หมาจิ้งจอกทอง [ 2] หรือ หมาจิ้งจอกเอเชีย [ 2] (อังกฤษ : Golden jackal, Common jackal, Asiatic jackal, Eurasian golden jackal,[ 3] Reed wolf)[ 4] จัดอยู่ในไฟลัม สัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Canis aureus ในวงศ์สุนัข (Canidae) และถึงแม้ว่าจะได้ชื่อสามัญว่าในภาษาไทยว่า "หมาจิ้งจอก" แต่ก็ไม่ได้เป็นหมาจิ้งจอกแท้ ๆ เพราะไม่ได้อยู่ในสกุล Vulpini แต่จัดเป็นหมาป่าที่มีขนาดเล็ก (แจ็กคัล) กว่าหมาใน [ 5]
ลักษณะและพฤติกรรม
มีลักษณะหูโตและตั้งตรง ขนตามลำตัวค่อนข้างยาวมีสีเทา ปนน้ำตาล ลักษณะเด่นคือ หางสั้นเป็นพวง ปลายหางมีสีดำ ขนบริเวณหลังมีสีดำ หมาจิ้งจอกทองตัวเมียมีเต้านม 5 คู่
มีความยาวลำตัวและหัว 60–75 เซนติเมตร ความยาวหาง 20–25 เซนติเมตร น้ำหนัก 8–9 กิโลกรัม กระจายพันธุ์อย่างกว้างขวาง จึงทำให้มีชนิดย่อย ถึง 13 ชนิด (ดูในตาราง[ 6] ) พบตั้งแต่ในยุโรปตะวันออก , แอฟริกาเหนือ , แอฟริกาตะวันออก , ตะวันออกกลาง , ปากีสถาน , อัฟกานิสถาน , อินเดีย , เนปาล , สิกขิม , ภูฏาน , พม่า , ไทย , ภาคเหนือของกัมพูชา , ลาว และภาคกลางของเวียดนาม
หมาจิ้งจอกทอง สามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่หลากหลายได้ ทั้งป่าเต็งรัง , ป่าเบญจพรรณ หรือพื้นที่เสื่อมโทรมตามหมู่บ้าน กินอาหารได้หลากหลาย ทั้งพืช และสัตว์ เช่น นก , สัตว์เลื้อยคลาน , สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ,สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม พืชหลายชนิด บางครั้งอาจขโมยอาหารหรือสัตว์เลี้ยงจากมนุษย์ หรืออาจจะล่าสัตว์กีบขนาดเล็ก เช่น ลูกกวาง, ลูกแอนทีโลป เป็นอาหารได้[ 7] หมาจิ้งจอกทองมีระบบประสาทตา หู จมูก ดีเยี่ยม ในช่วงผสมพันธุ์อาจพบเห็นอยู่ด้วยกันเป็นคู่ ออกล่าเหยื่อในเวลากลางคืน และพักผ่อนในเวลากลางวัน แต่บางครั้งอาจพบเห็นได้ช่วงพลบค่ำหรือเช้าตรู่ ชอบส่งเสียงหอน "ว้อ" เป็นระยะ ๆ ตลอดทั้งคู่ มีพฤติกรรมจับคู่อยู่เป็นผัวเดียวเมียเดียวตลอดชีวิต ตัวผู้มีหน้าที่เลี้ยงดูครอบครัว ขณะที่ตัวเมียจะทำหน้าที่เลี้ยงลูกเป็นหลัก แต่ก็อาจช่วยตัวผู้ล่าเหยื่อได้ในบางครั้งที่เหยื่อมีขนาดใหญ่[ 7] สามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี ออกลูกครั้งละ 3–5 ตัว ระยะเวลาตั้งท้องนาน 9 สัปดาห์ มีระยะเวลาการให้นมลูก 60–63 วัน เมื่อตัวแม่ออกไปหาอาหารมักทิ้งลูกในอยู่ตามลำพัง มีอายุยืนประมาณ 12 ปี ปัจจุบันจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 [ 2]
ในแอฟริกา หมาจิ้งจอกทองมีอาณาเขตของตัวเองประมาณ 2–3 ตารางกิโลเมตร โดยใช้กลิ่นปัสสาวะเป็นตัวบ่งบอก คู่ตัวผู้และตัวเมียอาจมีลูกที่ต้องดูแลพร้อมกันหลายครอก หลายช่วงอายุ โดยลูกตัวที่โตแล้วแต่ยังไม่สามารถล่าเหยื่อเองได้ จะมีหน้าที่ช่วยพ่อแม่เลี้ยงดูลูกตัวที่เล็กกว่าและยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บางครั้งลูกตัวที่โตแล้วจะเป็นผู้ช่วยพ่อของตัวเองล่าเหยื่อ ทั้งนี้เป็นการฝึกฝนประสบการณ์ของตัวเองในการล่าเหยื่อและเลี้ยงดูลูกในอนาคตด้วย หมาจิ้งจอกทองจะอาศัยทำรังและเลี้ยงดูลูกในโพรงในทุ่งหญ้าสะวันนา บางครั้งจะเป็นรังของสัตว์อื่นทิ้งไว้ เช่น เม่น หรือหมูป่า และอาจมีหลายโพรงสำหรับความปลอดภัยของลูกเล็กจากการรังควานของสัตว์กินเนื้ออื่น เช่น ไฮยีนา หมาจิ้งจอกทองตัวผู้บางครั้งอาจจะล่าเหยื่อไปไกลจากรังถึง 10 กิโลเมตร เมื่อได้แล้วจะรีบกลืนเนื้อลงท้องแล้วรีบกลับไปที่รังเพื่อขย้อนออกมาให้หมาจิ้งจอกทองตัวเมียและลูก ๆ ได้กิน ลูกหมาจิ้งจอกทองตัวที่โตที่จะดูแลตัวเองได้แล้วจะถูกพ่อแม่ขับไล่ออกไปอย่างรุนแรง โดยในระยะ 2–3 สัปดาห์แรกจะยังไม่สามารถล่าเหยื่อขนาดใหญ่ได้ และจะหาอาหารประเภทสัตว์เล็ก ๆ เช่น แมลงกุดจี่ เป็นอาหารไปก่อน[ 8]
หมาจิ้งจอกสยาม
แผนที่การกระจายพันธุ์ของหมาจิ้งจอกทองในทวีปเอเชียแบ่งตามชนิดย่อย (สำหรับหมาจิ้งจอกสยาม คือ พื้นที่สีชมพู)
หมาจิ้งจอกสยาม (อังกฤษ : Siamese jackal ; ชื่อวิทยาศาสตร์ : Canis aureus cruesemanni ) เป็นชนิดย่อย ของหมาจิ้งจอกทอง เป็นชนิดที่พบได้ในประเทศไทย จัดเป็นหมาป่า 1 ใน 2 ชนิดเท่านั้นที่พบได้ในประเทศไทย นอกเหนือไปจากหมาใน
มีลักษณะคล้ายกับหมาจิ้งจอกหิมาลายัน หรือหมาจิ้งจอกอินเดีย (C. a. indicus ) แต่มีขนาดเล็กกว่า[ 9] ขนสีน้ำตาลปนเทา มีลายกระดำกระด่างเปรอะ ๆ ไม่ไช่สีพื้นแดงสนิมเหมือนกับอย่างขนของหมาในนอกจากนั้นแล้วยังมีขนยาวปกคลุมรอบคอเป็นแผงใหญ่ขนบริเวรนี้ปลายขนจะมีสีดำขนตามลำตัวจะมีลักษณะขนสองชั้นแผ่ชี้ปกคลุมตั้งแต่ท้ายทอยลงมาจนถึงกลางหลังเรื่อยจนไปถึงโคนหางมีลักษณะคล้ายกับอานม้ามากกว่าขนที่กลางหลังของสุนัขไทยหลังอาน เสียอีก เพราะขนที่หลังของสุนัขไทยหลังอานเป็นขนชนิดที่ย้อนกลับคล้าย ๆ กับขวัญ หางของหมาจิ้งจอกสยามจะสั้นกว่าหางของหมาในและขนที่หางจะมีสีดำเพียงแค่ 1 ใน 3 ส่วนหมาในจะมีขนที่หางจะเป็นสีดำ ความสูงประมาณ 40 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 7–14 กิโลกรัม (15–31 ปอนด์) ความยาวของลำตัววัดจากหัวหัวถึงปลายหางหางประมาณ 60–75 เซนติเมตร (24–30 นิ้ว) ความยาวของหางวัดจากหัวถึงปลายหางประมาณ 23–25 เซนติเมตร (9.2–14 นิ้ว) ลักษณะจมูกจะยาวแต่จมูกไม่ดำ ลำตัวกลมและแข็งแรง สันกลางต่ำ โค้งกว้างแตกต่างกับหมาในซึ่งมีจมูกสั้นและจมูกสีดำ ส่วนหน้าผากค่อนข้างจะแบนเล็กน้อยหน้าแหลม หูตั้งป้องไปข้างหน้า[ 10]
พบกระจายพันธุ์ในประเทศไทย, พม่า และภาคตะวันออกของอินเดีย โดยทำการแยกชนิดจากหมาจิ้งจอกอินเดีย โดยสังเกตจากพฤติกรรมในที่เลี้ยง[ 9]
อ้างอิง
↑ Sillero-Zubiri & Hoffmann (พ.ศ. 2547). Canis aureus . 2006 IUCN Red List of Threatened Species . IUCN 2006. Retrieved on 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2549. Database entry includes justification for why this species is of least concern
↑ 2.0 2.1 2.2 กองทุนสัตว์ป่าโลก. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน . กรุงเทพฯ : ไซรัสการพิมพ์, 2543. 256 หน้า. หน้า 55-56. ISBN 974-87081-5-2
↑ Koepfli, K.-P.; Pollinger, J.; Godinho, R.; Robinson, J.; Lea, A.; Hendricks, S.; Schweizer, R. M.; Thalmann, O.; Silva, P.; Fan, Z.; Yurchenko, A. A.; Dobrynin, P.; Makunin, A.; Cahill, J. A.; Shapiro, B.; Álvares, F.; Brito, J. C.; Geffen, E.; Leonard, J. A.; Helgen, K. M.; Johnson, W. E.; O’Brien, S. J.; Van Valkenburgh, B.; Wayne, R. K. (2015-08-17). "Genome-wide Evidence Reveals that African and Eurasian Golden Jackals Are Distinct Species" . Current Biology . 25 : 2158–65. doi :10.1016/j.cub.2015.06.060 . PMID 26234211 .
↑ Tamás Tóth; László Krecsák; Eleonóra Szűcs; Miklós Heltai; György Huszár (2009). "Records of the golden jackal (Canis aureus Linnaeus, 1758) in Hungary from 1800th until 2007, based on a literature survey" (PDF) . North-Western Journal of Zoology . Vol. 5 no. 2. pp. 386–405. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2012-10-04. สืบค้นเมื่อ 2016-07-04 .
↑ HYBRID CANINES
↑ "Canis aureus " . ระบบข้อมูลการจำแนกพันธุ์แบบบูรณาการ .
↑ 7.0 7.1 MEET THE JACKALS , "Animal Planet Sunday Showcase" สารคดีทางแอนิมอลพลาเน็ต. ทางทรูวิชั่นส์: อาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2556
↑ ความลับแห่งพงไพร: จิ้งจอกทองคำ , สารคดีทางนาว 26: ศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2559
↑ 9.0 9.1 Lekagul, B . & McNeely, J. Mammals of Thailand , Darnsutha Press; Second edition edition (January 1, 1988), ISBN 974-86806-1-4 .
↑ หมาบางแก้ว โดย สันต์ นาคะสุวรรณ 88 หน้า, (สำนักพิมพ์ฐานเกษตรกรรม, กรุงเทพฯ 2548) ISBN 9789749098806
แหล่งข้อมูลอื่น