สมัย ปานอินทร์ |
---|
เกิด | สมหมาย อินทร์คชสาร พ.ศ. 2483 ประเทศไทย |
---|
เสียชีวิต | 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 (อายุ 59 ปี) เรือนจำกลางบางขวาง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย |
---|
สาเหตุเสียชีวิต | ประหารชีวิตด้วยการยิง |
---|
ชื่ออื่น | เอียง พิศสมัย เจ้าแม่ล็อก 4 |
---|
มีชื่อเสียงจาก | เป็นนักโทษประหารหญิงคนสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าโดยประเทศไทย |
---|
ส่วนสูง | 164 cm (5 ft 5 in) |
---|
สถานะทางคดี | ถูกประหารชีวิต |
---|
|
พิพากษาลงโทษฐาน | ผลิต นำเข้า หรือส่งออกยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 เพื่อจำหน่าย |
---|
บทลงโทษ | ประหารชีวิต |
---|
คู่หู | นางสมใจ ทองโอ นางมาลี เดชาภิรมย์ นายอรุณศักดิ์ หงษ์สร้อยคำ ด.ช.เล็ก (นามสมมุติ) |
---|
วันที่ถูกจับ | 30 มิถุนายน พ.ศ. 2537 |
---|
จำคุกที่ | ทัณฑสถานหญิงกลาง |
---|
|
สมัย ปานอินทร์ ( พ.ศ. 2483 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542) เป็นผู้ต้องโทษประหารชีวิตหญิงคนที่ 3 ของประเทศไทย ในความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีน โดยเป็นนักโทษประหารหญิงคนสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าในประเทศไทย โดยเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ถูกประเทศไทยประหารชีวิตในรอบ 20 ปีหลังจากกิ่งแก้ว ลอสูงเนินถูกประหารชีวิตในปี พ.ศ. 2522 และยังเป็นบุคคลแรกที่ถูกประหารชีวิตในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งถูกตัดสินโดยศาล ไม่ใช่คำสั่งพิเศษ[1][2]
ประวัติ
สมัยเกิดที่ประเทศไทย เมื่อปีพ.ศ. 2483 เธอไม่ได้เรียนหนังสือ โดยเธอได้มีส่วนร่วมในการค้าขายยาเสพติดกับครอบครัวของนางสมใจ ทองโอ โดยสมาชิกในครอบครัวของสมใจทุกคนมีส่วนร่วมในการค้าขายเฮโรอีน ซึ่งระพิน พุ่มเมืองสามีของสมใจ ลูกชายและลูกสาวของสมใจถูกจับกุมในข้อหาจำหน่ายยาเสพติด และถูกคุมขังในเรือนจำ แต่ระพินไม่สามารถทนความยากลำบากระหว่างติดคุกที่เรือนจำกลางบางขวาง จึงกระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการแขวนคอภายในเรือนจำ เมื่อปีพ.ศ. 2534 โดยเฮโรอีนถูกรับซื้อมาจากพ่อค้ายาเสพติดจากภาคเหนือจำนวน 15 -20 ถุงต่อครั้ง แล้วนำมาแบ่งใส่หลอดขาย ซึ่งสมัยจะนำเฮโรอีนไปขายที่ชุมชนคลองเตยล็อกที่ 4 ทำให้เธอได้รับฉายาว่าเจ้าแม่ล็อก 4 ซึ่งเธอได้นำเฮโรอีนไปขายมาเป็นเวลานานแล้ว[3]
ก่อนที่เธอจะถูกจับกุมในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2537 เธอมีประวัติอาชญกรรมที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในฐานข้อมูลด้านทะเบียนอาชญกรรมทั้งหมด 12 คดี ได้แก่ คดีแรกในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2508 เธอถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ แผนก ๒ กก.๗ป. จับกุมในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและถูกศาลอาญาตัดสินจำคุก 4 เดือน คดีที่สองเธอถูกจับกุมเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 ในความผิดฐานรับของโจร เหตุเกิดในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกร คดีที่สามเธอถูกสถานีตำรวจนครบาลท่าเรือจับกุมในข้อหาการพนันไพ่แปดเก้า เธอถูกตัดสินจําคุก 45 วัน ปรับ 800 บาท ให้รอลงอาญา เป็นเวลา 1 ปี ส่วนคดีที่ 4 - 12 เธอถูกจับกุมในข้อหาการพนันไพ่ป็อกแปดเก้ากับไพ่ผสมสิบ ยกเว้นคดีที่ 6 ซึ่งเธอถูกจับกุมในข้อหาเป็นภัยต่อสังคม[4]
การจับกุมและการพิจารณาคดี
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2537 สมัย ซึ่งในขณะนั้นอายุ 54 ปี พร้อมกับนางมาลี เดชาภิรมย์ อายุ 39 ปี , นางสมใจ ทองโอ อายุ 56 ปี , เด็กชายเล็ก (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี และนายอรุณศักดิ์ หงษ์สร้อยคำ อายุ 20 ปี ถูกจับกุมที่บ้านในซอยรามอินทรา 15 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ระหว่างการตรวจค้นที่บ้าน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสืบสวนจนพบว่ามีการลักลอบขายยาเสพติด จึงออกหมายค้นและนำเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจค้นบ้าน จากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบ เฮโรอีนตราสิงห์โตคู่เหยียบโลก 5 ถุง น้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม เฮโรอีนบรรจุในหลอดพลาสติก 2800 หลอด, วิทยุติดตามตัว 1 เครื่อง, หลอดพลาสติก 5000 หลอดและโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง[5][6]
ในการสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สมัยได้ให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่า เดินทางมาที่บ้านเพื่อขอยืมเงินจากสมใจไปซื้อบ้าน โดยขณะลงจากบันไดเพื่อออกจากบ้านก็ถูกจับกุม ซึ่งตนเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย ส่วนสมใจได้สารภาพว่าค้าขายเฮโรอีนทั้งครอบครัว ซึ่งเฮโรอีนทั้งหมดในบ้านซื้อมาจากพ่อค้ายาเสพติดในภาคเหนือ แล้วนำเฮโรอีนบรรจุใส่หลอดเพื่อนำไปขายยังชุมชนคลองเตย หลังจากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สรุปสำนวนการสอบสวนและพยานหลักฐานส่งให้อัยการเพื่อสั่งฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้[7]
ต่อมาศาลชั้นต้นได้พิพาษาประหารชีวิตสมัย โดยสมใจ และอรุณศักดิ์ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต มาลีถูกตัดสินจำคุก 50 ปี ส่วนเด็กชายเล็ก ถูกศาลเยาวชนและครอบครัวกลางพิพากษาให้กักขังที่สถานพินิจเด็กและเยาวชน ต่อมาสมัยได้ยื่นอุทธรณ์เพื่อขอลดโทษ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนประหารชีวิต จึงยื่นฎีกาแต่ศาลฎีกาพิพากษายืนประหารชีวิต เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เธอจึงทำหนังสือทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษ แต่รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยมีความเห็นให้ยกฎีกาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2542 เนื่องจากประวัติการจับกุม 12 ครั้งของเธอ[8][9]
การประหารชีวิต
ในวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เมื่อเวลา 16.10 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ย้ายตัวสมัยจากทัณฑสถานหญิงกลางกรุงเทพมหานคร ไปยังเรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ของเรือนจำกลางบางขวางได้เบิกตัวสิบเอกประยุทธ ผลพันธ์ในความผิดฐานฆาตกรรมแพทย์ประจำโรงพยาบาลรวมแพทย์ที่จังหวัดพัทลุง เมื่อปี พ.ศ. 2537[10] และตะปอยโฮ ชาวกะเหรี่ยงผู้ก่อเหตุฆาตกรรมอดีตภรรยาและลูกของเธอ 2 คน ที่อำเภอสีคิ้ว เมื่อปี พ.ศ. 2539[11] จากแดนที่ 1 มายังหมวดผู้ช่วยเหลือ เมื่อสมัยนั่งลงบนเก้าอี้ในหมวดผู้ช่วยเหลือ สมัยก็ทราบว่าจะถูกประหารชีวิต ทำให้เธอร้องไห้ออกมา ประยุทธซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างจึงพูดปลอบใจว่า"อย่าร้องไห้ไปเลยครับ พวกผม 2 คนก็กำลังจะถูกประหารชีวิตเหมือนกัน พวกเราทำความผิดไว้ ผลกรรมก็ต้องตามมาเป็นเรื่องธรรมดา" ซึ่งประยุทธได้ถามสมัยว่ากระทำความผิดอะไรซึ่งเธอตอบว่าคดีผงขาว ซึ่งเธอไม่รู้ตัวว่าจะถูกนำตัวมาประหารชีวิต สมัยได้ขอพี่เลี้ยงเพื่อคุยโทรศัพท์กับลูกสาว แต่คำขอก็ถูกปฏิเสธเนื่องจากผิดกฎระเบียบของเรือนจำ หลังจากพิมพ์ลายนิ้วมือและอ่านคำสั่งยกฎีกา สมัยเขียนจดหมายและพินัยกรรมได้ช้าเนื่องจากไม่เคยเรียนหนังสือจึงให้เจ้าหน้าที่ของทัณฑสถานหญิงกลางเขียนให้ตามคำบอก โดยมีใจความว่า"ขอให้ลูกๆทุกคนอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก ขอให้ดูแม่เป็นตัวอย่าง เงินทองที่ค้าขายยาเสพติดมาได้นั้น ไม่คุ้มค่ากับการที่ต้องมาวิ่งเต้นสู้คดี สุดท้ายชีวิตก็ต้องมาสูญสิ้นไปอีก" หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำอาหารมื้อสุดท้ายมา แต่นักโทษทั้งสามไม่มีใครรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย สมัยได้ขอเหล้า เพื่อให้จิตใจมีความกล้าเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกปฏิเสธเนื่องจากกฎระเบียบของเรือนจำ จึงขอกาแฟแทนและได้กินส้มที่เจ้าหน้าที่ราชฑัณฑ์หญิงมอบให้สมัย แล้วเธอได้ขอบุหรี่มาสูบเพื่อพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง[12] หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงได้นำตัวของทั้งสามคนไปฟังเทศน์ ก่อนจะนำสมัยมาประหารชีวิตก่อนเป็นคนแรก หลังจากนำตัวของสมัยมัดกับหลักประหาร เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงได้กระซิบบอกลาและให้ท่องพุทโธไว้ สมัยจึงท่องพุทโธออกมาเสียงดัง ทำให้เจ้าหน้าที้พี่เลี้ยงกระซิบบอกสมัยให้ท่องพุทโธในใจ สมัยจึงตอบกลับว่าจะให้ท่องในใจใช่ไหม ได้ตกลง[13]สมัยถูกประหารชีวิตเมื่อเวลา 17.45 น. โดยเพชรฆาต เชาวเรศน์ จารุบุณย์ ใช้กระสุนจำนวน 7 นัด สำหรับสมัย[14] หลังจากนั้นจึงนำตัวประยุทธ์และตะปอยโฮมาประหารชีวิตพร้อมกัน โดยประยุทธกับตะปอยโฮ ถูกประหารชีวิตเมื่อเวลา 18.10 น.[15] โดยสมัยนับเป็นนักโทษประหารหญิงคนล่าสุดที่ถูกประหารชีวิตในประเทศไทย และเป็นผู้ต้องโทษประหารชีวิตคนที่ 294 ของประเทศไทยด้วยการยิงเป้า[16][17][18][19][20][4]
เชาวเรศน์ จารุบุณย์ได้กล่าวถึงการประหารชีวิตสมัยว่า "เจ้าหน้าที่หลายๆคนสงสารสมัย และบางคนถึงกับขอถอนตัว"[21]
อ้างอิง
บรรณานุกรม
- อรรถยุทธ พวงสุวรรณ (2546). คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร. กรุงเทพ: มติชน. ISBN 9743229752.
- 'เชาวเรศน์ จารุบุณย์ (2553). ปิดตำนาน เพชณฆาต. กรุงเทพ: Thinkplus. ISBN 978-974-235-886-0.