ถูกลอบสังหารราวหกเดือนก่อนที่พม่าจะได้รับเอกราช
อองซานทั้งก่อตั้งและมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับกลุ่มและขบวนการทางการเมือง และเข้าใช้ชีวิตไปกับการศึกษาแนวคิดทางการเมืองต่าง ๆ ตลอด เขาเป็นผู้นิยมการต่อต้านลัทธิจักรวรรดิ และเมื่อเป็นนักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ และสังคมนิยม ต่อมาได้ศึกษาเกี่ยวกับวงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา ของญี่ปุ่นเมื่อครั้งเป็นสมาชิกของกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น เขาได้รับการเลือกตั้งเป็นกรรมการระดับสูงของสภานักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ตั้งแต่ปีแรกที่เข้าเรียน และเป็นบรรณาธิการประจำหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย อองซานเข้าร่วมสมาคมทะขิ่น ในปี 1938 ในตำแหน่งเลขาธิการ และต่อมาได้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์พม่า และพรรคสังคมนิยมพม่า
ชีวิตช่วงต้น
อองซานเกิดที่เมืองเล็ก ๆ ชื่อนะเมาะ ในภาคมะกเว เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1915 ในครอบครัวชนชั้นกลาง[ 1] เข้ามีพี่น้องรวมตัวเอง 9 คน โดยเป็นคนสุดท้อง ในจำนวนนี้เป็นพี่สาวสามคน และพี่ชายห้าคน[ 2] ชื่อ "อองซาน" นั้นตั้งโดยพี่ชายคนหนึ่งของเขา Aung Than อองซานเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนพุทธของสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งใน นะเมาะ แต่ต่อมาได้ย้ายไปเยนานช่อง ตอนอยู่ประถมสี่ หลังพี่ชายคนโตสุด Ba Win ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมที่เมืองนั้น[ 3]
เมื่อเป็นวัยรุ่น อองซานมักอ่านหนังสือและครุ่นคิดกับตัวเองอยู่คนเดียวเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในบทความชิ้นแรกสุดที่เขาได้เขียน ซึ่งตีพิมพ์ในส่วน "ความเห็น" ของ The World of Books เขาต่อต้านแนวคิดปัจเจกนิยมของตะวันตกซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยอู้ตั่น แต่ต่อมาอองซานและอู้ตั่นก็เป็นเพื่อนกัน[ 4]
การปฏิวัติตะคีน
ในเดือนตุลาคม ปี 1938 อองซานออกจากการศึกษานิติศาสตร์และเข้าสู่เวทีการเมืองระดับชาติ ในเวลานี้เขามีจุดยืนต่อต้านอังกฤษและต่อต้านลัทธิจักรวรรดิอย่างมั่นคง เขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ สมาคมทะขิ่น และเป็นเลขานุการของสมาคมจนถึงเดือนสิงหาคม 1940 ขณะดำรงตำแหน่ง เขาได้มีส่วนช่วยจัดการชุดการนัดประท้วงหยุดงานซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อการปฏิวัติ ME 1300 ซึ่งตั้งตามปฏิทินพม่า 1300 ตรงกับเดือนสิงหาคม 1938 ถึงกรกฎาคม 1939[ 5]
วันที่ 18 มกราคม 1939 สมาคมเราชาวพม่าประกาศเจตจำนงที่จะใช้กำลังเพื่อล้มรัฐบาล ส่งผลให้ประชาคมถูกเพ่งเล็งและกำจัดโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ในวันที่ 23 มกราคม ตำรวจบุกเข้าสำนักงานของสมาคมที่เจดีย์ชเวดากอง และอองซานถูกจับกุมและคุมขังในคุกเป็นเวลา 15 วัน ฐานอั้งยี่และสมรู้ร่วมคิดล้มล้างรัฐบาล แต่ต่อมาได้ถูกเพิกถอนข้อกล่าวหา[ 6] หลังเขาถูกปล่อยตัว เขาได้วางแผนการเพื่อขับเคลื่อนการได้รับเอกราชของพม่าโดยการเตรียมจัดการนัดประท้วงหยุดงานใหญ่ทั่วประเทศ, การรณรงค์ไม่จ่ายภาษี และจัดความไม่สงบผ่านการรบแบบกองโจร[ 7]
ในเดือนสิงหาคม 1939 อองซานร่วมก่อตั้งและเป็นเลขาธิการประจำพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ที่ซึ่งในภายหลังเขายอมรับว่าความสัมพันธ์กับพรรคไม่ค่อยราบรื่นนัก เขาเข้าร่วมและลาออกจากพรรคถึงสองครั้ง ไม่นานหลังตั้งพรรค เขาได้ตั้งองค์กรคล้ายคลึงขึ้นอีก คือ "พรรคประชาปฏิวัติ" (People's Revolutionary Party) หรืออีกชื่อคือ "พรรคปฏิวัติพม่า" (Burma Revolutionary Party) ซึ่งมีจุดยืนมาร์กซิสต์ มีเป้าหมายเพื่อล้มล้างการปกครองของอังกฤษเหนือพม่า ต่อมาพรรคนี้กลายเป็นพรรคสังคมนิยมพม่า หลังสงครามโลกครั้งที่สอง [ 8]
นับตั้งแต่เป็นนักเรียนจนถึงสมัยทำงานทางการเมือง อองซานแทบไม่ได้รับค่าตอบแทนมากนัก เขาจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในช่วงนี้อยู่ในความยากจน สมาชิกและผู้ร่วมงานกับเขาชื่นชมเขามากในฐานะบุคคลที่มีความสามารถในการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยมและจรรยาบรรณการทำงานที่แข็งแกร่ง แต่บางครั้งเขาก็ถูกวิจารณ์ว่าขาดทักษะการประชาสัมพันธ์ และบ้างถึงกับว่าเขาเป็นคนหยิ่งยโส ตลอดช่วงนี้เขาปฏิเสธการดื่มแอลกอฮอล์และไม่เคยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว[ 9]
สงครามโลกครั้งที่สอง
หลังสงครามโลกครั้งที่สองปะทุในเดือนกันยายน 1939 อองซานมีส่วนร่วมก่อตั้งองค์การชาตินิยมอีกแห่ง คือ กลุ่มเสรีภาพ ซึ่งเชื่อมการทำงานของตะคีน, สหพันธ์นักเรียนนักศึกษาพม่า, พระสงฆ์ที่มีความตื่นตัวทางการเมือง และพรรคยาจก ของ ดร. Ba Maw [ 10] โดยมี Ba Maw เป็น anarshin ("เผด็จการ") ของฟรีดอมบล็อก ส่วนอองซานเป็นเลาธิการของกลุ่ม กิจกรรมและเป้าหมายของกลุ่มมีใจกลางอยู่ที่แนวคิดการใช้ประโยชน์จากสงครามเพื่อให้พม่าได้รับเอกราช[ 11] ซึ่งนำเอาแบบอย่างในการดำเนินการมาจาก "กลุ่มก้าวหน้า " ของอินเดีย ซึ่งนำโดยจันทระ โพส ผู้ที่มีการติดต่อเสมอ ๆ กับ Ba Maw[ 12] ในปี 1939 ถูกจับกุมฐานล้มรัฐบาล แต่ต่อมาก็ถูกปล่อยตัว[ 13] หลังเพียงสิบเจ็ดวัน[ 14]
ในเดือนมีนาคม 1940 เขาเข้าร่วมการประชุมของคองเกรสแห่งชาติอินเดีย ที่รามคฤห์ ในประเทศอินเดีย[ 15] พร้อมทั้งสมาชิกตะคีน เช่น Than Tun และ Ba Hein ระหว่างนั้น อองซานได้พบกับผู้นำขบวนการเอกราชอินเดียจำนวนมาก เช่น ชวาหะร์ลาล เนห์รู , มหาตมะ คานธี และ สุภาษ จันทระ โพส [ 16]
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง สมาชิกของกองทัพพม่าที่ตั้งขึ้นเองบางส่วนได้รับข้อเสนอรับตำแหน่งในกองทัพแห่งชาติของพม่าถายใต้บังคับการของอังกฤษ ข้อตกลงมีขึ้นที่ซีลอน โดยลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตเติน เมื่อกันยายน 1945 อองซานไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมการตกลงนี้เพราะเขากำลังตกเป็นประเด็นถกเถียงว่าเขาควรถูกนำเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมหรือไม่ จากบทบาทของเขาในการประหารชีวิตผู้นำมุสลิมใน สะเทิม ระหว่างสงคราม[ 17]
การลอบสังหาร
ในช่วงปีท้าย ๆ ของพม่าภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร อองซานได้ผูกมิตรกับผู้ว่าการพม่า เรจินัลด์ ดอร์มัน-สมิธ ในปี 1946 ราวหนึ่งปีก่อนเขาถูกลอบสังหาร อองซานเคยกล่าวว่าเขารู้สึกกลัวว่าตนเองอาจถูกลอบสังหาร[ 18]
เวลาราว 10:30 นาฬิกา ของวันที่ 19 กรกฎาคม 1947 รถจีปของกองทัพคันหนึ่งพร้อมกลุ่มชายติดอาวุธขับเข้ามาในสวนของอาคารรัฐมนตรี ขณะอองซานกำลังมีประชุมกับสมาชิกรัฐบาลชุดใหม่ อาคารนี้ไม่มีกำแพงหรือรั้วล้อมในเวลานั้น[ 19] และถึงแม้จะมีคนเตือนแล้วว่าอองซานกำลังถูกวางแผนฆาตกรรม[ 20] ยามรักษาประตูเข้าออกของอาคารก็ไม่มีทีท่าจะกังวลกับชายติดอาวุธกลุ่มนี้ที่เข้ามาในอาคาร[ 19] ชายสี่คนลงจากรถพร้อมปืนปืนกลมือทอมป์สัน สามลำ และ สเตน หนึ่งลำ[ 21] พร้อมระเบิด วิ่งขึ้นบนบันไดเข้าไปยังโถงประชุม ยิงยามรักษาประตูด้านนอกห้อง และบุกเข้าไปในโถงประชุม[ 19] มือปืนตะโกนว่า "อยู่กับที่! อย่าขยับ!"[ 20] อองซานลุกขึ้นและถูกยิงเข้าที่อก เสียชีวิตโดยทันที และมีสมาชิกสภาอีกสี่คนที่ถูกกราดยิง สามคนได้รับบาดเจ็บ และสามคนเท่านั้นที่รอดชีวิต[ 19]
ยู ซอว์ อดีตนายกรัฐมนตรีพม่าก่อนสงครามโลกครั้งที่สองคนสุดท้าย ถูกจับกุมฐานก่อการฆาตกรรมในวันเดียวกัน[ 22] ต่อมา ยู ซอว์ถูกตัดสินกระทำผิดจริงและประหารชีวิตโดยการแขวนคอ อย่างไรก็ตามมีการถกเถียงถึงกลุ่มหรือพรรคอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในการก่อการลอบสังหารอองซานในครั้งนี้ บางส่วนเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ของอังกฤษเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง[ 23]
มรดก
สุสานผู้พลีชีพ สร้างขึ้นที่ฐานของเจดีย์ชเวดากอง ในปี 1947 และวันที่ 19 กรกฎาคม วันที่อองซานถูกลอบสังหาร ได้รับการประกาศเป็นวันผู้เสียสละแห่งพม่า วันหยุดทางการของรัฐบาลพม่า[ 24] [ 25] สุสานของอองซานหลังเดิมถูกทำลายจากเหตุระเบิดเมื่อ 9 ตุลาคม 1983 ในระหว่างความพยายามลอบสังหารประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ช็อน ดู-ฮวัน โดยเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือ[ 25] [ 26] ไม่กี่เดือนหลังอองซานเสียชีวิต พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในวันที่ 4 มกราคม 1948 แต่ต่อมาในเดือนสิงหาคม 1948 ได้เกิดความขัดแย้งภายในพม่า ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งยังคงดำเนินมาถึงปัจจุบัน[ 27] [ 28]
ธนบัตรจัต พม่าตีพิมพ์ภาพของอองซานบนธนบัตรครั้งแรกในปี 1958 ราวสิบปีหลังเขาถูกฆาตกรรม หน้าของเขาปรากฏบนธนบัตรพม่าจนกระทั่งพม่าถูกระฐประหารโดยกองทัพ ตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา รูปของอองซานถูกแทนที่ด้วยภาพวิถีชีวิตพม่า เป็นไปได้ว่าเพื่อลดความนิยมของลูกสาวของอองซาน อองซานซูจี ซึ่งกำลังมีบทบาททางการเมืองต่อต้านการรัฐประหารและเผด็จการในเวลานั้น ในปี 2017 สมัชชาแห่งสหภาพ ลงคะแนนเสียง 286 ต่อ 107 เพื่อนำภาพของอองซานกลับมา โดยมีธนบัตร 1,000 จัต ที่มีภาพของอองซานออกสู่สาธารณะอีกครั้งเมื่อ 4 มกราคม 2020 วันครบรอบการได้รับเอกราช [ 29]
ครอบครัว
ขณะอองซานดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีการรบในปี 1942 เขาพบและสมรสกับ Khin Kyi ทั้งคู่มีลูกด้วยกันสี่คน หลังอองซานถูกสังหาร ภรรยาหม้ายของเขาได้รับแต่งตั้งเป็นทูตพม่าประจำอินเดีย และจากนั้นครอบครัวก็ย้ายออกจากพม่า[ 30] ลูกคนที่อายุน้อยที่สุดที่มีชีวิตรอดคือ อองซานซูจี ขณะเกิดเหตุลอบสังหารอองซาน เธออายุเพียงสองขวบเท่านั้น[ 31] ต่อมาอองซานซูจีได้ก้าวเข้าสู่การเมืองพม่าและเป็นบุคคลสำคัญในการเมืองพม่าจนกระทั่งเธอถูกรัฐประหารในปี 2021
อ้างอิง
↑ Thant 213
↑ Nay 99
↑ Nay 106
↑ Thant 214
↑ Naw 41-43
↑ Naw 44
↑ Smith 58
↑ Smith 56-57
↑ Naw 45-48
↑ Lintner 1990
↑ Thant 217
↑ Naw 49
↑ Smith 58
↑ Lintner 2003 41
↑ Aung San Suu Kyi (1984). Aung San of Burma . Edinburgh: Kiscadale 1991. pp. 1, 10, 14, 17, 20, 22, 26, 27, 41, 44.
↑ Thant 228
↑ Smith 65-66
↑ Thant 248
↑ 19.0 19.1 19.2 19.3 Thant 254
↑ 20.0 20.1 Lintner 2003 xii
↑ "Who Killed Aung San?" . The Irrawaddy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2017-07-17. สืบค้นเมื่อ 2021-05-11 .
↑ Lintner 2003 xiii
↑ Smith 71-72
↑ Ye Mon and Myat Nyein Aye
↑ 25.0 25.1 BBC News
↑ Thant 293
↑ Thant 258-259
↑ Lintner 2003 203
↑ Zaw
↑ Rogers 27
↑ Thant 333
บรรณานุกรม
"North Korea's History of Foreign Assassinations and Kidnappings" . BBC News . 14 February 2017. Retrieved 19 September 2020.
Houtman, Gustaaf. "Aung San’s Lan-Zin, the Blue Print and the Japanese Occupation of Burma" . In Kei Nemoto (ed). Reconsidering the Japanese military occupation in Burma (1942–45) . Tokyo: Tokyo University of Foreign Studies. Research Institute for Languages and Cultures of Asia and Africa (ILCAA). 30 May 2007. pp. 179–227. ISBN 978-4-87297-9640 , Retrieved 23 August 2020.
Lintner, Bertil . The Rise and Fall of the Communist Party of Burma . Cornell Southeast Asia Program Publication. 1990
Lintner, Bertil. Burma in Revolt: Opium and Insurgency Since 1948 . Chiang Mai, Thaiand: Silkworm Books. 2003.
Maung Maung . Aung San of Burma . The Hague: Martinus Nijhoff for Yale University. 1962.
Rogers, Benedict. Burma: A Nationa at a Crossroads . Great Britain: Random House. 2012.
Smith, Martin. Burma: Insurgency and the Politics of Ethnicity. London and New Jersey: Zed Books. 1991.
South, Ashley. Ethnic Politics in Burma: States of Conflict . New York, NY: Routelage. 2009.
Stewart, Whitney. Aung San Suu Kyi: Fearless Voice of Burma . Twenty-First Century Books. 1997. ISBN 978-0-8225-4931-4
Thant Myint-U . The River of Lost Footsteps: A Personal History of Burma . London: Faber and Faber Limited. 2008.
Ye Mon and Myat Nyein Aye. "Martyr's Mausoleum Gets and Upgrade" เก็บถาวร 2021-07-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน . Myanmar Times . 17 June 2016. Retrieved 14 November 2020.
Zaw Zaw Htwe. "Gen. Aung San Returns to Myanmar Banknotes After 30-Year Absence" . The Irrawaddy . 7 January 2020. Retrieved 7 September 2020.
นานาชาติ ประจำชาติ วิชาการ ประชาชน อื่น ๆ