สัญญากับมารซึ่งทำเป็นลายลักษ์อักษร
"นักบุญโวล์ฟกังกับมาร" วาดโดย มิคาเอล พาเชอร์ (Michael Pacher)
สัญญากับมาร (อังกฤษ : deal with the Devil, pact with the Devil หรือ devil's contract ) หรือ การต่อรองแบบเฟาสต์ (อังกฤษ : Faustian bargain ) เป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมที่แพร่หลายในภาคตะวันตกของโลก และได้รับการเสริมเติมแต่งเป็นอันมากจากตำนานของเฟาสต์ (legend of Faust) และตำนานเรื่องมารเมฟิสโตเฟลิส (Mephistopheles) แต่พบมากในนิทานพื้นบ้านที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์
ตามความเชื่อดั้งเดิมในแม่มดของชาวคริสต์ สัญญากับมารเป็นสัญญาระหว่างมนุษย์ ซึ่งเรียก "ผู้ขันต่อ" (wagerer) ฝ่ายหนึ่ง กับซาตาน (Satan) หรือมารอื่น ๆ อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมนุษย์เสนอจะยกวิญญาณของตนให้แก่มาร เพื่อแลกกับการที่มารจะกระทำบางสิ่งบางอย่างให้ การตอบแทนของมารนี้ว่ากันว่าแตกต่างกันไปแล้วแต่ความเชื่อ อาทิ ความเยาว์วัย ความมั่งมี ความรู้ หรืออำนาจวาสนา ยังเชื่อกันด้วยว่า บางคนทำสัญญาเช่นนี้เพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าจะนับถือมารเป็นนาย และไม่ต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนเลย อย่างไรก็ดี การต่อรองเช่นนี้นับเป็นสิ่งอันตรายมากสิ่งหนึ่ง ด้วยว่าค่าตอบแทนแรงงานของมารนั้นคือวิญญาณของผู้ขันต่อเอง เรื่องเล่ามักจบแบบสอนใจว่า นักเสี่ยงโชคผู้บ้าระห่ำพบความวิบัติชั่วกัลปาวสาน หรือในทางตรงกันข้าม อาจจบแบบตลกขบขันว่า ไพร่ที่หลักแหลมเอาชนะมารด้วยอุบายอันแยบยล
ความหวังในสิ่งเหนือธรรมดาอย่างแจ้งชัดนั้น บางทีก็เรียกว่าเป็นสัญญากับมาร นับตั้งแต่เรื่องสะพานมาร ในยุโรป ไปจนถึงความสามารถเล่นไวโอลินได้อย่างบรรเจิดของ นิกโกเลาะ ปากานีนี (Niccolò Paganini)
ภาพรวม
มักคิดกันว่า คนผู้ทำสัญญากับมาร ได้ตกลงว่าจะฆ่าหรืออุทิศทารกแรกเกิดให้แก่มาร เข้าร่วมพิธีในวันธรรมสวนะของแม่มด ร่วมเมถุนกรรมกับมาร หรือกับซักคิวบัส หรืออินคิวบัส จนมีบุตรด้วยกัน และเนื่องมาจากมีเด็กตายเมื่อคลอดเป็นจำนวนมากในมัชฌิมยุค และยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา หมอตำแย หลายคนถูกกล่าวหาว่าทำสัญญากับมารว่าจะอุทิศทารกแรกคลอดให้
สัญญากับมาร จะทำด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ สัญญาที่เป็นวาจามักกระทำด้วยเรียกมาร โดยวิธีวิงวอนถึง (invocation) สังวัธยายมนตร์ (conjuration) หรือพิธีกรรมอย่างอื่นอันเรียกมารได้ โดยเมื่อบุคคลนั้น ๆ คิดว่า มารมาอยู่เบื้องหน้าแล้ว เขาจะร้องขอให้มารช่วยเหลือ และสัญญาจะยกวิญญาณของเขาให้เป็นการแลกเปลี่ยน การพิจารณาคดีและไต่สวนแม่มด ได้ความว่า มารจะทำร่องรอยไว้บนร่างกายของคู่สัญญา เป็นรอยที่ลบไม่ออก เรียกว่า "รอยมาร " (diabolical mark) สำหรับใช้อ้างว่ามีสัญญาต่อกัน และว่ากันว่า บุคคลผู้มีรอยมารอยู่บนร่างกายจะไม่รู้สึกเจ็บปวดในรอยนี้เลย ส่วนสัญญาที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น ก็ใช้วิธีเรียกมารอย่างเดียวกัน แต่จะมีการทำลายลักษณ์อักษร โดยมนุษย์ที่เป็นคู่สัญญาจะลงลายมือชื่อของตนด้วยเลือดของตน บางทีก็ว่ากันว่า ลายลักษณ์อักษรทั้งฉบับนั้นเขียนด้วยเลือด ขณะที่นักมารวิทยา (demonologist) ว่ามีการใช้หมึกแดงแทนเลือด ที่ว่าใช้เลือดสัตว์เขียนแทนเลือดมนุษย์ก็มี ลายลักษณ์อักษรนี้อาจเป็นหนังสือสัญญาฉบับหนึ่ง หรือเป็นการลงลายมือชื่อในบัญชีแดง (Red Book) ของซาตานก็ได้
แม้จะมีการสร้างเครื่องยืนยันถึงความมีอยู่ของสัญญากับมาร แต่ก็มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่แน่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นของแท้ ทำขึ้นขณะวิกลจริต หรือเป็นพยานหลักฐานเท็จที่มีขึ้นสำหรับใช้ในศาล อย่างไรก็ดี สิ่งเหล่านี้มักประกอบด้วยลายลักษณ์ประหลาดซึ่งเชื่อกันว่าเป็นลายมือชื่อหรือตราประทับของมารที่แต่ละตนจะมีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตน ตำรับตำราหลายเล่ม เช่น กุญแจดอกเล็กของโซโลมอน (Lemegeton Clavicula Salomonis, Lesser Key of Solomon ) พรรณนาถึง "รอยมาร" เอาไว้ ส่วน ค้อนของทุรชน (Malleus Maleficarum, Hammer of the Evildoers ) กล่าวถึงสัญลักษณ์ประเภทที่อ้างว่าเป็นตัวอย่างของสัญญากับมาร โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสตรีเพศ
ตามมารวิทยา การจะเรียกมารแต่ละตนนั้นมีกำหนดวันเวลาแน่ชัดอยู่ การจะทำสัญญากับมารจึงต้องให้ถูกที่ถูกเวลาด้วย นอกจากนี้ มารแต่ละตนยังมีหน้าที่ผิดแผกกันไป ผู้จะทำสัญญากับมารจึงต้องคำนึงข้อนี้ด้วย
อนึ่ง ยังถือกันด้วยว่า แม่มดและนักวิทยาคมมักทำสัญญากับมาร
ทีโอฟิลัสแห่งอะดานา บ่าวสองนาย
ในปกรณัมคริสเตียน ทีโอฟิลัส (Theophilus) ข้าวัดผู้หมดอาลัยตายอยาก เพราะมุขนายกของเขาทำให้เขาสิ้นหวังในงานหน้าที่ทางโลก ได้ขายวิญญาณของตนให้แก่มาร แต่พระมารีนิรมล ไถ่คืนให้ เรื่องราวนี้เขียนขึ้นเป็นภาษากรีก ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 โดย ยูทีเคียนัส (Eutychianus) ผู้อ้างว่าเป็นสมาชิกครอบครัวของทีโอฟิลัส[ 1]
ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 9 หนังสือ นักบุญมารีผู้กระทำปาฏิหาริย์สำหรับทีโอฟิลัสผู้กลับใจ" (Miraculum Sancte Marie de Theophilo penitente, Miraculous Saint Mary of the penitent Theophilus) เพิ่มเติมว่า มีชาวยิวคนหนึ่งเป็นตัวกลางระหว่างมารผู้อุปถัมภ์ทีโอฟิลัสกับเขา ซึ่งเป็นเรื่องราวลักษณะเดียวกันอย่างที่ปรากฏในวรรณกรรมละตินชุดอื่น ๆ ของภาคตะวันตกของโลก[ 2]
สัญญาในประวัติศาสตร์ซึ่งอ้างว่าทำกับมาร
นักดนตรี
แนวความคิดที่ว่า "ขายวิญญาณของเจ้า เพื่อความรุ่งโรจน์หรือความเป็นเลิศทางดนตรีของเจ้า" บังเกิดขึ้นหลายครั้งในวงการเพลงของโลก โดยเฉพาะในวงการแนวเพลงกีตาร์นำ (guitar dominated genres) และอย่างยิ่ง วงการแนวเพลงบลูส์ลูกทุ่ง ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง (pre-World War II rural Blues)
ว่ากันว่า แพร่งบลูส์แมนส์ (Bluesmans' crossroads) ในแยกชิวลา รัฐมิสซิสซิปปี เป็นแหล่งชุมนุมหลักสำหรับทำสัญญากับมาร
ผู้ที่อ้างว่าได้ทำสัญญากับมารแลกความสามารถทางดนตรี เช่น
นิกโกเลาะ ปากานีนี (Niccolò Paganini) นักไวโอลินชาวอิตาลี[ 3]
จูเซปเป ตาร์ตีนี (Giuseppe Tartini) นักไวโอลินและนักแต่งเพลงซึ่งเคยเป็นทหารผ่านศึก เชื่อว่า เพลง "เดวิลส์ทริลโซนาตา " (Devil's Trill Sonata) ที่เขาแต่งนั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากมารที่ปรากฏตัวต่อเขาในความฝัน[ 4]
ทอมมี จอห์นสัน (Tommy Johnson) นักดนตรีเพลงบลูส์[ 5]
รอเบิร์ต จอห์นสัน (Robert Johnson) นักดนตรีเพลงบลูส์ ผู้ซึ่งประชาชนบางเหล่าเชื่อว่า เขาได้พบกับซาตานที่ทางแพร่ง และขายวิญญาณให้แก่ซาตาน เพื่อจะได้เล่นเพลงบลูส์และได้รับความสามารถเป็นเลิศในการเล่นกีตาร์[ 5]
ไม่ใช่นักดนตรี
โจฮัน เกออร์ก เฟาสต์ (Johann Georg Faust) ผู้สร้างตำนานเฟาสต์[ 6]
โจนาทาน มูลตัน (Jonathan Moulton) พลจัตวาแห่งกองหนุนนิวแฮมป์เชียร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นที่เล่าขานว่า ได้ขายวิญญาณให้แก่มาร เพื่อให้ปรากฏเหรียญเต็มรองเท้าบูตของตนเดือนละครั้งทุก ๆ วาระที่แขวนมันไว้กับเตาผิง
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถ
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ สัญญากับมาร